คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : The Dawn, the Twilight [Fic Baramos] - บทที่ 1
บทที่ 1: หวนพบ [The first dawn which leads to the farewell]
“น่า...เฟริน”
“ไม่”
“เถอะน่า”
“ไม่เอา”
“น่านะ”
“ไม่!”
“นิดเดียว”
“ไม่เอาว้อย! เอ๊ะ! ไอ้คิล แกนี่ยังไงของแกวะ กำลังกลุ้มๆอยู่ ใครหน้าไหนจะไปมีอารมณ์เล่นหมากรุกกับแก!!” เสียงหวานของหญิงสาวผมสีน้ำตาลตวาดใส่เพื่อนรักนักฆ่าที่กระตุกแขนเสื้อยิกๆเซ้าซี้ให้เล่นหมากรุกด้วยกัน นัยน์ตาสีม่วงของคนถูกดุวาววับขัดใจก่อนจะตอบเรื่อยๆ
“บอกว่าไม่ว่าไม่ก็เห็นแกหลวมตัวเล่นมาตั้งหลายกระดานแล้วนี่หว่า” คราวนี้คนถูกย้อนถึงกับชะงักก่อนจะรีบเถียงกลับข้างๆคูๆ
“ไอ้ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้นสิวะ นั่นมันตั้งกะยังไม่ทันเข้าเขตเวนอล แต่ตอนนี้ข้ามเขตมาแล้ว ใจมันก็ต้องวุ่นกว่าเดิมเป็นของธรรมดา” ว่าแล้วก็แสร้งหันไปตะโกนถามสารถีที่อยู่ข้างนอกเกวียน “พี่โรเวนฮะ ผมนั่งจนก้นด้านหมดแล้ว ยังไม่ถึงพระราชวังเวนอลอีกเหรอพี่” คำพูดประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มขำขันจากเด็กหนุ่มผมดำข้างๆ และรอยยิ้มละไมจากนายขอทานที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยซึ่งนั่งอีกมุม แต่เจ้าชายแห่งคาโนวาลกลับปราดสายตาดุๆมาให้คนพูดแทน
“เราเข้าเขตเวนอลมาได้สักพักแล้ว อีกไม่นานก็คงจะถึงที่หมาย” เสียงของสารถีกิติมศักดิ์จากเจมิไนดังแว่วมา “เธอใจร้อนขนาดนั้นเลยหรือเฟริน”
“พี่ก็ถามอะไรแปลกๆ ว่าแต่พี่เองเหอะ ไม่กังวลบ้างหรือไง”
“ถึงจะกลุ้มใจกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์จริงไหม เดี๋ยวถ้าไปถึงแล้วเราก็รู้เรื่องเอง” เจ้าชายคนเก่งตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆไม่อาทรร้อนใจใดๆ แต่คนถามกลับชักหน้ามุ่ย
ก็จะไม่ให้กังวลได้ยังไง...เฟรินบ่นอุบในใจ ไอ้ตอนแรกที่รู้เรื่องใจก็ตกไปอยู่ตาตุ่ม ครั้นพอกระวีกระวาดเฮโลกันมาที่นี่ก็ยังกังวลอยู่ แต่พอต้องฝ่าฟันอุปสรรคเดินทางข้ามวันข้ามคืนผ่านเมืองต่างๆ ไอ้ใจที่กลุ้มๆมันก็แบ่งเนื้อที่ไปให้ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าประกอบกับอาการเซ็งที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่แต่ในเกวียนมาตั้งหลายวัน
กลุ้มไปก็ไม่มีประโยชน์งั้นเหรอ?...เชอะ แล้วไอ้คนที่สั่งเนรเทศพวกเธอออกมาจากโรงเรียนโดยไม่ให้เวลาแม้แต่จะเก็บของแล้วรีบเดินทางโดยไม่ยอมพักนี่มันใครกัน ไม่ใช่พี่ท่านเองรึไง
เฟรินคิดแล้วก็นึกไปถึงสาเหตุของความกลุ้มใจของเธอ...ใช่สาเหตุมันมาจากจดหมายด่วนที่ทหารเวนอลบนหลังมังกรจันทราเป็นคนเอามาส่งให้กับเธอถึงมือ
ถึงองค์หญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล
