ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เพลงที่ 3 (ต่อ)
เพลงที่ 3 (ต่อ)
“นี่หรือนครหลวง?” เสียงหวานของสตรีนางหนึ่งแฝงแววตื่นเต้น เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยทอดสายตามองสิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลกตาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ที่ที่เรากำลังอยู่นี้คือหัวเมืองฝ่ายใต้ มีอีกชื่อว่า นครสีแดง” บุรุษนามซงเกียดตอบ ทำให้นางในชุดเขียวหันไปมองเขาอย่างทึ่งเล็กน้อย
“เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองหลวงด้วยงั้นหรือ” หวินติ้วถาม ขณะรู้สึกว่าเริ่มจะมองคนตรงหน้าในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทว่าคำพูดต่อมาจากชายดังกล่าวทำให้ความคิดนั้นพังลงยับ
“ใครก็รู้ได้ไม่ยาก หากท่านลองมองไปตรงป้ายนั่น ” เสียงเย็นๆของซงเกียดทำให้นางหันไปดูตามที่พูด ก็เห็นแผ่นป้ายโลหะสลักตัวอักษรไว้ว่า “นครสีแดง นครแห่งแสงและความกล้าหาญ”
นางในชุดเขียวจึงถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ทว่าใบหน้าหมดจดเวลานี้ขึ้นสีก่ำด้วยโทสะ
“นี่เจ้าหลอกข้าเล่นหรือไร!” นางต่อว่า หากแต่บุรุษตรงหน้าก็เพียงแต่ค้อมศีรษะรับพลางกล่าว
“ข้ามิบังอาจ เพียงแต่ไม่อยากให้ท่านยกย่องจนเกินไป” คำพูดนั้นทำให้หวินติ้วเม้มริมฝีปากอย่างเก็บอารมณ์ แม้ในใจนึกอยากจะหวดกระบี่ใส่คนตรงหน้านัก นางแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“แล้วเราจะตามหาเบาะแสของผู้พิทักษ์เพลิงได้อย่างไรเล่า”
ซงเกียดมีสีหน้าเหมือนครุ่นคิด ก่อนที่จะตอบคำถาม “ท่านควรจะไปพบคนคนนึงก่อน”
“พบใคร” เสียงหวานของสตรีในชุดเขียวทั้งห้วนทั้งแหวสูง เพราะยิ่งได้ฟังประโยคจากคนตรงหน้าเยอะเท่าไหร่ ความไม่ชอบใจไม่ถูกชะตาก็ยิ่งเพิ่มพูน
“ข้าไม่แน่ใจนัก...หากท่านเคยได้ยินชื่อ เจย์ ดิ อันซีน” ชื่อที่ออกมาจากปากของบุรุษในชุดดำครานี้ทำให้หวินติ้วเบิ่งตากว้าง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงแหวสูง
“นักค้าข่าวลึกลับนั่นน่ะหรือ?” ทำไมนางจะไม่รู้...ชื่อเสียงของนักค้าข่าวลึกลับ เจย์ ดิ อันซีน...เป็นที่เลื่องลือไปจนถึงแคว้นไท่ผิง ว่ากันว่าไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่รู้ ไม่มีบุคคลใดที่เขาต้องการตามหาแล้วจะไม่พบ แต่ก็สมกับฉายา เพราะไม่เคยมีใครเลยที่เคยพบเห็นนักขายข้อมูลลึกลับคนนี้ ว่ากันว่าการจะได้เจอตัวเขานั้นยากแสนยาก ...หากแต่ในตอนนี้ ก็คงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
“งั้นเราจะไปสอบถามคนในเมืองกัน” หวินติ้วรวบรัดตัดบท ไม่ยอมให้อีกฝ่ายค้าน บุรุษนามซงเกียดจึงทำแค่พยักหน้าตกลงแล้วผายมือเชิญให้นางเดินนำไปก่อน...
