คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : The Dawn, the Twilight [Fic Baramos] - บทที่ 4
บทที่ 4: ชีวิตที่ใฝ่หา [Always be true to yourself]
เสียงตะโกนและเสียงเชียร์ของเหล่าลิงทโมนในป้อมที่ส่งไปให้กับบุคคลสองคนที่กำลังประลองดาบกันอยู่ตรงกลางลานตะวันดังไม่ขาดสาย เป็นที่ยืนยันแล้วว่านักเรียนในป้อมอัศวินนั้นนิยมชมชอบในการทดสอบฝีมือและการต่อสู้มากน้อยเพียงใด
“เฮ้!” เสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ร่างบางที่นั่งอยู่กับพวกครี้ดและคนอื่นๆในป้อมหันมามอง คิ้วเรียวก็เลิกขึ้นเมื่อเห็นคนเรียกได้ชัดๆ
“คะ? คิล”
“มานั่งทำไมตรงนี้ แดดร้อนจะตาย เดี๋ยวก็เป็นลมไปอีก” คำพูดแกมบ่นของนักฆ่าแห่งซาเรสทำให้ดวงหน้าสวยๆของเจ้าหญิงวิเวียน หรือถ้าตามตำแหน่งจริงๆคือ จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าฉายแววไม่พอใจอยู่น้อยๆขณะเอ่ยกลับมา
“ไม่จำเป็นต้องมาห่วงหญิงหรอกค่ะ พวกคุณครี้ดหรือคนอื่นๆเค้ายังอยู่กันได้เลย”
“แล้วครี้ดกับคนอื่นๆมันใช่เธอซะทีไหน”
“หมายความว่ายังไงคะ?”
“พวกนี้น่ะมันอึด มันถึกจะตาย...เจ้าหญิงอ่อนแออย่างเธอจะเทียบพวกมันได้ยังไง” ถ้าหากในกลุ่มคนที่นั่งอยู่กับวิเวียนตอนนี้มีเฟรินหรือไม่ก็คาโลอยู่ล่ะก็ สองคนนั่นจะรู้ได้ทันทีว่าความจริงแล้วความหมายที่นักฆ่าผู้ไม่ประสีประสาตั้งใจจะบอกคือ ‘เธอเป็นผู้หญิง บอบบางกว่าพวกผู้ชายต้องรู้จักรักษาตัวบ้าง’
แต่ในเมื่อเวลานี้ไร้ซึ่งวี่แววของเพื่อนร่วมตำแหน่งหัวหน้าป้อมทั้งคู่เพราะว่าเฟรินกับคาโลนั้นต้องไปประชุมเรื่องหมากกระดานเกียรติยศกับสามสาวนางฟ้าแห่งป้อมอัศวิน และนายขอทานกิติมิศักดิ์แห่งทริสทอร์
ทำให้ทายาทตระกูลนักฆ่าไร้ซึ่งตัวช่วยใดๆ...ให้รอดพ้นจากนัยน์ตาสีเขียวที่กำลังโชนแสงเรืองนั้นได้เลย
“หญิงไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อยค่ะ” เสียงหวานห้วนด้วยอารมณ์ และจากการที่อยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลามาได้อาทิตย์กว่า คิลก็รู้ดีว่านี่เป็นสัญญาณบ่งบอกลางไม่ค่อยจะดีนัก กำลังจะหาคำมาอธิบายแต่ก็นึกไม่ออก แล้วยิ่งจนด้วยคำพูดเข้าไปอีกเมื่อไอ้เพื่อนๆร่วมป้อมทั้งหลายต่างช่วยกันเข้าข้างสมาชิกใหม่
“นายก็พูดเกินไปคิล ใครๆก็นั่งกันเยอะแยะ จะกลัวอะไรฮึ!” เสียงแรกเป็นของครี้ด
“ใช่ๆ ยิ่งตอนนี้ใกล้งานหมากกระดานเกียรติยศแล้ว พวกคนในป้อมถึงได้พากันมาประลองฝีมือแล้วก็รวดฝึกซ้อมไปในตัว จะให้น้องเขาไปนั่งในห้องนั่งเล่นคนเดียวก็กระไรอยู่” เสียงสนับสนุนตามมาจากนายซอร์โร วันวิล ที่นักฆ่าแห่งซาเรสหรี่ตามอง
ไอ้หมอนี่มันตีเนียนเรียกวิเวียนเป็นน้องนุ่งตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
“อย่าห่วงเลยครับ พวกเราก็อยู่กันตั้งเยอะแยะ คอยช่วยกันดูแลให้อยู่แล้วครับ” แม้แต่ซีบิลที่น่าจะพูดกันรู้เรื่องที่สุดยังไม่ยอมเข้าข้าง สุดท้ายแล้วนักฆ่าแห่งซาเรสจึงได้แต่ฮึดฮัดแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับกลุ่มเพื่อนชั้นปีสามไปด้วยอีกคน เสียงร้องเชียร์จึงดึงขึ้นมาอีกหน