หม่อมฉันเฟย์น่าเป็นแม่นมในจักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าแห่งเวนอลเพคะ ตอนนี้องค์จักรพรรดินีกำลังประชวรหนัก ซ้ำยังทรงเพ้อหาถึงแต่พี่หญิงของพระองค์ หม่อมฉันจึงใคร่ขอความกรุณาหากท่านไม่รังเกียจ โปรดเดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจจักรพรรดินีที่พระราชวังเวนอลเถิดเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าหากได้พบกับท่านอาการประชวรขององค์จักรพรรดินีคงจะทุเลาขึ้นเป็นแน่
ขอความกรุณาด้วยเพคะ
ทันทีที่อ่านถึงพยางค์สุดท้ายจบ หัวใจของเฟรินก็ตกหายไปไหนแล้วไม่รู้ แต่ยังไม่มีเวลาให้กังวลนานนักเมื่อประตูห้องพักของเธอถูกเปิดออกดังปัง ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงสง่าของเจ้าชายแห่งเจมิไน จดหมายสีขาวในมือบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเองก็ได้รับจดหมายแจ้งข่าวแบบเดียวกัน
ไม่เปิดช่องว่างใดๆให้ได้อ้าปากเถียง โรเวนก็จัดการขออนุญาตจากมหาปราชญ์เลโมทีเพื่อที่จะเดินทางออกจากโรงเรียนไปยังเวนอลอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยไม่ลืมลากพวกเธอมาด้วย
นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปยังเพื่อนร่วมคณะทรมานทรกรรมที่อยู่ในเกวียน...อย่างไอ้คิล ไม่ต้องเอ่ยปากชวนมันก็ไม่เคยพลาดโอกาสจะได้หยุดเรียนไปเที่ยวต่างเมืองอยู่แล้ว ถึงเธอจะไม่แน่ใจนักว่ามันมีแก่ใจเป็นห่วงวิเวียนจริงมั้ยก็เถอะ ...ส่วนคาโล ในเมื่อเธอกับคิลมา มันจะใจไม้ไส้ระกำไม่ยอมตามมาได้ยังไง...คิดพลางยิ้งฟันยิ้มไปให้เจ้าชายน้ำแข็งที่เงยหน้าจากนั่งสือขึ้นมาสบตาพอดี แล้วจึงบังเอิญเหลือบไปเห็นเพื่อนร่วมเดินทางอีกคนที่ไม่น่าจะได้เข้าร่วมขบวนในครั้งนี้ เพราะดูเผินๆแล้วเจ้าตัวไม่น่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับการประชวรหนักของจักรพรรดินีแห่งเวนอลเลยสักนิด
แต่ถ้าพูดถึงมันในฐานะของโร เซวาเรส เดอะเบกการ์ ออฟ ทริสทอร์ล่ะก็นะ...
เหตุผลเดียวที่เฟรินตัดสินใจลากคอมันมาด้วยก็เพราะในใจยังสงสัย แม้จะมีเงื่อนงำอะไรๆหลายๆอย่างที่ชวนให้มั่นใจเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์แล้วว่า แท้จริงแล้วไอ้เจ้าขอทานรู้มากคนนี้มีศักดิ์เป็นถึงอดีตเจ้าชาย...ชาเบรียน โบแด็ง...เจ้าชายคนโตแห่งเวนอลที่ใครๆก็ว่าถูกลอบสังหารไปแล้ว ...ในเมื่อมันเป็นเจ้าชายแห่งเวนอล ก็หมายความว่ามันนี่แหละคือพี่ชายแท้ๆของวิเวียน...ครอบครัวและเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้นมันก็สมควรจะต้องมาดูอาการของน้องสาวคนสวยของมันบ้างถึงจะถูก
“มีอะไรหรือเฟริน หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือยังไง” เสียงจากคนที่ดูมีสง่าราศีเกินกว่าจะเป็นเพียงขอทานเอ่ยเมื่อเจ้าหญิงหัวขโมยยังคงจ้องมาที่ตนเอง
