ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Candle Garden, the Grave of Fireflies : Fic บารามอส

    ลำดับตอนที่ #3 : The Dawn, the Twilight [Fic Baramos] - บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 50



    บทที่ 2 : เพียงสบตา [Glowing Heart]

    สรรพสิ่งรอบด้านนั้นดูจะเงียบไปพลัน เมื่อเสียงหวานของเด็กสาวผู้มีตำแหน่งเป็นจักรพรรดินีก้องกังวานไปทั่วห้องบรรทม

    “อะไรนะฮะ” เฟรินทวน

    “หญิงตั้งใจว่าจะไปเข้าเรียนที่โรงเรียนพระราชาค่ะ พี่หญิง” วิเวียนเอ่ยซ้ำ นัยน์ตาช้อนมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยนแกมขอร้อง “คงจะได้...ใช่ไหมคะ”

    “แล้วทำไมจู่ๆถึงได้นึกอยากจะไปเรียนล่ะฮะ”

    “แค่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้นเองค่ะ” วิเวียนไม่ตอบคำถาม ซึ่งเฟรินก็เข้าใจว่าคงมีสาเหตุอะไรบางอย่างที่หล่อนยังไม่พร้อมจะบอกเธอในตอนนี้

    เฟรินมองคนตรงหน้าเหมือนจะชั่งใจ นัยน์ตาสีมรกตใสนั้นแฝงกระแสเว้าวอนอย่างชวนให้นึกใจอ่อนเป็นหนักหนา แม้จะยังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่ความเอ็นดูก็ทำให้เฟรินตัดสินใจพูดออกมา

    “พวกผมขึ้นปีสี่แล้วนะฮะ แล้วท่านจะเรียนทันหรือ” คำถามนั้นเรียกรอยยิ้มบางบนพักตร์ขาวของวิเวียน เพราะเธอรู้ดีว่านี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าได้รับอนุญาตแล้ว เด็กสาวจึงรีบตอบ

    “พี่หญิงคิดว่าระหว่างที่หญิงอยู่ที่เวนอลนี่ หญิงจะไม่ได้เรียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลยหรือคะ” ว่าแล้วก็กัดคนตรงหน้าเป็นการแถมท้าย “ว่าแต่พี่หญิงเองเถอะ”

    คราวนี้คนถูกย้อนสะดุ้งเฮือกก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ แล้วจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่

    “แต่ป้อมอัศวินนี่ป่าเถื่อนนะ จะไหวหรือวิเวียน”

    “คราวก่อนที่ร่วมเดินทางไปกับพวกพี่หญิง หญิงก็รู้จักคำว่าป่าเถื่อนมาเพียงพอแล้วล่ะค่ะ” เฟรินสะดุ้งอีกครั้ง ก่อนจะนึกในใจ

    ไม่เจอกันปีกว่า วิเวียนย้อนเก่งขึ้นกว่าเดิมจมเลย ใครเสี้ยมใครสอนให้เป็นอย่างนี้ อยากจะรู้นัก

    แต่ก่อนที่เจ้าหญิงเฟลิโอน่าจะได้รับรู้ความสามารถที่เพิ่มขึ้น(ในด้านไม่ดี)ของพรรดินีวิเวียนคนสวย เสียงสวรรค์(รึเปล่า)ก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

    โครกกกกก...
    เสียงนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เสียงร้องอุธรณ์จากกระเพาะของพี่หญิงคนสวย

    วิเวียนที่มองดูเฟรินยิ้มแหยๆให้ไม่ได้ว่าอะไร เจ้าหล่อนเพียงแต่แย้มยิ้มพรายออกมาเล็กน้อยอย่างสมกุลสตรีก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

    “พวกเรารีบไปที่ห้องเสวยกันเถอะค่ะ หญิงเริ่มหิวแล้วและหญิงก็คิดว่าพี่หญิงคงหิวมาก ฟังดูจากเสียงนั่นก็พอจะรู้ ” ไม่วายยังจะแย็บคำพูดแถมท้ายเข้าอีกดอก


    =======================


    นัยน์ตาสีฟ้าปราดส่งไปให้กับเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นหนที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าคนได้รับสายตาพิฆาตนั่นก็ยังเฉย ตั้งท่าจะลงมือตักอาหารในจานอยู่ร่ำไป

    “คิล...” คราวนี้หลังจากที่แค่สายตาใช้ไม่ได้ผล คาโลเลยต้องออกปากเสียเองเพราะดูเหมือนเพื่อนนักฆ่าของเขาเริ่มจะทนความหิวไม่ไหว

    “อะไรคาโล นอกจากจะส่งสายตาหวานซึ้งมาให้ฉันตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนายยังจะมาเรียกเสียงหวานอีก” พูดแล้วเด็กหนุ่มก็แยกเขี้ยวใส่ คนถูกหาว่าพิศวาสชะงักไปพลัน ขณะที่โรเวนกับโรอมยิ้มน้อยๆ

    “รอก่อน” เจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาลเอ่ยเรียบเมื่อตั้งสติได้ใหม่

    “รออะไร รอให้อาหารมันย่อยตัวเองได้ในอากาศหรือไงวะ” คิลไม่สนใจแล้วหยิบส้อมขึ้นมาอีกหน แต่ยังไม่ทันจะจิ้มสเต็กเนื้อตรงหน้า(ทำจากโปรตีนเกษตร) อาวุธในมือก็ลอยข้ามไปยังอีกฝั่งของโต๊ะ

    “ไอ้คาโล” นักฆ่าหนุ่มแยกเขี้ยวใส่ตัวการ นัยน์ตาสีม่วงพราวแต่นัยน์ตาสีฟ้ายังสงบ เมื่อสองตาสบกันคนที่ดูเหมือนจะรู้ความคิดอีกฝ่ายดีก็ยกมือขึ้นระดับศีรษะ ทันใดนั้นทั้งมีดทั้งช้อนต่างๆก็ลอยเข้าไปอยู่ในมือพ่อมดหนุ่มทันที

    “คิก...เจ้าชายคาโลคะ ถึงท่านจะเก็บช้อนส้อมพวกนั้นไป ในครัวก็ยังมีให้ใช้อีกเยอะหรอกค่ะ” เสียงหวานที่คุ้นหูเรียกให้บุรุษในที่นั้นชะงัก แต่ก็ไม่นานเมื่ออีกเสียงซึ่งแม้จะหวานแต่ก็ห้าวกว่า(จากวิธีการพูด)ดังติดๆมา

    “ไอ้คิล ไอ้คาโล ถ้าพวกแกกินกันก่อนไม่รอฉัน...ตาย” เสียงนี้ทุกคนรู้ดีว่าเป็นของแม่ตัวยุ่งเฟรินแน่ๆ แต่ถ้างั้นเสียงแรกล่ะ...