“เด็กปีหนึ่งคนนั้นใช้ได้เลยว่าไหมวะ? แม้จังหวะวาดดาบจะอืดไปนิดก็เหอะ” เจคเปรยขึ้นเหมือนจะถามความเห็นพรรคพวก... การมานั่งดูพวกรุ่นพี่รุ่นน้องในป้อมแลกเปลี่ยนฝีมือกันในช่วงหมากกระดานเกียรติยศก็นับเป็นอีกกิจกรรมบันเทิงใจอย่างหนึ่ง และนอกจากนั้นยังเปิดโอกาสให้นักเรียนในป้อมได้พิจารณาฝีมือของคนที่จะให้ลงแข่งขันในศึกด้วยในตัว
นัยน์ตาสีม่วงเหลือบมองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ถัดจากซีบิล เจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าวันนี้อยู่ในชุดเครื่องแบบของโรงเรียนพระราชาครบชุด ยังให้เจ้าหล่อนดูสดใสสมวัยมากกว่าตอนที่แต่งองค์อยู่ในชุดทรงของจักรพรรดินีมากกว่าเดิม ซ้ำตอนนี้หล่อนยังร่วมหัวเราะคิกคักไปกับผู้ชายคนอื่นในป้อมอย่างไม่ห่วงภาพพจน์
และเพราะหน้าที่ดูแลวิเวียนนั้นรู้ๆกันว่าถูกมอบให้กับคิล ทำให้เวลาไปไหนมาไหนนักฆ่าหนุ่มต้องหอบเอาเจ้าหญิงแห่งเวนอลติดไปด้วยเพื่อความปลอดภัย ทำหน้าที่แทนไอ้เพื่อนรักซึ่งมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวเพื่อศึกหมากกระดานเกียรติยศกันทั้งคู่ ทำให้เวลาส่วนใหญ่เจ้าหล่อนต้องมาคลุกคลีอยู่กับพวกลิงทโมนป่าเถื่อนประจำป้อม กระนั้นเธอก็ไม่ได้ถือตัว ซ้ำยังชอบเผยรอยยิ้มสดใส ทำให้สนิทสนมกลมเกลียวและกลายเป็นขวัญใจสมาชิกชั้นปีสามป้อมอัศวินด้วยเวลาเพียงไม่นาน...
สำหรับวิเวียน...นี่คือครั้งแรกที่เธอได้มีโอกาสพบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน และได้ใช้ชีวิตอยู่ในฐานะของวิเวียนนานีย่าที่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องคอยระมัดระวังเรื่องกิริยามารยาทความรู้สึก คำพูดการกระทำเหมือนครั้งที่อยู่ในฐานะจักรพรรดินี
มิตรสหายอันชวนให้อบอุ่น ไว้วางใจ...มิตรภาพที่อาจหาไม่ได้จากวงการกษัตริย์ ทว่ากลับมีอยู่มากมายในโรงเรียนพระราชา
และอาจจะเป็นชีวิตที่เธอเคยใฝ่ฝันหามาตลอดเวลา
แล้วความรู้สึกสะท้านบางอย่างก็ทำให้หญิงสาวต้องหลุบสายตาลง...แสงแดดยามกลางวันที่ส่องมายังลานนี้เจิดจ้าสมกับชื่อลานตะวัน ...แต่ก็ชวนให้สบายใจผ่อนคลาย
ครั้นเหลียวไปมองรอบๆ เห็นคนรายล้อมส่งเสียงหัวเราะสนุกสนาน เจ้าหญิงแห่งเวนอลก็เผลอยิ้มตาม
ดีใจจริงๆที่ได้มาที่นี่...
และเศร้าเล็กๆ...ที่ไม่อาจอยู่ได้นานๆ
ดวงหน้างดงามนั้นปรากฎเค้าโครงความเศร้าหมองที่ไม่มีใครได้ทันสังเกต ยกเว้นแต่เจ้าของฉายานักฆ่าซึ่งได้ลอบมองอยู่มาตั้งแต่ต้น...
อีกแล้ว...
สายตาแบบนั้น...
คิ้วเข้มของชายหนุ่มผมดำมุ่นขึ้นน้อยๆเมื่อเห็นอากัปกิริยาของหญิงสาวที่เจ้าตัวคงไม่ทันรู้ว่าการกระทำนั้นอยู่ในสายตาของใครบางคน
มันมีเรื่องอะไรให้คิดกันนักหนา
ยายเจ้าหญิงงี่เง่า
แล้วทำไมจะต้องเป็นเขาที่มาเห็นทุกที!...
คิลนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้
“เธอจะต้องทำหน้าที่เป็นองครักษ์และคอยดูแลองค์จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าตลอดเวลาที่พระองค์เสด็จมาประทับอยู่ที่เอดินเบิร์กนี้...” เสียงของโรเวนเอ่ยเรียบๆ แต่คนถูกมอบหมายหน้าที่กลับร้องค้านเสียงหลง
“ไม่เอา!”
