คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The Dawn, the Twilight [Fic Baramos] - บทที่ 3
บทที่ 3: ภารกิจจำยอม [This is called “A little part of chance”]
“หลีกๆๆๆ! หลีกไปเลย!!”
“อ้าว คิลนายกลับมาแล้วเหรอวะ แล้วนั่นใคร...”
“ไอ้ครี้ด บอกให้หลีกไป!!”
“หลีกไม่ได้ นายพาใครมา?”
“เรื่องของฉัน บอกให้หลีกก็หลีกดิวะ!!” นักฆ่าหนุ่มเริ่มไม่สบอารมณ์ที่คนขวางไม่ยอมออกไปจากทางเสียที ประโยคหลังจึงแฝงกระแสคุกคามข่มขู่ “จะหลีกมั้ย ครี้ด...ถ้าไม่...แกตาย...”
“เดี๋ยวก่อนคิล ฟีสมัส...นั่นนายจะพาผู้หญิงคนนั้นไปไหน!” เสียงห้าวดังขึ้นจากด้านหลัง คิลที่รู้ทันทีว่าใครคือเจ้าของประโยคนั้นข่มตาลงพลางกัดฟันกรอด...
ให้ตาย...โผล่กันมาได้ไม่หยุดหย่อน
คนยิ่งรีบๆอยู่!
“ฉันไม่มีเวลามาคุยกับเธอ มาทิลด้า” นักฆ่าแห่งซาเรสตัดรอน ก่อนจะหันกลับไปหาคู่กรณีคนเก่า “หลีกโว้ย!” แต่นักรบตาเดียวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมถอยฉากออกไปง่ายๆ เมื่อเจ้าหญิงแห่งอะเมซอนตะโกนสั่ง
“จับหมอนั่นไว้ก่อน จะให้พาผู้หญิงเข้ามาในป้อมไม่ได้เป็นอันขาด!” สิ้นคำครี้ดก็พุ่งเข้ามาหมายจะจับตัวคนกำลังทำผิดกฎเอาไว้ หากทว่าทายาทตระกูลนักฆ่าก็ได้ใช้วิชาเฉพาะอาชีพเบี่ยงตัวหลบ พลิ้วผ่านไป แค่ชั่วพริบตาเดียว ร่างสมส่วนก็ไปโผล่อยู่ด้านหลังนักรบหนุ่มเสียแล้ว
“ว้อย! เห็นมั้ยเพราะพวกเธอ เลยยิ่งเสียเวลาเข้าไปใหญ่” คิลบ่นอย่างเซ็งจัดเมื่อหันกลับมาทางเพื่อนๆ แล้วสายตาที่บังเอิญหันไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น ใจหนึ่งก็พลันอยากจะทิ้งร่างในอ้อมแขนลงพื้นเสียเดี๋ยวนั้น
เรนอน...
เสียงเรียกชื่อเจ้าหญิงคนสวยแห่งคาโนวาลดังอยู่เพียงแค่ในใจ เมื่อชายหนุ่มจำต้องกลับมาสนใจเรื่องราวตรงหน้า คิลกัดฟันกรอดแล้วตัดสินใจรีบไปยังจุดหมาย...ก่อนที่อะไรๆจะสายเกิน
==============================
ปัง!!
เสียงประตูถูกกระแทกให้เปิดออกดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้คนสองคนที่อยู่ในห้องก่อนแล้วสะดุ้งโหยง รีบแยกจากกันแทบไม่ทัน ครั้นเมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าใครคือคนที่เปิดพรวดเข้ามา นัยน์ตาสีน้ำตาลก็เบิกกว้าง ขณะที่นัยน์ตาสีฟ้าหรี่ลง
“ทำไมกลับมาไวจังวะ?” หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนด้วยใบหน้าที่ยังแดงแปร๊ดเป็นลูกตำลึง ครั้นเมื่อสายตาเลื่อนลงไปยังร่างบางในอ้อมแขนของเพื่อนนักฆ่า เฟรินก็ร้องเสียงหลง “งามหน้าแล้วไหมล่ะไอ้คิล ไอ้เพื่อนทรยศ! อุตส่าห์ไว้ใจให้แกเป็นคนคอยคุ้มกัน นี่กลายเป็นว่าแกเป็นคนลักหลับวิเวียนซะเองเหรอวะ?!”
ไม่มีเสียงใดๆจากคนถูกตั้งข้อหา แต่นัยน์ตาสีม่วงนั้นเรืองแสงวาบอย่างบอกว่า ‘ถ้าพูดอะไรไม่เข้าหูอีก...แกได้เป็นคนถูกทดสอบวิชาประจำตระกูลฉันแน่’ คิลรีบเดินเร็วๆมาที่เตียงของตัวเองที่ว่างอยู่แล้วบรรจงวางร่างของจักรพรรดินีแห่งเวนอลลงไป
“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงนี้เป็นของคาโลเพราะเจ้าตัวยุ่งนั้นถูกเจ้าชายแห่งคาโนวาลใช้เวทมนตร์ปิดปากไว้เรียบร้อยก่อนที่จะมาคอยชักใบให้เรือเสีย
“อยู่ดีๆก็สลบไป แถมยังมาสลบตรงหน้าปราสาทเอดินเบิร์กอีก” คิลตอบ คนฟังเพียงแต่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วรีบเดินเข้ามาตรวจดูอาการ ขณะที่นักฆ่าหลบไปดูอยู่ข้างหลังกับแม่เจ้าหญิงหัวขโมย
“แกนี่ยังไงวะ ก็รู้อยู่แล้วว่าวิเวียนเขาป่วย ทำไมไม่ดูแลดีๆ ปล่อยให้เดินทางข้ามวันข้ามคืนไม่พักได้ยังไง” เมื่อพูดได้ เฟรินก็เริ่มต่อว่าคนทำหน้าที่องครักษ์บกพร่องทันที
“ฉันบอกให้พักแล้ว แต่ยายนั่นไม่ยอมเอง จะมาว่าฉันได้ไง” คนถูกว่าเถียงกลับ
“เอ้า! เรื่องคอยบอกให้วิเวียนพักก็เป็นหน้าที่นาย นายปล่อยปละละเลยไปอย่างนี้ นายก็ผิดเต็มๆแล้วล่ะวะไอ้คิล”
“หนอย...ไอ้!...”