    เมื่อความคิดสิ้นสุดทุกสายตาของบุรุษในที่นั้นต่างก็หันไปที่ประตูห้องเป็นจุดเดียวกัน
    แล้วก็ชะงักไปทันที

    หญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดปี ร่างบางระหงอยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดตา ชุดกระโปรงผ้าไหมพลิ้วตัดเย็บอย่างประณีตสมกับเมืองที่ขึ้นชื่อด้านแพรพรรณ ชายกระโปรงกรุยกรายแหวกเว้าขึ้นไปยังเรียวขา แม้จะไม่สูงนักหากแต่ท่วงท่าเวลาก้าวเดินก็ทำให้ชายผ้าแหวกออกเผยให้เห็นเนื้อขาวนวลชวนให้ใจเต้น

    ดวงพักตร์รูปไข่ล้อมด้วยเรือนผมสีทองหนานุ่ม ซ้ำยังยาวสลวยจรดลงมาถึงเอว นัยน์ตาสีมรกตกวาดมองไปทั่วห้องเสวย ครั้นเมื่อเห็นบุคคลคุ้นเคยบนโต๊ะ ริมฝีปากสีแดงเรื่อก็แย้มยิ้มพริ้มพราย

    ด้วยรอยยิ้มที่แทบจะทำให้ใครสักสองคนในที่นั้นพลัดตกจากเก้าอี้!

    หนึ่งคือบุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ที่ยังคงจ้องมองไปยังจักรพรรดินีที่ตอนนี้ยิ่งทวีความงดงามจับใจกว่าครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันเมื่อปีกลายอย่างเทียบไม่ติด

    โรเวนแปลกใจไม่น้อยกับการเปลี่ยนไปในครั้งนี้ หากกระนั้นสีหน้าก็ยังคงสงบด้วยฝีมือของหน้ากากฟาโรห์ระดับยอดเยี่ยม ...บอกไม่ถูกว่าเปลี่ยนไปตรงไหน จะเป็นเพราะรูปร่างที่ดูเพรียวระหงสมเป็นผู้หญิงมากขึ้นกว่าเดิม หรือเพราะรอยยิ้มและน้ำเสียงที่วางตัวเป็นผู้ใหญ่นั้นกันแน่

    เฟรินได้แต่ส่งยิ้มแหยๆอย่างไร้จุดหมายให้กับน้องสาวที่ยืนข้างๆ เมื่อคิดว่าการมาเยี่ยมในครั้งนี้ไม่มีใครแจ้งวิเวียนไว้ก่อนว่าจะมีรุ่นพี่โรเวนติดมาด้วย ทว่าคนที่ต้องประหลาดใจกลับเป็นเธอเอง เมื่อหญิงสาวข้างตัวไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ หากแต่ยังคงส่งยิ้มพรายไปให้ทุกคนในที่นั้นได้อย่างไม่มีที่ติ

    “นั่งก่อนฮะ นั่งก่อน...” เจ้าตัวดีว่าแล้วผายมือไปทางเก้าอี้ฝั่งของตนก่อนจะนึกขึ้นได้ “เอ่อ...ไม่สินะฮะ ท่านต้องนั่งตรงหัวโต๊ะสิใช่ไหม” ที่นึกขึ้นได้ก็อาศัยสายตาคมกริบของไอ้เจ้าชายน้ำแข็งที่ส่งมานี่ล่ะ

    วิเวียนเยื้องกรายด้วยท่าทางสง่างามดั่งนางพญาหงส์ คนอื่นในโต๊ะต่างก็พร้อมใจลุกขึ้นถวายความเคารพและรอให้องค์จักรพรรดินีเป็นฝ่ายนั่งลงก่อน จากนั้นจึงได้นั่งลงไปตาม

    “ต้องขอโทษที่ทำให้พวกท่านต้องเสียเวลารอนะคะ” วิเวียนเอ่ยขึ้นก่อน

    “ไม่เป็นไรมิได้ ว่าแต่อาการของฝ่าบาทดีขึ้นบ้างไหม”

    “ค่ะ ทุเลาขึ้นมากแล้ว ร่างกายเรายังคงแข็งแรงดีอยู่ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ เจ้าชายโรเวน” คำเรียกตำแหน่งนั้นทำเอาเฟรินกลืนน้ำลายเอื๊อก เดาไม่ถูกเพราะน้ำเสียงเรียบๆนั้นไม่ส่ออารมณ์ เจ้าตัวจึงรีบนึกหนทางแก้สถานการณ์อันน่าอึดอัด

    “เอ่อ...วิเวียนฮะ ท่านคงยังไม่เคยเห็น...หมอนี่ชื่อโร เซวาเรส มาจากทริสทอร์ฮะ” เฟรินบุ้ยไปที่ขอทานซึ่งนั่งอยู่ข้างๆคาโล นัยน์ตาสีมรกตของวิเวียนเลื่อนไปมอง แล้วก็ต้องชะงักไปนิด

    ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด...

    ความคิดนั้นราวกับจะถูกถ่ายทอดออกมาจากนัยน์เนตรสีมรกตสวย ทำให้เจ้าหญิงหัวขโมยรีบหาทางเอ่ยแก้ไขสถานการณ์

    “เฮ้ ไอ้โร...แกจะไม่กล่าวทักทายอะไรท่านหน่อยเหรอวะ เสียมารยาทชะมัด” และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มผมสีชาสะดุ้งเล็กๆ แล้วถึงยอมเงยหน้าขึ้นจากจานข้าว ครั้นนัยน์ตาสีเดียวกันสบประสาน นัยน์ตาสีเขียวใสของคนอ่อนวัยกว่าทอประกายนิ่ง และนั่นนับเป็นครั้งแรกที่คนอย่างโร เซวาเรสถึงกับจนด้วยคำพูด

    “เอ่อ...อาการของฝ่าบาทเป็นยังไงบ้างกระหม่อม”

    “คะ?”

    “ไอ้โร เมื่อกี้พี่โรเวนเค้าก็ถามไปแล้วรอบนึง แกไม่ได้ยินรึไงวะ ไอ้นี่” เฟรินเอามือขยี้หัวอย่างอดรนทนไม่ได้กับความซื่อบื้อของไอ้ขอทานจอมอวดเก่งตรงหน้า

    “ขอโทษที” โรเอ่ย “แล้วอาการดีขึ้นบ้างหรือยังกระหม่อม” แล้วคำถามอีกประโยคของโรก็ทำให้หญิงสาวผมสีน้ำตาลเอามือกุมขมับ ไม่รู้ว่าวันนี้มันเป็นอะไรของมัน.

    สงสัยจะเขินที่ได้เจอน้องสาวมันครั้งแรก
    เฟรินคิดเอาเองเสร็จสรรพ

    “ขำไอ้โรมันชะมัด ว่ามั้ยห๊ะ คิล...เฮ้ย ไอ้คิล!” เธอสะกิดเพื่อนรักข้างตัวที่มีท่าทางเหมือนเพิ่งไปเข้าเฝ้าพระอินทรมาหมาดๆ คนถูกเรียกสะดุ้งเล็กๆ แล้วปรายนัยน์ตาสีม่วงมอง “แกเหม่ออะไรของแกวะไอ้คิล...หรือว่ากำลังอึ้งในความสวยของวิเวียนกันหึ๊?” ประโยคหลังเฟรินเพียงแค่แกล้งพูดแหย่ๆตามนิสัย แต่ใบหน้าขาวๆของเพื่อนรักนักฆ่ากลับขึ้นสีเรื่ออย่างไม่มีสาเหตุ กิริยาตอบสนองที่คนเย้าต้องประหลาดใจ

    เฟรินมองดูคนข้างตัวที่ตอนนี้แก้เก้อด้วยการหันไปจัดการยัดอาหารเข้าปากราวคนอดยาก(แม้คาโลจะส่งสายตามาปรามก็ไม่ได้ผล) เวลานี้ทุกคนในโต๊ะต่างก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารกันไปบ้างแล้ว อาหารมังสวิรัติรสโอชาค่อยๆร่อยหลอลงไปตามกาลเวลา ขณะที่บทสนทนาส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากเจ้าตัวยุ่ง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักขององค์จักรพรรดินี โดยมีเจ้าชายคาโลและขอทานกิติมศักดิ์คอยเป็นลูกคู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลก็แอบสังเกตเห็นว่า เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงลอบมองมาทางหัวโต๊ะอยู่บ่อยครั้ง ครั้นเมื่อเผลอสบตาเข้ากับเธอ มันก็แสร้งก้มหน้าลงไปสวาปามต่อซะอย่างงั้น เฟรินจึงได้กลับมาจัดการอาหารส่วนของตน พร้อมกับความคิดที่เก็บงำไว้ในใจ

    ไม่น่า...หรือว่าไอ้คิลมันจะ...?