“ฉันคิดว่าบอกเธอแล้วนะว่าไม่สามารถปฏิเสธหน้าที่นี้ได้” เสนาธิการฝ่ายซ้ายไม่สนใจคำค้านของอีกฝ่ายแต่กลับหันไปจิบน้ำชาเสียอย่างนั้น
“ทำไมยังต้องมีการอารักขาเป็นพิเศษให้กับองค์พรรดินีด้วย” คาโลยังคงเลือกใช้คำถามได้ฉลาดรอบคอบเหมือนเคย และก็เป็นประโยคที่ทำให้เพื่อนอีกสองคนเริ่มฉุกใจคิดได้ว่าเรื่องนี้นั้นดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว
“หากพวกเธอจะเคยได้ยินมาบ้าง...” เจ้าชายแห่งเจมิไนเปรย หลังจากหันนัยน์ตามาสบกับดวงตาสีฟ้าสวยที่คาดคั้นเอาคำตอบ “...เกี่ยวกับข่าวการลอบปลงพระชมน์ในงานวันฉลองพระชนมายุขององค์จักรพรรดินีแห่งเวนอล”
“ฮื่อ”
“อะไรนะ?!” ประโยคแรกกับประโยคที่สองนั้นดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน แล้วเมื่อทวนคำพูดของอีกคนได้แล้ว เฟรินก็หันขวับไปส่งสายตาขุ่นเคืองให้กับเจ้าชายแห่งคาโนวาลทันที
ก็รู้เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมมันไม่เห็นจะบอกกันมั่งเลย
“แล้ว...ผลเป็นไงมั่งฮะ” เจ้าหญิงหัวขโมยถามแล้วก็นึกอยากตบปากตัวเองที่โง่...ก็ถ้าแผนปลงพระชมน์สำเร็จ แล้วเธอจะยังเห็นวิเวียนยืนหัวโด่ทนโท่ตอนนี้ได้ยังไง...บ้า!
“คนร้ายในครั้งนั้นถูกจับได้และถูกประหารหมดแล้ว...แต่ว่าพวกแม่ทัพและเสนาอำมาตย์ของเวนอลก็ยังคงเกรงว่าคนร้ายอาจมีมากกว่าที่เห็นอยู่ อย่างที่พวกเธอรู้กันถึงเรื่องความขัดแย้งภายในของเวนอล”
“งั้นที่เค้ายอมให้วิเวียนมาเรียนที่เอดินเบิร์กเป็นการชั่วคราวนี่ก็แค่ข้ออ้างน่ะสิ ความจริงคือต้องการส่งให้มาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของมหาปราชญ์เลโมธีมากกว่าใช่มั้ยฮะ”
“เป็นความจริง” โรเวนพยักหน้ารับ ทำให้เฟรินถึงบางอ้อ...
มิน่าเล่า...ก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ๆถึงได้ใจกว้างปล่อยให้จักรพรรดินีของตัวเองได้ลาพักร้อนมาเรียนที่โรงเรียนพระราชา ที่แท้ก็แค่อพยพมาชั่วคราวจนกว่าจะจัดการเรื่องเสร็จว่างั้น
“แล้วทำไมพี่ถึงไม่มาคุ้มกันเองล่ะ” คำถามผ่ากลางปล้องจากทายาทตระกูลฟีลมัส ทำให้คนได้ยินถึงกับสะอึกไปตามๆกัน เว้นเพียงแต่เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยซึ่งยังมีสีหน้าเรียบเฉย อ่านยากเหมือนทุกที
แน่ล่ะ...ก็พี่แกน่ะเป็นถึงนักเรียนเกียรตินิยมในวิชาหน้ากากฟาโรห์นี่หว่า
“ฉันกับพวกผู้คุมกฎเองก็มีงานที่จะต้องรับผิดชอบอยู่มาก ในช่วงเตรียมตัวก่อนงานหมากกระดานเกียรติยศอย่างนี้” เจ้าชายแห่งเจมิไนยิ้มละไม แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้นักฆ่ารู้สึกอยากประกอบอาชีพของตัวเองขึ้นมาเป็นกำลัง “และนอกจากพวกฉัน คาโลและก็เฟรินแล้ว คนที่มีฝีมืออยู่ในระดับที่ฉันไว้วางใจให้รับหน้าที่นี้ก็เห็นจะมีแต่เธอล่ะ”
“...ทำ...ก็ได้”
หลงกลซะแล้ว...คิลมัส ฟีลมัส
ความคิดที่ดังสะท้อนไปมาอยู่ในใจของคนอื่นๆ ณ ที่นั้น ยกเว้นเพียงแต่เจ้าตัว
“งั้นก็ดีแล้ว...ฝากด้วยล่ะ” คำพูดที่ถือเป็นอันสิ้นสุดการสนทนาของเจ้าชายโรเวน ฮาเวิร์ด...
แล้วความคิดของนักฆ่าแห่งซาเรสจึงได้กลับมายังเหตุการณ์ในปัจจุบัน
นี่ก็ผ่านมาได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว...
ไม่เห็นจะมีอะไร
แล้วบังเอิญเรื่องที่คิลไม่ทันคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อคนที่ถูกจ้องมานานดูเหมือนจะรู้ตัวจึงได้เหลียวมองรอบๆเพื่อหาตัวคนจ้อง พลันนัยน์ตาสีมรกตก็หันมาสบเข้ากับนัยน์ตาสีม่วง คนถูกจับได้ว่าแอบมองชะงักไปชั่วครู่ขณะที่สมองพยายามคิดหาข้อแก้ตัว แต่แล้วก็ต้องโล่งใจเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไร เพียงแต่สงยิ้มมาให้
ทว่านั่นก็เป็นรอยยิ้มที่เรียกเลือดให้สูบฉีดบนดวงหน้าคมคายของนักฆ่าหนุ่มผู้ไร้ประสบการณ์ ทำให้เจ้าตัวต้องรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันควัน
และกิริยาตอบสนองนั้นก็ทำให้วิเวียนกระพริบตามองปริบๆอย่างสงสัย...