“เป็นยังไงมั่งคาโล?” คนเริ่มบ่นหันไปถามบุคคลที่สามเอาเสียดื้อๆ ปล่อยให้คู่กรณีพ่นลมหายใจฮึดฮัดอยู่คนเดียวเพราะเถียงสู้มันไม่ได้
“จักรพรรดินีวิเวียนนานีน่า...จู่ๆก็เป็นลมหรือ? คิล” เสียงเย็นๆจากคาโลถามกลับมาแทน
“ฮื่อ” คิลตอบ “ยืนอยู่ดีๆก็ล้มลงไปเลย...งี่เง่า”
“เป็นลมแดดหรือเปล่าฮึ?” เสียงเจ้าตัวยุ่งเสนอ นัยน์ตาสีฟ้าปรายมาเหมือนจะบอกว่างี่เง่า เจ้าตัวที่เหมือนรู้ว่าถูกว่าก็รีบพูดต่อ “อ้าว เอดินเบิร์กแดดร้อนเปรี้ยงยังงี้ คนเป็นลมแดดมันแปลกตรงไหน”
“ก็อาจเป็นได้นะเฟริน...ถ้าเกวียนของเวนอลเป็นเกวียนแบบเปิดประทุน” เสียงเรื่อยๆดังมาจากทายาทตระกูลฟีลมัส ทำให้คนช่างเสนอสะดุ้งเฮือก ยังไม่ทันจะต่อว่าต่อขาน เสียงจากร่างบางบนเตียงก็ดังขึ้นแม้จะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“...คิล?” ทันทีที่ได้ยิน เจ้าของชื่อก็ถลาเข้าไปหาคนเรียกด้วยความเร็วชนิดที่เฟรินยังต้องประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“อยู่นี่” นักฆ่าแห่งซาเรสขานรับขณะที่ยืนอยู่ข้างเตียง วิเวียนกระพริบตาช้าๆหลายครั้งราวกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน และเมื่อความคิดสิ้นสุดลง ร่างบางก็พยายามยันตัวขึ้นมานั่ง
“เดี๋ยวฮะ อย่าเพิ่งลุกเลยวิเวียน” เฟรินเข้ามาประคองร่างจักรพรรดินีแห่งเวนอลไว้แทนคนที่ยืนใกล้ๆแต่ก็ไม่ยอมช่วย นัยน์ตาสีเขียวหันมามองคนที่ช่วยประคองตัวเองอยู่แล้วขนงเรียวก็เลิกขึ้น
“พี่หญิง?...” วิเวียนเอ่ย แล้วจึงหันไปมองสภาพรอบๆ “เจ้าชายคาโล?...” แม้จะยังงุนงนแต่เธอก็ลำดับเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง “นี่หญิงมาถึงเอดินเบิร์กแล้วสินะคะ”
“ใช่สิ พอเธอลงมายืนอยู่หน้าปราสาทเท่านั้นแหละก็เป็นลมเป็นแล้งไปทันทีเลย” เสียงของผู้ที่อุ้มร่างบนเตียงมาออกแววเซ็ง ทว่าก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดขึ้นมา
“...ขอโทษที่ทำให้ต้องลำบากนะคะ...หญิงไม่ได้ตั้งใจ” เด็กสาวหลุบตาลงต่ำขณะเอ่ย กิริยาที่ทำให้คนบ่นเมื่อครู่รู้สึกอยากจะถอนคำพูดตัวเองขึ้นมารำไร
ผู้หญิงนี่อย่างนี้ทุกที...
“ท่านไม่น่ารีบเดินทางติดต่อกันอย่างนี้ ทั้งที่เพิ่งจะหายจากการประชวรมาแท้ๆ” เสียงของเฟรินว่า
“...ขอโทษค่ะ หญิง...แค่อยากถึงให้เร็วขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี” คำกล่าวนั้นแผ่วเบา
“โถ่...วิเวียน จะรีบทำไมล่ะฮะ เอดินเบิร์กไม่ได้จะหนีท่านไปไหนซะหน่อย”
“...ค่ะ...” องค์จักรพรรดินีแห่งเวนอลขานรับ หากทว่าสายตาที่ทอดมองนั้นดูสลดลงยิ่งกว่าเดิม ขณะความคิดต่อนั้นดังอยู่ในพระทัย
เอดินเบิร์กไม่ได้หนี...แต่เวลาที่มีต่างหากที่น้อยนิด
“เฟริน...คิล” เสียงเย็นๆจากเจ้าชายคาโลดังขึ้น “พวกนายสองคนออกไปก่อน”
“ได้ไง...ขืนพวกฉันออกไปข้างนอกหมด แล้วนายเกิดคิดไม่ซื่อทำมิดีมิร้ายน้องสาวฉันก็แย่สิ” แม่ตัวดียังคงล้อเล่นไม่เลือกเวลา สายตาคมกริบจากเจ้าชายแห่งคาโนวาลปราดมองเข้าให้ เฟรินจึงได้ยกมือยอมแพ้แล้วพูดต่อ “ก็ได้ๆ แค่ออกไปก็พอใช่ไหม” แล้วก็หันมาพูดกับวิเวียน “วิเวียน...พวกผมจะรออยู่ข้างนอกระหว่างที่ไอ้คาโลมันตรวจอาการให้ท่านนะฮะ ...ไม่ต้องห่วงหรอกฮะ เห็นอย่างนี้แต่ฝีมือเรื่องเวทรักษามันเก่งนะ ตอนที่ไปเดมอสคราวก่อนท่านก็พอจะรู้มาบ้างแล้วใช่ไหม...งั้นพวกผมไปก่อนนะฮะ” ว่าแล้วก็ลากเอานักฆ่าขี้หงุดหงิดออกไปกับตนด้วย เวลานี้ในห้องจึงเหลือแค่คาโลกับวิเวียนตามลำพัง
นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองร่างบางที่นั่งอยู่บนเตียง สงบนิ่ง...หากแต่เป็นสายตาที่เหมือนจะกำลังคาดคั้นให้คนทำความผิดต้องยอมสารภาพอย่างช่วยไม่ได้... คนที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ตอบก็ต้องลอบถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ
“...เจ้าชายคาโล หญิงมีบางอย่างที่อยากจะให้ท่านได้เห็น...”