“เวนอลนี่สวยดีนะ สมกับเป็นเมืองอันดับต้นๆ ถ้ามาโอกาสอื่น ฉันต้องไม่พลาดที่จะตระเวนเที่ยวแน่ๆ นายว่ายังไงหือโร มีที่ไหนในเวนอลที่สาวๆเยอะน่าไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” คนไม่สำนึกว่าตัวเองก็เป็นผู้หญิงลองแกล้งถาม แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มผมสีชายังไม่เปลี่ยน
“นายมีโอกาสเดินทางไปทั่วเอเดนแถมยังเดมอส แล้วยังจะต้องมาถามฉันอีกเหรอ” โรยิ้มปนยั่วแบบไม่หลงกล
“อุวะ หัวขโมยอย่างฉันมันอยู่ติดที่นานๆซะทีไหน ถึงได้หวังพึ่งพาขอทานแบบแก เผื่อว่าบางทีเมืองใหญ่ๆอย่างนี้แกอาจปักหลักหารายได้อยู่นานยังไงเล่า”
“ขอทานอย่างพวกฉันก็ไม่ชอบปักหลักอยู่ที่ไหนนานๆเหมือนกัน” อีกฝ่ายเพียงแต่ยิ้มละไม
“ฉันเพิ่งมีโอกาสเข้ามาที่เวนอลแบบจริงๆจังๆครั้งแรก” เสียงของคิลดังแทรกขึ้น “ไม่เห็นว่ามันจะต่างจากที่อื่นตรงไหน”
“วะ ไอ้คิล แกนี่...เดี๋ยวพอไปถึงในวังแล้วแกลองพูดประโยคเมื่อกี้ดังๆอีกทีนะ ได้ถูกถีบส่งออกนอกเขตเวนอลแบบไม่ต้องลงทุนแน่ๆ” จอมก่อไฟยิ้มเผล่ ขณะที่นักฆ่าแห่งซาเรสแยกเขี้ยวรับ เจ้าตัวดีเลยเปลี่ยนเรื่อง “อยากรู้มันดีไม่ดีตรงไหนถามโน่น...ไอ้เจ้าชายมาดขยันตรงโน้น พ่อมันกับกษัตริย์วิลเลี่ยม โบแด็งที่สามเป็นเกลอเก่ากันมาแต่สมัยไหนแล้ว มันคงเข้าๆออกๆเวนอลเป็นว่าเล่นแหงๆ”
คราวนี้เจ้าชายผู้ถูกพาดพิงถึงจึงได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่าน หนังสือปกสีดำที่มีตัวหนังสือตรงหน้าปกเขียนไว้ว่า ‘วัตถุดิบปรุงยาชั้นสูง’ นัยน์ตาสีฟ้าสวยสบมองแต่เจ้าของยังไม่ยอมพูดอะไร
“เอ้า ว่าไงล่ะคาโล ไหนเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ช่วยบอกให้พวกคนต้อยต่ำอย่างฉันได้เก็บไว้เป็นวิทยาทานหน่อยซิว่าที่เวนอลเขามีอะไรดีขึ้นชื่อบ้าง” สาวเจ้าที่ดูจะลืมไปแล้วว่าตัวเองมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงสองดินแดนเอเดน-เดมอสร้องเร่ง คาโลจึงต้องตอบอย่างช่วยไม่ได้
“แพรพรรณ” แต่คำตอบนั้นก็ห้วนนัก แถมยังไม่ได้ช่วยให้เจ้าหญิงหัวขโมยจอมขี้เกียจกับนักฆ่าผู้เอาแต่รักสนุกเข้าใจอะไรขึ้นมาได้สักนิด ดังนั้นนัยน์ตาสีฟ้าจึงบุ้ยไปหาขอทานข้างตัวเหมือนจะยกหน้าที่อธิบายให้ไป
“ที่เวนอลนอกจากจะเป็นแหล่งอัญมณีสวยงามอันดับหนึ่งแล้วสินค้าที่ขึ้นชื่อไม้แพ้กันคือผ้าไหมผ้าแพรเนื้อดี และที่คุณภาพเยี่ยมและราคาแพงที่สุดในบรรดาผ้าทั้งหมดก็คือผ้าที่ทอขึ้นจากเส้นไยของตัวไหมน้ำค้าง จึงมีชื่อเรียกว่า แพรหยาดน้ำค้าง ในหนึ่งปีจะมีการผลิตออกมาจำนวนจำกัดเพราะตัวไหมน้ำค้างนั้นหายากยิ่ง บรรดากษัตริย์หรือเจ้าชายประเทศอื่นต่างก็สั่งจองกันเป็นแถว คิวยาวยิ่งกว่าหางว่าวเพราะหวังจะได้ผ้าแพรล้ำค่านั่นมาใช้เป็นของกำนัลแด่คนที่รัก” คำอธิบายยาวเหยียดจากโร เซวาเรสห้องสมุดเคลื่อนที่ประจำป้อมอัศวินยังคงน่าทึ่งเหมือนเคย ขณะที่เฟรินยักคิ้วอุทานอย่างชอบอกชอบใจ ทว่าคิลกลับบ่น