===============
“ช่วงนี้มีแต่งานตลอด ยุ่งชะมัด วุ่นวายเป็นที่สุด” เสียงบ่นที่ดังไม่ได้หยุดหย่อนจากปากของหญิงสาวผมสีน้ำตาลขณะที่เจ้าตัวขยับร่างบิดขี้เกียจ “เฮ้อ...เมื่อไหร่ถึงจะจบไปเร็วๆซะทีวะ ไอ้งานหมากกระดานเกียรติยศเนี่ย น่าเบื่อ!”
“งานนี้เป็นงานสำคัญมากที่จะจัดขึ้นในเอดินเบิร์ก ใครๆต่างก็ตั้งหน้าตั้งรอทั้งนั้นเฟริน” เสียงปรามเยือกเย็นจากเจ้าชายผู้สุขุมอยู่เสมอแห่งคาโนวาล ทำให้คนถูกปรามยักไหล่อย่างเซ็งๆแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจจะรักษามารยาท
“ได้เป็นไอ้คิลก็ดีหรอก งานก็ไม่ต้องทำแถมยังได้อยู่คุยเล่นกับวิเวียนตลอด ไม่ใช่ต้องมาหมกอยู่แต่ในห้องทั้งที่อากาศดีอย่างนี้เหมือนนายกับฉัน”
“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของงาน” คาโลยังคงชี้แจง แต่คราวนี้เหมือนว่าแม่ตัวดีจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก เฟรินจึงเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะแล้วพูดทั้งๆที่ไม่อาจกลั้นยิ้ม
“อ่ะฮ้า...นี่คาโล นายว่ามั้ยว่าช่วงนี้ไอ้เพื่อนรักของเรามันมีท่าทีแปลกๆอยู่นา”
“ยังไง?”
“อุวะ!” คำสบถนั้นเรียกนัยน์ตาสีฟ้าส่งสายตาเย็นชา แต่คนที่ว่ายังไม่คิดจะสนเพราะยังพล่ามต่อไป “นายก็ลองคิดดูสิ ปกติไอ้คิลมันไม่ชอบอยู่กับผู้หญิงจะตาย แต่คราวนี้คอยตามเจ้าหญิงแห่งเวนอลคนสวยต้อยๆ ยังกะหมาคอยคุ้มครองเจ้าของ”
“แต่หมอนั่นก็มาบ่นให้นายกับฉันฟังประจำไม่ใช่หรือไง?” คาโลถามกลับเมื่อนึกถึงท่าทางหงุดหงิดของเพื่อนนักฆ่าที่ต้องหาเรื่องมาบ่นว่าได้ทุกวันหลังแยกกับคนที่ต้องให้การคุ้มครองเสร็จ
‘วันนี้ยายเจ้าหญิงนี่ก็งี่เง่า บอกไม่ให้นั่งกลางแดดยังจะดื้อนั่ง แล้วก็มาบอกว่าเวียนหัว ประสาท!’
‘ไม่รู้จะห่วงอะไรนักหนา ข้าวปลาน่ะไม่ค่อยจะกิน ผอมกระหร่องอย่างนั้นยังไม่รู้ตัว!’
‘นี่คาโล พวกเจ้าหญิงเค้านิสัยอย่างนี้กันหมดทุกคนเลยเหรอวะ?’
แล้วความคิดก็ต้องถูกขัดด้วยเสียงแจ้วๆจากแม่ตัวดี
“ก็เห็นไหมล่ะ? ปกติหมอนี่มันพูดถึงผู้หญิงซะที่ไหน แต่นี่มีเรื่องมาบ่นได้ทุกวัน นายยังจะว่ามันปกติอีกเหรอฮึ! คาโล” เจ้าชายแห่งคาโนวาลเพียงแต่เลิกคิ้วนิดรับคำพูดนั้นแม้ว่าในใจจะคิดต่อ
‘...ไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงต้องชอบคิดอะไรให้วุ่นวายนักนะ ไม่รู้กันบ้างหรือไงว่ามันให้คนอื่นเค้าไม่สบายใจไปด้วย...’
คำพูดประโยคล่าสุดจากทายาทตระกูลนักฆ่าที่ตีหน้ายุ่งขณะเอ่ย ตัวเขาที่กำลังอ่านหนังสืออยู่จึงได้เงยหน้าขึ้นแล้วถาม
“นายหมายถึง...เรนอน?” เจ้าชายคาโลพยายามเดาคำตอบที่ตนคิดว่าน่าจะถูกที่สุด แต่กิริยาของอีกฝ่ายกลับทำหน้าเหวอนิดๆ
“หา? นายบ้ารึเปล่าคาโล เรนอนเกี่ยวอะไรด้วย นี่ฉันพูดถึงยายเจ้าหญิงงี่เง่าน้องสาวไอ้เฟรินมันต่างหาก!” ถึงปากจะว่าแต่นัยน์ตาสีม่วงนั้นกลับพราวระริกอย่างชอบใจ...
ไม่เชื่อที่เฟรินมันพูดเห็นทีจะไม่ได้เสียแล้ว...