=================================
ภายในห้องนั่งเล่นรวมของป้อมอัศวินเวลานี้บรรดานักเรียนชั้นปีสี่ยกชั้นกำลังนั่งล้อมวงสนทนากันอย่างสนุกปาก และหัวข้อสนทนาในครั้งนี้จะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เรื่อง ‘ผู้หญิงของนักฆ่าแห่งซาเรส’
“ไม่อยากจะเชื่อว่าหมอนั่นจะมีผู้หญิงเก็บเอาไว้” เสียงของเดทพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อข่าวลือที่ได้ยินสักเท่าไหร่ โดยพาะเมื่อมันออกมาจากปากของนักรบหนุ่ม
“หมอนั่นเห็นเงียบๆแต่ความจริงก็ร้ายไม่ใช่เล่น” น้ำเสียงปนชื่นชมเป็นของซอร์โร วันวิล
“แต่จริงๆเหรอครับ ที่ว่า” ซีบิล หนุ่มน้อยคนสุภาพน่ารักประจำป้อมถามเสียงนุ่ม
“จริงสิ ก็ฉันเนี่ยเห็นกับตาเลย...แถมไม่ใช่ธรรมดานะ เห็นแว่บเดียวก็จริง แต่ฮู้ย...สวยสุดยอด” ชายหนุ่มผู้อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันหนักแน่น เรียกเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกระลอก ขณะที่ขอทานแห่งทริสทอร์นั่งจิบชาฟังอยู่เงียบๆไม่ออกความเห็น แม้จะเดาเรื่องราวได้หมดแล้วว่าใครคือ ‘ผู้หญิง’ ที่เจ้าหนุ่มนักฆ่าพามาในป้อม
“จริงเหรอวะครี้ด?”
“อยากจะเห็นนักเชียวว่าสวยสักแค่ไหนกัน”
“อย่างน้อยก็สวยกว่าใครแถวๆนี้ก็แล้วกัน” ขณะที่พูดชายหนุ่มก็เหล่ไปยังแองเจลีน่าหนึ่งในสามสาวชั้นปีสี่ของป้อมอัศวินที่ยืนฟังอยู่ไม่ห่างนัก สาวเจ้าย่นจมูกเมื่อรู้ว่าถูกนินทาก่อนที่อาวุธคู่กายจะแผลงฤทธิ์เข้าเป้าคนปากหาเรื่องไปสองสามที
“เธออยู่ในเหตุการณ์ด้วยใช่ไหม แองเจลีน่า” เดทถาม แม่มดสาวแห่งวิทช์หันมามองก่อนพยักหน้ารับ
“สวยมากมั้ย?!” เสียงเหล่าลิงทโมนในวงสนทนาตะโกนถามแทบจะพร้อมกันจนสาวน้อยผมทองเกือบยกมือขึ้นปิดหูไม่ทัน
“มันอยู่ไกลฉันเลยเห็นไม่ถนัด” คำตอบนั้นทำเอาเหล่าหนุ่มๆพากันถอนหายใจ ก่อนจะกลับมากระตือรือร้นด้วยประโยคต่อมา “แต่ก็คิดว่าท่าทางจะสวยจริงๆอย่างที่พูด...หรือเธอว่าไงมาทิลด้า?”
“หือ?” เจ้าหญิงแห่งดินแดนนักรบชะงักเมื่อเพื่อนสาวโยนปัญหามาให้ เธอสบมองนัยน์ตากระหายใคร่รู้ของพวกผู้ชายร่วมชั้นปีแล้วก็นึกอ่อนใจ...ที่อย่างนี้ล่ะสนใจกันนักนะ “อืม ...สวย...สวยแต่คุ้นๆหน้ายังไงไม่รู้”
“หน้าคุ้นๆ?” เสียงทวนคำมาจากนิกส์ นักดนตรีแห่งเอเธนส์ “เธอรู้จักผู้หญิงของคิล ฟีลมัสด้วยเหรอ มาทิลด้า?”
“...คิดว่าไม่น่าจะรู้จักนะ แต่รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน...” เจ้าหญิงแห่งอะเมซอนยกมือขึ้นแตะริมฝีปากครุ่นคิด “...ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น...ไม่จริงน่า!”
“อะไรๆ?!” เสียงลิงทโมนร่วมชั้นปีร้องถามกันเซ็งแซ่ มาทิลด้าหันมามองพวกเพื่อนๆด้วยสีหน้าที่บอกว่าเจ้าตัวเองยังไม่ค่อยจะมั่นใจนัก แต่เธอก็ยังเอ่ยตอบ
“...งานประชุมกษัตริย์ยี่สิบสี่ประเทศ...”
ความจำดีไม่ใช่เล่น...
ความคิดที่ดังอยู่ในใจบุรุษผู้หนึ่งซึ่งแม้ภายนอกจะดูเหมือนว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก แต่ความจริงแล้วเจ้าตัวกลับเงี่ยหูฟังทุกประโยค
“งั้นก็แสดงว่าเป็นเจ้าหญิงน่ะสิ?!” เสียงของครี้ดดังขึ้นก่อนเมื่อได้รับข้อมูลจากเพื่อนสาว
“เป็นคนรู้จักของเฟรินกับคาโลหรือเปล่าครับ?” ซีบิลเสนอความเห็น
“ไม่รู้สินะ...แล้วนายล่ะ รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างหรือเปล่าหือ? โร เซวาเรส” ประโยคสุดท้ายของเจ้าหญิงแห่งแดนนักรบทำเอาคนซึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่ไหวตัว เมื่อสายตานับสิบของพวกเพื่อนๆพากันหันมามองเป็นแถว
ขอทานมากเล่ห์แห่งทริสทอร์วางถ้วยชาลงแล้วจึงหันหน้ามาสบด้วยรอยยิ้มแบบจริงใจ
“ทำไมเธอถึงคิดว่าขอทานอย่างฉันจะไปรู้จักมักจี่กับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ล่ะ” คำตอบนั้นยังเฉไฉ ทว่าหญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีมรกตเฉกเช่นเดียวกับผู้พูดก็อยู่ด้วยมานานจนพอจะรู้ว่าคนตรงหน้าต้องรู้เรื่องแน่ๆ
“อย่ามาเฉไฉนะโร ฉันรู้น่าว่านายรู้ ก็นายน่ะเป็นหนึ่งในคณะเดินทางไปกับพวกเฟรินนี่นา”
“ถึงเดินทางไปด้วยกันแต่ก็ไม่เห็นว่าพวกนั้นจะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องบอกฉันนี่นา” ชายหนุ่มยังเล่นลิ้น กิริยาที่ทำให้เจ้าหญิงแห่งอะเมซอนหรี่ตามองด้วยความหงุดหงิด แต่ยังไม่ทันจะงัดปากมันให้พูด เสียงพูดคุยของใครบางคนก็ดังแว่วมาไกลๆ สายตาของทุกคนจึงได้หันขวับไปมองพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
เพราะรู้ดีว่าบุคคลสองคนที่กำลังจะเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นนี่แหละคือคนที่จะตอบปัญหาทั้งหมดให้กระจ่างได้!