...บุคคลทั้งคู่เดินปะปนเข้าไปในฝูงชน โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ตลอด...
“นครสีแดงคือเมืองของอัศวิน” เสียงของเถ้าแก่ร้านเหล้าอธิบายถึงรายละเอียดของเมืองแห่งนี้ให้ผู้มาเยือนทั้งสองฟัง “พวกพี่ชายคงเป็นคนต่างถิ่นใช่ไหม...จะบอกให้นะพี่ชาย น้องสาว...ที่นครหลวงนี้น่ะจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นห้าส่วนใหญ่ๆ ห้าเขต...ห้าหัวเมือง”
“ห้าหัวเมือง” หวินติ้วพึมพำในคอ
“อย่างเมืองที่พวกพี่ชายอยู่นี่คือนครสีแดง เป็นเมืองของพวกนักรบรวมไปจนถึงอัศวิน ปกครองโดยปราการอัศวินที่ตั้งโดดเด่นอยู่ตรงใจกลางเมืองโน่น” บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังทั้งสองพยักหน้ารับ เมื่อหวนนึกไปถึงป้อมทรงกลมคล้ายโคลอสเซียมสีเทาที่มองเห็นระหว่างทาง บนสุดของตัวป้อมสีธงสีแดงลายดาบไขว้สีทองเป็นสัญลักษณ์
“แล้วนอกจากนี้ก็ยังมี นครสีฟ้าของพวกนักเวท นครสีขาวของพวกนักบวช นครสีเขียวของพวกชาวนา” พูดมาถึงตอนนี้ก็ถูกขัดด้วยเสียงหวานของร่างบาง
“นักเวทคืออะไรหรือ” เถ้าแก่ร้านเลิกคิ้วขึ้นนิด ก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“พวกเจ้านี่มาจากต่างถิ่นจริงๆแถมยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับนครหลวงเลยเสียนี่ นักเวทก็คือผู้ที่มีพลังวิเศษ สามารถเสกข้าวของให้ลอยได้ เรียกลมเรียกฝน ใช้พลังของธรรมชาติ”พอถึงตรงนี้ หวินติ้วก็พึมพำในคอรับรู้
“เหมือนพวกหมู่ตึกวชิระอัสนี...” นางหมายถึงสำนักทางตะวันตกของแคว้นไท่ผิงที่มีการสอนเคล็ดวิชาผนึกปราณเข้ากับธรรมชาติเพื่อขอยืมพลังส่วนหนึ่งมาใช้
“เข้าเรื่องกันต่อนะน้องสาว...ในบรรดาหัวเมืองทั้งห้านี่ มีอยู่ที่หนึ่งที่พวกเจ้าไม่ควรย่างกรายเข้าไปเด็ดขาดหากยังรักชีวิต นั่นก็คือนครสีดำ”
“ทำไมเล่า” สตรีในอาภรณ์สีเขียวสงสัยนัก
“แม้จะบอกว่าในนครหลวงมีการแบ่งเขตการปกครองเป็นห้าส่วนแต่ความจริงแล้วก็เหมือนกับการคานอำนาจกันระหว่างผู้นำทั้งห้าของแต่ละเมือง หากทว่านครสีดำเป็นเมืองที่น่ากลัวเพราะอยู่ในการปกครองของสมาพันธ์นักฆ่าสี่ดินแดน” คราวนี้บุรุษข้างตัวที่นิ่งเงียบมานานได้เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณท่านที่ช่วยชี้แนะ พวกเราต้องขอลา” ว่าแล้วก็หุนหันลุกออกจากเก้าอี้ แต่ไม่วายจะลากเอาสตรีร่างบางในชุดเขียวออกมาด้วย
“ปล่อยนะ!” หวินติ้วสะบัดแขนของนางให้เป็นอิสระจากชายหนุ่มหลังจากที่ทั้งคู่ออกมาอยู่ในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่งแล้ว “เจ้าจะรีบออกมาทำไม ข้ากำลังจะถามชายคนนั้นเรื่องนักฆ่าสี่ดินแดนอยู่พอดี!”