“ฉันไม่สนใจ” คำตอบจากเจ้าชายผู้รักษามาดกลับเฉไฉไปอีกเรื่อง ทำให้แม่เจ้าหญิงจอมยุ่งที่ตั้งใจว่าจะทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักหน้ามุ่ยเพราะคนตรงหน้าไม่ยอมเล่นด้วย
“อะไรคาโล นี่นายไม่มีแก่ใจอยากจะช่วยส่งเสริมความรักของเพื่อนสักนิดเลยหรือไงฮึ!” เจ้าหญิงที่คำพูดคำจายังคงเป็นหัวขโมยนามเฟริน เดอเบอโรว์อยู่แหวใส่ “นายไม่อยากเห็นวิเวียนเค้าได้สมหวังกับคิลมันบ้างเหรอ”
“แต่...โรเวน...” อีกฝ่ายยังค้าน
“ก็ช่างหัวพี่แกไปสิ ...ดีซะอีก จะได้รู้เสียทีว่าผู้หญิงเราน่ะมันก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน” ทว่าประโยคนี้ขอเฟรินทำให้คิ้วเข้มของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใกล้ๆเลิกขึ้นนิด ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะปรากฎขึ้นบนใบหน้าติดจะสวย
“นายรู้ตัวแล้วว่าเป็นผู้หญิง?” คำถามกระเซ้าที่ถูกส่งมาทำให้ดวงหน้าของคนหลุดปากพูดขึ้นสีเรื่อ แล้วพยายามพูดบ่ายเบี่ยงเอาตัวรอดเป็นพัลวัน
“นายฟังผิดไปมั้งคาโล ฉันตั้งใจจะพูดว่าผู้หญิงที่ถูกคนที่รักเมินน่ะสักวันจะทนไม่ไหวหรอก”
“...แต่ฉันไม่เคยเมินนาย...”
“โกหก!” หลุดปากแล้วก็ต้องรีบตะครุบปากตัวเอง เมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ครู่เดียวเมื่อเจ้าชายแห่งคาโนวาลขยับเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีฟ้าสวยมีประกายบางอย่างที่ทำให้สาวเจ้าหน้าร้อนวูบ แล้วตั้งท่าจะผละหนี
“ฉะ...ฉันว่าจะไปดูไอ้คิลมันหน่อย เผื่อมันอยากจะได้คำปรึกษาเรื่องวิเวียน!” แต่ยังไม่ทันจะไปไหนมือใหญ่ของคาโลก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือบาง
“จะเป็นห่วงเรื่องคนอื่นไปทำไม...สนใจเรื่องของพวกเราดีกว่า” เสียงนุ่มๆแกมอ้อน ทำให้เจ้าหญิงหัวขโมยถึงกับใบ้กิน เพราะไม่รู้ว่าไอ้เจ้าชายน้ำแข็งนี่ไปเอาไม้นี้มาจากไหน ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมอง กระแสเว้าวอนนั่นทำให้อีกฝ่ายใจอ่อน สุดท้ายเฟรินเลยต้องนั่งปุลงไปที่เก้าอี้อีกหน
ดวงหน้าสวยของเจ้าชายแห่งคาโนวาลโน้มเข้ามาใกล้ ทว่านัยน์ตาสีฟ้ายังจับจ้องร่างบางตรงหน้าไม่วางตา เจ้าหญิงคนเก่งที่บัดนี้ความเก่งมันหายไปไหนหมดไม่รู้ไม่อาจถอนสายตาจากอีกฝ่าย ครั้นเมื่อลมหายใจอุ่นๆเลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลจึงค่อยๆปรือลงรับสัมผัสนั้น...
เป็นผู้หญิง...ก็ได้วะ
====================
เสียงหัวเราะพูดคุยอย่างสนุกสนานดังแว่วมาจากกลุ่มนักเรียนชั้นปีสามของป้อมอัศวิน กับภาพที่เรียกให้นักเรียนชั้นอื่นๆต้องหันไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะสาวน้อยเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มนั้นมีหน้าตาสะสวยงดงามชนิดที่เรียกว่าหาได้ยาก ซ้ำกิริยาท่าทาง รอยยิ้มยามหัวเราะก็สามารถละลายใจบรรดาหนุ่มๆทั้งหลายได้แล้ว แม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของสาวเจ้า
จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าแห่งเวนอล
ทว่าภาพที่เห็นกลับสร้างความหมั่นไส้ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่มเสียเหลือเกิน เพราะเป็นที่รู้กัน(อย่างลับๆเฉพาะนักเรียนหญิง) ว่าสมาชิกในกลุ่มนั้นล้วนแต่เป็นที่ชื่นชอบ(อย่างลับๆอีกนั่นแหละ)ของสาวๆต่างชั้นปีในป้อมอัศวิน
เริ่มด้วยเด็กหนุ่มดวงหน้าคมคายติดจะหวานนิด ผู้มีนัยน์ตาสีม่วงพราวระริก ท่าทางขี้เล่นแต่บางครั้งก็เย็นชาน่ากลัวอย่าง...คิลมัส ฟีลมัส
หรือจะเป็นเด็กหนุ่มร่าเริง อารมณ์ดีที่มักจะมีเรื่องให้เพื่อนๆได้เฮฮาอยู่เสมออย่าง...ครี้ด ธันเดอร์
หรือเด็กหนุ่มหน้าหวาน สุภาพอ่อนโยน อย่างที่ชวนให้สาวน้อยสาวใหญ่ได้เคลิบเคลิ้มอย่าง...ซีบิล สเวน
ไม่เว้นแม้แต่หนุ่มห้าว มาดนักบู้อย่าง ซอร์โร เจค หรือ เดธ
น่าเสียดายที่วันนี้ ไม่มีเจ้าชายน้ำแข็งมาดเท่ห์แห่งคาโนวาล และเด็กหนุ่มมาดสง่าเกินกว่าจะเป็นขอทานแห่งทริสทอร์รวมอยู่ด้วย ไม่งั้นสาวๆคงได้ปักหลักจองที่อยู่ ณ ลานตะวันนี้ไม่ต้องไปไหนกันทั้งวันแน่
“นั่นน่ะเหรอองค์จักรพรรดินีแห่งเวนอล คิดว่าได้อยู่ชั้นเดียวกันกับพวกคาโลแล้วได้ใจหรือไง” คำพูดที่บ่งบอกอารมณ์ไม่พอใจชัดจากหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นนักเรียนปีหกขณะที่เจ้าตัวกำดาบในมือแน่น...
