ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SACRIZIA Community

    ลำดับตอนที่ #2 : [About SCZ]

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 58


    [บทคัดลอกจากหนังสือ “ประวัติศาสตร์ซาคริเซียน่ารู้ ฉบับพื้นฐาน” เขียนโดย เมลท์
    ผู้บันทึกตำนาน
    เผ่าบูลเทียร์ ซ.ศ.3846
    [1]]

     

    ...ดินแดนซาคริเซีย ยังคงเป็นดินแดนลอยฟ้าเหมือนในปัจจุบัน คำถามที่ว่าความจริงแล้วดินแดนของเราขึ้นสู่บนผืนนภาได้อย่างไร  ปัจจุบันยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่แน่ชัดได้  มีเพียงตำนานอามาเกดอนที่รู้จักกันในนามของนิทานก่อนนอนของทุกๆ ชนเผ่า ที่เล่าถึงเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างเฟรย่า เทพผู้สร้างและ โลกิ เทพแห่งการเปลี่ยนแปลง  เรื่องราวดังกล่าวถูกเล่าสู่กันฟังจากรุ่นสู่รุ่นว่า เมื่อใดเฟรย่าสร้างสิ่งใดขึ้นมาใหม่ โลกิจะคอยชื่นชมและติดตามเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านั้น ทั้งคู่รักใคร่กันดุจพี่น้อง จนกระทั่งวันหนึ่ง เฟรย่าเกิดรู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เธอสร้างขึ้น จึงคิดที่จะทำลายทุกอย่างทิ้งเพื่อเริ่มสร้างโลกใบใหม่ในอุดมคติของเธออีกครั้ง  เมื่อโลกิรู้ ก็เข้าไปห้ามปรามเพื่อขัดขวางความตั้งใจของเฟรย่า ทำเกิดปากเสียงกันครั้งใหญ่  กลุ่มเมฆสีทมิฬเข้าปกคลุมทั่วผืนฟ้า สายฟ้าขนาดมหึมาฟาดลงสู่พื้นดิน เป็นสัญญาณว่าความสัมพันธ์อันยาวนานของเทพทั้งสองตนได้ขาดสะบั้นลง  มหาสงครามระหว่างเทพทั้งสองกำลังเริ่มต้นขึ้น

     

    เฟรย่าสร้างกองทัพของเธอขึ้นมาใหม่ โดยรวบรวมพลังงานลบจากทั่วโลกมาสร้างเป็นมอร์[2] และขยายอำนาจไปสุดแดนตะวันตกจนถูกเรียกขานกันว่าดินแดนทมิฬหรือ “อบิส”   ทางด้านฝั่งตะวันออกที่ยังไม่ถูกความมืดปกคลุม โลกิได้รวบรวมชนเผ่าต่างๆ ที่มีความนึกคิดเข้าด้วยกัน พร้อมกับมอบเวทมนตร์ให้เป็นเครื่องมือต่อกรกับมอร์และปกป้องชีวิตของตนเอง

     

    เมื่อวันแห่งการตัดสินมาถึง ทั้งสองฝ่ายโรมรันเข้าหากันอย่างไม่คิดเสียดายชีวิต เฟรย่าและโลกิพลัดกันรุก พลัดกันรับ โดยไม่มีใครเสียเปรียบใคร จนการต่อสู้ผ่านมาได้สิบวันสิบคืน ท่ามกลางซากปรักหักพังและร่างไร้ชีวิต มีเพียงสองร่างที่ยังยืนหยัดอยู่ ความเหนื่อยล้าของทั้งคู่ถาโถมจนแทบทนไม่ไหว โลกิใช้แรงใจเฮือกสุดท้ายแทงหอกเข้าทะลุขั้วหัวใจของเฟรย่า เธอสิ้นใจในทันที  อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าชัยชนะจะตกเป็นของโลกิ แต่บาดแผลสะสมที่ผ่านมาตลอดสิบวันก็ทำให้โลกิอยู่ในสภาพเจียนตาย  เขาลากสังขารที่อ่อนแรงกลับไปยังแดนตะวันออก เพื่อจะพบเพียงร่างไร้ชีวิตของผู้คนทอดกายตรงหน้า

     