    =================================

    “เป็นคนที่คุยสนุกดีนะคะเพื่อนของพี่หญิงเนี่ย” วิเวียนเปรยขึ้นเมื่อพวกเธอทั้งคู่มาอยู่ในห้องบรรทมเป็นที่เรียบร้อย เฟรินที่กำลังสางผมให้น้องสาวเงยหน้าขึ้นมองขณะถาม

    “ไอ้โรน่ะเหรอ?”

    “ค่ะ แถมยังรอบรู้เรื่องต่างๆเยอะแยะไปหมด ท่าทางจะหัวดีนะคะ...ใช่หรือเปล่าคะพี่หญิง”

    “ฮื่อ...ประมาณว่าเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ประจำป้อมอัศวินเลยล่ะไอ้เนี่ย รู้มาก...แถมยังชอบอมพะนำ” ว่าแล้วก็ได้เสียงหัวเราะคิกจากวิเวียน

    “น่าเสียดายนะคะที่คราวก่อนเราไม่ได้มีโอกาสเจอกัน” คำเปรยคราวนี้ทำเอาคนกำลังยุ่งกับการสางผมชะงักกึก เฟรินเงยหน้าขึ้นสบตากับวิเวียนผ่านกระจกเงา

    “ท่าทางจะถูกใจหมอนั่นมากเลยนะวิเวียน” คราวนี้ทำให้ขนงเรียวของจักรพรรดินีแห่งเวนอลเลิกขึ้นนิด คล้ายกับว่าหล่อนเองก็กำลังพิจารณาการกระทำของตัวเองอยู่ ก่อนที่จะเอ่ยรับ

    “อย่างนั้นกระมังคะ...ไม่รู้เหมือนกัน แต่หญิงว่าเพื่อนของพี่หญิงคนนี้มีบรรยากาศบางอย่างที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ...คุ้นเคยยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกค่ะ” แล้วเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของพี่หญิง วิเวียนก็รีบออกตัวเสียงลั่น “แต่มันไม่ใช่อย่างที่พี่หญิงกำลังคิดนะคะ”

    “หืมม์? แล้วท่านคิดว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะฮะ?” เฟรินยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยยั่ว

    “พี่หญิงต้องกำลังคิดว่าหญิงถูกใจเพื่อนของพี่หญิงอยู่แน่ๆเลย ใช่ไหมคะ” วิเวียนหันมาหา แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังคงกระเซ้า

    “ก็ไหนเมื่อกี้ท่านเพิ่งเป็นคนพูดว่าใช่”

    “แต่คำว่าถูกใจเมื่อกี้กับคำว่าถูกใจของพี่หญิงมันคนละความหมายนี่นา” คนรู้ตัวว่าถูกแกล้งค้อนขวับ “พี่หญิงก็รู้นี่คะว่าหญิงไม่ได้...”

    แต่ยังไม่ทันให้หญิงสาวสาธยายต่อว่าไม่ได้ทำอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสองสามครั้งแล้วก็เปิดออกพรวดชนิดที่ว่าทั้งคนนั่งบนเก้าอี้คนกำลังหวีผมให้สะดุ้งโหยงไปตามๆกัน

    “ไอ้คิล ไอ้บ้า ทีหน้าทีหลังจะเข้ามาก็ช่วยเคาะประตูหน่อยสิวะ ไม่งั้นเค้าจะลำบากสร้างประตูไว้ทำซากอะไร” คนที่ตั้งสติได้ก่อนก็รีบหันไปโวยวายใส่นักฆ่าแห่งซาเรสที่เดินดุ่มๆเข้ามาในห้อง ตามมาห่างๆด้วยเจ้าชายแห่งคาโนวาลและขอทานแห่งทริสทอร์

    “เคาะแล้ว นายไม่ได้ยินเองรึเปล่าเฟริน” คนถูกสั่งสอนเรื่องมารยาทจากคนไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ตอบกลับหน้าตาย “ฉันเคาะแล้วก็เปิดเข้ามานี่ไง”

    เออ...เจริญๆ เคาะแล้วเปิดเลย...ยังงี้มันจะเคาะให้เปลืองพลังงานทำไมวะเนี่ย

    “ช่างเหอะๆ แล้วพวกนายสามคนมีธุระอะไรเร่งด่วนขนาดบุกเข้าหาสาวน้อยอ่อนแอบอบบางอย่างพวกฉันยามวิกาลกันฮึ” คำพูดที่ทำให้พ้องเพื่อนตีหน้าเหยเก...สาวน้อยบอบบาง? ถ้าหมายถึงจักรพรรดินีแห่งเวนอลที่นั่งอยู่นั่นอาจจะใช่ แต่กับไอ้ตัวคนพูดน่ะมันยังห่างไกลกับคำว่าสาวน้อยบอบบางอยู่อักโข

    “อย่าบอกนะว่าพวกนายวางแผนจะมาลักหลับ” ประโยคต่อมาที่ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามกัดฟันกรอด

    ...อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่มันยังไม่เลิกพูดอะไรแบบนี้

    “เฟริน...” หน้าที่สกัดความช่างจ้อไร้สาระจึงตกเป็นของเจ้าชายน้ำแข็ง “รุ่นพี่โรเวนบอกว่ามีจดหมายมาถึงนาย ฉันและโร”

    “จดหมายอะไร?” เจ้าตัวยุ่งว่าขณะที่มือหนึ่งยื่นไปรับซองจดหมายสีขาวนวลมาจากเพื่อนสนิท

    “เดี๋ยวพอเปิดดูนายก็จะรู้เอง” คำตอบที่ไม่ใช่คำเฉลยดังมาจากโร เซวาเรส

    เฟรินถึงได้ก้มลงแกะซองจดหมายออกอ่าน...

