วันว่างดารา - วันว่างดารา นิยาย วันว่างดารา : Dek-D.com - Writer

    วันว่างดารา

    โดย fayka^^

    ผู้เข้าชมรวม

    2,080

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    2.08K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ก.ย. 49 / 16:57 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เจิน-พลอย ลัดฟ้าย้อนวัยเยาว์



      มีโอกาสได้ย้อนวัยเยาว์ต่างถิ่นที่ “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์” สวนสนุกในฝันของอีกหลายคน มีหรือที่สองสาวคู่ซี้นักแสดงเลือดใหม่ของช่อง 3 คือ “น้องเจิน-วรัญญา เจริญพรสุข” กับ “น้องพลอย-ชิดจันทร์ รุจิพรรณ” จะปฏิเสธได้ลงคอ เพราะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ในฝันที่เธออยากไปมากๆ พอได้รับคำชวนจากคลื่นวิทยุ อีซี่ เอฟเอ็ม 105.5 ที่จัดกิจกรรม “อีซี่ วันเดอร์ เดอะ เจอร์นี่ ออฟ เมจิก อิน ฮ่องกง” สองสาวไม่รอช้าตกปากรับคำทันที เพราะงานนี้นอกจากจะได้สนุกสนานอย่างเต็มอิ่มที่ สวนสนุกดิสนีย์แลนด์แล้ว ยังได้ช้อปปิ้งพร้อมกับไปไหว้พระขอพรอีกต่างหาก ไปเที่ยวครบสูตรแบบนี้สองสาวคู่ซี้ไม่พลาดอยู่แล้ว

      ทันทีที่ถึง “เกาะฮ่องกง” สองสาวไม่รอช้าหลังเก็บสัมภาระเข้ายังโรงแรมที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็พากันไปอิ่มหนำสำราญอาหารมื้อเย็นด้วยอาหารทะเลหลากรสชาติกันแบบสดๆ พร้อมบรรยากาศแบบท้องถิ่น ณ หมู่บ้านชาวประมง มื้อนี้สองสาวรับประทานไม่ยั้งชนิดไม่กลัวอ้วนเลยทีเดียว โดยให้เหตุผลอ้างว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตื่นเช้ารับวันใหม่กับการมุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งความสนุก โดยที่สองสาวขอเติมพลังกันก่อนด้วยอาหารสไตล์ฮ่องกงคือ ติ่มซำ ที่ถือได้ว่าเป็นต้นตำรับของความอร่อย หลังจากอิ่มท้องเจินกับพลอยก็ไปขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลที่ “วัดหวังต้าเซียน” ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะในเรื่องการขอพร เรื่องการค้าขายให้เจริญรุ่งเรือง



      พออิ่มบุญสองสาวก็ขอย้อนสู่วัยเยาว์แบบสุดเหวี่ยงที่ “ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์” โดยสนุกกันแบบเต็มวันกับเครื่องเล่นอันทันสมัยที่สุดแห่งใหม่ของโลก โดยเฉพาะสาวพลอยสมแล้วกับที่เป็นแฟนตัวยงของเหล่าตัวการ์ตูนในโลกนิยายจริงๆ เห็นการ์ตูนขวัญใจตัวไหนไม่ได้ เป็นต้องปรี่เข้าไปกระทบไหล่ขอถ่ายรูป แถมยังชวนเพื่อนเจินไปร่วมก๊วนถ่ายรูปด้วย ก่อนจะไปท้าทายความหวาดเสียวกับเครื่องเล่นที่เป็นไฮไลต์ของสวนสนุกคือ “สเปซ เมาท์เทน” และ “บัซ ไลต์เยียร์” โดยที่สองสาวไม่เกิดอาการกลัวหรือหวาดเสียวให้เห็นเลยสักนิด และนอกจากจะเล่นเครื่องเล่นแล้ว สองสาวยังได้ชมขบวนพาเหรดอันยิ่งใหญ่ตระการตาของเหล่าบรรดาตัวการ์ตูน อาทิ สโนไวท์, ซินเดอเรลลา, มิกกี้เม้าส์, หมีพูห์ ฯลฯ