“หากท่านอยากรู้เรื่องนั้นข้าตอบให้ก็ได้ ท่านหญิง”
“อย่ายั่วโมโหข้านะ!” นางโวยวายแต่ก็ต้องเงียบไปทันทีเมื่อชายหนุ่มยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้เงียบ
“เราถูกตาม” เสียงทุ้มนั้นแผ่วเบาอย่างที่สุด แต่กับสร้างความตกใจให้กับร่างบางนัก หวินติ้วจึงได้หันไปสำรวจรอบด้านอย่างตื่นตระหนก
“เมื่อไหร่กัน” เสียงของนางยามนี้ก็มิได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ
“ตั้งแต่เข้ามาในนครหลวง” คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางในชุดเขียวคาดไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลตวัดฉับมอง นึกเคืองนักหนา
ก็แล้วทำไมไม่ยอมบอกแต่แรก!
อวดดีนัก...ถือว่าเป็นศิษย์ท่านเจียผู้ได้รับยกย่องให้เป็นสิบสองขุนพลฟ้าหรือไร
แต่ไม่ทันให้คิดอะไรไปได้มากกว่านั้น บุคคลทั้งสองก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ผันแปรปรวน กับการปรากฎตัวของผู้มาใหม่บนหลังคาของตึกโทรมๆที่อยู่เหนือตรอกแห่งนี้
เสียงฝีเท้าของมันเงียบกริบไร้ร่องรอย จึงทำให้บุคคลทั้งสองแทบจะไม่ทันสังเกตเห็น หากไม่เพราะมันจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“หวินติ้ว ศิษย์เอกของปราณไร้เงาฮวยบ่อสีหนึ่งในสิบสองขุนพลฟ้า...กับผู้เฝ้าทวารประจิมซงเกียด ศิษย์เพียงคนเดียวของแพรพรรณสังหารเจียถิงถิง...ช่างเป็นคู่ที่ดูไม่เข้ากันเอาเสียเลย” เสียงที่ดังแว่วมานั้นทุ้มเกินกว่าจะเป็นของสตรีหากแต่ก็แหลมเล็กเกินกว่าจะเป็นของบุรุษ ร่างของผู้มาใหม่นั้นยืนหันหลังให้ดวงตะวัน แสงที่ส่องลงมาจึงทำให้บุคคลทั้งสองที่ยืนอยู่บนพื้นล่างไม่อาจพินิจร่างนั้นได้ถนัดนัก
“เจ้าเป็นใคร เผยตัวออกมาเสีย!” หวินติ้วตะโกนออกไป หากแต่ร่างนั้นก็ยังไม่ใส่ใจที่จะตอบ
“เหตุใดท่านถึงรู้นามของพวกเรา” ผู้เฝ้าทวารประจิมเอ่ยถาม
“ชื่อเสียงของจตุทวารแห่งหอคลังคงไม่มีใครที่ไหนในดินแดนนี้ไม่รู้จัก”เสียงนั้นเอ่ยเรียบๆ แต่สร้างความขุ่นใจให้สตรีในที่นั้นนัก เมื่อผู้มาใหม่เลือกเมินเฉยกับคำถามของนางหากแต่กลับไปตอบคำถามของบุรุษข้างๆเสียนี่
“เจ้าตามพวกข้ามาทำไม!!” ครานี้เสียงของหวินติ้วถึงได้แหวยิ่งกว่าเดิม “หากยังไม่ตอบ เตรียมตัวรับมือ...!” ว่าพลางเอื้อมมือไปยังฝักดาบยาวสีดำข้างตัว พร้อมจะชักออกมาทุกเมื่อ
“ใจเย็นก่อนแม่นาง ข้าไม่ได้มีประสงค์ร้าย” เสียงนั้นพยายามไกล่เกลี่ย แต่อารมณ์ของสตรีในชุดเขียวก็ไม่ได้สงบลงง่ายๆ
“การที่เจ้าไม่เผยตัว จะให้ข้าเชื่อว่ามาดีได้อย่างไร!”