    =====================================


    “น่า...คิล”

    “ไม่”

    “เถอะน่า”

    “ไม่เอา”

    “น่านะ”

    “ไม่”

    “ครั้งเดียวเอง”

    “ฉันไม่ทำ”

    “วะ! อะไรของแกหา ขอร้องแค่นี้มันยากตรงไหน อุตส่าห์เป็นเพื่อนกันมาตั้งนมนาน ไหนแกบอกเพื่อนมีไว้ให้ลำบากไงไอ้คิล แล้วแค่นี้ยังไม่ทันจะเรียกว่าลำบากซักกะผีก แกยังจะไม่ยอมช่วย” คนที่เคยเซ้าซี้เสียงหวานเปลี่ยนเป็นตะคอกด้วยอารมณ์เมื่อฝ่ายที่ตนยอมออดอ้อนขอร้องไม่ยอมรับปากตกลง

    เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงมีท่าทางหงุดหงิด เวลานี้เจ้าตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ในห้องรับรองที่จัดไว้ให้เจ้าชายคาโลกับนักฆ่าหนุ่ม เมื่อเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลของเพื่อนยังคงจับจ้อง หนุ่มผมดำก็พูดแย้ง

    “เรื่องอื่นฉันคงเต็มใจจะช่วย แต่คงไม่ใช่เรื่องนี้แน่ๆ”

    “เรื่องนี้มันต่างจากเรื่องอื่นตรงไหน” เฟรินถาม เมื่อไม่เห็นว่าจะได้คำตอบ หญิงสาวก็หันไปอีกทาง “คาโล...”

    “แค่ช่วยคุ้มกันระยะสั้นๆจนถึงเอดินเบิร์ก ทำไมนายถึงบอกว่าไม่อยากทำ” คนถูกใช้สายตาเว้าวอนจากแม่ตัวยุ่งต้องใจอ่อนอีกหน แล้วหันมาช่วยหว่านล้อม

    “ฉันไม่ถนัดงานดูแลเจ้าหญิง ยุ่งยาก” คนถูกขอยังแย้ง

    “เขาใช่เจ้าหญิงที่ไหน จักรพรรดินีหรอกเว้ย”

    “นั่นแหละที่ยิ่งยุ่งยาก” คิลยังคงยืนกรานคัดค้าน คราวนี้เฟรินจึงได้ปรายตามองไปยังชายหนุ่มผมสีชาอีกคนที่ยืนอยู่ด้วย และเหมือนจะรู้หน้าที่ ขอทานจอมรู้มากถึงได้แสร้งเปรยขึ้นลอยๆ

    “พอเถอะเฟริน...ความจริงงานนี้ก็เป็นหน้าที่ของทหารเวนอลที่ต้องให้การอารักขาองค์จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าอยู่แล้ว อีกอย่าง...ระหว่างการเดินทางจากที่นี่ไปถึงเอดินเบิร์ก เส้นทางแม้ไม่ไกลนักแต่ก็คดเคี้ยว บางทีอาจมีมือสังหารซุ่มโจมตี...คิลอาจคงกลัวว่ามันจะอันตรายถึงได้...” ไม่ทันพูดจบคนถูกสบประมาทก็ตวาดลั่น

    “ใครบอกว่าฉันกลัวไอ้พวกฝีมือกระจอกแบบนั้น”

    ติดกับ...

    “นายไม่ได้กลัว?” ขอทานจอมเจ้าเล่ห์แกล้งถาม

    “ไม่เคยกลัว”

    “ถ้านายบอกว่าไม่กลัว งั้นหน้าที่ช่วยคุ้มกันเกวียนขององค์จักรพรรดินีคงไม่เหลือบากกว่าแรงของนายสิใช่ไหม?”

    “แน่นอน” พอคนตรงหน้าหลุดประโยคดังกล่าวออกมา โรก็ยิ้มกริ่ม คิลที่ยังงงๆแต่ก็รู้ตัวแล้วว่าถูกไอ้ขอทานคนดังกล่าวหลอกเข้าให้แล้วก็ตอนที่เสียงของเฟรินดังขึ้น

    “ขอบใจมากคิล ฉันจะได้ไปบอกโรเวน” ว่าแล้วเจ้าตัวก็วิ่งพรวดพราดออกจากห้องไป

    ทิ้งให้นักฆ่าหนุ่มได้แต่ส่งสายตาอาฆาตมาให้กับขอทานอวดรู้แห่งทริสทอร์...

    ================================

    เสียงนกร้องขับขานยามเช้าดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เมื่อสติทั้งหลายค่อยๆตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา แพขนตาหนาที่ทาบนวลแก้มขาวขยับนิดๆ ก่อนที่นัยน์ตาสีมรกตจะได้รับแสงแรกของวัน เจ้าของตาสีอัญมณีล้ำค่ากระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสายตาให้คุ้นเคย ก่อนที่จะยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียง ไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อประตูห้องบรรทมถูกเปิดพรวด

    “ตื่นแล้วเหรอ ขอโทษทีนะที่ไม่ได้เคาะ กลัวว่าจะทำให้เธอตื่นน่ะ เลยกะว่าจะเข้ามาปลุกเอง” คำทักทายยามเช้าจากชายหนุ่มชวนให้สับสนนัก จนคนฟังสงสัยว่าเพราะคนตรงหน้าพูดให้งงเองหรือเพราะเธอยังไม่ตื่นดีกันแน่

    “คุณคิล? มาทำอะไรแต่เช้าคะ” วิเวียนเอ่ยถามเมื่อพิจารณาร่างที่อยู่ในห้องได้ถนัดแล้ว “แล้วพี่หญิงไปไหนแล้วล่ะคะนี่?” เธอว่าขณะก้มลงมองที่ว่างข้างตัวซึ่งปราศจากวี่แววของคนที่เธอกำลังพูดถึง

    “ไปแล้ว” คิลตอบสั้นๆ ทำเอาคนฟังกระพริบตาปริบๆ

    “ไปไหนคะ?” วิเวียนทวนถาม

    “เอดินเบิร์ก” คำตอบยังสั้นเหมือนเคย

    “เอดินเบิร์ก ไปทำไม?”

    “มีจดหมายเรียกตัวจากเลโมธีส่งมา เฟริน คาโล โรกับรุ่นพี่โรเวนจึงต้องล่วงหน้ากลับไปที่โรงเรียนก่อน...จบข่าว” คำต่อท้ายประโยคของนักฆ่านั้นบอกให้รู้เป็นนัยๆว่า เขาไม่ต้องการจะตอบคำถามอะไรมากไปกว่านี้ วิเวียนเองก็รู้นิสัยของเพื่อนพี่หญิงของเธอคนนี้อยู่บ้างว่าเขาไม่ชอบทำอะไรที่เสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ เรื่องการตอบคำถามก็เช่นกัน...ดังนั้นถ้าอยากจะรู้อะไรก็คงต้อง...

    “ที่คุณคิลยังอยู่นี่ก็เพราะถูกพี่หญิงขอร้องให้เป็นคนพาหญิงไปส่งที่เอดินเบิร์กสินะคะ” วิเวียนเอ่ยถามแทน คิลพยักหน้ารับ

    “พี่หญิงคงเป็นกังวลว่าอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างเดินทาง ถึงได้ให้คุณคิลคอยอยู่คุ้มกันหญิงใช่ไหมคะ?” อีกฝ่ายพยักหน้า

    “พี่หญิงหรือไม่ก็เจ้าชายคาโลคงกำชับให้รีบเดินทางตามไปใช่ไหมคะ?” พยักหน้าอีก

    “และถ้าเป็นไปได้ก็คงอยากให้เดินทางในวันนี้เลยใช่ไหมคะ?” พยักหน้าอีกครั้ง

    “เข้าใจแล้วค่ะ...ถ้าอย่างนั้นคุณคิลลงไปรอข้างล่างก่อนนะคะ เดี๋ยวหญิงแต่งตัวเสร็จแล้วจะตามไป...เอ้อ ถ้าหิวล่ะก็ ทานก่อนได้เลยนะคะ ไม่ต้องรอ...หญิงยังไม่หิว” นักฆ่าพยักหน้ารับอีกแล้วจึงทำท่าจะเดินออกจากห้องไป ทว่าก่อนที่ร่างสมส่วนนั้นจะข้ามพ้นธรณีประตู เสียงของคิลก็ดังขึ้น

    “นี่”

    “คะ? มีอะไรคะ? คุณคิล”

    “ไม่ต้องเรียกว่าคุณก็ได้ เรียกเหมือนเมื่อก่อนเถอะ”

    “ได้ค่ะ คิล...ว่าแต่ทำไมหรือคะ?”