“ทำไมต้องลงทุนตั้งมาก ไร้สาระ” ประโยคจากคนไม่เคยจีบใครเรียกให้หญิงสาวผู้ไม่เคยรู้ตัวเองแต่กลับชอบนึกว่าเป็นบุรุษอยู่เสมอทำเสียงจึ๊กจั๊กในคอก่อนว่า
“โธ่เอ๋ย...คิลหนอคิล แกนี่ยังเด็กจริงๆถึงได้ไม่รู้แม้กระทั่งพื้นฐานของการจีบหญิง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ตั้งท่าจะเริ่มเลคเชอร์จีบหญิงให้นักฆ่าหนุ่มซึ่งไม่เคยอยากลงสมัครป็นนักเรียนของไอ้ปรมาจารย์คนนี้เลยสักนิด คิลเริ่มทำท่าจะขยับหนีแต่ก็ถูกมือของเฟรินดึงเอาไว้ได้ก่อน จากนั้นเจ้าหล่อนก็เริ่มกิริยาที่น่าจะเรียกได้ว่าพล่ามให้นักฆ่าหนุ่มฟัง
“ถ้าแกยังเป็นยังงี้นะคิล ชาตินี้ ชาติหน้าหรือจะชาติต่อๆไปฉันก็ไม่รู้ว่านายจะมีแฟนเหมือนชาวบ้านเค้าได้มั้ย...แล้วดูสิดู คนที่แอบเล็งไว้เป็นใคร...เจ้าหญิงแห่งคาโนวาล...คะแนนนิยมอันดับหนึ่งในป้อมอัศวินและตอนนี้เริ่มลามไปถึงป้อมอื่นๆแล้วด้วย ถ้าไม่เริ่มเรียนรู้ตอนนี้แล้วเมื่อไหร่จะไปถึงฝั่งฝันวะ”
“ฉันไม่เห็นจะสน รักอะไร...ไร้สาระ” ทายาทตระกูลนักฆ่าแห่งซาเรสไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แต่คนตั้งท่าจะสอนก็สวนขวับ
“แกก็ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะเฟ้ยคิล คอยดูเหอะ...ฉันอุตส่าห์ว่าจะช่วยสอนวิชาจีบสาวให้แกทั้งทีแกดันไม่เอาไม่พอ ยังมาหาว่าไร้สาระ เออ...ฉันจะแช่งแก เมื่อไหร่ที่แกเริ่มรู้สึกรักใครเป็นครั้งแรก ขอให้แกไม่สมหวัง เพี้ยง!” พูดจบแล้วก็ยกมือขึ้นมาพนมทำปากขมุบขมิบเหมือนจะสวดบริกรรมคาถา ขณะที่คนถูกแช่งหรี่ตาลง ไม่ทันให้ประเคนหมัดงามๆไป เสียงอ่อนโยนชนิดชวนให้สาวน้อยสาวใหญ่ไปถึงสาวแก่แม่ม่ายเคลิ้มก็ดังขึ้นเสียก่อน
“พวกเธอลงมากันได้แล้ว พวกเราเข้ามาถึงเขตพระราชวังเวนอลแล้วล่ะ” สิ้นประโยคนั้น ก็ตามมาด้วยเสียงร่างนักฆ่าที่รอจังหวะชิ่งมานานแล้วกระโดดลงมาจากเกวียน ตามมาด้วยเจ้าชายแห่งคาโนวาล ขอทานกิติมศักดิ์ และก่อนที่คาโลจะทันได้ห้าม ร่างบางของเจ้าหญิงสองแผ่นดินก็กระโดดพรึ่บลงมาจากเกวียน โรเวนได้แต่ส่ายหน้า คิลไหวไหล่ โรยิ้มน้อยๆ ส่วนคาโลได้แต่กัดฟันกรอดแล้วนึกคาดโทษในใจ
“ถวายบังคมเพคะ เจ้าชายโรเวน องค์หญิงเฟลิโอน่า เจ้าชายคาโล ท่านคิล...และเอ่อ...” เสียงทักทายต้อนรับของหญิงสาวที่ทำหน้าที่เป็นแม่นมในองค์จักรพรรดินีแห่งเวนอลชะงักไปเมื่อสายตาเลื่อนมาจนถึงร่างของเด็กหนุ่มผมสีชาที่เพิ่งเคยพบครั้งแรกหากแต่ความรู้สึกบางอย่างกลับเหมือนคุ้นเคยกันมาก่อน
“หมอนี่ชื่อโร เซวาเรส ขอทานกิติมศักดิ์จากทริสทอร์นู่น พอดีเห็นมันว่างอยู่ฉันเลยชวนมาด้วนกัน ท่านคงไม่ว่านะท่านแม่นมเฟย์น่า” เฟรินรีบอธิบายเมื่อเห็นอาการชะงักไปนิดของหญิงคนดังกล่าว เฟย์น่าจึงหันมาหาเธอก่อนเอ่ย
“ไม่ว่าหรอกเพคะ แค่ท่านสละเวลามาเยี่ยมนี้หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจะขอบคุณยังไงแล้วล่ะเพคะ” หล่อนกล่าวพลางย่อตัวลงก้มศีรษะคำนับ จนโรเวนต้องเข้าไปประคองขึ้นมา