“มีคนไหว้วานให้ข้ามา” ร่างปริศนาตอบ
“งั้นก็จงเผยตัวออกมาก่อน! ข้าจึงจะยอมเจรจาด้วย...มิฉะนั้น...อาจต้องปล่อยให้ดาบเป็นผู้เจรจาแทน!” และเมื่อเห็นแล้วว่านางไม่มีทีท่าว่าจะยอมง่ายๆ ร่างปริศนาจึงถอนใจ บุคคลทั้งสองเห็นเพียงร่างนั้นขยับกายเพียงนิด ทว่าไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นมันก็มาปรากฎตัวอยู่เบื้องหน้า
และเมื่อไม่มีแสงจ้ามาบดบังสายตา คนทั้งคู่จึงพิจารณาผู้มาเยือนคนนี้ได้ชัดๆ นาง...หรือเขา...เป็นบุรุษร่างเพรียวระหง ผมสีแดงเพลิงยาวสยาย อยู่ในชุดสีดอกอัญชันฉูดฉาดแปลกตา แขนเสื้อสีอ่อนยาวจรดข้อมือ ใบหน้าขาวหมดจด เครื่องทรงบนใบหน้าล้วนอยู่แต่ในตำแหน่งที่เหมาะสม นัยน์ตาสีออกน้ำตาลเข้มหวาน ส่งให้เค้าโครงหน้าดูละม้ายอิสตรี หากแต่เมื่อมองให้ดีก็จะรู้ว่าเป็นบุรุษ
“เจ้าเป็นใครกัน?” หวินติ้วยิงคำถาม คนตรงหน้าเพียงแต่ยิ้มละไม ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งดูดีขึ้นมาอีก
“ท่านอาจารย์ฮวยไหว้วานข้ามา...เพื่อให้ช่วยเหลือเจ้าในการตามหาผู้พิทักษ์คัมภีร์” เสียงที่มิอาจระบุได้แน่ว่าเป็นของสตรีหรือบุรุษดังขึ้นอีกครั้ง หวินติ้วหรี่ตามองอย่างยังไม่ไว้ใจ
“ข้าไม่เคยรู้ว่ามีศิษย์ร่วมสำนักแบบเจ้า”
“ข้าไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในสำนักกระบี่จันทราแต่แรกแล้ว” เขาต่อคำ
“งั้นเจ้าก็มิสมควรเรียกท่านฮวยบ่อสีว่าอาจารย์” น้ำเสียงของนางห้วนด้วยอารมณ์ รู้สึกไม่พอใจที่มีใครคนอื่นมาเรียกอาจารย์ของนางด้วยสรรพนามแบบเดียวกัน
“แต่ท่านอาจารย์....ท่านฮวยเป็นอาจารย์ของข้าด้วยเช่นกัน” บุรุษเจ้าสำอางค์ในอาภรณ์สีฉูดฉาดเอ่ย
“ข้าไม่ยอมรับ!” เสียงหวานกระชากสูง แต่ก่อนที่อะไรๆจะแย่ไปกว่านั้น การโต้เถียงของทั้งคู่ก็ถูกขัดด้วยประโยคของบุรุษที่เงียบมานาน
“ท่านบอกว่าท่านฮวยบ่อสีไหว้วานท่านมา...จะให้พวกเราเชื่อท่านได้อย่างไรในเมื่อไม่มีหลักฐานเลยสักนิดว่าท่านพูดจริง” คำปรามาสคราวนี้ทำให้คนถูกหาว่าไม่น่าไว้ใจเผยยิ้มรอยน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังต้องเบิกตากว้าง
“...หลักฐานคงไม่มี แต่หากพวกท่านกำลังตามหาเจย์ ดิ อันซีนอยู่ล่ะก็...”