    แอ๊ด...ปัง
    เสียงประตูที่ปิดลงบ่งบอกให้รู้ว่าคนถูกถามจากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วิเวียนมองตามประตูนั้นอย่างสงสัยทว่าก็ไม่ได้ใส่ใจนัก...

    ===============================

    “ครบแล้วนะ?”

    “ครบแล้วค่ะ”

    “ไม่ลืมอะไรนะ?”

    “ไม่นี่คะ”

    “เสื้อผ้า ของใช้ เอาไปแล้วนะ?”

    “เอาไปหมดแล้วค่ะ...โถ่ คิล หญิงไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ ถึงจะได้ลืมนั่นลืมนี่อยู่บ่อยๆ” เสียงหวานแหวใส่นักฆ่าหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงด้านหลังเกวียนที่สายตายังสอดส่ายเข้าไปยังหีบบรรจุข้าวของอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก ขณะที่องค์จักรพรรดินีแห่งเวนอลยืนห่างออกมาไม่ไกล

    “ก็เผื่อไว้” คิลว่ามาแค่นั้นแล้วก็หันกลับไปเชคข้าวของในเกวียนต่อ

    “หญิง...” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง วิเวียนหันกลับไปมองก็พบกับเฟย์น่าที่ออกมาส่งเธอเฉกเช่นเดียวกับเหล่าแม่ทัพใหญ่พร้อมด้วยข้าราชบริพารหลายสิบคน

    หญิงสาวผู้มีผมสีทองสลวยโผเข้ากอดลาแม่นมคนสนิทที่คอยเลี้ยงดูมาแต่ครั้งยังเยาว์ หยาดน้ำใสๆเอ่อคลอในนัยน์ตาสวยหากแต่ผู้มีอำนาจเหนือใครๆก็จำต้องยับยั้งมิให้มันหลั่งรินลงมา

    “นมขอให้หญิงค้นพบกับความสุขอย่างที่หญิงต้องการมาตลอดนะเพคะ” เฟย์น่าทูลทั้งน้ำตา

    “ค่ะ...ขอบคุณมากนะคะนม”

    “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย อย่าเป็นห่วงเรื่องราวที่เวนอล พวกกระหม่อมจะคอยปกป้องประเทศนี้ไว้ด้วยชีวิต” คำปฏิญาณกลายๆของแม่ทัพคอริปัสก้องกังวาน ขณะที่ยกมือขึ้นถวายความเคารพ เช่นเดียวกับบรรดาทหารด้านหลัง วิเวียนคลายอ้อมกอดออกจากแม่นมแล้วหันไปส่งยิ้มพรายให้

    “คงต้องรบกวนท่านแล้ว...ที่ผ่านมาเราก็รบกวนท่านมาตลอด...แล้วยังจะคราวนี้อีก” ท้ายประโยคนั้นฟังดูหดหู่ยิ่งนัก ยามที่นัยน์เนตรสีมรกตหลุบลงด้วยความรู้สึกที่คนมองไม่อาจเข้าใจ

    “อย่าดำรัสเช่นนั้นเลยฝ่าบาท พระองค์เป็นจักรพรรดินีที่ดีที่สุดเท่าที่เวนอลพึงจะมีได้...หากไม่ใช่เพราะการเสียสละของพระองค์ เวนอลคงจะไม่ได้มีวันนี้”

    แน่ล่ะสิ...ก็มีวิเวียนเป็นจักรพรรดินีคนแรกนี่หว่า...
    ความคิดหนึ่งดังขึ้นในใจของนักฆ่าหนุ่มที่รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน จึงได้แต่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ

    “นม...หญิงไปก่อนนะคะ” วิเวียนหันมาบอกลาหญิงสาวที่เลี้ยงดูเธอมาราวกับลูก “รักษาตัวนะคะ...ทุกๆคน”

    แล้วเหล่าทหารรวมทั้งข้าราชบริพารทุกคนในที่นั้นต่างก็ย่อตัวลงไปถวายความเคารพ ขณะองค์จักรพรรดินีเสด็จขึ้นไปประทับบนเกวียน ก่อนจะตามมาด้วยนักฆ่าหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ บรรยากาศในเพลานี้อบอวลไปด้วยความเศร้าสลด บางคนถึงกับหลั่งน้ำตา แม้คนนอกอย่างเขาจะพอเข้าใจว่าวิเวียนจะต้องจากเวนอลไปอยู่ที่เอดินเบิร์ก แต่ก็ไม่เห็นจะต้องเสียใจขนาดนี้

    ราวกับว่าจะเป็นการร่ำลาชั่วชีวิตอย่างไรอย่างนั้น...

    ==========================================

    เกวียนควบปุเลงๆไปช้าๆด้วยฝีมือของสารถีสองนายจากเวนอล ผ่านประตูเมืองและย้อนทวนเส้นทางที่คิลกับพวกเฟรินใช้ก่อนหน้านี้

    เมื่อสบโอกาส นักฆ่าหนุ่มจึงได้เอ่ยถาม

    “ทำไมอยู่ดีๆเธอถึงจะไปเรียนที่โรงเรียนพระราชา” นัยน์ตาสีมรกตของคนถูกเรียกช้อนขึ้นสบมองอย่างสงสัย เพราะนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้กลับมาพบกันที่ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยเหมือนชวนคุย

    วิเวียนจึงขยับกายน้อยๆแล้วเอ่ยรับด้วยสุรเสียงนุ่มนวล “หญิงคิดว่าคงจะเป็นการดีที่ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวต่างๆในโรงเรียนพระราชาน่ะค่ะ”

    “หือ? แต่เธอไม่เคยไปเรียนที่นั่นมาก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วยังงี้จะตามคนอื่นๆเขาทันไหมล่ะนั่น…ขำอะไร?” ที่จบประโยคแบบนั้นก็เพราะตอนนี้หญิงสาวตรงหน้ากำลังยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก

    “ขำคิลน่ะสิคะ...รู้ไหมว่าตอนที่หญิงบอกพี่หญิงก่อนหน้านี้ พี่หญิงก็ถามคำถามเดียวกับคิลเลยค่ะ”

    “แล้วเธอตอบไปว่ายังไง”

    “หญิงตอบว่า ตอนอยู่ที่เวนอลหญิงก็เรียนอะไรต่อมิอะไรมาเยอะ แล้วก็ย้อนถามไปว่า พี่หญิงเองเถอะ อยู่ที่โรงเรียนพระราชาตั้งใจเรียนบ้างรึเปล่า” คนฟังเผยรอยยิ้มมุมปากรับคำกล่าวนั้น ครั้นเมื่อเห็นนัยน์ตาสีเขียวของอีกฝ่ายยังมองมา นักฆ่าหนุ่มแห่งซาเรสก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกย้อนด้วยเหมือนกัน

    “ฉันน่ะเหรอ?” คิลชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “ก็น่าจะรู้ๆอยู่”

    “คือตั้งใจเรียนตลอดเวลา?” วิเวียนลากเสียงสูงเหมือนแกล้งไม่เข้าใจ

    “หลับตลอดเวลาต่างหาก” คิลสวนทันควันแล้วก็ต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากสนิทเมื่อหลุดปากออกมาเสียเอง หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะว่าต่อ

    “ลำบากเจ้าชายคาโลแย่เลย”

    นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาอันยาวเหยียดที่ตามมา ตลอดการเดินทางเมื่อสาวน้อยเอาแต่ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบและเรื่องของพี่หญิงคนสำคัญของเธอไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งเกวียนหยุดพักเมื่อพลบค่ำ...

