คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : The Dawn, the Twilight [Fic Baramos] - บทที่ 5
บทที่ 5: ห้วงเวลาไม่หยุดนิ่ง [Time is still going on, lessens my happiness
raises my tear]
“หญิงรู้จักดอกไม้ที่ว่ากันว่างดงามที่สุดในโลกไหม” เสียงนุ่มนวลของเด็กชายคนหนึงเอ่ยถามร่างเล็กที่นั่งอยู่บนม้านั่ง เด็กหญิงคนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะตอบ
“ไม่เคยค่ะ เจ้าพี่ มันเป็นดอกอะไรหรือคะ?”
“ชื่อว่าดอกแรกทิวา มีอยู่ที่สโนวแลนด์แห่งเดียวเท่านั้น”
“สวยมากไหมคะ?”
“ไม่รู้สิ พี่เองก็ยังไม่เคยเห็นสักที”
“หญิงอยากเห็นจังเลยว่าจะสวยขนาดไหน” ว่าแล้วนัยน์ตาสีมรกตใสของคนตัวเล็กกว่าก็ช้อนขึ้นมองแล้วเอ่ยปนอ้อน “เจ้าพี่พาหญิงไปดูได้ไหม”
คนโตกว่ายังไม่ยอมตอบ แต่ถามกลับมาเสียอย่างนั้น
“หญิงอยากจะเห็นหรือ?”
“อยากสิคะ”
“งั้นถ้าหญิงทำตามสัญญาว่าจะเป็นผู้หญิงที่ดีกว่าใครๆได้ล่ะก็ พี่จะพาหญิงไปดูตกลงไหม?”
“สัญญานะคะเจ้าพี่”
“จ้ะ สัญญา”
“ถึงตอนนั้นต้องมารับหญิงไปเจมิไนนะคะ เจ้าพี่สัญญาไว้กับหญิงแล้วนะ”
“พี่เคยผิดสัญญากับหญิงหรือ?”
...
..
.
แล้วภาพในความทรงจำก็ตัดไปเป็นสีดำมืดมิด ร่างบางยืนอยู่ท่ามกลางความมืดที่ไม่รู้บนหรือล่าง ...บรรยากาศรอบด้านนั้นเหน็บหนาว เดียวดายอ้างว้าง...บรรยากาศที่น่าจะชาชินได้แล้ว
เพราะนี่คือความรู้สึกที่ผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด บนยอดเขาเหนือใครๆต้องเผชิญ
ความเดียวดายของกษัตริย์...
ภาระหน้าที่ที่ต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว...
ท่านก็คงเหมือนกันสินะ...
แล้วจู่ๆตรงหน้าก็ปรากฎเงาของร่างบางร่างขึ้นมา... เด็กสาวเมื่อเห็นก็จำได้ทันทีว่าใครคือคนเหล่านั้น เสียงหวานจึงตะโกนเรียก
“เสด็จพ่อ! เสด็จแม่! ท่านพี่ชาเบรียน!!” ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่หันมามอง บุคคลทั้งสามได้แต่เดินหายเข้าไปในความมืด ปล่อยให้ร่างบางทรุดตัวลงนั่งสะอึกสะอื้นกับพื้น
พลันก็รู้สึกเหมือนมีใครมาอยู่ข้างหลัง นัยน์ตาสีมรกตตวัดขึ้นไปมอง แล้วก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคย นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มทอดมองมาแฝงกระแสอ่อนโยนชวนให้โหยหา
“เจ้าพี่...” มือน้อยๆเอื้อมไปหมายจะคว้าคนโตกว่าเข้ามากอด ทว่าจู่ๆร่างของเจ้าชายแห่งเจมิไนกลับหันหลังให้แล้วค่อยๆเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนค่ะ เจ้าพี่โรเวน! อย่าไป...อย่าทิ้งหญิงไว้!” ร่างบางรีบลุกขึ้นยืนพลางตะโกนเรียกให้อีกฝ่ายหยุด “ได้โปรด...ทั้งท่านพ่อท่านแม่ ทั้งท่านพี่ชาเบรียน...ใครๆต่างก็จากหญิงไปหมด ...หากแม้แต่เจ้าพี่ก็ยังจะทิ้งหญิงไปด้วยอีกคน...หญิงก็คงไม่เหลือใครอีกแล้ว”
แต่ใครคนนั้นที่อยากให้กลับมาหายังคงเดินต่อไปโดยไม่สนใจ ราวกับว่าคำพูดไม่อาจส่งไปถึง
“เดี๋ยวสิคะ! เจ้าพี่!” ว่าแล้วร่างบางก็ตั้งใจจะออกวิ่งตามไป หากทว่าขาทั้งสองมิอาจขยับเขยื้อน ราวถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น “เจ้าพี่โรเวน!!”
แล้วอาภรณ์ที่ใส่อยู่ก็แปรเปลี่ยนไป จากชุดกระโปรงธรรมดากลับกลายเป็นเครื่องทรงอิสริยาภรณ์เต็มยศของจักรพรรดินี...เกศาสีทองยาวสลวยถูกมวยรวบเอาไว้บนศีรษะที่ประดับมงกุฏเพชรน้ำงามล้ำค่า...
“ไม่เอา...” เสียงพึมพำแทบไม่พ้นคอ “หญิงไม่เคยอยากเป็นกษัตริย์...หญิงไม่ได้อยากเป็นจักรพรรดินี” ว่าแล้วเธอก็ทรุดลงไปร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดใจ “...ทำไมถึงต้องเป็นหญิง... ทำไมถึงไม่ได้เกิดมาเป็นเด็กสาวธรรมดา...” อัสสุชลเอ่อท้นนัยน์เนตรสีมรกต ขณะที่หัตถ์น้อยๆพยายามเอื้อมมือไปหาร่างสูงที่กำลังจะหายไปในความมืด ริมฝีปากก็ร่ำร้องเพรียกหา
“อย่าไป...เจ้าพี่โรเวน...อย่าทิ้งหญิงไว้บนยอดเขาอ้างว้างนี้เพียงลำพัง”
===================
คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงหน้างดงามปรากฎร่องรอยของความทรมาน แล้วแพขนตาหนาที่ทาบแก้มขาวก็เริ่มรื้นน้ำ ขณะที่ริมฝีปากขยับพึมพำเสียงแหบพร่า
“...อย่าทิ้งหญิงไว้คนเดียว...” คำพูดแสนเศร้านั้นพลอยทำให้หัวใจของร่างสูงที่อยู่ใกล้ๆเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ขณะที่เจ้าของร่างขยับตัวเข้าไปใกล้
สติที่มีเริ่มไล่ตามขึ้นมาช้าๆ ภาพในความฝันจางหายไปราวสายหมอก เมื่อสมองเริ่มสั่งการ...เปลือกตาจึงค่อยๆเผยอขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาที่ดุจดั่งอัญมณีล้ำค่า...แม้ว่าบัดนี้จะขุ่นมัวด้วยม่านน้ำใส
“ฟื้นได้สักทีนะ” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยแม้จะห้วนด้วยความหงุดหงิดทว่าก็แฝงไว้ด้วยความห่วงใยเรียกให้เจ้าของร่างบางที่นอนอยู่ในอ้อมแขนกระพริบตาปริบๆ ขณะประมวลความคิดทั้งหลายอย่างรวดเร็ว
ย้อนไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า...