    ...หลงเหลือเพียงตัวคนเดียว... โลกิตัดสินใจใช้พลังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเปลี่ยนดินแดนตะวันออกให้อุดมสมบูรณ์อีกครั้งและยกทวีปขึ้นมาบนท้องฟ้า พร้อมทั้งสร้างสองชนเผ่าที่เขารักและเอ็นดูมากที่สุด ซึ่งก็คือเผ่าเอลลาดานและอควาดิลัสด้วยพลังที่แย่งชิงมาจากเฟรย่า  หมดสิ้นทั้งแรงกายแรงใจ โลกิหลับตาลงทอดกายลง ณ กึ่งกลางดินแดนที่เขารัก เปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ สั่งการให้รากชอนไชไปทั่วดินแดนเพื่อพิทักษ์ทุกชีวิตจากมอร์ที่ยังหลงเหลือบนพื้นดินด้านล่าง ก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราอันเป็นนิรันดร์

     

    แต่อย่างไรตำนานก็ยังคงเป็นแค่เพียงตำนาน หน้ากระดาษที่บันทึกเหตุการณ์จริงเอาไว้ได้หายไปกับกาลเวลาตั้งแต่ที่เกิดสงครามสี่เผ่าเมื่อสองพันปีก่อน

     

    หากกล่าวถึงซาคริเซียในยุคเมื่อสองพันปีก่อนหน้านี้....

     

    ก่อนที่สงครามสี่เผ่าจะปะทุขึ้นราวๆ หกร้อยปี  มีเพียงเผ่าเอลลาดาน[3]และอควาดิลัส[4]อาศัยอยู่บนซาคริเซีย เผ่าอื่นๆยังไม่ถือกำเนิด  บนพื้นดินมีเพียงป่าไลท์วู้ดปกคลุมทั่วทั้งบริเวณโดยมีอิกดราซิล ต้นไม้ในตำนานเป็นศูนย์กลาง ทางด้านทิศใต้มีทะเสสาบขนาดใหญ่ตั้งอยู่  ซึ่งเผ่าเอลลาดานนั้นกระจายตัวกันอาศัยในป่าไลท์วู้ด โดยมีศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่หมู่บ้านสตาร์ไลท์ที่ตั้งทางทิศตะวันออกและหมู่บ้านฟูลมูนทางทิศตะวันตกของป่าไลท์วู้ด ทั้งสองหมู่บ้านมีการติดต่อไปมาหาสู่กันเรื่อยๆ ดั่งญาติพี่น้อง  ส่วนทางด้านเผ่าอควาดิลัสที่ฝากชีวิตไว้กับสายน้ำ ปักหลักอาศัยอยู่ในทะเลสาบเฟลอฟ์ พร้อมทั้งสร้างเมืองบาดาลใต้ผืนน้ำ โดยเผ่าทั้งสองเอลลาดานและอควาดิลัสแยกกันใช้ชีวิต ไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน

     

    แต่แล้ววันคืนที่สงบสุขก็ต้องจบลงอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เมื่อบริเวณขอบทวีปทางทิศตะวันตกเกิดมีรอยแยกบนท้องฟ้า โดยมีฝุ่นละอองสีดำคล้ายหมอกลอยออกมาจากรอยแยก และปกคลุมป่าไลท์วู้ดทางฝั่งตะวันตกทั้งหมดในเวลาไม่กี่ชั่วยาม  ในภายหลังเราจึงทราบว่าฝุ่นละอองสีดำนั้นคือ ละอองแห่งความมืดหรือ นัวร์ ที่ตกค้างอยู่ในช่องว่างระหว่างมิติ  เมื่อนัวร์ปกคลุมหมู่บ้านฟูลมูน ชาวบ้านต่างพากันล้มป่วยและตายจากไปทีละคนสองคน   ไร้ซึ่งทางเลือกอื่น ซินเธีย ผู้ปกครองฝั่งตะวันตกในขณะนั้นตัดสินใจทำพันธะสัญญาทาสกับปิศาจผู้เปิดรอยแยกเพื่อที่จะรักษาชีวิตของคนทั้งหมู่บ้านเอาไว้และปิดผนึกรอยแตก ไม่ให้นัวร์รั่วไหลออกมาอีก  ค่าใช้จ่ายราคาแพงที่พวกเขาต้องเสียสละคือรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปและกลิ่นอายที่แฝงไปด้วยความมืด

     