      และความประทับใจสุดท้ายบนเกาะฮ่องกง คงหนีไม่พ้นการช้อปปิ้ง งานนี้สองสาวไม่ยอมน้อยหน้าเสียเครดิตนักช้อปมือทองกันเลย ต่างใช้เวลาเสี้ยวสุดท้ายที่มีจำกัดเรียกเงินออกจากกระเป๋ากันที่แหล่งช้อปปิ้งย่าน “ถนนนาธาน” และ “เลดี้ มาร์เก็ต ม่งก๊ก” จนกระเป๋าแฟบ โดยที่สองสาวออกปากว่าของทั้งหมดที่ช้อปมาไม่ได้ซื้อให้ตัวเองเลย แต่ซื้อฝากเพื่อนๆ ทั้งน้าน โอ๊ย...ใครอยากจะเชื่อก็เชื่อไปเถอะ แต่น้ำรินไม่เชื่อร้อกจะบอกให้ เล่นช้อปซะกระเป๋าแฟบแบบนี้ จะไม่มีของตัวเองบ้างก็ให้มันรู้ไปสิน่าว่ามั้ย...
      กอล์ฟ-ไมค์ สบายอารมณ์ จูงมือนวดแผนโบราณ



      ลุยงานมาตลอดปีพอได้มาร่วมกิจกรรมของคลื่น “95.5 Virgin HitZ” ที่เกาะช้าง 2 ศรีพี่น้องสุดฮอตอย่าง “กอล์ฟ-พิชญะ นิธิไพศาลกุล, ไมค์-พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล” เลยขอหลบมุมเข้า Sita house ของโรงแรมหรู รามายานา เพื่อพักผ่อนสักหน่อย เมื่อไปถึงทั้งคู่ก็ตกลงเจรจากันอยู่พักใหญ่ว่าตกลงจะนวดสปาหรือนวดแผนโบราณกันดี สุดท้ายพี่ใหญ่อย่างนาย “กอล์ฟ” ก็ขอเลือกนวดแผนโบราณ โดยให้เหตุผลว่า

      “จริงๆ แล้วที่ผ่านมาตลอดทั้งปีจะทำงานตลอดโดยเฉพาะการเล่นคอนเสิร์ต ซึ่งแต่ละครั้งต้องใช้พลังค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะเพลงของกอล์ฟกับไมค์จะออกแนวสนุกสนาน ต้องเต้นเยอะ ก็เลยคิดว่าเลือกการนวดแผนโบราณน่าจะเหมาะกว่า เหมือนเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วย จริงๆ แล้วก็เคยนวดมาบ้างเหมือนกัน แต่วันนี้ต้องเตรียมความพร้อมหน่อย เพราะดูท่าแล้วจะหนัก”



      เมื่อตกลงกันได้ว่าจะนวดแผนโบราณ ทั้งคู่ก็ขอเวลาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมความพร้อม หลังจากออกมาจากห้องแต่งตัวปุ๊บก็จัดแจงนอนบนที่นอนให้คนนวดลงมือทันที แต่ดูเหมือนนาย “ไมค์” จะออกอาการเกร็งเล็กน้อย และพอคนนวดลงมือหนุ่มไมค์ถึงกับร้องจ๊ากด้วยความเจ็บ แต่ก็ฝืนให้นวดต่อเพื่อความสบาย ซึ่งหนุ่ม “ไมค์” บอกว่า

      “ปกติไมค์ไม่ค่อยได้มานวดแผนโบราณสักเท่าไหร่ แต่วันนี้เห็นว่าไหนๆ ก็มาพักผ่อนทั้งที เลยขอนวดสักหน่อย เห็นพี่กอล์ฟเขาอยากจะนวดก็ตามใจเขาในฐานะที่เขาเป็นพี่ชาย”.....โดยงานนี้ทั้งคู่ใช้เวลาในการนวดประมาณ 1 ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย ก่อนจะออกมาอย่างสบายอารมณ์

      หนีความวุ่นวายหาความสบายใจ ตามสไตล์ วิน



      แจ้งเกิดไปเป็นที่เรียบร้อย ถึงจะไม่ได้แซงหน้าเข้าวินมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็กลายเป็นที่รู้จักและกรี๊ดกร๊าดในกลุ่มวัยรุ่นและสาวๆ สำหรับหนุ่ม “วิน-ธาวิน เยาวพลกุล” ที่ไม่อาจปฏิเสธกระแสความต้องการของแฟนๆ ชมรมคนชอบวิน ที่มีทั้งโทรศัพท์และเขียนจดหมายอยากให้เราไปซอกแซกมุมบ้านของหนุ่มวิน โดยที่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามนัดแนะ เพิ่งจะประจวบเหมาะช่วงนี้ที่ละครปิดกล้องและวินสอบเสร็จพอดีก็เลยมีวันว่างให้เราไปเยี่ยมบ้านได้