“เห็นว่ารุ่นพี่โรเวนเป็นคนรับรองให้ด้วยนะ ก็อย่างว่าแหละพวกเขามีข่าวลือว่ามีอะไรๆกันอยู่นี่” เสียงกระซิบบอกจากเพื่อนสาวยิ่งทำให้เจ้าหล่อนกำดาบแน่นขึ้นจนเกือบจะหักมันแหลกคามืออยู่แล้ว
เป็นจักรพรรดินีแล้วไง...เมื่อมาอยู่ที่นี่ทุกคนก็มียศเท่าเทียมกันหมด...
เล่นหน้าเล่นตากับพวกคาโลยังไม่พอ ยังมายุ่มย่ามกับเจ้าชายคนสำคัญของป้อมอัศวินอีก!
มันน่านัก...!
(แรงริษยาของอิสตรีช่างน่ากลัว...)
“สวัสดีเพคะ ท่านจักรพรรดินีวิเวียนนานีย่า” เสียงหวานของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้น ทำให้สมาชิกในกลุ่มนั้นหยุดคุยกันแล้วหันไปมอง ก็เห็นรุ่นพี่ผู้หญิงปีหกสามสี่คนยืนอยู่ โดยที่พวกเขาเดากันว่าเจ้าของประโยคน่าจะเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงผมสีดำประบ่าซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุด
“สวัสดีค่ะ” วิเวียนทักตอบ รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่าบุคคลตรงหน้าไม่ชอบเธอเท่าไหร่นัก
“แม้จะเพิ่งเข้ามาเรียนแต่ฝ่าบาทคงจะรู้มาบ้างว่าป้อมอัศวินนิยมการประลองแลกเปลี่ยนฝีมือ” เจ้าหล่อนว่าต่อ
“ค่ะ” เจ้าหญิงคนงามรับ ขณะที่พวกคิลเริ่มรู้สึกถึงรังสีไม่น่าไว้ใจจากอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทคงไม่ปฏิเสธหากหม่อมฉันอยากจะขอประลองดาบกับฝ่าบาทสักครั้ง”
“เฮ้!...” คิลทำท่าจะค้านทว่าวิเวียนก็ยกมือขึ้นมาห้ามไว้ แล้วจึงแย้มสรวลนิดๆก่อนจะกล่าวออกมา
“ได้สิคะ” ว่าแล้วร่างเพรียวระหงก็ลุกขึ้นยืน เพียงแค่นั้นความสง่างามที่ติดตัวในฐานะจักรพรรดินีผู้มากด้วยอำนาจก็ฉายออกมาชัด หญิงสาวผู้ยื่นคำท้าแทนที่จะชะงักกลับยิ่งทวีความหมั่นไส้ขึ้น
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีดาบที่จะใช้แล้วหรือยังเพคะ...หากไม่รังเกียจหม่อมฉันจะให้ยืมดาบไหม?”
“เอ่อ...” วิเวียนชะงักไปนิดด้วยเพราะเพิ่งรู้ว่าตัวเองไม่มีดาบในมือ...ส่วนดาบที่มีในครอบครองกลับเป็นดาบที่ไม่อยากเรียกออกมาใช้ นักฆ่าแห่งซาเรสที่สังเกตเห็นความกังวลในนัยน์ตาสีมรกตนั้นจึงได้หันไปกระซิบกับเพื่อนข้างกาย
“เจค ขอยืมดาบหน่อย เอาที่มันน้ำหนักเบาๆนะ”
“เอาไปทำไมหรือคิล?”