    เมื่อทางฝั่งของหมู่บ้านสตาร์ไลท์รู้เรื่องเข้า กิลเลี่ยนผู้เป็นหัวหน้าเผ่าก็ตัดขาดความสัมพันธ์กับหมู่บ้านฟูลมูนและลูกบ้านทั้งหมดทันที เนื่องจากไม่พอใจกับการทำพันธะสัญญากับปิศาจของซินเธีย อีกทั้งมองว่าเป็นการทำให้สายเลือดบริสุทธิ์ที่ได้รับจากเทพสูงสุดแปดเปื้อนมลทินเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้  การเลือกที่จะตายยังดีเสียกว่าแทนที่จะให้เผ่าพันธุ์เสื่อมเสียเกียรติยศ    ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่าความเสียสละของพวกเขาไม่มีใครมาไยดี ชาวบ้านฟูลมูนจึงกลับไปอยู่อาศัยในป่าฝั่งตะวันตกที่กลายเป็นสีดำ โดยเปลี่ยนชื่อของป่าเป็นดาร์กฟอเรสต์  เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านจากฟูลมูนเป็นนิวมูน และประกาศนามเผ่าของตนใหม่ในนามของเผ่าโนเอล[5]

     

    นอกจากนัวร์จะย้อมป่าดาร์กฟอเรสต์จนเป็นสีดำแล้ว มันยังส่งผลกระทบกับเหล่าสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในป่าดาร์กฟอเรสต์อีกด้วย  สัตว์ป่าที่ได้รับนัวร์เข้าไป ส่วนหนึ่งกลายเป็นสัตว์อสูร ซึ่งมีพฤติกรรมคล้ายสัตว์ป่าคลั่ง หากแต่มีพลังกายและความเร็วมากกว่า ทำให้ป่าดาร์กฟอเรสต์เป็นสถานที่สำหรับเควสตั้งแต่สามดาวขึ้นไป  ทางด้านสัตว์ป่าที่ไม่ยอมกลายเป็นสัตว์อสูร เกิดการวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านนัวร์  ก่อให้เกิดเผ่าพันธุ์บรูเทียร์[6]ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์[7]แต่มีลักษณะบางอย่างที่ยังคงรูปร่างของสัตว์ดังเดิม

     

    ชาวบรูเทียร์ที่พึ่งถือกำเนิดขึ้นมา ปฏิเสธการช่วยเหลือของเผ่าโนเอลและการอาศัยอยู่ในป่าดาร์กฟอเรสต์เนื่องจากเผ่าโนเอลมีกลิ่นอายของนัวร์ หรือละอองความมืดเข้มข้น  ซึ่งทำให้เผ่าบรูเทียร์ที่มีสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ไวต่อนัวร์รู้สึกไม่ปลอดภัย และเลือกที่จะหันไปพึ่งพาเผ่าเอลลาดานที่มีพลังบริสุทธิ์เต็มตัวแทน   ทางฝั่งของเผ่าเอลลาดานที่เห็นชาวบรูเทียร์เป็นผู้อพยบจากป่าดาร์กฟอเรสต์ จึงให้การต้อนรับอย่างดีและรับเผ่าบรูเทียร์เป็นพันธมิตร   อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปประมาณร้อยปี การปฏิบัติตัวของชาวเอลลาดานต่อชาวบรูเทียร์ก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ   สาเหตุมาจากที่ว่าชาวเอลลาดานมองชาวบรูเทียร์เป็นพวกป่าเถื่อนไร้อารยธรรม  มีดีแค่เพียงแรงกาย  จึงลดความสำคัญของเผ่าบรูเทียร์ลง จนกลายเป็นชนชั้นล่างไปในที่สุด   เมื่อสถานการณ์การถูกกดขี่ดำเนินมาถึงจุดแตกหัก ชาวบรูเทียร์ตัดสินใจฉีกใบสนธิสัญญาพันธมิตรของเผ่าเอลลาดานทิ้ง และเดินทางออกจากหมู่บ้านสตาร์ไลท์ไปลงสู่ทางใต้

     

    ด้านทิศใต้ของซาคริเซีย เซเรน่า หัวหน้าเผ่าอควาดิลัสที่เป็นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกลับมองเผ่าโนเอลว่าเป็นผู้เสียสละที่น่ายกย่อง จึงเข้าไปปลอบโยนและขอทำสนธิสัญญาพันธมิตรกับเผ่าโนเอล  ซึ่งได้รับคำตกลงจากซินเธีย ผู้ปกครองหมู่บ้านนิวมูน ในเวลาต่อมา หลังจากที่เผ่าบรูเทียร์ขัดแย้งกับเผ่าเอลลาดาน ก็มาขออยู่อาศัยอยู่บริเวณริมทะเลสาบ และเล่าเรื่องราวที่ประสบมาด้วยความอัดอั้นตันใจ   ด้วยความเห็นใจ เผ่าอควาดิลัสจึงรับเผ่าบรูเทียร์มาเป็นพันธมิตรและอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขกว่าสองร้อยยี่สิบปี