เคร้ง!
เสียงดาบตัดวารีตวัดดาบเพลิงอัคคีให้กระเด็นหลุดจากมือคนถือดาบ ขณะที่ตัวการพูดเสียงห้วน
“พอแค่นี้น่าจะดีกว่า” น้ำเสียงแฝงกระแสข่มขู่จากคิลมัส ฟีลมัส ที่หญิงสาวนักรบแห่งเจมิไนเพียงแต่ส่งยิ้มเย็นกลับมา
“การประลองยังไม่ทันรู้ผล...หรือว่าเธอจะขอร่วมด้วยฉันก็ไม่ขัดข้อง”
“ฉันไม่นิยมสู้กับผู้หญิง” นักฆ่าหนุ่มปฏิเสธ
“ในหมู่อัศวินไม่แบ่งแยกหญิงหรือชาย” เซเรเนียยังกล่าวเสียงเรียบๆ นัยน์ตาจับจ้องมายังนักฆ่าหนุ่มที่โอบร่างของวิเวียนไว้ในอ้อมแขนราวระวังภัย “...หากเธอเป็นห่วงองค์จักรพรรดินี จะมาสู้แทนก็ได้นะ”
“ไม่เอาหรอก น่าเบื่อ” คิลตัดบทอย่างไม่ไยดี ทำเอาใบหน้าของหญิงสาวฝ่ายผู้ท้าขึ้นสีเรื่อนิดด้วยความโมโห แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยอะไรออกมา จู่ๆร่างบางในอ้อมแขนชายหนุ่มก็สลบไปก่อน...
ตอนนั้นจู่ๆก็รู้สึกปวดหัว แล้วภาพตรงหน้าก็มืดลง...
“ขอโทษนะคะ หญิงทำให้ลำบากอีกแล้ว” เสียงหวานพึมพำพลางขยับตัวออกจากอ้อมแขน แต่คนโตกว่าก็ยังคงไม่คลายมือจากร่างบาง
“เธอจะเป็นอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ฮึ” คำถามไม่สื่อความนัย ทำให้นัยน์ตาสีมรกตช้อนขึ้นสบมองด้วยความสงสัย
“อะไรคะ?”
“มีอะไรทำไมไม่พูดมาตรงๆ” คิลเริ่มบ่น “เก็บเอาไว้ทำไมให้อกแตกตาย”
“เอ๋?” เสียงหวานอุทาน แต่แล้วเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีม่วงนั้น เธอจึงได้หลุบตาลง “อย่าห่วงเลยค่ะ หญิง...”
“...ดูแลตัวเองได้” คิลต่อประโยคให้ วิเวียนเงยหน้าขึ้นมามอง “เธอนี่ไม่รู้จักแม้แต่การดูแลตัวเองเลยสักนิด...ถ้ารู้จริง จะเป็นลมไปอีกอย่างเมื่อกี้เหรอฮะ!”
“นั่นมัน...” เจ้าหญิงวิเวียนไม่สบตา ขณะที่ในใจกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง
“ฉันจะบอกคาโล”
“อย่านะคะ!” เด็กสาวแย้งขึ้นทันควัน คนถูกห้ามก้มลงมองอย่างสงสัยก่อนจะพูดขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความหงุดหงิดชัดเจน
“ไม่บอกได้ยังไง นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วฮึ? เธอมาเรียนที่เอดินเบิร์กได้อาทิตย์กว่า แล้วมีเหตุต้องเป็นลมเป็นแล้งอยู่ได้ทุกวัน...มันใช่เรื่องปกติอีกรึไง?!”
เรื่องที่นักฆ่าแห่งซาเรสพูดนั้นเป็นความจริง...เพราะตั้งแต่ที่เขาได้รับหน้าที่คอยดูแลเจ้าหญิงแห่งเวนอลมาได้อาทิตย์กว่า เจ้าหล่อนมักจะต้องเป็นลมสลบไปไม่เว้นแต่ละวัน และคิลเองก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ผิดปกติ แม้ว่าเจ้าตัวจะหาเหตุผลต่างๆนาๆมาอ้าง ทั้งแดดร้อนเอย ทั้งไม่ได้กินข้าวเช้าเอย ทั้งไม่คุ้นเคยกับสภาพอากาศที่เอดินเบิร์ก แล้วอาการของวิเวียนในระหว่างที่หมดสติไปนั้นก็น่าเป็นห่วงเอาการ เด็กสาวมักจะมีท่าท่างทรมานมาก แถมยังเพ้อเหมือนคนเป็นไข้ ทั้งที่ร่างกายนั้นเย็นเยียบหยั่งกับน้ำแข็ง ...อาการที่นักฆ่าหนุ่มตั้งใจว่าจะต้องปรึกษาคาโลให้ได้ตั้งแต่ครั้งแรก ทว่าก็ไม่ได้ทำเสียทีเพราะคำขอร้องอย่างเอาเป็นเอาตายของคนป่วย
“แล้ววันนี้เป็นเพราะอะไรอีก? แม่นักวินิจฉัยโรค” คำพูดแกมประชดชนิดที่หากใครได้ยินต้องไม่มีทางเชื่อว่าจะออกมาจากปากของทายาทตระกูลฟีลมัส ขณะที่เจ้าหญิงกำลังอ้ำอึ้ง
“...เป็นลมแดด แล้วตอนเช้าวันนี้ก็ไม่ได้ทานอะไรมาด้วยค่ะ” เธอหาขออ้างมาได้ในที่สุด
พัฒนา...
วันนี้มาแบบคอมโบเชียวนะ
คิลนึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“งั้นก็ไปกินข้าวกัน...แล้วถ้าไม่ยอมกิน ฉันนี่แหละจะบังคับให้เธอกินเอง ขี้เกียจให้เป็นลมอีกรอบ มันลำบาก...”