==========================
แย่...
“สรุปแล้วเรื่องราวมันเป็นอย่างไงกันแน่วะเฟริน?”
ไอ้พวกงี่เง่า...
“สุดยอดไปเลย พาผู้หญิงเข้ามาในป้อมกันกลางวันแสกๆ”
คิดกันเข้าไปได้...
“แถมยังสวยมากด้วยใช่มั้ยวะ?!”
เข้าใจผิดกันไปหมด...
“ฉันละซูฮกให้แกจริงๆเลยคิล กล้าพาผู้หญิงของตัวเองมาในโรงเรียนอย่างนี้”
“ใครเป็นผู้หญิงของฉัน? พวกแกเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว!!” เสียงตะโกนที่หาได้ยากจากนักฆ่าหนุ่มแห่งซาเรสที่บัดนี้ไม่อาจเก็บความหงุดหงิดรำคาญใจเอาไว้ได้ไหว เมื่อพวกเพื่อนๆร่วมป้อมมันกำลังเอาเรื่องไม่มีมูลไปนินทากันต่างๆนาๆ
“ไม่ใช่เหรอวะ?” เสียงครี้ดยังทวนถาม...นัยน์ตาสีม่วงหรี่ลงมองนักรบแห่งไนล์ที่วอนหาเรื่องตั้งแต่เช้า แต่เสียงหัวเราะของใครบางคนก็ดังลั่นขึ้นก่อน ทำเอาเพื่อนๆสะดุ้งไปตามๆกัน
“แกหัวเราะอะไรของแกวะเฟริน?!” นักรบตาเดียวหันไปถามเจ้าหญิงหัวขโมยที่อยู่ดีก็หัวเราะออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังเสียงดังสะท้านโลกาอย่างไม่เคยสำนึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง
“ก็ขำพวกแกสิวะถามได้ เอาอะไรคิดฉันล่ะอยากจะรู้จริงๆ” เฟรินตอบทั้งๆที่ยังคงไม่อาจหยุดหัวเราะได้ “เล่นของสูงไปหรือเปล่า? ระวังนะเว้ย หัวจะหลุดจากบ่าโดยไม่รู้ตัว”
“หือ?” ครี้ดพึมพำในคออย่างไม่เข้าใจ
“ก็รายนั้นน่ะนะ เค้าเป็นถึง...”
“ถ้าฉันขอเป็นคนอธิบายเรื่องนั้นเอง...คงจะไม่ว่ากันใช่ไหมเฟริน” เสียงนุ่มของบุรุษผู้มาใหม่ดังแทรกขึ้นฉับพลัน ทำเอาเจ้าตัวดีที่ตั้งท่าจะพล่ามสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มแห้งๆให้
“ไม่ว่าไม่ขัดไม่ข้องอยู่แล้วฮะ ขอเชิญพี่พูดไปสบายใจได้เลย” เจ้าหัวขโมยตัวยุ่งรีบเปลี่ยนมาพูดเอาอกเอาใจเสนาธิการฝ่ายซ้ายประจำป้อมอัศวินในทันที เรียกเสียงดังเชอะเบาๆจากนักรบหนุ่มแห่งไนล์
“ฟังที่รุ่นพี่โรเวนเขาจะพูดก่อน” เสียงมาทิลด้าหันมาบอกกับเพื่อนๆลิงทโมนร่วมชั้นให้ทุกคนเงียบ
“ขอบใจมากมาทิลด้า” เจ้าชายแห่งเจมิไนเอ่ยพร้อมขยับรอยยิ้มชนิดที่ถ้าสาวๆเห็นเป็นต้องเคลิ้มไปแทบทุกราย ทว่าในห้องนั่งเล่นรวมตอนนี้มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นหนุ่มๆไม่ใช่สาวๆ ดังนั้นรอยยิ้มที่ส่งให้บุรุษตรงหน้าทวีความหล่อเหลาจึงได้ดูน่าหมั่นไส้สำหรับใครๆที่ยังไร้คู่
“เมื่อไหร่พี่แกจะรู้ตัวซักทีว่าไอ้การส่งยิ้มโปรยเสน่ห์แบบนั้นมันบาปนัก” แม่ตัวยุ่งหันไปกระซิบกระซาบพูดกับเพื่อนรักทายาทตระกูลนักฆ่า “ระวังเหอะ...เดี๋ยวจะเกิดศึกชิงรักหักสวาท ยิ่งใครบางคนมาอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว...”
แล้วเสียงของเฟรินก็เงียบหายไปทันที เมื่อนัยน์ตาสีน้ำเงินปราดมองมา
“เธอมีอะไรคัดค้านหรือเปล่าเฟริน?” เสียงอ่อนโยนของเสนาธิการฝ่ายซ้ายถาม แต่เป็นน้ำเสียงที่ทำให้คนเพิ่งนินทาไปหมาดๆสะดุ้งโหยง แล้วรีบพูดกลบเกลื่อน
“ไม่มีฮะไม่มี...ใครจะกล้าคัดค้านความคิดอันยอดเยี่ยมของเมจิคปรินส์อย่างพี่กันได้”
“งั้นก็ดีแล้ว...”
“ว่าแต่พี่แกกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่วะ?...” เจ้าหัวขโมยตัวดีหันไปถามครี้ดเพราะรู้ว่าขืนถามไอ้คนข้างๆไปก็ได้ผลไม่ต่างเพราะมันคงไม่ฟัง แต่ยังไม่ทันได้คำตอบใดๆก้ต้องร้องเสียงหลงกับประโยคของโรเวน
“งั้นก็เป็นอันตกลงว่าให้นักเรียนที่ย้ายมาเข้าเรียนร่วมกับพวกเราในระยะสั้นๆนี้อยู่ห้องเดียวกับเฟริน”
“เย้ย!!” เสียงอุทานของเจ้าหญิงสองดินแดนดังลั่น “ได้ไงพี่?! ฝ่ายนั้นเขาเป็นผู้หญิงนะ!” คำแย้งที่ทำให้คิ้วของคนอื่นๆเริ่มมุ่นในทันที
“แล้วเธอไม่ใช่หรือยังไงหือ? เฟลิโอน่า เกรเดเวล เดอะ ปรินส์เซส ออฟ บารามอส”
เอื๊อก!