     

    เมื่อย่างเข้าปีที่สองร้อยยี่สิบเอ็ด ฝั่งอควาดิลัสกลับพบว่าผลึกเซอร์คอน[8] อัญมณีประจำเผ่าได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เกิดเป็นข่าวลือว่าเผ่าบรูเทียร์คือผู้ที่ขโมยสมบัติไป ทางเผ่าบรูเทียร์ก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องดังกล่าว และไม่พอใจกับคำกล่าวหาที่เผ่าอควาดิลัสมอบให้ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐาน  อีกทั้งมีกระแสต่อต้านจากชาวอควาดิลัสที่เห็นชาวบรูเทียร์เป็นหัวขโมยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ   ชาวบรูเทียร์จึงออกเดินทางร่อนเร่อีกครั้งเพื่อหาที่ตั้งถิ่นฐานของตนที่แท้จริงด้วยใจที่บอบช้ำ  ซึ่งท้ายที่สุด ที่ที่เผ่าบรูเทียร์เลือกอาศัยก็คือใต้ร่มเงาของต้นอิกดราซิล  โดยนำความรู้ต่างๆ ที่ได้รับระหว่างที่ถูกปกครองโดยเผ่าเอลลาดานและที่ได้จากการแบ่งปันกับเผ่าอควาดิลัสมาพัฒนาความเป็นอยู่ของเผ่าให้เท่าเทียมกับเผ่าอื่นๆ  

     

    ทางเซเรน่า หัวหน้าเผ่าอควาดิลัสที่ไปมาหาสู่กับเผ่าโนเอลอยู่บ่อยครั้ง นึกสงสัยว่าเหตุใดชาวโนเอลถึงไม่โกรธแค้นเผ่าเอลลาดานที่ขับไล่พวกเขาอย่างไม่ไยดีทั้งๆ ที่เคยเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกัน แต่ไม่ว่าจะถามออกไปกี่ครั้งกี่ครา คำตอบที่ได้รับคือความเงียบและการส่ายหัวช้าๆ ด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ของหัวหน้าเผ่า ซินเธีย   แต่เมื่อกาลเวลาแปรเปลี่ยน การแก้แค้นคือคำตอบที่ได้รับกลับมาจากหัวหน้าเผ่ารุ่นที่สาม อลัน ผู้เป็นหลานของซินเธีย ผู้ที่ทนกับการดูแคลนจากเผ่าเอลลาดานตั้งแต่เล็กมามากกว่าสี่ร้อยปี   ด้วยเหตุเองนี้ เผ่าโนเอลจึงเกณฑ์กำลังทหาร จัดทัพใหญ่เข้าโจมตีหมู่บ้านสตาร์ไลท์ หัวใจของเผ่าเอลลาดาน

     

    หลังจากที่เผ่าโนเอลประกาศสงครามกับเผ่าเอลลาดานเพียงไม่กี่วัน เผ่าบรูเทียร์ฉวยโอกาสขณะที่เผ่าโนเอล พันธมิตรของเผ่าอควาดิลัส กำลังยุ่งอยู่กับสงครามของตัวเอง ในการบุกเข้าโจมตีเผ่าอควาดิลัสด้วยความโกรธแค้นที่งอกเงยมากว่าหนึ่งร้อยปีภายใต้การนำของเฟนริล ผู้เป็นหัวหน้าเผ่า   เผ่าอควาดิลัสที่จำต้องตั้งรับกับศึกที่ไม่ได้คาดคิดจึงส่งคำขอความช่วยเหลือถึงเผ่าโนเอลเพื่อขอยืมผลึกอเมทิสต์[9]ซึ่งเป็นสมบัติประจำเผ่าของเผ่าโนเอลในการป้องกันเมือง แต่กลับได้รับการปฏิเสธกลับมา ชาวอควาดิลัสจึงต้องรับมือเผ่าบรูเทียร์ที่ฝีมือพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงลำพัง และด้วยความที่ไม่ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์สงคราม รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทำให้ถึงแม้ว่าจะสามารถป้องกันเมืองจากการรุกรานของเผ่าบรูเทียร์ได้ แต่กลับต้องสูญเสียผู้นำของเผ่าไป จึงเป็นสาเหตุให้สัญญาพันธมิตรระหว่างเผ่าเป็นอันจบสิ้นลง  ทางด้านสงครามระหว่างเผ่าเอลลาดานและโนเอลจบลงด้วยการล้มป่วยของอลันผู้เป็นผู้นำ  เผ่าโนเอลจึงจำต้องยกทัพกลับหมู่บ้านเพื่อรักษาตัวด้วยความพ่ายแพ้