    สายน้ำเย็นในลำธารส่งเสียงดังจ๋อมแจ๋มเมื่อหญิงสาวจุ่มเท้าลงไปในน้ำหวังคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทาง ร่างบางใช้มือข้างหนึ่งต่างที่ค้ำยันขณะที่ทิ้งลงตัวลงนั่งริมลำธาร นัยน์ตาคู่สวยทอดมองไปยังเงาสะท้อนของจันทราที่ปรากฎบนผิวน้ำ หากทว่าความคิดกลับเดินทางไปไกลกว่านั้น

    “เฮ้!” เสียงเรียกทำให้คนที่กำลังจมอยู่ในความคิดตนเองสะดุ้งเฮือก ครั้นหันหลังกลับไปดูก็พบกับร่างของบุคคลที่คุ้นเคย ซึ่งแม้ว่าตอนนี้จะสูงและกำยำขึ้นกว่าเมื่อปีก่อน แต่ใบหน้าดูดีติดจะหวานนิดกับนัยน์ตาสีม่วงที่พราวระริกอยู่เสมอก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

    “มีอะไรคะ?” คนนั่งอยู่ก่อนเอ่ยถาม

    “มาทำอะไรที่นี่?” อีกฝ่ายกลับถามแทนคำตอบ ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างหลัง “มืดๆแบบนี้มันอันตราย”

    คำปรามาสนั้นทำให้เจ้าของนัยน์ตาสีมรกตละสายตาจากร่างสมส่วนของนักฆ่าหนุ่มแล้วหันกลับไปทอดมองพระจันทร์ในน้ำนิ่ง ปากก็ขยับเอ่ยไปเรื่อย

    “ชมจันทร์ค่ะ...คืนนี้เป็นคืนวันเพ็ญเสียด้วย” วิเวียนตอบเรียบๆ แต่ไม่ทันคิดว่าคำต่อของอีกฝ่ายจะกลายเป็น

    “เธอบ้ารึเปล่า?”

    “คะ?”

    “ปกติคนเค้าจะดูพระจันทร์ก็ต้องแหงนหน้ามองฟ้าสิ มีอย่างที่ไหนก้มมองข้างล่าง” คิลว่าพลางเดินเข้ามานั่งด้วย

    “มองจากตรงนี้ก็เห็นค่ะ” หญิงสาวชี้ไปที่เงาพระจันทร์ในน้ำ

    “เงามันเนี่ยนะ” นักฆ่าหนุ่มร้องเสียงหลง คิดในใจว่าพวกผู้หญิงนี่ชอบทำอะไรแปลกๆ

    “ถึงจะเป็นเงาก็ยังสวยอยู่ดีล่ะค่ะ” วิเวียนเอ่ย “คนเรามัวแต่มองดูพระจันทร์บนฟ้าตลอดเวลา ถึงได้ไม่รู้ว่าเงาที่สะท้อนอยู่ในน้ำงดงามเพียงไร”

    นักฆ่าหนุ่มนิ่งเงียบ แม้ว่าสมองพยายามย่อยข้อมูลนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย หญิงสาวข้างตัวจึงได้ว่าต่อไป

    “จันทราบนฟ้าอาจคว้ายาก แต่หากมองลงมาคงจะเห็น ตัวตนที่ถูกละทิ้งของดวงจันทร์ ซึ่งทอดนิ่งอยู่เดียวดาย” กลอนเปล่าถูกยกมาขับขานด้วยท่วงทำนองแสนเศร้า ครั้นพยางค์สุดท้ายถูกเอ่ย นัยน์ตาสีเขียวก็หลุบลงต่ำราวกับจะทอดสายตาดูเงาสีเหลืองนวลนั้นอยู่เงียบๆ

    “...ทำไม” เสียงพึมพำดังมาจากคนข้างตัว

    “คะ?”

    “ทำไมพวกผู้หญิงนี่ชอบคิดมาก...เรื่อยเปื่อย ทั้งๆที่คิดไปก็มีแต่ทำให้ตัวเองปวดหัว แล้วก็ยังจะคิดอีก” คิลว่า แต่เป็นคำพูดที่ทำให้วิเวียนหันไปมองคนข้างตัวอย่างสนใจ

    “คุณคิลพูดถึงใครอยู่คะ? เพื่อนที่โรงเรียน?” คำถามนั้นทำเอานักฆ่าสะอึก พลันภาพของในบางคนก็ผุดขึ้นมาวูบหนึ่ง ...ใครบางคนที่เขามักจะเห็นว่าชอบทำสีหน้าเศร้าๆ เวลาที่เห็นใครสองคนอยู่ด้วยกัน

    ใช่...คนสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง

    เธอคนนั้น...

    “แล้วเธอล่ะ...ยังคิดเรื่องโรเวนอยู่อีกเหรอไง” คำถามผ่ากลางปล้องที่ไม่ได้คาดคิดทำให้อีกฝ่ายสะอึกบ้าง ตอนแรกร่างบางก็อ้าปากจะตอบแต่ก็ดูจะหาคำพูดอะไรไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ชายหนุ่มพูดนั้นเป็นความจริง

    จักรพรรดินีแห่งเวนอลเม้มริมฝีปาก สีหน้าแม้ยังเรียบเฉยหากแต่นัยน์ตาคู่สวยนั้นไหววูบด้วยอารมณ์ เธอแสร้งมองไปทางอื่น เหมือนตั้งใจจะไม่ตอบคำถาม คิลจึงได้แต่ไหวไหล่แล้วปล่อยผ่านไป กระทั่งเสียงหวานดังขึ้นอีกครั้ง

    “อย่างที่คิลว่านั่นล่ะ เงาน่ะถึงแม้จะสวยยังไง แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่เงา ไม่มีทางเป็นพระจันทร์ได้อยู่ดี” น้ำเสียงนั้นสั่นพร่า ...กิริยาที่คนไม่คุ้นเคยกับการดูแลผู้หญิงเริ่มนึกหวั่น ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นักฆ่าแห่งซาเรสมองซ้ายมองขวาเพื่อหาตัวช่วยเป็นพัลวัน

    ภายในใจของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ รอยแผลที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาซ้ำยังคงถูกทำร้ายซ้ำรอยเดิมเริ่มจะแผลงฤทธิ์ กัดกร่อนจิตใจจนเจ็บปวด ยิ่งหวนนึกถึงสีหน้าของใครบางคนที่เป็นต้นตอของความเจ็บช้ำเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า น้ำใสๆก็พากันมารื้นอยู่ตรงขอบตา แต่ยังไม่ทันจะได้ไหลริน เสียงเรียกข้างตัวก็ทำให้ชะงัก

    “วิเวียน เธอชอบร้อนหรือเย็น” คนถูกถามกระพริบตาปริบๆหันไปมองเหมือนอยากจะรู้เหตุผล แต่ก็ยังเอ่ยตอบ

    “น่าจะเย็นมากกว่าค่ะ ร้อนๆหญิงไม่ค่อยชอบ”

    “ชอบเย็นๆนะ?” คิลทวนถาม

    “ค่ะ...แล้วนี่ถามทำ...ว้าย!” พูดมาได้เท่านั้นก็ต้องเปลี่ยนเป็นอุทานลั่น แล้วตามมาด้วยเสียงวัตถุหนักๆตกลงไปในน้ำดังตูม

    “ทำอะไรคะ?!” เมื่อตั้งสติได้ วิเวียนก็แหวใส่ตัวการที่ผลักเธอมาลงในน้ำ ลำธารนี้แม้จะลึกแค่โคนขาแต่เมื่อถูกผลักตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็ทำเอาสำลักน้ำไปหลายอึก

    นัยน์ตาสีเขียวโชนแสงอย่างเอาเรื่อง แต่นัยน์ตาสีม่วงยังคงเรียบเฉยยามมองกลับมา แล้วเสียงของนักฆ่าตัวการก็ดังขึ้น

    “ไหนว่าชอบเย็นๆ น้ำมันไม่เย็นเหรอไง”

    “ไอ้เย็นน่ะเย็นอยู่หรอกค่ะ แต่ทำไมอยู่ๆถึงจะต้องผลักหญิงลงมาทดสอบอุณหภูมิน้ำอย่างนี้ด้วยคะ”

    “เค้าว่ากันว่าน้ำเย็นๆช่วยให้สมองโล่ง” คำตอบยังเฉไฉไม่ตรงคำถาม สุดท้ายแล้วคนถูกให้ลงมาเล่นน้ำอย่างไม่เต็มใจจึงลอบถอนหายใจแล้วปล่อยเลยตามเลย ไม่ทันไรความคิดหนึ่งก็แว่บขึ้นในหัว วิเวียนจึงได้ยื่นมือไปหาคิลพลางส่งสายตาเหมือนจะขอให้ช่วย อีกฝ่ายที่ไม่ทันคิดอะไรมากและเป็นคนไม่ชอบคิดอยู่แล้วจึงได้เอื้อมมือมาจับตอบโดยสัญชาตญาณ ทันใดนั้นเอง ร่างบางที่อยู่ในน้ำก่อนแล้วจึงออกแรงดึงคนโตกว่าให้ลงมาด้วย

    ซ่า...

    “...นี่...!”

    “ชอบร้อนหรือชอบเย็นคะ? คิล” หญิงสาวชิงถามขึ้นก่อนเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจะอ้าปากพูด

    “...ร้อน...” คำตอบของคนถูกดักคอตอบเซ็งๆ เส้นผมสีดำที่เคยยุ่งบัดนี้ตกลู่ลงมาปรกใบหน้า เจ้าตัวจึงยกมือขึ้นเสยมันไปไว้ด้านหลังก่อนจะลุกขึ้นมายืน ครั้นยื่นมาให้เจ้าหล่อนจับ ร่างบางก็จัดการดึงเขาให้ลงมานั่งในน้ำอีกครั้ง ส่วนตัวเองลุกขึ้นมายืนหน้าตาเฉย

    คิลตีหน้ามุ่ยก่อนจะยื่นมือไปหาวิเวียน ตั้งใจจะให้เจ้าหล่อนจับไว้แล้วเขาจะได้เอาคืน แต่คนตรงหน้ากลับไม่หลงกลซ้ำยังเอามือวักน้ำใส่หน้าเขาแทนอีกต่างหาก แล้วก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ

    ฝากไว้ก่อน...
    นักฆ่าหนุ่มเข่นเขี้ยวในใจ

    “นานๆได้ทำอะไรนอกกรอบบ้างก็โล่งใจดีเหมือนกันนะคะ” วิเวียนเปรย

    “งั้นเฟรินมันคงได้โล่งใจวันละหลายสิบครั้งแล้วถ้างั้น” คิลตอบ ซึ่งอีกฝ่ายก็หัวเราะรับ

    เด็กสาวเจ้าของตำแหน่งจักรพรรดินีที่ตอนนี้เปียกมะล่อกมะแล่กพยายามบิดน้ำออกจากชายกระโปรงของตัวเอง ขณะที่เด็กหนุ่มผู้สืบทอดนามสกุลฟีลมัสยังคงนั่งอยู่ในน้ำอย่าไม่ใส่ใจจะลุกขึ้น

    คิลมองดูคนตรงหน้า มือเล็กๆทั้งสองของวิเวียนรวบชายกระโปรงขึ้นเพื่อรีดน้ำออก ชุดกระโปรงแบบเปิดไหล่เมื่อเปียกน้ำก็ส่งให้แขนเสื้อข้างหนึ่งลู่ลงมาอยู่ในตำแหน่งที่เกือบจะน่าหวาดเสียว แต่ดูเหมือนเจ้าตัวในเวลานี้จะไม่ได้ใส่ใจ...เมื่อมองจากมุมของนักฆ่าหนุ่มในตอนนี้ แสงจันทราที่เป็นฉากหลัง ขับผิวขาวให้ดูคล้ายจะเรืองแสงเรื่อ เรือนผมสีทองหนานุ่มบัดนี้เปียกลู่ เกล็ดน้ำที่เกาะอยู่ตามเส้นผมเมื่อสะท้อนแสงจันทร์ก็ทอประกายงดงาม และมากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าตกอยู่ในความตะลึงงัน

    หากบุรุษใดได้เห็นภาพในตอนนี้ก็คงไม่อาจจะละสายตาไปได้ ภาพของหญิงสาวในแสงจันทราที่ดูงดงามราวกับไม่ใช่คนบนโลก...ดั่งจิตรกรบรรจงเสกสรรค์ให้เป็นผลงานศิลปะอันวิจิตรตระการตา มีเสน่ห์ลึกลับชวนให้หลงใหล

    ครั้นเมื่อนัยน์ตาสีมรกตสวยนั้นหันมาสบด้วย...กระแสดึงดูดบางอย่างที่อยู่ในนั้นก็ทำให้เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้เลย

    และยามที่เจ้าหล่อนแย้มรอยยิ้มพราย...นั่นก็เป็นครั้งแรกที่คิลได้รู้จักกับคำว่าหัวใจแทบจะหยุดเต้น