คนเพิ่งถูกทำให้ระลึกถึงสถานะของตนเองด้วยชื่อจริงพร้อมฉายาแบบเต็มสตรีมกลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนจะได้แต่ยิ้มแห้งๆที่มุมปาก มองดูเจ้าชายแห่งเจมิไนที่วันนี้ดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก
แล้วเจ้าตัวยุ่งก็เหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ...อย่างนึกคาดโทษ
ทั้งหมดก็เพราะแกนั่นแหละไอ้คิล!
คนสมองไว(ในเรื่องไม่สมควร)คิดอยู่ในใจ
ที่หงุดหงิดอย่างนี้สงสัยพี่ท่านคงได้ยินข่าวลือซุบซิบเกี่ยวกับผู้หญิงของไอ้นักฆ่าไร้ประสบการณ์นี่เข้าแล้วแหงๆ...
แล้วคนอย่างโรเวน ฮาเวิร์ด เดอะปรินส์ ออฟ เจมิไน ที่ฉลาดเป็นกรดอย่างนั้นมีหรือที่จะเดาเรื่องราวไม่ออก ก็ในเมื่อคิลมันถูกสั่งให้เป็นคนคุ้มกันวิเวียน แล้วถ้ามันจะไปอุตริอุ้มผู้หญิงที่ไหนเข้ามาในป้อม...มันก็ต้องหนีไม่พ้นจักรพรรดินีคนสวยแห่งเวนอลแหงอยู่แล้ว
“แล้วนักเรียนใหม่ที่จะเข้ามาเรียนกับเรานี่เป็นใครเหรอคะ? รุ่นพี่โรเวน” เสียงสวรรค์ดังมาจากสาวน้อยผมทอง แองเจลีน่า โรมานอฟ ที่ช่วยดึงสายตาคมกริบของโรเวนให้ละจากเฟรินไปได้ทันท่วงที
“เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเหรอพี่?”
“นี่ ครี้ด! เมื่อกี้นายไม่ได้ฟังที่รุ่นพี่เค้าพูดกับเฟรินหรือไง ...ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงแล้วจะให้ไปอยู่ห้องเดียวกับหมอนั่นทำไมไม่ทราบ?” เสียงแม่มดสาวตวาดใส่ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าแม้แต่เธอเองก็ยังหลุดปากเรียกเจ้าหญิงหัวขโมยที่ถูกอ้างถึงว่าหมอนั่นอยู่เลย
“เอาล่ะ...” โรเวนกระแอมขึ้น เรียกความสนใจของทุกคนให้กลับมาอีกครั้ง “ไหนๆแล้ว ทุกคนก็คงอยากจะรู้กันสักทีว่านักเรียนใหม่ที่จะมาอยู่ร่วมกับพวกเรานั้นเป็นใคร...” ว่าแล้วเสนาธิการฝ่ายซ้ายก็หันไปทางประตู “...คาโล”
ไม่กี่นาทีหลังจากเรียกชื่อเสร็จ ร่างสูงของเจ้าชายแห่งคาโนวาลก็ก้าวเข้ามาในห้อง ภาพที่ทำให้บรรดาลิงทโมนทั้งหลายในป้อมพากันอ้าปากค้างไปเป็นทิวแถว แต่ที่ช็อคไม่ใช่เพราะเจ้าชายน้ำแข็ง แต่เป็นร่างบางที่เดินตามมาข้างหลังนั่นต่างหาก
“เฮ้ย!?” เสียงใครบางคนร้อง
“ไม่จริง!” เสียงใครอีกคนรับ
“เธอ!?” เสียงเก้าอี้ข้างหลังเฟรินเลื่อนออกพรวดพร้อมๆกับร่างของนักรบตาเดียวแห่งป้อมอัศวินที่ชี้นิ้วไปยังเด็กสาวผู้มาใหม่อย่างไม่สนใจฐานะของคนถูกชี้เลยสักนิด บรรดาคนในห้องสะดุ้งโหยง ไม่เว้นแม้แต่ตัวจักรพรรดินีแห่งเวนอลเอง
มันรู้จักวิเวียนด้วยเหรอวะ?
เฟรินนึกสงสัยอยู่ในใจขณะหันไปมองครี้ด ธันเดอร์
แต่แล้วความสงสัยก็ถูกดึงให้ดิ่งลงฮวบด้วยประโยคต่อมา
“...เป็นใคร?...”