     

    ทั้งสี่เผ่าที่บอบช้ำจากสงครามระหว่างเผ่าจึงได้แต่เก็บตัวเร่งฟื้นกำลัง  สะสมบุคลากร เสบียง และอาวุธ   จนกระทั้งหนึ่งร้อยผ่านไป สงครามระหว่างสี่เผ่าจึงปะทุขึ้นมาอีกครั้งโดยกลายเป็นสงครามที่เห็นเผ่าอื่นที่ไม่ใช่เผ่าตนเป็นศัตรู ซึ่งสงครามยังคงดำเนินมากว่าสองพันปีจนถึงปัจจุบัน โดยที่ไม่อาจทราบได้ว่าจะสามารถยุติลงเมื่อใด...

     

     

              สงครามมันจบมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้วต่างหากล่ะ ตอนนี้ทั้งสี่เผ่าก็กำลังร่วมมือกันสร้างกองกำลังไปฉะกับพวกปีศาจที่เสร่อบุกเข้ามาในซาคริเซียต่างหาก รอชั้นอายุถึงก่อนเถอะ รับรองว่านักรบอันดับหนึ่งของซาคริเซีย ไม่พ้นชั้นคน--------

    (เสียงเบิร์ดกะโหลกลอยมาแต่ไกล...)

     

     

     

     

     



    [1] ซ.ศ. หรือซาคริเซียศักราช เริ่มนับตั้งแต่เมื่อปีที่เชื่อว่าเทพโลกิยกแผ่นดินซาคริเซียขึ้นจากพื้นดินด้านล่าง

    [2] สิ่งมีชีวิตสีดำที่เกิดจากการตกผลึกของพลังงานลบ มีชีวิตอยู่เพื่อการฆ่าเพียงอย่างเดียว

    [3] เพิ่มเติมในบทของเผ่าเอลลาดาน

    [4] เพิ่มเติมในบทของเผ่าอควาดิลัส

    [5] เพิ่มเติมในบทของเผ่าโนเอล

    [6] เพิ่มเติมในบทของเผ่าบรูเทียร์

    [7] สิ่งมีชีวิตในตำนานแร็กนาร็อก มีรูปร่างคล้ายฮาล์ฟบีสต์แต่ในส่วนที่เป็นสัตว์จะมีลักษณะร่างกายใกล้เคียงกับเผ่าเอลลาดานมากกว่าคือ หูของมนุษย์ที่มีลักษณะคล้ายหูของชาวเอลลาดาน แต่สั้นและกลมมากกว่า และไร้หาง  คุณสมบัติโดยรวมถือว่าอ่อนแอกว่ามาก แต่ทดแทนด้วยความเจ้าเล่ห์ จนต้องสูญพันธุ์ไปด้วยความโลภตามที่ตำนานแร็กนาร็อกกล่าวไว้

    [8] ผลึกเซอร์คอน (Zircon) คืออัญมณีประจำเผ่าของเผ่าอควาดิลัส ปัจจุบันไม่ทราบที่อยู่ที่แน่นอน มีความสามารถในการทำนายอนาคต

    [9] ผลึกอเมทิสต์ (Amethyst) คืออัญมณีประจำของเผ่าโนเอล มีความสามารถในการสร้างอาณาเขตป้องกันเมือง

    (เพิ่มเติม) นอกไปจากผลึกเซอร์คอนและผลึกอเมทิสต์ที่เป็นอัญมณีประจำเผ่าแล้ว  ยังมีผลึกการ์เน็ท (Garnet) ของเผ่าบรูเทียร์ และผลึกเอมเมอรัลด์ (Emerald) ของเผ่าเอลลาดานอีกด้วย  ผลึกการ์เน็ทมีความสามารถรักษา  ส่วนผลึกเอมเมอรัลมีความสามารถเคลื่อนที่ฉับพลัน (Teleport)


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×