===================
เสียงผู้คนในห้องอาหารดราก้อนยังคงจ้อกแจ้กจอแจเหมือนเคย ณ โต๊ะของนักเรียนชั้นปีสามที่ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตากินกันอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับกำลังแข่งขันกินไวโอลิมปิคก็มิปาน นัยน์ตาสีม่วงก็กำลังปราดมองไปยังบุคคลที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเป็นระยะๆ
“คิล...จ้องแบบนี้ หญิงจะยิ่งทานไม่ลงเสียเปล่าๆ” เมื่อขีดความอดทนถึงที่สุด เจ้าหญิงแห่งเวนอลจึงตัดสินใจพูดขึ้น และก็เป็นประโยคที่ทำให้คนจ้องเพิ่งจะรู้สึกตัว
“อะ อ่าว เหรอ? ขอโทษที ขอโทษ” นักฆ่าแห่งซาเรสสะดุ้ง ก่อนจะรีบก้มลงไปจัดการ(แด๊กด่วน)อาหารในจานของตนเอง ขณะที่คนต่อว่าได้แต่ส่ายหน้า
“อ้าว! ในที่สุดก็ได้เจอกันพร้อมหน้าสักที ว่าไงวิเวียน...ไงคิล” เสียงหวานแต่กวนประสาทเป็นเอกลักษณ์อย่างนี้คงจะมีอยู่แค่คนเดียว เมื่อเฟรินกับคาโลลงมาพักกินข้าวกัน(แน่นอนว่าแม่ตัวดีทั้งโวยวายทั้งดื้อว่าถึงจะยุ่งยังไงแต่กองทัพก็ยังต้องเดินด้วยท้อง)
ครั้นเมื่อเห็นบุคคลที่ตัวเองเพิ่งนินทาให้เจ้าชายแห่งคาโนวาลฟังไปไม่นานนัก แม่ตัวยุ่งก็หลุดเสียงหัวเราะหึๆ ฝ่ายคาโลที่แม้จะไม่ได้ตั้งใจ ทว่าก็ยังอดนึกถึงเรื่องที่เจ้าหญิงหัวขโมยของเขาพูดเอาไว้ไม่ได้ ดวงหน้าที่มักจะเรียบเฉยจึงปรากฎรอยยิ้มนิดๆที่มุมปาก อากัปกิริยาที่คนนั่งอยู่ก่อนทั้งคู่ได้แต่กระพริบตามองปริบๆอย่างสงสัย
“แกหัวเราะอะไรของแกเฟริน” ฝ่ายที่ตัดสินใจถามก่อนคือทายาทตระกูลนักฆ่า ขณะที่คนถูกถามนั่งลงไปข้างๆเจ้าหญิงคนสวย ส่วนคาโลนั่งลงข้างคิล
“เปล่านิ” เฟรินยังเฉไฉไปข้างๆคูๆ
“อะไรวะ ก็เห็นว่าหัวเราะอยู่เห็นๆ”เสียงของนักฆ่าเริ่มออกแววหงุดหงิด แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่ด้วยสัญชาตญาณก็พอจะเดาได้ว่ามันต้องเกี่ยวกับเขาแน่นอน
“เฮ่ย! เวลากินก็กินไป อย่าพูดมาก อย่าใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์” จอมกะล่อนบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยแล้วก็รีบเริ่มปฏิบัติการผลาญทรัพยากรโรงอาหารอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนตั้งแง่ได้แต่อารมณ์ค้างอยู่อย่างนั้น
“งานเกี่ยวกับหมากกระดานเกียรติยศไปถึงไหนแล้วคะ เจ้าชายคาโล” วิเวียนที่จัดการรวบช้อนส้อมเรียบร้อยแล้วเอ่ยถามชายหนุ่มผมเงินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะรู้ดีว่าพี่หญิงของเธอตอนนี้กำลังใช้สมาธิอยู่กับเรื่องอื่นจึงไม่มีทางจะตอบ
“ก็เสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว คาดว่าอีกไม่นาน...ต้องรอประชุมรวมกับพวกฝ่ายอื่นๆที่เหลือด้วย”
“เหลือเวลาอีกอาทิตย์หนึ่งพอดี น่าตื่นเต้นจังนะคะ นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงมีโอกาสเข้าร่วมงานสำคัญของเอดินเบิร์ก” เสียงหวานของคนพูดบ่งบอกว่าตื่นเต้นจริงๆ ขณะที่คนฟังพยักหน้ารับ
“ไอ้อิ๊ดอาองแอ่งอ้างเอ๋ออิ๊เอียน” หญิงสาวผมน้ำตาลพูดแทรกทั้งๆที่ยังมีอาหารเต็มปาก กิริยาที่นัยน์ตาสีฟ้าวาบขึ้น แต่ไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยให้เมื่อยปาก เพราะขณะนี้น้องสาวคนสำคัญได้ลงมือจัดการเองแล้ว
“พี่หญิง ทำแบบนี้ไม่งามเลยนะคะ เคี้ยวให้หมดก่อนสิคะถึงจะค่อยพูด” วิเวียนค้อนเข้าให้ “แบบนี้ถ้าใครมาเห็น เขาจะสงสัยเอาได้นะคะว่าทางบารามอสกับเดมอสมีวัฒนธรรมเรื่องมารยาทแปลกๆ”
กับคำบ่นนั้น พี่หญิงคนเก่งก็ได้แต่ยิ้มแหยๆรับ แล้วรีบจัดการเคี้ยวข้าวให้หมดก่อนจะพูดใหม่
“แล้ววิเวียนไม่คิดจะลงแข่งกับเขาบ้างเหรอไง”
“หญิง?” คิ้วของคนถูกถามเลิกขึ้นนิด แต่คำตอบกลับออกมาจากปากบุคคลที่สาม
“นายบ้าไปแล้วเหรอเฟริน ขืนให้ยายเจ้าหญิงนี่ลงแข่ง ป้อมอัศวินก็ปิดประตูแพ้สิวะ” ประโยคนั้นจบลงพร้อมกับนัยน์ตาสีมรกตที่ค้อนขวับไปยังคนพูด แต่ใบหน้าดูดียังคงยิ้มพราว นัยน์ตาสีม่วงระริกชอบใจที่ได้ยั่วอีกฝ่าย
“หญิงไม่คิดจะลงแข่งหรอกค่ะ ฝีมือของหญิงคงทำได้แค่เป็นตัวถ่วงเสียเปล่าๆ”
“ฮื่อ” คิลพยักหน้าเห็นด้วย
“หญิงไม่อยากจะเป็นสาเหตุให้ป้อมอัศวินของพวกพี่หญิงแพ้”
“รู้ก็ดี”
“เพราะลำพังแค่มีนักฆ่าฝีมือไม่เอาไหนอยู่ในทีม พี่หญิงก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว”
“นั่นสินะ...เอ๊ะ!” คนที่แสร้งเออออห่อหมกมาตั้งแต่เมื่อครู่ชะงัก เมื่อเพิ่งตระหนักว่าถูกเจ้าหญิงคนงามแห่งเวนอลเล่นงานเข้าให้แล้ว คิลหรี่ตามองเด็กสาวที่แสร้งส่งยิ้มพริ้มพรายไม่รู้เรื่องมาให้ แล้วก็แยกเขี้ยวรับ “ขอบคุณที่เป็นห่วงสถานการณ์ของป้อมอัศวิน”
“ไม่เป็นไรค่ะ หญิงแค่ห่วงว่าพี่หญิงคงลำบากใจที่จะจัดทีมถ้ามีคนไม่เก่งอยู่ด้วย”
“เดี๋ยวจะโดนดี” นักฆ่าหนุ่มแยกเขี้ยวขู่ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้กลัวเลยสักนิด
การปะทะคารมระหว่างคนทั้งคู่นั้นไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจัง เหมือนเป็นแค่การกระเซ้าเย้าแหย่กันเล่นๆเสียมากกว่า แต่มันแปลกตรงที่ว่าทั้งสองคนนั้นมีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
สำหรับวิเวียน...อาจจะไม่แปลกใจนัก เพราะเฟรินไม่ได้พบกับเธอมาเป็นปี นิสัยจะเปลี่ยนไปบ้างก็ไม่แปลก แต่เฟรินยอมรับว่าการได้กลับมาพบกันครั้งนี้ น้องสาวของเธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทั้งการวางตัว กิริยาท่าทางและความคิด ...แต่ไหงพออยู่กับหมอนี่ถึงได้หลุดมาดกลับไปเป็นเด็กๆเสียได้
ส่วนไอ้คิล...ถึงแม้มันจะชอบแหย่ ชอบแขวะเธอบ้างในบางครั้ง แต่เฟรินก็ยืนยันนั่งยันนอนยันว่าเพื่อนรักของเธอคนนี้เป็นโรคไม่ถูกชะตากับผู้หญิงขั้นรุนแรง นอกจากเจ้าหญิงคนสวยแห่งคาโนวาลแล้ว ไอ้หมอนี่ก็ไม่เคยสนใจใครอื่น แต่พูดก็พูดเถอะ...ขนาดเรนอนที่เธอสงสัยว่ามันแอบมีใจให้ ไอ้นักฆ่าไร้ประสบการณ์คนนี้ก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจออกนอกหน้าเท่ากับจักรพรรดินีแห่งเวนอลที่นั่งอยู่ด้วยนี่เลยสักนิด
จะไม่ให้คิดได้ยังไงล่ะแบบนี้!