ประโยคที่ทำเอาบรรดาเพื่อนพากันสะอึก ก่อนที่เสียงแหวสูงจะดังมาจากแม่มดสาวแห่งวิทช์
“ไม่รู้จักแล้วนายจะตะโกนหาพระแสงอะไรไม่ทราบยะ ครี้ด! ทำเอาคนอื่นเค้าตกอกตกใจหมด!!” แล้วคทากายสิทธิ์จึงได้หวดลงไปยังศีรษะของชายหนุ่มเพื่อสั่งสอนมารยาทไปอีกหลายที
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านคลองจักษุของดวงเนตรสีมรกตงดงามขององค์จักรพรรดินีแห่งเวนอลที่กระพริบตาปริบๆ กับการต้อนรับแบบแปลกๆจากว่าที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนชั่วคราว เพราะแม้จะเคยร่วมเดินทางกับเฟรินและพวกเจ้าชายคาโล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้มาพบกับเพื่อนร่วมชั้นของพี่หญิงคนอื่นๆ
“นี่คือวิเวียนนานีย่าแห่งเวนอล ที่จะเรียนร่วมกับพวกเธอในช่วงระยะเวลาหนึ่ง” เสียงแนะนำของเจ้าชายแห่งเจมิไนเรียกสติของวิเวียนกลับมา แล้วร่างบางก็จำต้องสะดุ้งอีกหนเมื่อเสียงตะโกนดังมาจากบรรดาคนอื่นๆในห้อง
“เดี๋ยวพี่! ถ้างั้นนี่ก็คือองค์จักรพรรดินีแห่งเวนอลน่ะสิ!!” คำถามถูกส่งมาพร้อมกับสายตานับสิบคู่ที่พุ่งตรงมาทางนี้ วิเวียนจึงได้เขยิบเข้าไปใกล้ๆเจ้าชายแห่งคาโนวาลด้วยหวังจะให้เป็นที่พึ่ง
เมื่อสังเกตเห็นดังนั้น คาโลจึงได้พูดขึ้นต่อประโยคของโรเวน “แต่เมื่อมาอยู่ในป้อมอัศวิน ฉายา ตำแหน่งอะไร พวกเราจะต้องทิ้งไปให้หมด เวลานี้พวกเรามีเพียงแค่ฉายา เดอะ ไนท์ ออฟ เอดินเบิร์ก เท่าเทียมกันทุกคน...ท่านคงไม่ขัดข้องอะไรใช่ไหม?” ประโยคสุดท้ายก็หันไปถามเด็กสาวผมทองข้างตัว
วิเวียนสะดุ้งเล็กๆ เมื่อสายตาของคนทั้งห้องมองมาที่เธอเป็นจุดเดียว ทว่าเมื่อเห็นกระแสบางอย่างที่ส่งมาจากนัยน์ตาสีฟ้าสวย จักรพรรดินีแห่งเวนอลจึงพยักหน้ารับอย่างรู้หน้าที่แล้วเอ่ยด้วยสุรเสียงที่อ่อนโยนและหวานล้ำยิ่ง
“ค่ะ...หญิง...เอ่อ ฉัน” เนตรสีมรกตเหลือบมองไปทางคาโลเหมือนขอคำปรึกษา “...หญิงตั้งใจจะมาเรียนที่นี่กับพวกท่านทุกคน แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่หญิงก็อยากที่จะสนิทสนมกับทุกคนให้มาก อย่างที่เจ้าชายคาโลบอกไว้ เมื่อมาอยู่ที่นี่หญิงก็ไม่ใช่จักรพรรดินีแห่งเวนอล แต่เป็นเพียงวิเวียนน่านีย่า เดอะ ไนท์ ออฟ เอดินเบิร์กเท่านั้น...”
...จะดีหรือ?
ความคิดที่ดังในใจของใครหลายๆคน เมื่อพินิจพิจารณารูปร่างบอบบางในชุดกระโปรงสีขาวนั่นแล้ว...ฉายาเดอะไนท์ มันก็ฟังดูขัดหูยังไงๆอยู่ไม่น้อย
“ท่านคงไม่ว่า หากจะเรียกว่าเจ้าหญิงวิเวียนนานีย่าแห่งเวนอลใช่ไหมฮะ?” เจ้าตัวยุ่งที่รู้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดในห้องร้องถาม ก่อนจะหยอดมุขต่อตามนิสัย “อย่างว่านะฮะ สวยๆอย่างท่านให้เรียกฉายาเดอะไนท์ มันช่างทำให้ผมกระดากปากยังไงไม่รู้”
พี่หญิง...
วิเวียนทอดสายตามองไปยังเฟริน
...ขอบคุณค่ะ
คำกล่าวนั้นถูกส่งออกไปทางสายตา เมื่อบรรยากาศในขณะนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮาครึกครื้นด้วยคำพูดของเจ้าหญิงหัวขโมยแห่งบารามอส
“ได้สิคะ...หากว่ากันตามจริงแล้วหญิงก็อายุน้อยกว่าทุกคน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้คำสุภาพกับหญิงก็ได้ค่ะ...” จักรพรรดินีซึ่งตอนนี้ขอเปลี่ยนมาใช้นามเดอะ ปรินส์เซส ออฟ เวนอล กล่าวพลางแย้มสรวล...และเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ทั้งห้องนั้นสว่างไสวงดงาม
จนแทบไม่อยากจะเชื่อว่า เจ้าหล่อนคือคนคนเดียวกับจักรพรรดินีจอมเอาแต่พระทัยจากเวนอลในงานประชุมยี่สิบสี่กษัตริย์เมื่อสองปีที่แล้วเลยสักนิด...
=======================
“เป็นยังไงบ้างคะพี่หญิง...การแนะนำตัวของหญิง” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงในชุดสีขาวบริสุทธิ์เดินเข้ามาหาเจ้าตัวยุ่งที่กำลังนั่งอยู่กับพวกเพื่อนๆร่วมป้อมชั้นปีสี่
นัยน์ตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมองแล้วเจ้าของก็ยิ้มเผล่ “ดีสิฮะ เนี่ย...เล่นเอาผมถึงกับเคลิ้มไปเลยเชียว”
“บ้า...พี่หญิงเป็นผู้หญิงนะคะ จะเคลิ้มได้ยังไง” วิเวียนค้อนกลับ “ถ้าเคลิ้มจริงๆ เห็นทีว่าคงไม่ใช่เพราะหญิง แต่เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆหญิงต่างหากหรือเปล่าคะ”
หง่ะ...
เอาอีกแล้ว อยากรู้นักว่าใครมันบังอาจมาสอนให้วิเวียนกลายเป็นอย่างนี้
เฟรินที่บัดนี้ดวงหน้าขึ้นสีเรื่อนิดๆคิดเข่นเขี้ยวในใจ
ถ้ารู้นะ...จะเอาผ่าปฐพีแบะหัวมันออกมาดูว่าคิดยังไงถึงได้ทำแบบนี้!
“เอ้า! ถ้าไม่เชื่อเพราะว่าผมเป็นผู้หญิง งั้นลองถามไอ้คนที่มันเป็นผู้ชายดูก็ได้ฮะ ...ว่ายังไงไอ้คิล” หัวขโมยจอมก่อกวนกระทุ้งเบาๆเข้าที่สีข้างของนักฆ่าหนุ่ม สิ่งแรกที่ส่งมาคือสายตาวาววับของคนถูกโยนปัญหามาให้
มันน่านัก...
คนอื่นมีตั้งเยอะแยะ...ทำไมมันจะต้องจงใจให้เขาเป็นคนตอบ
คิลบ่นอยู่ในใจ สายตาที่พยายามส่งไปขู่ไอ้เพื่อนจอมกวนบาทาไม่เคยจะได้ผล สุดท้ายเขาจึงต้องเบือนสายตากลับมามองใครบางคนที่กำลังยืนตาแป๋วรอฟังคำตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เอ่อ...”