“บอกให้เอามาก็เอามือเหอะน่า...ว่าแต่ดาบนายชื่ออะไรวะ?” แม้จะมีสีหน้างุนงนแต่ว่าเจคก็ยังบอกชื่อดาบของตนให้กับเพื่อนไป
“ว่ายังไงเพคะ...หากฝ่าบาทไม่มีดาบ หม่อมฉันจะให้ยืมก็ได้”
“ใครว่าไม่มี...วิเวียน เรียกดาบของเธอออกมาสิ!” เสียงตะโกนบอกดังมาจากทายาทตระกูลฟีลมัส คำแนะนำที่ร่างบางหันไปมองแว่บหนึ่งแล้วจึงหันกลับมาพร้อมหลุบสายตาลงอย่างหวั่นไหว
ดาบนั่นจะให้หญิงใช้หรือ?...คิลก็รู้นี่นาว่าหญิงรู้สึกยังไง
“ไม่ใช่อันนั้นยายงี่เง่า! ดาบอีกอันต่างหาก ซื่อบื้อ!” คำว่าคราวนี้ทำให้คนถูกว่าหันขวับไปมองอย่างงุนงง...ดาบอีกเล่ม? เธอมีซะที่ไหน
“เรียกออกมาซะไอ้ดาบ‘ตัดวารี’นั่นน่ะ” นัยน์ตาสีม่วงพยายามสื่อความหมายบางอย่าง...ครั้นเมื่อตริตรองดูได้แล้ว วิเวียนก็ถึงบางอ้อ
เจ้าหญิงคนงามแห่งเวนอลยิ้มรับก่อนที่จะยื่นมือออกไปข้างหน้า “ดาบตัดวารี” สิ้นคำดาบเรียวยาวก็ปรากฎขึ้นในมือ คมดาบยามนั้นมีสีฟ้าใสราวกับสร้างขึ้นจากน้ำสมชื่อ
“ดาบงามดีเพคะ” อีกฝ่ายเอ่ยชมก่อนที่จะจัดการเรียกดาบของตัวเองออกมาบ้าง “ดาบเพลิงอัคคี”
ฉับพลันดาบใหญ่ที่คมดาบหยักเป็นริ้วราวเปลวไฟก็ปรากฎในมือ ดาบในตำนานทั้งสองที่มีพลังคนละขั้วโดยสิ้นเชิง
“คิดว่าบังเอิญไหมเพคะ...ดาบของฝ่าบาทกับหม่อมฉัน” หญิงสาวกล่าวเสียงนุ่มนวลหากแต่กลับรู้สึกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงนั้น
“คงจะบังเอิญจริง” วิเวียนตอบรับ
บังเอิญจริงๆนั่นแหละ...ก็ดาบที่ถืออยู่นี่มันใช่ของเธอเสียที่ไหนกัน
แต่ดาบที่คิลให้มานี่ก็มีน้ำหนักพอๆกับปักษาจันทราเลย...คงจะใช้ถนัดมือ
คิดแล้วก็เหลือบมองไปยังคนเสนอดาบมาให้
หรือว่าเขาจะคิดถึงเรื่องนี้ด้วย...?
“เพื่อไม่ให้เสียเวลา เริ่มกันเลยดีไหมเพคะ?”
“ค่ะ” สิ้นคำขานรับจากเจ้าหญิงแห่งเวนอล ร่างเพรียวของหญิงสาวฝ่ายตรงข้ามก็พลันหายไปจากการรับรู้ ก่อนจะปรากฎกายขึ้นอีกครั้งด้านหลังพร้อมๆกับคมดาบที่วาดลงมา
เคร้ง!
เสียงดาบเพลิงอัคคีปะทะเข้ากับดาบตัดวารีที่วิเวียนยกขึ้นมากันได้อย่างหวุดหวิด
สะเก็ดแสงที่กระเด็นออกมาจากการปะทะนั้นมีอยู่สองสี...ครั้นสะเก็ดแสงสีฟ้ากระเด็นไปสัมผัสเข้ากับพื้นหิน ที่บริเวณนั้นก็ถูกแผ่นน้ำแข็งบางเข้าปกคลุม
ครั้นสะเก็ดแสงสีแดงกระเด็นไปสัมผัสกับพื้นหินอีกฝั่ง ก็บังเกิดเป็นลูกไฟเล็กๆวูบขึ้นก่อนจะหายไป ทิ้งรอยไหม้จุดหนึ่งเอาไว้
เวลานี้การประลองของคู่อื่นๆต่างชะงักลงหมด ด้วยเพราะตรงกลางลานตะวันตอนนี้มีการประลองที่น่าสนใจกว่า
การประลองระหว่างสองสาวงาม!
คนหนึ่งนั้นคือ เซเรเนีย ทิอานีส ฉายา เดอะ วอริเออร์ ออฟ เจมิไน หญิงสาวที่มีฝีมือดาบอยู่ระดับต้นๆในบรรดานักเรียนชั้นปีหก ดาบเพลิงอัคคีของเธอนั้นนอกจากรุนแรงหนักหน่วงแล้วยังว่องไวปราดเปรียว ยากจะรับมือ
ส่วนอีกคนคือนักเรียนเข้ามาใหม่ ที่แม้เสนาธิการฝ่ายซ้ายและสี่ผู้คุมกฎจะพยายามปิดบังยังไงทุกคนก็รู้ว่าเจ้าหล่อนคือจักรพรรดินีแห่งเวนอล...วิเวียนนานีย่าที่เสด็จมาพำนักในโรงเรียนพระราชาระหว่างทางเวนอลสืบหาคนร้ายคดีลอบปลงพระชนม์จนเสร็จสิ้น
ฝีมือดาบนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัดพอๆกับที่ไม่มีใครหน้าไหนเคยได้ยินว่าจักรพรรดินีคนสวยแห่งเวนอลเคยเรียนการจับดาบ
ดังนั้นการประลองในครั้งนี้ผลก็ออกมาตั้งแต่พระองค์รับคำท้าจากเซเรเนียแล้ว
วิเวียนนานีย่าไม่มีทางชนะ!