    ========================================

    “ใกล้จะถึงแล้วสินะคะ โรงเรียนพระราชา” เสียงหวานเอ่ยขึ้นเมื่อพินิจดูทิวทัศน์สองข้างทางที่รายล้อมไปด้วยร้านค้าแผงลอยมากมาย เสียงพ่อค้าแม่ขายร้องเรียกลูกค้า เสียงผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของดังอยู่รอบๆ บ่งบอกว่าตอนนี้เกวียนของพวกเธอได้เข้ามาถึงตลาดในตัวเมืองเอดินเบิร์กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “พอไปถึง เธอก็พักผ่อนได้แล้ว” เสียงยามนักฆ่าหนุ่มที่ยามนี้ถูกเปลี่ยนมาเป็นองครักษ์ชั่วคราวต่อคำ เมื่อคนถูกบอกให้พักหันมามองเหมือนจะถามว่าทำไม เขาก็พูดต่อ “ตั้งแต่เมื่อวานเดินทางมาตลอด ไม่เห็นว่าเธอจะพักผ่อนเลยนี่”

    “ถ้าเห็นหญิง แสดงว่าคิลเองก็ไม่ได้พักเหมือนกันล่ะค่ะ” วิเวียนตอบด้วยเสียงเชิดสูง ขณะที่คิลเอามือเกาหัวแกรกๆ

    ต่อปากต่อคำเก่งขึ้นเยอะ...
    นั่นเป็นความคิดที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าเห็นตรงกันกับเพื่อนหัวขโมยตัวยุ่ง

    “ฉันกับเธอมันคนละกรณี”

    “หญิงยังแข็งแรงดีอยู่ อย่าห่วงไปเลยค่ะ” คนที่เพิ่งถูกบอกว่าประชวรหนักยังดื้อดึง อีกฝ่ายจึงแค่ไหวไหล่แล้วไม่ต่อคำอะไรอีก

    อยากรู้นักว่าพวกเจ้าหญิงเนี่ย เป็นอย่างนี้ทุกคนรึเปล่า
    คิลคิดอย่างเบื่อๆ

    ถ้าไม่นับรวมเฟริน...พวกเจ้าหญิงแต่ละคนที่เขาเคยพบนี่ล้วนแต่ยุ่งยากชวนปวดหัว...แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเป็นกันแค่เฉพาะเจ้าหญิงหรือว่าผู้หญิงทุกคนนี่เป็นอย่างนี้หมด

    ถ้าเป็นงั้นจริง เขายอมอยู่เป็นโสดไปตลอดชาติเลยดีกว่า...

    อย่างมาทิลด้า...รายนั้นเอะอะๆก็ทุบโต๊ะเอาทุบโต๊ะเอา แถมยังดุยังกะเสือ คิดแล้วก็สยอง...
    ถ้าเป็นแองเจลีน่า...วันๆเอาแต่หวดคทากายสิทธิ์...แถมยังขี้บ่นสุดยอด...หัวโนแล้วยังต้องหูชาอีก
    หรือจะ...เป็นเรนอน?
    ...กับวิเวียน?
    อืม...แค่นิสัยก็คล้ายๆกัน หรือว่าเจ้าหญิงส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้...

    คิลนึกเปรียบเทียบหญิงสาวทั้งคู่ว่ามีนิสัยเหมือนและต่างกันตรงไหน

    วิเวียนเมื่อก่อนนิสัยค่อนข้างจะคล้ายเรนอน...นิสัยแบบที่เขานิยามได้คำเดียวว่า ผู้หญิ๊ง ผู้หญิง...
    แต่วิเวียนคนปัจจุบันนี้ล่ะ...

    พลันเสียงของคนที่กำลังถูกนินทาในใจก็ดังแว่วมา...

    “ไม่ทันไรก็หลับไปแล้วเหรอคะ คิล...แล้วยังจะมาบอกหญิงให้ดูแลตัวเองอีก”

    เหมือนเฟริน...
    นักฆ่าหนุ่มเริ่มถึงบางอ้อ
    อย่างนี้ต้องรีบจับแยก

    “ฝ่าบาท พวกเรามาถึงโรงเรียนพระราชาแล้วพะย่ะค่ะ ” เสียงของหนึ่งในสารถีตะโกนมาจากนอกเกวียน ผู้โดยสารทั้งสองคนถึงได้ไหวตัว คนที่กระโดดลงมาจากเกวียนก่อนเป็นทายาทตระกูลฟีลมัสจากนั้นจึงช่วยประคองให้ร่างบางของจักรพรรดินีแห่งเวนอลลงมาจากเกวียน

    ตัวปราสาทของโรงเรียนพระราชาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า นับเป็นครั้งแรกที่วิเวียนได้มาที่นี่ในโอกาสอื่นที่ไม่ใช่การเสด็จมาร่วมประชุมยี่สิบสี่ประเทศอย่างเมื่อสองปีที่แล้ว ทำให้ความรู้สึกบางอย่างในใจของเธอเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง

    หัวใจของเด็กสาวเต้นรัวจากจังหวะช้าๆกลายเป็นเร็วขึ้น...ทว่าจู่ๆวิเวียนก็รู้สึกเหมือนการเต้นของหัวใจผิดแปลกออกไป

    “เอาล่ะ เอาของลงแล้วรีบไปหาพวกเฟรินกัน...เฮ้! วิเวียน!” คิลเปลี่ยนจากพูดเป็นตะโกนเมื่อเห้นว่าคนข้างตัวดูจะไม่ได้ยินที่เขาพูด เด็กหนุ่มผมดำเห็นนัยน์เนตรสีมรกตแปรเป็นความว่างเปล่า พักตร์ขาวไร้สีเลือด แต่ก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น เมื่อร่างบางโงนเงนก่อนจะทรุดลงไป ไม่ต้องเสียเวลาให้คิด นักฆ่าแห่งซาเรสก็ถลาเข้าไปประคองได้ทันท่วงที ก่อนที่จักรพรรดินีคนสวยแห่งเวนอลจะได้ลงไปบรรทมอยู่ที่พื้น

    คิลกัดฟันกรอด...นึกคาดโทษไอ้พวกเพื่อนตัวดีไล่ไปทีละคน สมแล้วที่บอกว่ามีไว้ให้ลำบาก นึกหน้าของบรรดาคนที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องมารับหน้าที่ยุ่งยากนี่อย่างหงุดหงิด ก่อนจะก้มลงมามองคนในอ้อมแขน เด็กหนุ่มเข่นเคี้ยวก่อนจะตัดสินใจช้อนร่างวิเวียนขึ้นมาแล้วรีบตรงดิ่งไปหาคนที่สมควรจะจัดการกับเรื่องนี้

    ยายเจ้าหญิงงี่เง่า...พอถึงเอดินเบิร์กปุ๊บ ก็สรรหาเรื่องมาให้เขาปั๊บเลยเชียวนะ!

    =====================


    อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะเริ่มเดาคู่ขวัญประจำฟิคนี้ได้กันบ้างแล้ว

    ไม่รู้ว่าอูหลงจะต้องรีบอพยพหลบหนีบรรดาแม่ยกคู่โรเวน-วิเวียน แล้วยังไม่พอ ต้องมาหนีแม่ยกคิลลี่อีกต่างหาก Crying or Very sad กรรมของเวรแท้ๆ...

    เอาล่ะ อย่างเคยฮะ ขอความกรุณาช่วยกันคอมเมนต์หน่อยนะฮะ

    จะบ่น จะติชม จะระบายอารมณ์ ยังไงก็ได้

    จะเสนอแนะอะไร ตามสบายฮะ ข้าน้อยยินดีรับฟังทุกคอมเมนต์


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×