ว่าแล้วนัยน์ตาสีน้ำตาลก็เหล่มองไปยังคู่กรณีทั้งสองที่กำลังเล่นบทพ่อแง่แม่งอนกันอยู่ (ก็ไอ้บททะเลาะไปง้อไปที่เฟรินกับคาโลชอบทำนั่นล่ะ) จากนั้นแม่ตัวยุ่งจึงได้ส่งสายตาไปหาเจ้าชายแห่งคาโนวาลเหมือนจะบอกให้สังเกตท่าทีด้วยอีกคน
นัยน์ตาสีฟ้าฉายแววเย็นชาเหมือนจะบอกว่าตัวเองไม่สน แต่เฟรินรู้ดีว่าในใจมันก็คงคิดสงสัยแบบเดียวกับเธออยู่แน่นอน
แล้วคนที่ตั้งใจจะเป็นแม่สื่อให้เพื่อนรักจึงได้เริ่มลำดับความคิด
ไอ้คิลนี่ยังพอลุ้นอยู่หรอก
แต่ปัญหาคืออีกคนนี่สิ!
เฟรินเผลอนึกไปถึงใครบางคนที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งของเพื่อนตัวเอง แล้วก็ต้องตีหน้าเหยเกเมื่อใบหน้าของเจ้าชายคนเก่งปรากฎขึ้นมาในมโนภาพ
พี่แกทั้งหล่อแม้จะไม่ต้องเหลา ทั้งฉลาดเป็นกรด สุภาพบุรุษ เทคแคร์เก่งขนาดนั้น...สาวน้อยสาวใหญ่ที่ไหนเห็นก็เป็นวิ่งเข้าใส่
แล้วก็หันมาดูคนของเธอ
เรื่องหน้าตามันก็พอสู้ไหว แต่ไอ้นิสัยนี่สิที่ควรปรับปรุง...มัวแต่เป็นเด็กไม่ยอมโตอย่างนี้ ไม่ประสีประสาเรื่องผู้หญิง ซื้อบื่ออีกต่างหาก จะเอาอะไรไปทำคะแนนเล่าปัดโถ่
...อย่างงี้ไอ้คิลก็แพ้ลุ่ย จอดไม่ต้องแจว!
“สวัสดีครับรุ่นพี่โรเวน” เสียงของคาโลเอ่ยทักบุรุษผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเฟริน
เอื๊อก!
ตายยากอีกต่างหากวุ้ย!
คิดแล้วเจ้าหญิงหัวขโมยจึงค่อยๆหันไปหาช้าๆอย่างคนมีชนักติดหลัง
“สวัสดีฮะ พี่โรเวน...ลมอะไรหอบพี่มาถึงนี่ได้” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มของเจ้าชายแห่งเจมิไนฉายแววขำขันก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยตอบ
“ฉันก็จะมาดูว่าวันนี้เธอจะช่วยเพิ่มตัวแดงในบัญชีงบฯของป้อมอัศวินอีกเท่าไหร่ดีไงล่ะเฟริน”
“ง่า...มันไม่ใช่แค่ผมมั้งพี่ คนอื่นๆก็ด้วยนา อย่างรุ่นพี่ลูคัสกับลอเรนซ์เงี้ย ปามีดเพิ่มรูบนผนังป้อมกันเป็นว่าเล่น เพิ่มหนี้มากกว่าผมจมเลย”
“ก็อาจจะจริง” โรเวนขยับรอยยิ้ม แล้วจึงหันไปหาร่างบางที่ยังคงนิ่งเงียบข้างๆเฟริน
“องค์จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่า หากไม่รบกวนนักขอเวลาสักครู่จะได้ไหม หม่อมฉันมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว”
ร่างบางของวิเวียนขยับกายน้อยๆอย่างอึดอัดรับคำพูดนั้น ทั้งเฟริน คิลและคาโลต่างก็สังเกตเห็นประกายไหววูบที่ปรากฎในนัยน์ตาสีมรกต เป็นแววตาที่บ่งบอกถึงความอดกลั้น ครั้นเมื่อมันหายไปแล้ว เจ้าหล่อนก็หันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย และคราวนี้เฟรินก็รู้ดีว่าวิเวียนได้หยิบหน้ากากฟาโรห์ขึ้นมาสวมเสียแล้ว
“เรื่องที่ว่าไม่สะดวกหากจะคุยกันตรงนี้หรือ เจ้าชายโรเวน ฮาเวิร์ด” น้ำเสียงนั้นไม่บอกอารมณ์ อย่างคนที่คุ้นเคยกับการสวมหน้ากากกษัตริย์ ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าก็เชี่ยวชาญด้านนี้ไม่แพ้กัน
“เรื่องสำคัญไม่ควรคุยกันในที่ที่มีคนพลุกพล่าน หม่อมฉันขอรบกวนเวลาของท่านเพียงครู่เดียวเท่านั้น คงไม่เสียหายอะไรใช่ไหม”
กับคำกล่าวนั้นหญิงสาวผู้มีอำนาจเหนือใครในเวนอลหลุบสายตาลงชั่วครู่อย่างลังเล ร่องรองของความปวดร้าวฉายออกมาแว่บหนึ่งโดยไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น หากแต่ไม่ใช่กับคนที่ต้องอยู่กับเจ้าตัวมาตลอดหลายวันเพราะนั่นคือแววตาที่มักจะปรากฎให้เห็นอยู่บ่อยครั้งเวลาอยู่ด้วยกัน
ยายงี่เง่า!