ขณะที่คนต้นเรื่องกำลังกลั้นยิ้ม แต่สีหน้าก็ยังปิดไม่มิดว่าเจ้าตัวกำลังสนุกอยู่ เฟรินกวาดสายตามองไปยังสมาชิกร่วมวงสนทนานี้เร็วๆ อยู่กับครบจริงๆสามสาวนางฟ้าแห่งป้อมอัศวิน...คราวนี้ล่ะไอ้คิลเอ๋ยสนุกแน่
ทั้งๆที่เคยคิดว่ามันแอบมีใจให้เจ้าหญิงคนสวยแห่งคาโนวาลมาตลอด
แต่มันก็ดันทำตัวแปลกๆไปตั้งแต่ได้พบกับจักรพรรดินีคนงามแห่งเวนอล
โดยเฉพาะการกระทำของมันตั้งแต่กลับมาที่เอดินเบิร์ก...
น่าสนใช่ย่อยซะเมื่อไหร่!
ว่าแล้วเจ้าตัวก็กลับมาดูผลงานของตัวเอง กับเหตุการณ์ตรงหน้า
นัยน์ตาสีมรกตยังคงจ้องมาราวกับกำลังรอฟังคำตอบ...สุดท้ายแล้วนักฆ่าแห่งซาเรสจึงไม่มีทางเลือก
“ก็...ไม่แย่” คำตอบกำกวมเรียกให้คิ้วเรียวของคนฟังเลิกขึ้นเล็กน้อย
คิลหนอคิล...
สมน้ำหน้า! บอกว่าจะสอนวิธีจีบสาวให้ตั้งกี่ครั้งก็ไม่เคยจะสนใจ เป็นไงล่ะทีนี้?!
จะโทษใครได้เพื่อนเอ๋ย...โทษตัวเองเถอะ กร๊าก!
เจ้าหัวขโมยจอมขายเพื่อนกลั้นหัวเราะขณะเหล่มองไปยังคนถูกขายที่มีสีหน้าปั้นยาก...แม้ว่าสีหน้าของวิเวียนในตอนนี้ก็ดูจะงุนงงพอๆกัน
“นั่งก่อนฮะนั่งก่อน” เฟรินว่าขึ้นใหม่แล้วถองคิลให้เขยิบไปนั่งเก้าอี้อีกตัว มือหนึ่งจึงวางแปะลงยังที่นั่งว่าง นัยน์ตาสีเขียวของคนถูกชวนลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจนั่งลงระหว่างพี่หญิงของเธอกับนักฆ่าหนุ่ม
“เฟริน...นายจะไม่แนะนำพวกเพื่อนๆในชั้นให้เจ้าหญิงวิเวียนนานีย่ารู้จักเลยหรือ” เสียงเย็นๆของคาโลเอ่ยเตือน คนที่ลืมไปแล้วถึงได้เพิ่งนึกออก
“ใช่ฮะๆ ลืมไปเลย...นี่วิเวียนน้องสาวของฉันเอง” เธอว่าพลางวางมือลงหมับบนไหล่บางของคนถูกแนะนำ “วิเวียน...นี่เพื่อนๆในป้อมของพวกผม...จากทางซ้ายสุดนี่เจ้าหญิงมาทิลด้าแห่งอเมซอน...แองเจลีน่าแม่มดแห่งวิชท์...อีกคนนี่ก็เจ้าหญิงเรนอนคนสวยจากคาโนวาล...”
“คาโนวาล?” วิเวียนทวนคำ นัยน์เนตรเหลือบมองไปทางคาโลที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับคิล
“เป็นญาติของคาโล” คนที่เหมือนจะรู้ทันความคิดตอบ “...ส่วนไอ้พวกนี้ก็คนกันเองทั้งนั้น ครี้ด...ซีบิล ...เจค...ซอร์โร...นิกส์ ...แล้วก็กัส... อ่าว? ” ท้ายประโยคจบลงด้วยเสียงอุทานเมื่อมองไม่เห็นคนที่น่าจะอยู่ในที่นั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปหาเพื่อนสนิทของคนที่ไม่รู้ว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “เอ็ดเวิร์ด...กัสมันไปไหน?”
“ไม่รู้สิ...ไปห้องน้ำมั้ง?”
“พี่หญิงคะ...กัสที่ว่านี่...” วิเวียนเอ่ยขึ้น
“กัส โทนีย่า...พรีส ออฟ กิลดิเรกน่ะ แต่อย่าสนใจเลยฮะ หมอนี่ก็อย่างนี้แหละ”
“...ค่ะ...” เจ้าหญิงแห่งเวนอลพึมพำอยู่ในคอ ขณะเก็บงำความสงสัยบางอย่างไว้เพียงลำพัง
หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาสมาชิกป้อมอัศวินจึงได้เริ่มสนทนากับสมาชิกใหม่ที่เพิ่งจะเคยมาที่เอดินเบิร์กในฐานะนักเรียนโรงเรียนพระราชาเป็นครั้งแรก ซึ่งบทสนทนาส่วนใหญ่นั้นก็เป็นเรื่องสนุกสนานเรียกเสียงหัวเราะอย่างเรื่องภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของป้อมที่รู้กันดี เรื่องชื่อต้องห้ามของหนึ่งในสี่ผู้คุมกฎ หรือแม้กระทั่งเรื่องซุบซิบนินทาเกี่ยวกับสัมพันธ์ลับของเจ้าชายอาเธอร์หัวหน้าปราสาทขุนนางกับเจ้าชายคนเก่งแห่งเจมิไน ที่ทำให้ดวงหน้าสะสวยของวิเวียนเหวอค้างไปนานทีเดียว
“เฟริน” เสียงเรียกชื่อเจ้าตัวยุ่ง
“มีอะไรหรือคาโล” คนถูกเรียกหันมามอง พลันการสนทนาที่ดำเนินอยู่กะชะงักลงพลัน สายตาทุกคู่ในที่นั้นต่างก้หันมามองแทนการถาม
“รุ่นพี่โรเวนเรียกให้นายไปพบ” ชื่อคนบอกให้มาตามทำเอาคนที่กำลังนินทาอย่างสนุกปากสะดุ้งเฮือก นึกหวั่นๆว่าพี่แกอาจจะได้ยินเรื่องที่เขาเอามาเล่าให้เจ้าหญิงคนสวยที่ความจริงเป็นจักรพรรดินีได้ฟังไปหมาดๆ
“แล้วก็นายด้วย...คิล” ประโยคจากเจ้าชายน้ำแข็งทำเอาเฟรินถอนหายใจอย่างโล่งอก...อย่างน้อยเหตุผลที่โรเวนเรียกเขาไปก็ยังไม่ใช่เรื่องนั้น
“เรียกทำไม” คิลถามกลับ