“ไม่หรอกน่าท่านแม่นม ถึงยังไงวิเวียน...จักรพรรดินีวิเวียนนานีย่าก็เป็นเหมือนน้องสาวของฉันอยู่แล้วนี่ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณท่านที่ส่งข่าวให้รู้...แล้วตอนนี้วิ...พระองค์เป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวพูดจบประโยคแล้วก็หันไปถลึงตาใส่เจ้าชายน้ำแข็งข้างตัวที่คอยเอาศอกกระทุ้งให้แม่ตัวดีใช้คำศัพท์ให้ถูกกาละเทศะ แต่ดูเหมือนหญิงตรงหน้าจะไม่ได้ใส่ใจกับสรรพนามที่ใช้เรียกนั้น
“อาการก็ทุเลาขึ้นบ้างตามลำดับเพคะ...แต่ยังคง” พูดได้เท่านี้นางก็เงียบไปคล้ายพยางค์ที่เหลือตั้งใจจะเอ่ยแต่ในความคิดตน จนเฟรินต้องส่งเสียงถาม
“แต่ยังอะไรเหรอท่านแม่นม?” และเสียงเรียกนั้นก็ทำให้หล่อนสะดุ้ง เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว คนเรียกรู้สึกเหมือนเห็นนัยน์ตาของหญิงตรงหน้ารื้นน้ำ แต่ก็เพียงวูบเดียว เมื่อเฟย์น่าเริ่มก้าวเท้าออกนำทางคณะพรรคทั้งห้าไปยังห้องรับรอง
“เชิญทุกท่านตามมาทางนี้เพคะ หม่อมฉันจัดเตรียมห้องพักให้ทุกท่านแล้ว ขอเชิญทุกท่านพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทางเสียก่อน ดูจากสีหน้าแต่ละคนก็รู้แล้วว่าเหนื่อยล้าเพียงใด หม่อมฉันทราบซึ้งใจจริงๆเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกท่านแม่นม ...ความจริงพวกฉันไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น ให้พวกฉันเข้าเฝ้าฯองค์จักรพรรดินีเลยได้ไหม อย่างที่ท่านรู้องค์หญิงเฟลิโอน่านั้นเป็นห่วงน้องหญิงของนางมาก” ประโยคจากเจ้าชายคนเก่งแห่งเจมิไนเล่นเอาคนถูกยกมาอ้างสะดุ้งเฮือก หากแต่แม่นมเฟย์น่าก็เพียงยิ้มรับอย่างทราบซึ้งใจ
“ขอบคุณมากเพคะ แต่หม่อมฉันว่าตอนนี้พวกท่านไปพักผ่อนกันก่อนสักครู่เถิด เดี๋ยวเมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ องค์จักรพรรดินีจะเสด็จออกมาพบพวกท่านเพคะ” คำปฏิเสธกลายๆจากหญิงตรงหน้าทำให้พวกเฟรินต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจก่อนจะยอมไปยังห้องพักรับรองที่จัดเอาไว้แต่โดยดี
“ทำไมแม่นมเฟย์น่าถึงไม่ยอมให้พวกเราเจอวิเวียนเลยล่ะ” เฟรินโพล่งถามขึ้นมาขณะที่อยู่กับพวกคิล คาโลและโรในห้องของคาโลกับคิล เจ้าตัวยุ่งตอนนี้กำลังนอนเอกขเนกบนเตียงของเจ้าของห้องอย่างถือสิทธิ์
“เหตุผลที่ไม่ยอมให้เข้าพบองค์จักรพรรดินีในทันทีคงเป็นเพราะ...” เจ้าชายแห่งคาโนวาลเอ่ยขึ้นแล้วชั่งใจ นัยน์ตาสีฟ้าปรายมองมาทางร่างบางบนเตียง และเหมือนจะอ่านความคิดจากนัยน์ตาคู่สวยนั้นได้เฟรินจึงรีบพูดขึ้น
“จะพูดก็พูดมาคาโล ฉันรับได้หรอก จะช้าจะเร็วเดี๋ยวก็ต้องรู้อยู่ดี”