“หากเป็นเรื่องสำคัญจริง เราก็ไม่มีเหตุอะไรให้ปฏิเสธ” วิเวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบขณะเงยหน้าขึ้นสบมอง แล้วจึงหันมาหาเจ้าหญิงแห่งบารามอสที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวผมเก็บจานให้เองฮะ ไม่ต้องห่วง” เฟรินรีบตอบอย่างรู้ดี คนที่ไม่ทันจะเอ่ยขอจึงยิ้มรับน้อยๆ ก่อนจะหันกลับไปยังร่างสูงที่ยืนรออยู่แล้วเอ่ย
“นำไปได้เลย เจ้าชายโรเวน” เสียงหวานออกคำสั่งอย่างเคย เจ้าชายคนที่ว่าค้อมศีรษะลงรับแล้วจึงเดินออกนำไปโดยมีร่างบางของจักรพรรดินีแห่งเวนอลเสด็จตามอยู่ไม่ห่าง
ครั้นเมื่อบุคคลทั้งสองหายไปจากห้องอาหาร เจ้าตัวยุ่งที่คันปากมานานก็รีบพูดขึ้นทันที
“ฮู้ย งานนี้รับรองมันหยดติ๋ง” น้ำเสียงของคนพูดส่อแววสนุกสนานและสงสัยใคร่รู้ขณะรีบวางช้อนส้อมลงแล้วทำท่าจะลุกตามไป แต่ก็ถูกดักคอไว้ก่อนด้วยคำปรามจากเจ้าชายแห่งคาลโนวาล
“นายไม่ควรยุ่งกับเรื่องของคนอื่น” กับคำปรามาสนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลก็ถลึงมองเข้าให้
“นี่มันวิเวียนน้องสาวฉัน คนอื่นที่ไหน” เฟรินเถียงข้างๆคูๆ
“แต่นายก็ไม่ควรไปแอบฟัง” คาโลแย้งซ้ำยังดักทางเอาไว้หมดจนคนที่เตรียมตัวจะไปแอบฟังชะงักเมื่อถูกรู้ทัน ก่อนจะทำท่าฮึดฮัดขัดใจแล้วหยิบอาวุธในจานขึ้นมาอีกหนแล้วตั้งหน้าตั้งตากินด้วยท่าทางที่บอกว่าหงุดหงิดชัดเจน
“ฉันมีธุระ ขอตัว...” คำกล่าวก็ดังมาจากนักฆ่าแห่งซาเรส และโดยไม่คิดจะรอคำตอบรับจากเพื่อนทั้งสอง คิลก็ลุกพรวดเพื่อเอาจานไปเก็บโดยไม่ลืมจะหยิบจานของเจ้าหญิงคนสวยติดมือไปด้วย
แล้วเมื่อแผ่นหลังของเพื่อนหายไปในฝูงชน เจ้าหญิงหัวขโมยก็ค้อนทันควัน
“แล้วทำไมทีมันไม่เห็นจะห้าม!” เสียงนั้นห้วนนัก แต่คนตรงหน้าก็เพียงเอ่ยเรียบๆ
“มันคนละกรณีกับนาย” ประโยคนั้นได้รับเสียงดังเชอะเบาๆกลับมา...
======================
เสียงหรีดเรไรที่พากันขับขานบทเพลงแห่งราตรีดังแว่วมากระทบโสตประสาท แสงนวลของจันทร์เสี้ยวทอเพียงอ่อนๆ ทำให้บรรยากาศรอบด้านนั้นถูกปกคลุมด้วยมนต์สเน่ห์ของรัตติกาล
และร่างสูงในชุดเครื่องแบบนักเรียนเอดินเบิร์กเต็มยศที่อยู่เบื้องหน้านั้นก็ทำให้จิตใจของผู้ที่มองอยู่ไหวหวั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ กระนั้นร่างบางก็จำต้องนับหนึ่งถึงร้อยแล้วเพียรข่มสติอย่างอดกลั้นยามที่เอ่ยออกไป
“ให้เรามาถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” และด้วยคำพูดนั้นอีกฝ่ายจึงได้ไหวตัวน้อยๆ เสียงที่ตอบกลับมานั้นยิ่งทำให้ใจของหญิงสาวบีบรัด
“...อาการของท่านเป็นเช่นไรบ้าง?” โรเวนเอ่ยทั้งที่ไม่ได้หันมาสบตา น้ำเสียงที่แฝงกระแสห่วงหาอาทรนั้นทำให้นัยนเนตรสีเขียวของคนฟังกระพริบปริบๆอย่างกำลังนึกทวนสิ่งที่ได้ยิน ขณะที่ตะกอนหนึ่งในหัวใจกำลังถูกสั่นคลอนอยู่เงียบๆ
เป็นห่วงหญิงด้วยหรือ?
สายตาที่ทอดมองไปยังเจ้าชายแห่งเจมิไนคราวนี้จึงแฝงกระแสโหยหาอย่างปิดไม่มิด
ทว่าประโยคต่อมานั้นก็ทำให้ความรู้สึกที่ส่งไปหยุดชะงัก
“เซเรเนียบอกกับฉันว่าท่านหมดสติไปเมื่อตอนกลางวัน” วิเวียนหลุบตาลงนิดขณะรับข้อมูลจากอีกฝ่าย
ใครกัน?...เซเรเนีย?
“...คนที่ท่านประลองด้วย” โรเวนต่อความคิดให้เมื่อเดากิริยาของหญิงสาวออก เธอจึงพึมพำรับรู้อยู่ในคอเบาๆ
หล่อนนั่นเอง...