“นี่หรือนครหลวง?” เสียงหวานของสตรีนางหนึ่งแฝงแววตื่นเต้น เมื่อนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่สวยทอดสายตามองสิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลกตาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ที่ที่เรากำลังอยู่นี้คือหัวเมืองฝ่ายใต้ มีอีกชื่อว่า นครสีแดง” บุรุษนามซงเกียดตอบ ทำให้นางในชุดเขียวหันไปมองเขาอย่างทึ่งเล็กน้อย
“เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองหลวงด้วยงั้นหรือ” หวินติ้วถาม ขณะรู้สึกว่าเริ่มจะมองคนตรงหน้าในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทว่าคำพูดต่อมาจากชายดังกล่าวทำให้ความคิดนั้นพังลงยับ
“ใครก็รู้ได้ไม่ยาก หากท่านลองมองไปตรงป้ายนั่น ” เสียงเย็นๆของซงเกียดทำให้นางหันไปดูตามที่พูด ก็เห็นแผ่นป้ายโลหะสลักตัวอักษรไว้ว่า “นครสีแดง นครแห่งแสงและความกล้าหาญ”
นางในชุดเขียวจึงถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ทว่าใบหน้าหมดจดเวลานี้ขึ้นสีก่ำด้วยโทสะ
“นี่เจ้าหลอกข้าเล่นหรือไร!” นางต่อว่า หากแต่บุรุษตรงหน้าก็เพียงแต่ค้อมศีรษะรับพลางกล่าว
“ข้ามิบังอาจ เพียงแต่ไม่อยากให้ท่านยกย่องจนเกินไป” คำพูดนั้นทำให้หวินติ้วเม้มริมฝีปากอย่างเก็บอารมณ์ แม้ในใจนึกอยากจะหวดกระบี่ใส่คนตรงหน้านัก นางแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“แล้วเราจะตามหาเบาะแสของผู้พิทักษ์เพลิงได้อย่างไรเล่า”
ซงเกียดมีสีหน้าเหมือนครุ่นคิด ก่อนที่จะตอบคำถาม “ท่านควรจะไปพบคนคนนึงก่อน”
“พบใคร” เสียงหวานของสตรีในชุดเขียวทั้งห้วนทั้งแหวสูง เพราะยิ่งได้ฟังประโยคจากคนตรงหน้าเยอะเท่าไหร่ ความไม่ชอบใจไม่ถูกชะตาก็ยิ่งเพิ่มพูน
“ข้าไม่แน่ใจนัก...หากท่านเคยได้ยินชื่อ เจย์ ดิ อันซีน” ชื่อที่ออกมาจากปากของบุรุษในชุดดำครานี้ทำให้หวินติ้วเบิ่งตากว้าง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงแหวสูง
“นักค้าข่าวลึกลับนั่นน่ะหรือ?” ทำไมนางจะไม่รู้...ชื่อเสียงของนักค้าข่าวลึกลับ เจย์ ดิ อันซีน...เป็นที่เลื่องลือไปจนถึงแคว้นไท่ผิง ว่ากันว่าไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่รู้ ไม่มีบุคคลใดที่เขาต้องการตามหาแล้วจะไม่พบ แต่ก็สมกับฉายา เพราะไม่เคยมีใครเลยที่เคยพบเห็นนักขายข้อมูลลึกลับคนนี้ ว่ากันว่าการจะได้เจอตัวเขานั้นยากแสนยาก ...หากแต่ในตอนนี้ ก็คงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
“งั้นเราจะไปสอบถามคนในเมืองกัน” หวินติ้วรวบรัดตัดบท ไม่ยอมให้อีกฝ่ายค้าน บุรุษนามซงเกียดจึงทำแค่พยักหน้าตกลงแล้วผายมือเชิญให้นางเดินนำไปก่อน...
...บุคคลทั้งคู่เดินปะปนเข้าไปในฝูงชน โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ตลอด...