“...เพราะอาการของนางแย่เกินกว่าจะลุกขึ้นมาพบเราในตอนนี้ได้” แล้วก็ตรงตามที่คิดไว้เมื่อบัดนี้ใบหน้าของหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มซีดลงไปถนัดใจ คาโลจึงลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาใหม่ “นายจะวิตกมากไปทำไม...แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของนายเสียหน่อย” คำกล่าวที่ดูราวกับจะเดาความคิดร่างบางได้หมดทำให้คนถูกรู้ทันส่งเสียงอ่อยๆ
“ปีกว่าแล้วนะคาโล...ที่ฉันไม่ได้ติดต่อมาหาวิเวียนเลยสักนิด นานขนาดนี้...” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เงียบไป
หนึ่งปีกับอีกหลายเดือน...นับจากสงครามระหว่างเอเดน-เดมอสสิ้นสุดลง ระยะเวลาปีกว่าๆที่เธอได้กลับเข้าไปเรียนที่โรงเรียนพระราชาพร้อมกับพวกเพื่อนๆ ทั้งคาโล คิล โร และคนอื่นๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมามีแต่ความสนุกสนาน ช่วงเวลาดีๆในป้อมอัศวินที่ทำให้เธอเผลอลืมนึกถึงใครบางคนที่คุ้นเคย...ใครบางคนที่รู้จัก...ใครบางคนที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องราวมากมายที่เธอไม่เคยรู้มาตลอดเวลานี้
เวลาของเธอนั้นมีแต่ความสุข...มิตรสหายมีอยู่รายล้อม มีคนที่รัก...มีเพื่อนสนิท...เวลาหนึ่งปีนั้นจึงได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วนัก หากแต่เมื่อนึกถึงเวลาของใครคนหนึ่งที่ต้องอยู่ในตำแหน่งเหนือใครๆ...ตำแหน่งที่เธอไม่เคยคิดอยากได้มาครอบครอง ตำแหน่งที่เธอคิดอยู่เสมอว่าช่างโดดเดี่ยว...เวลาของวิเวียนคงผ่านไปอย่างเชื่องช้าทรมาน
แล้วเสียงหวานใสของใครที่กำลังนึกห่วงก็ก้องขึ้นในห้วงนึก
“หญิงไม่เคยมีพี่สาว ขออนุญาตให้หญิงเรียกท่านว่าพี่หญิงจะได้ไหม...”
พี่หญิง...
พี่หญิงไม่ได้เรื่องแบบเธอไม่น่าจะให้อภัย...
//// รอสักครู่...อยู่ในระหว่างจัดฉาก ////
โคมไฟระย้างดงามที่แขวนอยู่บนเพดานห้องส่องสว่างทำให้ภายในห้องกว้างโออ่านี้สว่างไสวงดงาม และที่โต๊ะยาวซึ่งสลักเสลาอย่างวิจิตรบรรจง อาคันตุกะผู้ได้รับเชิญต่างก็กำลังนั่งรอคอยเจ้าของบ้านที่น่าจะปรากฎตัวออกมาได้แล้ว...
อาหารตรงหน้าสีสันน่ารับประทาน กลิ่นหอมฉุยโชยมาปะทะจมูก แต่เฟรินในตอนนี้กลับไม่มีความรู้สึกอยากจะกินเลยสักนิด ทั้งๆที่อาหารซึ่งถูกจัดถวายนั้นล้วนแต่เป็นอาหารมังสะวิรัติอย่างที่เธอกิน คงจะยกความดีคามชอบให้ใครไม่ได้ถ้าไม่ใช่น้องสาวคนละพ่อแม่ที่ยังคงจดจำว่าเธอเลิกกินเนื้อสัตว์ไปแล้ว
“ขอประทานอภัยเพคะ องค์จักรพรรดินีไม่สามารถเสด็จมาร่วมรับประทานอาหารมื้อนี้ร่วมกับพวกท่านได้ พระองค์ดำรัสว่าให้พวกท่านรับประทานกันได้เลยไม่ต้องรอเพคะ” เสียงของนางสนมในแพรพรรณสีขาวสะอาดกล่าวก่อนที่เจ้าตัวจะถวายคำนับอีกครั้งแล้วออกจากห้องเสวยไป
“เอาล่ะ...ไหนๆแล้วนายก็กินซะสิเฟริน ของชอบนายทั้งนั้นนี่” คิลร้องบอกเพื่อนข้างตัว แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าวืด ทำเอานักฆ่าตีหน้าเหยเก...
ก็ทุกทีไม่ต้องรอให้บอกมันก็ฟาดเรียบ แล้วไหงวันนี้ได้รับอนุญาตโต้งๆมันไม่ยักกะกิน
แปลก...