“ฝ่าบาทคงไม่ค่อยได้ฝึกดาบเท่าใดนักใช่ไหมเพคะ” เสียงหวานนุ่มเอ่ยอย่างเยาะเย้ยขณะไล่รุกอีกฝ่ายให้จนมุมด้วยการวาดดาบอันรุนแรงหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งวิเวียนทำได้เพียงแค่ยกดาบขึ้นกันอย่างสุดกำลัง
“น่าเสียดายที่เราไม่ค่อยมีเวลา ภารกิจของจักรพรรดินีนั้นคงยุ่งมากกว่านักเรียนในเอดินเบิร์ก” เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าไม่คิดจะปราณี เธอจึงได้เลือกหยิบหน้ากากฟาโรห์ขึ้นมาสวมเสีย
“คงเป็นโชคดีของหม่อมฉัน เพราะขืนมัวแต่ยุ่งอยู่กับราชกิจที่ว่า...คงไม่มีเวลาให้ใกล้ชิดกับคนที่รัก” เซเรเนียเองก็ตอบกลับมาได้เจ็บแสบไม่แพ้กัน
“ภาระหน้าที่ต่อประเทศชาติสำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตัว” วิเวียนเพียงเอ่ยขึ้นเรียบๆแม้ในใจจะบีบรัดด้วยความปวดร้าว คำกล่าวที่ส่งไปนั้นไม่เพียงแต่จะบอกกับอีกฝ่าย หากยังตั้งใจที่จะย้ำเตือนตัวเองให้รับรู้ด้วย
“นั่นสิเพคะ เพราะอย่างนั้นหม่อมฉันจึงขอเลือกเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาในเอดินเบิร์กนี่ดีกว่า” หญิงสาวว่าพร้อมกับวาดวงดาบเข้าปะทะรุนแรง เสียงดาบเสียดสีดังสะท้อน คมดาบของเซเรเนียไม่อาจเข้าถึงตัววิเวียนได้ ทว่าประโยคต่อมาจากเจ้าหล่อนนั้นดุจดั่งเข็มแหลมพุ่งเข้าทิ่มแทงจิตใจ “หากเลือกได้ ฝ่าบาทจะเลือกเป็นผู้หญิงธรรมดาที่สามารถแสดงความรักได้ตรงตามหัวใจ หรือยังอยากจะเลือกเป็นผู้กุมอำนาจเหนือใครในเวนอลเล่าเพคะ”
“เวลามิอาจหวนคืน” องค์จักรพรรดินีกล่าวด้วยความสงบ
“เพคะ...เวลาไม่อาจหวนคืน ใจคนที่เปลี่ยนไปฝ่าบาทก็รู้ ดังนั้นหม่อมฉันจึงได้แต่หวังว่าฝ่าบาทจะทรงเข้าใจและทำใจยอมรับความเป็นจริงได้เสียที” หญิงสาวยังคงเอ่ยวาจาทำร้ายจิตใจไม่หยุดหย่อน “...ความเป็นจริงที่ว่าฝ่าบาทกับเจ้าชายแห่งเจมิไน ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจครองครู่อยู่ร่วมกันได้...”
เคร้ง!!
เสียงดาบปะทะกันเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเพลิงอัคคีตวัดตัดวารีออกจากมือของวิเวียนนานีย่าได้อย่างง่ายดาย เพราะผู้ถือดาบนั้นกำลังช็อคด้วยวจีที่เพิ่งได้สดับฟัง แรงปะทะนั้นทำให้ตัดวารีกระเด็นไปปักอยู่ที่พื้น เมื่อสบโอกาสว่าคนตรงหน้าไม่สามารถป้องกันตัว เซเรเนียก็ดีดตัวจากพื้นพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูงหวังจะฝากรอยแผลไว้บนดวงหน้าสวยๆนั้นไว้ซักรอย
เพลิงอัคคีวาดวงดาบขึ้นแล้วจึงตวัดลงฉับ!
เคร้ง!!
เสียงดาบปะทะดาบ นัยน์ตาของผู้ถือดาบธาตุไฟเบิ่งกว้างด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าตนเองจะพลาด เมื่อบัดนี้ตัดวารีถูกยกขึ้นมากันอีกครั้ง ทว่าไม่ใช่ด้วยฝีมือของจักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าซึ่งกำลังอึ้งกับภาพที่เห็น แต่เป็นผลมาจากฝีมือของชายหนุ่มที่พุ่งเข้ามาทำหน้าที่อารักษ์ขาได้ทันท่วงที
นักฆ่าหนุ่มแห่งซาเรส...คิลมัส ฟีลมัส!
================================
เอาล่ะ...เรื่อยๆกันมาหลายตอนแล้ว ขอคั่นด้วยฉากบู๊(แน่ใจนะว่าบู๊?) กันบ้าง...อุๆ
แถมแฟนเซอร์วิสให้กับแม่ยกคู่ คาโล-เฟริน อีกต่างหาก เอิ๊ก...
ตอนต่อไปก็เข้าช่วงเนื้อเรื่องหลักแล้วนะฮะ...(นี่แกเขียนมาตั้งสามตอนยังไม่เข้าเรื่องหลักอีกเหรอ? )
Credit : ขอบคุณท่านนิ ที่จุดประกายไอเดียปิ๊งๆ เรื่องแฟนคลับของพวกคิล จากฟิค The protector of eden นะฮะ
อ่า...ลืมไปฮะ ที่ว่าตอนแรกกำหนดให้เวลาอยู่ในช่วงปีสี่...แล้วข้าน้อยเพิ่งมานึกได้ว่า โรเวน อาเธอร์...และอีกหลายคน นี่เค้าอยู่ปีไหนกันมั่งเนี่ย
ดังนั้นตอนนี้จึงแก้ให้ไปอยู่ปีสามแล้วล่ะฮะ...ส่วนตอนก่อนๆหน้านี้ จะตามไปแก้ไขโดยเร็วฮะ
ใครรู้ข้อมูลบอกข้าน้อยบ้างนะงับ...คารวะ
ความคิดเห็น