“นครสีแดงคือเมืองของอัศวิน” เสียงของเถ้าแก่ร้านเหล้าอธิบายถึงรายละเอียดของเมืองแห่งนี้ให้ผู้มาเยือนทั้งสองฟัง “พวกพี่ชายคงเป็นคนต่างถิ่นใช่ไหม...จะบอกให้นะพี่ชาย น้องสาว...ที่นครหลวงนี้น่ะจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นห้าส่วนใหญ่ๆ ห้าเขต...ห้าหัวเมือง”
“ห้าหัวเมือง” หวินติ้วพึมพำในคอ
“อย่างเมืองที่พวกพี่ชายอยู่นี่คือนครสีแดง เป็นเมืองของพวกนักรบรวมไปจนถึงอัศวิน ปกครองโดยปราการอัศวินที่ตั้งโดดเด่นอยู่ตรงใจกลางเมืองโน่น” บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังทั้งสองพยักหน้ารับ เมื่อหวนนึกไปถึงป้อมทรงกลมคล้ายโคลอสเซียมสีเทาที่มองเห็นระหว่างทาง บนสุดของตัวป้อมสีธงสีแดงลายดาบไขว้สีทองเป็นสัญลักษณ์
“แล้วนอกจากนี้ก็ยังมี นครสีฟ้าของพวกนักเวท นครสีขาวของพวกนักบวช นครสีเขียวของพวกชาวนา” พูดมาถึงตอนนี้ก็ถูกขัดด้วยเสียงหวานของร่างบาง
“นักเวทคืออะไรหรือ” เถ้าแก่ร้านเลิกคิ้วขึ้นนิด ก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“พวกเจ้านี่มาจากต่างถิ่นจริงๆแถมยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับนครหลวงเลยเสียนี่ นักเวทก็คือผู้ที่มีพลังวิเศษ สามารถเสกข้าวของให้ลอยได้ เรียกลมเรียกฝน ใช้พลังของธรรมชาติ”พอถึงตรงนี้ หวินติ้วก็พึมพำในคอรับรู้
“เหมือนพวกหมู่ตึกวชิระอัสนี...” นางหมายถึงสำนักทางตะวันตกของแคว้นไท่ผิงที่มีการสอนเคล็ดวิชาผนึกปราณเข้ากับธรรมชาติเพื่อขอยืมพลังส่วนหนึ่งมาใช้
“เข้าเรื่องกันต่อนะน้องสาว...ในบรรดาหัวเมืองทั้งห้านี่ มีอยู่ที่หนึ่งที่พวกเจ้าไม่ควรย่างกรายเข้าไปเด็ดขาดหากยังรักชีวิต นั่นก็คือนครสีดำ”
“ทำไมเล่า” สตรีในอาภรณ์สีเขียวสงสัยนัก
“แม้จะบอกว่าในนครหลวงมีการแบ่งเขตการปกครองเป็นห้าส่วนแต่ความจริงแล้วก็เหมือนกับการคานอำนาจกันระหว่างผู้นำทั้งห้าของแต่ละเมือง หากทว่านครสีดำเป็นเมืองที่น่ากลัวเพราะอยู่ในการปกครองของสมาพันธ์นักฆ่าสี่ดินแดน” คราวนี้บุรุษข้างตัวที่นิ่งเงียบมานานได้เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก
“ขอบคุณท่านที่ช่วยชี้แนะ พวกเราต้องขอลา” ว่าแล้วก็หุนหันลุกออกจากเก้าอี้ แต่ไม่วายจะลากเอาสตรีร่างบางในชุดเขียวออกมาด้วย
“ปล่อยนะ!” หวินติ้วสะบัดแขนของนางให้เป็นอิสระจากชายหนุ่มหลังจากที่ทั้งคู่ออกมาอยู่ในตรอกเล็กๆแห่งหนึ่งแล้ว “เจ้าจะรีบออกมาทำไม ข้ากำลังจะถามชายคนนั้นเรื่องนักฆ่าสี่ดินแดนอยู่พอดี!”