ในใจของคนที่กำลังถูกนินทาในความคิดของเด็กหนุ่มผมดำนั้นเต็มไปด้วยความกังวล...หากแต่ว่าก็มีคงมีใครอีกสามคนในที่นั้นรู้สึกอย่างเดียวกัน
ใครคนหนึ่ง...กังวลในสีหน้าของหญิงสาวที่เขารักตอนนี้
ใครอีกคนหนึ่ง...นึกกังวลเกี่ยวกับหญิงอีกคนซึ่งไม่ได้อยู่ในที่นี้
ส่วนคนสุดท้าย...กำลังกังวลเกี่ยวกับหญิงสาวทั้งคู่
เสียงเก้าอี้เลื่อนออกจากโต๊ะยามที่ร่างบางลุกพรวดขึ้นเมื่อตัดสินใจได้แล้ว เรียกสายตาของบุรุษที่เหลือในห้องให้หันมามอง
“พาฉันไปพบวิเวียน!” เสียงนั้นดังราวออกคำสั่ง นายทวารที่ยืนเฝ้าประตูอยู่หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
“เฮ้ เฟริน...” คิลกระซิบพลางดึงๆแขนเพื่อนให้กลับมานั่งเหมือนเดิม
“เดี๋ยวนี้!” เฟรินยังคงยืนยันคำเดิม แต่ก่อนที่อะไรๆจะแย่ไปกว่านั้น แม่นมเฟย์น่าก็เดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวที่เห็นว่าใครมาก็รีบเดินเข้าไปหา แล้วพูดรัวเร็ว “ท่านแม่นมเฟย์น่า ขอฉันไปหาวิเวียนตอนนี้เลยได้ไหม”
เฟย์น่านิ่งฟัง สดับความคิด...ครั้นเมื่อเห็นนัยนืตาสีน้ำตาลทอแสงเรือง นางจึงพยักหน้ารับเป็นเหมือนคำตอบตกลงก่อนจะพูดว่า “เพคะ...แต่แค่องค์หญิงเฟลิโอน่าเพียงคนเดียวเท่านั้นนะเพคะ”
และประโยคนั้นก็ถูกร้องค้านจากใครอีกหลายคนในที่นั้นอยู่เงียบๆในใจคนค้านเท่านั้น...
//// รอสักครู่...อยู่ในระหว่างจัดฉาก ////
เสียงประตูใหญ่เปิดออกดังผางพร้อมๆกับร่างบางของเจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวลถลาเข้ามาในห้องพร้อมๆกับเสียงเรียก
“วิเวียน!”
“พี่หญิง? ...มีอะไรคะ? ทำไมรีบร้อนอย่างนี้” เสียงหวานที่คุ้นเคยดังลอยมาจากมุมใดมุมหนึ่งของห้อง เฟรินจึงเหลียวมองไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่เห็นตัวคนพูด ...พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับฉากกั้นแบบบานพับที่อยู่ตรงปลายเตียง ที่ที่เธอเดาว่าเสียงของวิเวียนดังออกมาจากตรงนั้น
“ผมเห็นท่านไม่ได้ลงไปร่วมโต๊ะด้วยกัน...แถมยัง...” พูดออกมาได้แค่นั้นแล้วเจ้าตัวก็ชะงัก เมื่อร่างหนึ่งขยับกายออกมาจากด้านหลังฉากกั้น... เฟรินเมื่อพินิจร่างนั้นได้ชัดๆจึงพูดต่อ “...แถมท่านแม่นมเฟย์น่ายังส่งจดหมายแจ้งข่าวให้ผมว่าท่านกำลังป่วยหนัก...แล้วตกลงนี่มันยังไงกันแน่ฮะ”
“โถ่...เฟย์น่า หญิงก็บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วงมากไป หญิงไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย ดูสิ...เลยทำให้พวกพี่หญิงต้องรีบเดินทางมาถึงเวนอลอย่างนี้” คำพูดนั้นถูกส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มละไม แต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจซึ่งเคยแห้งผากของเฟรินกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง
ไม่เปลี่ยนเลย...ไม่สิ...เปลี่ยนนิดหน่อย...แต่ท่าทางก็ยังดูแข็งแรงดีนี่นา
เฟรินพิจารณาคนตรงหน้าทั้งที่ยังงงๆ
“พี่หญิง...” ว่าแล้วร่างบางก็ก้าวเข้ามาหา แขนเรียวยกขึ้นโอบรอบคอ “คิดถึงเหลือเกินค่ะ”
“ผมก็คิดถึงท่าน” เฟรินว่าแล้วกอดคนตรงหน้าไว้แน่น...อย่างต้องการจะยืนยันให้มั่นใจว่าน้องสาวของเธอยังคงแข็งแรงดีอยู่จริงๆ “ไม่เจอกันนาน ท่านสูงขึ้นมาอีกนิดใช่ไหมฮะเนี่ย?”