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอ่อ...พี่หญิงคะ” วิเวียนเรียกเมื่อเฟรินและคิลลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินตามคาโลไป เจ้าหญิงแห่งบารามอสจึงได้หันมายิ้มให้แล้วเอ่ย
“พวกผมไปแปปเดียวฮะ ไม่ต้องห่วงหรอกวิเวียน...โรมันก็ยังอยู่ รับรองว่ามันจะคอยกันไม่ให้ไอ้พวกบ้านี่มาเกาะแกะยุ่มย่ามกับท่านได้ร้อยเปอร์เซ็น” เสียงกระเซ้าแหย่ทำเอาบรรดาคนบ้าที่ถูกพูดถึงร้องค้าน เมื่อกำลังคิดว่าได้โอกาสงามแต่กลับถูกคำพูดตอบรับจากเจ้าขอทานจอมรู้มากดักคอไว้หมด
“รับบัญชา”
================================
“มีอะไรฮะรุ่นพี่โรเวน?” เฟรินยิงคำถามในทันทีที่เธอ คาโลและคิลเดินมาในระยะที่อีกฝ่ายได้ยิน เวลานี้เสนาธิการฝ่ายซ้าย พร้อมด้วยบรรดาสี่ผู้คุมกฎแห่งป้อมอัศวินอยู่กันพร้อมหน้า ที่โต๊ะกลมตัวหนึ่งซึ่งอยู่แยกมาในทำเลที่สงบจนไม่น่าเชื่อมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่นรวม
“เป็นยังไงบ้าง?” โรเวนถามกลับแทนคำตอบ เจ้าหญิงหัวขโมยเลิกคิ้วนิดสบมองนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มอย่างพยายามทำความเข้าใจ แล้วถึงได้เอ่ยตอบ
“อ๋อ... ก็ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ฮะ ท่าทางวิเวียนเค้าก็ดูจะเข้ากับคนอื่นๆได้ดี” เฟรินรายงาน
“งั้นก็ดี” เมจิคปรินส์ยกชาขึ้นจิบนิดหนึ่ง...ด้วยท่าทางที่ทำให้เฟรินนึกถึงใครบางคนขึ้นมาตงิดๆ
หวังว่าป่านนี้มันคงจะได้สานสัมพันธ์พี่น้องที่พรัดพรากบ้างนะ...
“แล้วเรียกผมมาทำไมเนี่ย” เสียงแย้งต่อมาเป็นของทายาทตระกูลฟีลมัส ทำให้เสนาธการฝ่ายซ้ายวางแก้วชาลงแล้วพูดขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงจริงจังและเป็นการเป็นงานกว่าเดิม
“ที่ต้องเรียกให้เธอมาด้วยก็เพราะว่าฉันมีหน้าที่บางอย่างอยากจะให้เธอทำ คิลมัส ฟีลมัส”
“ขอปฏิเสธ” คิลสวนขึ้นทันควันโดยไม่แม้แต่จะรอฟังว่าหน้าที่นั้นคืออะไรด้วยซ้ำ คิ้วเข้มของโรเวนเลิกขึ้นนิดอย่างกับจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าจะต้องตอบมาแบบนี้ น้ำเสียงต่อมาจากเจ้าชายแห่งเจมิไนจึงยังราบเรียบ
“เธอไม่สามารถปฎิเสธหน้าที่นี้ได้ เพราะมีเพียงเธอคนเดียวที่เหมาะสมที่สุด” นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ปราดส่งมาด้วยแววตาอย่างที่มีอำนาจสะกดให้คนฟังจำต้องทำตาม คราวนี้นักฆ่าหนุ่มจึงได้เอ่ยขึ้นมาอีก
“ทำไมต้องเป็นผม ทำไมไม่ใช่คาโลหรือเฟริน”
“ทั้งสองคนต้องเข้าร่วมหมากกระดานเกียรติยศที่จะมีขึ้นในอีกสองอาทิตย์ จึงไม่สามารถที่จะรับหน้าที่นี้ได้” คำอิบายที่คิลหันไปมองเพื่อนทั้งสองคน แววตาที่ส่งมาจากนัยน์ตาสองคู่ทำให้เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ถึงจดหมายเรียกตัวกลับมากระทันหันที่พวกมันได้รับ จากนั้นนัยน์ตาสีม่วงจึงได้หันกลับมายังคนตรงหน้าตามเดิม
“แล้วไอ้หน้าที่ที่ว่านี่มันอะไร?”
“ก็ไม่ใช่งานที่ลำบากอะไรนัก...สำหรับคนที่มีฝีมืออย่างเธอ” โรเวนเปรย ยังความสงสัยมาให้กับเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังรอฟังอยู่...แต่ก็แทบจะร้องค้านไม่ทันกับประโยคที่เหมือนคำตัดสินประหารชีวิตนั้น
“เธอจะต้องทำหน้าที่เป็นองครักษ์และคอยดูแลองค์จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าตลอดเวลาที่พระองค์เสด็จมาประทับอยู่ที่เอดินเบิร์กนี้...”
===================
โฮ่ๆ... และแล้วก็เข็นบทที่สามต่อจนจบครบบริบูรณ์ แล้วฮะ
มีความรู้สึกว่ายิ่งเขียนบทใหม่...มันก็ยิ่งย๊าว ยาว... บทเเรกจำได้ว่าเขียนไปแค่เก้าหน้าเอสี่(แบบเว้นบรรทัดแล้ว) พอบทที่สอง...ปาเข้าไปสิบหกหน้า... เอิ๊ก และพอมาถึงบทที่สามก็มีอีกสิบห้าหน้า...(น้อยกว่าเพราะเนื้อเรื่องยังไม่มีอะไร)
อย่างนี้กว่าจะถึงบทที่สิบ มิปาไปสามสิบหน้าเลยรึ โฮ...
...
..
.
อีกแล้ว... บทนี้อูหลงอาจต้องโดนแม่ยกคาโลรุมด่าว่าในใจอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อยแหละนะ
แต่แม่ยกโรเวน กับคิลลี่...สงสัย ป่านนี้คงกำลังนัดรวมพลยกมาถล่มแหงๆเลย
งั้นก็ขอหลบไปซุ่มสักพัก(จนกว่าจะปั่นบทที่สี่เสร็จ...ฮา)
ขอคารวะหนึ่งจอกฮะ
ความคิดเห็น