“หากท่านอยากรู้เรื่องนั้นข้าตอบให้ก็ได้ ท่านหญิง”
“อย่ายั่วโมโหข้านะ!” นางโวยวายแต่ก็ต้องเงียบไปทันทีเมื่อชายหนุ่มยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้เงียบ
“เราถูกตาม” เสียงทุ้มนั้นแผ่วเบาอย่างที่สุด แต่กับสร้างความตกใจให้กับร่างบางนัก หวินติ้วจึงได้หันไปสำรวจรอบด้านอย่างตื่นตระหนก
“เมื่อไหร่กัน” เสียงของนางยามนี้ก็มิได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบ
“ตั้งแต่เข้ามาในนครหลวง” คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางในชุดเขียวคาดไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลตวัดฉับมอง นึกเคืองนักหนา
ก็แล้วทำไมไม่ยอมบอกแต่แรก!
อวดดีนัก...ถือว่าเป็นศิษย์ท่านเจียผู้ได้รับยกย่องให้เป็นสิบสองขุนพลฟ้าหรือไร
แต่ไม่ทันให้คิดอะไรไปได้มากกว่านั้น บุคคลทั้งสองก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ผันแปรปรวน กับการปรากฎตัวของผู้มาใหม่บนหลังคาของตึกโทรมๆที่อยู่เหนือตรอกแห่งนี้
เสียงฝีเท้าของมันเงียบกริบไร้ร่องรอย จึงทำให้บุคคลทั้งสองแทบจะไม่ทันสังเกตเห็น หากไม่เพราะมันจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“หวินติ้ว ศิษย์เอกของปราณไร้เงาฮวยบ่อสีหนึ่งในสิบสองขุนพลฟ้า...กับผู้เฝ้าทวารประจิมซงเกียด ศิษย์เพียงคนเดียวของแพรพรรณสังหารเจียถิงถิง...ช่างเป็นคู่ที่ดูไม่เข้ากันเอาเสียเลย” เสียงที่ดังแว่วมานั้นทุ้มเกินกว่าจะเป็นของสตรีหากแต่ก็แหลมเล็กเกินกว่าจะเป็นของบุรุษ ร่างของผู้มาใหม่นั้นยืนหันหลังให้ดวงตะวัน แสงที่ส่องลงมาจึงทำให้บุคคลทั้งสองที่ยืนอยู่บนพื้นล่างไม่อาจพินิจร่างนั้นได้ถนัดนัก
“เจ้าเป็นใคร เผยตัวออกมาเสีย!” หวินติ้วตะโกนออกไป หากแต่ร่างนั้นก็ยังไม่ใส่ใจที่จะตอบ
“เหตุใดท่านถึงรู้นามของพวกเรา” ผู้เฝ้าทวารประจิมเอ่ยถาม
“ชื่อเสียงของจตุทวารแห่งหอคลังคงไม่มีใครที่ไหนในดินแดนนี้ไม่รู้จัก”เสียงนั้นเอ่ยเรียบๆ แต่สร้างความขุ่นใจให้สตรีในที่นั้นนัก เมื่อผู้มาใหม่เลือกเมินเฉยกับคำถามของนางหากแต่กลับไปตอบคำถามของบุรุษข้างๆเสียนี่
“เจ้าตามพวกข้ามาทำไม!!” ครานี้เสียงของหวินติ้วถึงได้แหวยิ่งกว่าเดิม “หากยังไม่ตอบ เตรียมตัวรับมือ...!” ว่าพลางเอื้อมมือไปยังฝักดาบยาวสีดำข้างตัว พร้อมจะชักออกมาทุกเมื่อ
“ใจเย็นก่อนแม่นาง ข้าไม่ได้มีประสงค์ร้าย” เสียงนั้นพยายามไกล่เกลี่ย แต่อารมณ์ของสตรีในชุดเขียวก็ไม่ได้สงบลงง่ายๆ
“การที่เจ้าไม่เผยตัว จะให้ข้าเชื่อว่ามาดีได้อย่างไร!”