คราวนี้หัวใจของวิเวียนก็ปวดร้าวขึ้นอีกเมื่อหวนนึกถึงบทสนทากับสตรีดังกล่าว แต่ด้วยอยู่ในฐานะจักรพรรดินี สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงข่มใจไม่ให้หวั่นไหว เพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าได้เห็น
“ท่านเพิ่งหายจากการประชวร ไม่ควรจะรับปากประลองกับนาง” โรเวนถอนหายใจเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงเงียบ “...และหากท่านไม่ทราบ เซเรเนียเองก็นับเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของป้อมอัศวิน ซ้ำยังเป็นนักรบที่แข็งแกร่งแม้ในเจมิไนก็ตามที”
คำพูดที่หาได้ยากจากเจ้าชายแห่งเจมิไนที่เหมือนจะเอ่ยชมหญิงสาวคนที่ว่า ทำให้ความน้อยใจผุดพรายขึ้นมา วิเวียนจึงได้หลุดปากสวนไปโดยไม่ทันได้ห้ามตัวเอง
“หากเห็นว่าหล่อนดีนัก แล้วยังจะรออยู่ทำไม” เสียงนั้นสั่นพร่า “พวกท่านมีเวลาให้ได้อยู่ด้วยกันตั้งมาก ไยไม่สานสัมพันธ์เสีย”
คิ้วเข้มของคนฟังเลิกขึ้นนิด ก่อนจะกล่าวเรียบๆว่า “ธุระของฉันท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
ความจริงที่คนฟังสะอึกนิด เม้มริมฝีปากแน่น เมื่อความเจ็บปวดแล่นริ้ว
“หากเป็นเช่นนั้น เราก็คงทำได้เพียงอวยพรให้”
“ขอบพระทัยในพระกรุณา” เจ้าชายค้อมศีรษะรับ นำคำที่ฟังดูสุภาพหากแต่กลับทำให้รู้สึกถึงความห่างเหินชัดเจน นัยน์ตาสีเขียวที่ทอดมองนั้นไหววูบอย่างปวดร้าว ก่อนที่เจ้าของจะต้องรีบเบือนหนีเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา
นั่นสิ...ผ่านมาได้สองปีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงเปลี่ยนไป
ก็รู้อยู่ ไม่ว่าจะพยายามยังไง ก็ไม่มีทางได้เข้าไปอยู่แม้ในสายตาของเจ้าพี่
ความเจ็บปวดที่ทับถมควรจะชาชินได้แล้ว
ความรู้สึกที่คงไว้ก็มีแต่จะย้ำเตือนให้เจ็บช้ำควรจะละทิ้งมันไปเสียที
วิเวียนข่มตาลงเพียงครู่ด้วยหวังจะให้หยาดน้ำใสที่เอ่อคลอหายไป ก่อนจะสูดลมหายใจลึก รั้งสติให้คงเข้มแข็ง พยายามให้ภาระในฐานะของจักรพรรดินีมารั้งหทัยไม่ให้อ่อนแอ
คนเป็นกษัตริย์จะต้องไม่หวั่นไหว
แต่ความพยายามนั้นดูจะสูญเปล่า เมื่ออีกประโยคจากคนตรงหน้าดังขึ้นมา
“ท่านไม่ควรจะทำให้ใครต่อใครเป็นห่วง”
“เราไม่เคยอยากให้ใครต้องมาห่วง” หญิงสาวสวนทันควัน เมื่อความมุ่งมั่นนั้นถูกสั่นคลอนเอาง่ายๆ เพียงแค่ได้สบกับนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่ทอประกายอ่อนโยนยากจะอ่านนั้น
ประกายในตาที่ไม่เคยเปลี่ยนไป...ไม่ว่าเมื่อก่อนหรือปัจจุบัน
ประกายตาที่ราวกับจะบอกว่า คำพูดและความในใจ ไม่ได้สื่อตรงกัน
ประกายตาที่ทำให้ยังรู้สึกอยู่บ้างว่ายังมีความหวัง
ขณะที่น้ำคำฟังกัดกร่อนใจ...
“เราไม่เคยมีความสำคัญกับใครอยู่แล้ว” วิเวียนต่อประโยคจนจบ ขณะกล้ำกลืนความปวดร้าวลงไป
โดยเฉพาะกับท่าน...
“...อย่าพูดอย่างนั้น ท่านควรจะรู้ว่าตัวท่านมีความหมายมากแค่ไหน” น้ำเสียงที่แฝงแววเจ็บปวดของอีกฝ่ายเรียกให้สายตาของร่างบางหันไปมองอย่างไม่เชื่อหู
“...แม้กับท่านงั้นหรือ?” ประโยคที่ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะเอ่ยออกไปดีหรือไม่ ขณะรอฟังคำตอบจากอีกฝ่ายด้วยใจที่เต้นรัว
“ย่อมแน่นอน”
“จริงๆหรือคะ” คราวนี้หน้ากากกษัตริย์ที่เคยสวมหลุดลอยหายไปสิ้น เมื่อความคิดถึงความโหยหาที่ถูกเก็บกดเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากำลังจะเป็นฝ่ายชนะ วิเวียนขยับตัวเข้าไปใกล้ นัยน์ตาสีมรกตคู่สวยทอประกายอย่างซื่อตรงกับหัวใจ ขณะที่มือน้อยๆทำท่าจะเอื้อมไปสัมผัสอีกฝ่ายโดยไม่สนใจว่าอาจมีใครโผล่มาเห็น
เจ้าชายโรเวนจึงได้เป็นฝ่ายถอยห่างออกไปเสียเอง
กิริยาที่ทำให้จักรพรรดินีแห่งเวนอลต้องช็อค รู้สึกเหมือนใจทั้งดวงดิ่งลงกระทบพื้นวูบแล้วแตกสลาย เธอทิ้งมือทั้งสองลงข้างตัวก่อนจะกำมันแน่นเพื่อไม่ให้มือสั่น
“นับตั้งแต่ที่ท่านเข้ามาอยู่ในเอดินเบิร์กแห่งนี้ การดูแลท่านก็คือหน้าที่ของฉัน” คำพูดของโรเวนที่วิเวียนไม่คิดจะรับรู้อีก เมื่อตอนนี้ต้องเพียรพยายามข่มสติให้คงอยู่ แม้ว่าหัวใจจะสั่นไหวอย่างรุนแรงจนแทบทรงตัวไว้ไม่ไหว
“ท่านไม่เคยเปลี่ยนไป” เธอเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “ไม่ว่าเมื่อไหร่...ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน ...หญิงก็คงไม่อาจได้อยู่ในสายตาของท่าน”
“ฉันให้เกียรติท่านเสมอ” เสียงชายหนุ่มกล่าวเรียบ ประโยคที่ดวงตาสวยค้อนขวับแล้วเอ่ยอย่างสุดจะกลั้น
“ท่านให้เกียรติตัวเองมากกว่า” น้ำเสียงคราวนี้สั่นพร่าอย่างไม่อาจควบคุม “เกียรติยศของบัลลังก์แห่งเจมิไนคงสำคัญที่สุด...”
นัยน์ตาสีน้ำเงินกระด้างขึ้นฉับพลัน แต่เจ้าของมันยังคงเงียบ
“และมันคงสำคัญว่าคำมั่นสัญญานั้นใช่ไหม?” กระแสเสียงหวานนั้นตัดพ้ออย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาของโรเวนสบมองนัยน์ตาสีเขียวที่รื้นน้ำ ก่อนที่จะหลับตาลงแล้วเอ่ยตอบ
“ท่านเห็นเวนอลสำคัญอย่างไร เจมิไนก็สำคัญต่อฉันเท่านั้น” คำกล่าวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเธอถูกยกกลับมาย้อน วิเวียนจึงรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นๆสาด “หากเป็นผู้ปกครองประเทศก็ย่อมต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศของตัวเอง”
หากเป็นเจ้าของมงกุฏนั้น ก็ต้องเสียสละความต้องการส่วนตัว
หญิงไม่อาจเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับท่านและเจมิไน
นี่ใช่ไหมสิ่งที่ท่านอยากจะบอกมาตลอด...