“พี่หญิงอย่าล้อหญิงเล่นสิคะ” เสียงของวิเวียนค้อน “ใครๆก็ว่าหญิงยังตัวเตี้ยเหมือนเดิม”
“ไม่จริงหรอกฮะ ท่านยังสวยสง่าเหมือนเดิม เรื่องความสูงนี่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กฮะ” เฟรินส่งคำเย้าทำให้ดวงหน้าสะสวยของวิเวียนประดับไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เจ้าตัวจะค้อนกลับ
“สรุปแล้วนี่หญิงสูงขึ้นบ้างไหมล่ะคะนั่น” ว่าแล้วผู้อ่อนวัยกว่าก็แสร้งสะบัดหน้าหนี กิริยาท่าทางที่ทำให้หญิงสาวอีกคนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเยอะที่คนตรงหน้าพูดคุยอยู่กับเธอในฐานะของน้องสาว ไม่ใช่จักรพรรดินี
“ว่าแต่...ท่านไม่เป็นอะไรมากจริงๆเหรอฮะ แล้วทำไมท่านแม่นมเฟย์น่าถึงได้ส่งจดหมายแจ้งข่าวมาแบบนั้น แถมยังให้ทหารขี่มังจรจันทรามาส่งให้ผมอีก” นัยน์ตาสีน้ำตาลสังเกตเห็นว่าไหล่ของร่างบางตรงหน้าลู่ลงเล็กน้อย ความเงียบเข้าปกคลุมครู่หนึ่ง ก่อนที่วิเวียนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พี่หญิง...”
“อะไรฮะ”
“พี่หญิงจะว่าไหมคะถ้าหญิงมีเรื่องจะขอร้อง” เฟรินกระพริบตาปริบๆ นึกสงสัยว่าเรื่องอะไรที่วิเวียนกำลังจะขอจากเธอ แต่ปากก็ยังพูดตอบไป
“ได้สิฮะ”
“ไม่ว่าจะเป็นอะไร...?” เจ้าของนัยน์ตาสีมรกตหันกลับมาสบมอง แววคาดคั้นอย่างประหลาดยิ่งเพิ่มความสงสัย
“เท่าที่ผมทำให้ได้ ผมยินดีจะทำฮะ” คนกะล่อนเปลี่ยนคำพูดตัวเองเล็กน้อย วิเวียนหลุบตาลงต่ำแล้วเอ่ยรับ
“หญิงมั่นใจว่าพี่หญิงทำได้แน่นอนค่ะ” แล้วเธอก็ช้อนนัยน์ตาขึ้นสบมองอีกครั้ง กระแสบางอย่างที่ส่งมานั้นชวนให้เฟรินรู้สึกใจหายวูบอย่างไม่เคยเป็น นัยน์ตาสีอัญมณีงดงามเป็นประกายไหว ขณะที่เฟรินกำลังคิดว่าควรจะเปลี่ยนคำพูดอีกทีดีไหม เสียงหวานของวิเวียนก็เอ่ยขึ้นก่อน
“พี่หญิงคะ...หญิงจะเข้าไปเรียนที่โรงเรียนพระราชา”
===============================================
ตอนแรกก็เอาลงแล้ว...ตอนที่สองก็เขียนแล้ว...
อ่านจบตอนแรกแล้วเดาๆกันรึยังฮะว่าตกลงใครจะเป็นคู่พระนางประจำฟิคนี้ เอิ๊กๆ...(มันจะหนีพ้นวิเวียนได้ยังไง แต่คู่กับใครนี่ข้าน้อยก็ยังไม่รู้ เอ๊ะ ยังไง?...)
ขอโทษใครที่เป็นแฟนๆโรเวน หรือแม่ยกคู่โรเวน-วิเวียน ล่วงหน้านะฮะ เพราะยังไงฟิคนี้ อีตาโรเวนต้องไม่ได้เกิดแน่นอน(ด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัวของคนแต่ง) แต่ข้าน้อยก็มิได้จะเอาพี่ท่านไปปู้ยี่ปู้ยำทำอะไรที่ไหนทั้งสิ้น (เอ๊ะ...พูดจาชวนให้จิ้นนะ)
ชื่อเรื่องนี้... The Dawn of Goodbye, The Twilight of Farewell ...หากแปลกันตรงๆเลย ก็คงจะเป็น รุ่งอรุณแห่งการร่ำลาแลสนธยาแห่งการแยกจาก...เอ๊ะ? มันก็เป็นการอำลาทั้งคู่นี่หว่า...ยังไงเนี่ย(งงตัวเองวุ้ย) เหตุผลที่ตั้งชื่อแบบนี้จะเฉลยในตอนท้ายๆเรื่องฮะ
ตอนแรกลังเลว่าจะใช้คำว่า Dusk หรือ Twilight ดี เพราะคำสวยทั้งคู่ แต่คำหลังดูจะรับกับเสียงของคำว่า Goodbye มากกว่า เลยตกลงเป็นคำนี้(ดูซิดู...หลักการเลือกตั้งชื่อของมัน)
ขอเชิญติดตามอ่านกันต่อไปนะฮะ ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร
ใครพบเห็นคำผิด จุดไหนน่าสงสัยไม่สมบูรณ์ โพสบอกได้เลยฮะ ไม่ต้องเกรงใจ
ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะฮะ
คารวะหนึ่งจอก
ความคิดเห็น