“มีคนไหว้วานให้ข้ามา” ร่างปริศนาตอบ
“งั้นก็จงเผยตัวออกมาก่อน! ข้าจึงจะยอมเจรจาด้วย...มิฉะนั้น...อาจต้องปล่อยให้ดาบเป็นผู้เจรจาแทน!” และเมื่อเห็นแล้วว่านางไม่มีทีท่าว่าจะยอมง่ายๆ ร่างปริศนาจึงถอนใจ บุคคลทั้งสองเห็นเพียงร่างนั้นขยับกายเพียงนิด ทว่าไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นมันก็มาปรากฎตัวอยู่เบื้องหน้า
และเมื่อไม่มีแสงจ้ามาบดบังสายตา คนทั้งคู่จึงพิจารณาผู้มาเยือนคนนี้ได้ชัดๆ นาง...หรือเขา...เป็นบุรุษร่างเพรียวระหง ผมสีแดงเพลิงยาวสยาย อยู่ในชุดสีดอกอัญชันฉูดฉาดแปลกตา แขนเสื้อสีอ่อนยาวจรดข้อมือ ใบหน้าขาวหมดจด เครื่องทรงบนใบหน้าล้วนอยู่แต่ในตำแหน่งที่เหมาะสม นัยน์ตาสีออกน้ำตาลเข้มหวาน ส่งให้เค้าโครงหน้าดูละม้ายอิสตรี หากแต่เมื่อมองให้ดีก็จะรู้ว่าเป็นบุรุษ
“เจ้าเป็นใครกัน?” หวินติ้วยิงคำถาม คนตรงหน้าเพียงแต่ยิ้มละไม ซึ่งนั่นทำให้เขายิ่งดูดีขึ้นมาอีก
“ท่านอาจารย์ฮวยไหว้วานข้ามา...เพื่อให้ช่วยเหลือเจ้าในการตามหาผู้พิทักษ์คัมภีร์” เสียงที่มิอาจระบุได้แน่ว่าเป็นของสตรีหรือบุรุษดังขึ้นอีกครั้ง หวินติ้วหรี่ตามองอย่างยังไม่ไว้ใจ
“ข้าไม่เคยรู้ว่ามีศิษย์ร่วมสำนักแบบเจ้า”
“ข้าไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในสำนักกระบี่จันทราแต่แรกแล้ว” เขาต่อคำ
“งั้นเจ้าก็มิสมควรเรียกท่านฮวยบ่อสีว่าอาจารย์” น้ำเสียงของนางห้วนด้วยอารมณ์ รู้สึกไม่พอใจที่มีใครคนอื่นมาเรียกอาจารย์ของนางด้วยสรรพนามแบบเดียวกัน
“แต่ท่านอาจารย์....ท่านฮวยเป็นอาจารย์ของข้าด้วยเช่นกัน” บุรุษเจ้าสำอางค์ในอาภรณ์สีฉูดฉาดเอ่ย
“ข้าไม่ยอมรับ!” เสียงหวานกระชากสูง แต่ก่อนที่อะไรๆจะแย่ไปกว่านั้น การโต้เถียงของทั้งคู่ก็ถูกขัดด้วยประโยคของบุรุษที่เงียบมานาน
“ท่านบอกว่าท่านฮวยบ่อสีไหว้วานท่านมา...จะให้พวกเราเชื่อท่านได้อย่างไรในเมื่อไม่มีหลักฐานเลยสักนิดว่าท่านพูดจริง” คำปรามาสคราวนี้ทำให้คนถูกหาว่าไม่น่าไว้ใจเผยยิ้มรอยน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังต้องเบิกตากว้าง
“...หลักฐานคงไม่มี แต่หากพวกท่านกำลังตามหาเจย์ ดิ อันซีนอยู่ล่ะก็...”
To be continued...(มั้ง)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น