เจ้าชายโรเวน
“คำสัญญานั่นเป็นได้แค่คำลวงงั้นหรือ” หญิงสาวท้วงถาม คนตรงหน้าที่ต้องตอบนั้นเม้มริมฝีปากนิ่งยามเอ่ยโดยไม่คิดจะสบตา
“อยากให้คิดเสียว่าท่านได้เพียงแค่ฝันไป...” คำพูดนั้นดุจใบมีดคมพุ่งตัดขั้วหัวใจ ก่อนที่ร่างสูงจะค้อมศีรษะคำนับ องค์จักรพรรดินีแห่งเวนอลเชิดพักตร์ขึ้นขณะพยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำใส ทว่าเมื่อรู้ตัวดีว่ามิอาจทนได้อีกต่อไป วิเวียนจึงหลุบสายตาลง มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น พลันร่างบางก็พุ่งพรวดผละหนีจากไป
แผ่นหลังของร่างเพรียวระหงนั้นกลืนหายไปในความมืด
และเจ้าของร่างคงไม่มีโอกาสได้เห็นว่านัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่มองตามไปนั้นปวดร้าวเพียงใด...
===================
จบแล้ว...
หมดสิ้นทุกอย่าง!
“...เข้าใจแล้วว่าหญิงคงมีความหมายเพียงแค่นั้นและต่อให้หญิงพยายามอีกสักแค่ไหน ก็คงไม่มีทางเป็นผู้หญิงที่ดีพอกับเจมิไน”
“ท่านดีพร้อม คู่ควรแล้วกับเวนอล”
ไม่มีอะไรเหลือ...
เสียงฝีเท้าที่เหยียบลงพื้นหญ้าดังสอดแทรกเสียงหอบหายใจ ร่างบางวิ่งฝ่าไประหว่างแมกไม้โดยไม่รู้ตัว รู้เพียงแค่ว่าอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆ หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้...หนีไปยังที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่
หัวใจที่ถูกทำให้เจ็บช้ำด้วยน้ำคำเย็นชาของคนที่คุ้นเคยกำลังถูกย้ำรอยแผลซ้ำ ให้บีบรัดทรมานด้วยความเจ็บปวด ให้ร้อนยิ่งกว่าเพลิงผลาญ ให้ร้าวรานจนแทบทนไม่ไหว
เจ็บ
เจ็บเหลือเกิน...
จู่ๆจังหวะการเต้นของหัวใจก็ผิดปกติขึ้น พลันร่างทั้งร่างก็ชะงักเมื่อความปวดแปลบที่ไม่ใช่แค่ทางใจหากแต่เป็นทางร่างกายแล่นจี๊ด รู้สึกเหมือนสรรพเสียงรอบด้านเงียบหาย สรรพสิ่งในสายตาวูบดับ
ร่างบางโงนเงนเหมือนจะล้ม และคงได้ทรุดวูบไปอยู่ที่พื้นหากไม่ใช่เพราะมีร่างของใครบางคนพุ่งออกมาจากความมืดช่วยพยุงเอาไว้ได้ทันท่วงที
วิเวียนเงยขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง ทว่าเมื่อนัยน์ตาสีมรกตสวยสบกับนัยน์ตาสีม่วงที่คุ้นเคย ความรู้สึกที่เพียรพยายามสะกดกลั้นมานานจึงถึงที่สุด เธอโผร่างทั้งร่างเข้าหาอ้อมแขนที่ประคองรับอย่างอ่อนล้าราวกับว่ามันคือที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียว ก่อนที่เสียงหวีดจะดังขึ้นพร้อมๆกับทำนบเขื่อนน้ำตาที่พังครืนลง
นักฆ่าแห่งซาเรสไม่ได้เอ่ยคำใดๆหากแต่กระชับวงแขนโอบร่างบางให้แน่นขึ้น เสียงสะอื้นไห้โหยหวนจากคนในอ้อมกอดที่ได้ยินกัดกร่อนจิตใจที่เคยเข้มแข็งให้รับรู้ถึงความอ่อนแอเป็นครั้งแรก เมื่อร่างของวิเวียนทรุดลงไปที่พื้น คิลก็รีบยอบตัวลงไปตาม ครั้นรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากอีกฝ่าย มือน้อยทั้งสองก็คว้าหมับเข้าที่เสื้อของชายหนุ่ม กำมันแน่นจนคนใส่รู้สึกได้ถึงเล็บที่จิกลงไปในฝ่ามือน้อยๆ เขาจึงได้พยายามจะคลายมันออก
ทว่าหญิงสาวในตอนนี้กลับเอาแต่ร้องไห้จนไม่คิดจะรับรู้ถึงอะไรอีกแล้ว ไม่สามารถแม้แต่จะบังคับร่างกายตัวเองได้ นักฆ่าหนุ่มสอดมือของตัวเองให้เจ้าหล่อนกุมไว้แทน ความเจ็บปวดจากแรงจิกทึ้งนั้นราวกับจะถ่ายทอดออกมาจากจิตใจของคนตรงหน้า
และเป็นครั้งแรกที่คิลรู้สึกว่ายอมที่จะทำทุกอย่าง ยอมจะแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี
เพื่อหยุดน้ำตาที่กำลังไหลรินนี้เอาไว้
และเป็นครั้งแรกที่ตระหนักถึงสิ่งที่เรียกได้ว่าอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง สิ่งที่เปราะบางและจำเป็นจะต้องได้รับการปกป้อง
โดยเฉพาะกับคนตรงหน้านี้ ที่จำเป็นจะต้องได้รับการปกป้องดูแล
...จากเขา
===========================
จันทร์เสี้ยวยังลอยเด่นอยู่บนผืนผ้าใบสีดำมืดมิด มีเพียงกลุ่มก้อนเมฆสีเข้มบางๆราวหมอกควันเคลื่อนตัวอ้อยอิ่งเคียงข้างไปกับโคมไฟยามรัตติกาล
เสียงสะอึกสะอื้นถูกกลืนหายไปในความเงียบสงัด บัดนี้จึงมีเพียงร่างของบุคคลสองคนนั่งอยู่บนพื้นหญ้า ร่างบางในอ้อมแขนขยับน้อยๆเมื่อสงบลงได้แล้ว พลันความกระดากอายก็เริ่มแล่นริ้วขึ้นมาแทนที่
“...ขอโทษค่ะ หญิง...” พูดได้แค่นั้นแล้วก็ต้องเงียบไปอีก เมื่อคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าคำพูดประโยคไหนที่จะช่วยกู้สถานะการณ์ตรงหน้าให้ดีขึ้นมาได้ วิเวียนจึงได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งคนโตกว่าขยับตัวนิดๆอย่างต้องการจะยืดเส้นสาย
“เมื่อยชะมัด” นั่นคือคำพูดประโยคแรกจากทายาทตระกูลนักฆ่า
“แล้วใครให้กอดเอาไว้ซะแน่นอย่างนั้นกันคะ?” เมื่ออาการสงบเจ้าหญิงคนงามก็เริ่มกัดเข้าให้
“ตอนนี้ก็ยังกอดอยู่หรอก” คำแก้ตัวดังมาจากชายหนุ่ม
“แล้วจะปล่อยหรือยังคะ?” วิเวียนเอ่ยถาม
“...” แต่ไม่มีคำตอบจากคนตรงหน้า ขณะที่วงแขนแข็งแรงยังคงโอบอยู่รอบเอวบางนิ่งแทนคำตอบ ส่วนนัยน์ตาสีม่วงทอดมองไปข้างหน้าเหมือนไม่รับรู้ เจ้าหญิงคนสวยจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วเอนตัวพิงอ้อมอกอบอุ่นของคนโตกว่าอย่างไร้เรี่ยวแรง นัยน์ตาสีมรกตหลุบลงต่ำเมื่อหยุดร้องไห้ ความทรงจำก็ค่อยๆผุดขึ้นมาในความคิด
พร้อมๆกับเสียงทุ้มนุ่มนวลของใครบางคน
“...ถ้าหญิงสัญญาว่าเมื่อโตแล้วจะเป็นผู้หญิงที่ดีกว่าใครๆ พี่จะมารับไปเจมิไนก็ได้...”
คำสัญญาที่หวานหู
“อยากให้คิดเสียว่าท่านได้เพียงแค่ฝันไป...”
อีกถ้อยคำหนึ่งที่ทำให้ใจเจ็บปวด
พลันหยาดน้ำใสก็รื้นขึ้นมาใหม่บนขอบตา
“คิดมาก” เสียงปรามดังจากอีกฝ่าย ส่งให้ร่างบางสะดุ้งเล็กๆ วิเวียนช้อนตาขึ้นสบมอง “ถ้าคิดแล้วทำให้เจ็บปวดจะคิดไปทำไม”
ถ้อยคำเรียบง่ายแต่ทำให้คนฟังต้องอึ้งไป ไม่ต่อว่าอะไรหากแต่ปล่อยให้คนตรงหน้าพูดต่อ
“เรื่องบางเรื่องอาจจะเศร้า แต่คนที่ทำให้เธอเจ็บปวดก็คือตัวเธอเอง...เพราะเธอมัวแต่จมอยู่กับเรื่องแย่ๆอย่างนั้น ทั้งๆที่มีเรื่องอีกเยอะแยะที่น่านึกถึง”
“แต่จะให้ลืม...” คนในอ้อมแขนทำท่าจะแย้ง แต่คิลก็พูดขึ้นก่อนอย่างรู้ทัน
“ไม่ได้บอกว่าจะให้ลืม แต่ถ้านึกแล้วต้องเสียใจ จะนึกไปทำไมหือ?” แล้วมือข้างหนึ่งก็ดีดเข้าที่หน้าผากของร่างบาง “ถ้าเธอคิดว่ารับมันได้ฉันก็ไม่ว่า แต่นี่เห็นชัดๆว่าทำไม่ได้ ...ถ้าอย่างนั้นก็หยุดคิดน่าจะดีกว่าจริงไหม”
วิเวียนหลุบตาลงแทนคำตอบ
“ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอเองทั้งนั้น”
ทุกสิ่งทุกอย่าง...อยู่ที่ตัวเอง?
จะรับมันเอาไว้ หรือจะทิ้งมันไป...
คงไม่มีใครที่อยากนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวด
แต่ในเมื่อเรื่องนั้นมีค่ามีความสำคัญมากมาย...คนเราถึงไม่อยากจะลืมมันไปใช่ไหม?
เพราะอย่างนั้นแม้จะต้องปวดร้าวก็ยังยอม
แล้วจะไปโทษใครได้อีกเล่า...?
เจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าข่มตาลงอีกครั้งเมื่อหยาดน้ำใสๆพากันไหลลงอาบข้างแก้ม ทว่าคราวนี้เธอเพียงร้องไห้เงียบๆกับตัวเอง ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้เอ่ยว่าอะไรเธออีก เพียงแต่สอดนิ้วมือข้างหนึ่งไปตามเส้นผมสีทองนั้นระหว่างที่รอคอยให้น้ำตาเหล่านั้นแห้งเหือดไป...
คิลก้มลงมองใบหน้างดงามปนโศกของเจ้าหญิงแห่งเวนอลเงียบๆก่อนจะหลับตาลงช้าๆ สมองยังคงจดจำภาพนั้นได้ติดตา เสียงคร่ำครวญร่ำไห้นั้นคงจะยังติดอยู่ในหูไปอีกนาน...
ขณะที่อีกความคิดหนึ่งหวนนึกไปถึงกระดาษที่ผูกติดมากับขาเหยี่ยวตัวหนึ่ง เหยี่ยวที่ใช้สำหรับส่งข่าวสารให้กับเขา
พลันหัวใจก็เจ็บแปลบเมื่อนึกถึงข้อความที่เขียนอยู่ในนั้น
งานชิ้นใหม่...
แล้วความคิดก็ถูกทำให้ชะงัก เมื่อหญิงสาวสะกิดเข้าที่แขนหมายจะให้คนที่กอดอยู่กระชับวงแขนให้แน่นขึ้นอีกนิดอย่างเอาแต่ใจซึ่งคิลก็ยอมทำตามแต่โดยดี ครั้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วเจ้าหญิงในอ้อมแขนก็ทำท่าจะเคลิ้มหลับไปเสียอย่างนั้น...
เมื่อความสงบกลับคืนมา...ความคิดของร่างสูงก็ดำเนินต่อ
...เขาจะลงมือได้ไหม? ถ้าถึงเวลา...
===========================
เฮ้อ...บทนี้เป็นบทที่อูหลงมีความรู้สึกว่าเขียนออกมาได้ไม่ตรงตามที่ตัวเองต้องการตอนแรกเลยสักนิด...แก้แล้วแก้อีก ลบแล้วลบอีกก็ยังไม่พอใจ
มันควรจะซึ้ง...ดันฮา มันควรจะเศร้า...ดันตลก
ผิดวัตถุประสงค์อย่างแรง!
สงสัยจะจิ้นไม่ไหลแล้วกับบทนี้(เพราะอีตาโรเวนมันออกเยอะ แหงๆ)
ขออภัยล่วงหน้าฮะ... ข้าน้อยจะรีบกระตุ้นต่อมจิ้นให้มันทำงานเพิ่มกว่าเดิมโดยไว
ความคิดเห็น