      “ถ้ามีเวลาว่างผมชอบอยู่บ้านนะ ไม่รู้ทำไม ผิดกับตอนเด็กๆ ชอบออกไปเที่ยวเล่นตามบ้านเพื่อน แต่พอโตขึ้นไม่รู้ทำไมถึงชอบอยู่บ้าน และไม่ชอบไปไหนไกลๆ หรือเพราะข้างนอกมันดูวุ่นวาย แต่อยู่บ้านสบายสุด ไม่ว่าเราจะไปไหนก็ต้องกลับบ้าน คือผมก็ไม่ถึงกับเป็นคนรักสันโดษ มีความเป็นส่วนตัวจัด หรือติดบ้านหรอกนะ แต่ผมมีความรู้สึกที่ดีมากกว่าเวลากลับมาบ้านแล้วเจอพ่อแม่พี่น้อง อีกอย่างบรรยากาศภายในบ้านก็ดีด้วย ดูอบอุ่น เพราะอยู่กันแบบรวมญาติเป็นครอบครัวใหญ่ ในเนื้อที่เดียวกันมีบ้านอยู่ประมาณ 8 หลัง รายล้อมไปด้วยบ้านของคุณน้าคุณอา เพราะคุณตาอยากให้ลูกๆ ทุกคนอยู่รวมกันก็เลยซื้อที่ดินและแบ่งให้ลูกปลูกบ้านอยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งบ้านหลังนี้มีอายุ 20 กว่าปีแล้วครับ มันก็เลยอาจจะดูเก่าไปหน่อย”



      ถึงบ้านหลังนี้จะเก่าตามอายุการใช้งาน แต่มันกลับให้ความรู้สึกสบายในการอยู่อาศัยและการใช้สอยได้อย่างเต็มที่จนวินออกปากว่าถ้าวันหนึ่งมีบ้านของตัวเอง การตกแต่งคงไม่แตกต่างจากบ้านหลังนี้......“ผมเคยไปเห็นบ้านของคนอื่น ที่เรารู้สึกว่าเออ...บ้านสวยดูมีสไตล์โมเดิร์น แต่อยู่แล้วกลับใช้งานไม่ได้ จะวางแก้วน้ำบนเบาะก็กลัวจะเปื้อน อยากจะนั่งตรงนี้กลัวโซฟาเลอะ เหมือนแต่งบ้านเอาไว้โชว์มากกว่าใช้งาน ผมว่าเหมือนเป็นกรรมมากกว่า แต่ผมอยากอยู่บ้านแบบสบายๆ ใช้สอยเต็มที่ไปเลย อย่างที่บอกถ้ามีวันว่างจะชอบอยู่บ้าน แต่กิจกรรมของผมเวลาอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรมาก ผมจะนอนตื่นตอนบ่ายๆ พอตื่นนอนก็มาเล่นคอมฯ ดูทีวี.และพาเจ้าเกี้ยมอี๋ ( สุนัขแสนรัก ) ไปเดินเล่นตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน”

      ส่วนห้องนอนแม่เป็นคนจัดให้ แต่วินเป็นคนเลือกสีเองในโทนสีฟ้า จากวัยเด็กถึงตอนนี้ก็ประมาณ 12 ปี การตกแต่งก็ยังคงเดิมไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง.....“ที่เปลี่ยนแปลงไปมีครับ คือห้องมันรกขึ้น เมื่อก่อนห้องโล่งสะอาด แต่พอโตไม่รู้ทำไมถึงรก ทั้งที่มีคนคอยดูแลจัดการให้ แต่มันก็ยังรกอยู่ดี ด้วยความที่ของมันเยอะขึ้นมั้ง ในขณะที่เนื้อที่ห้องมีอยู่เท่านั้น แต่ของเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยเริ่มรก จนผมคิดว่าอยากจะจัดอยากจะขยายห้องใหม่ ผมอยากมีมุมเอาไว้เล่นคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ตอนนี้ผมมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กซึ่งไว้ทำงาน แต่ผมอยากมีคอมฯเอาไว้เล่นเกม อยากมีโซฟาสักตัวเอาไว้นั่งดูทีวี. เพราะทีวีมันอยู่หัวเตียงจะให้ผมดูยังไง แต่ผมก็ได้แค่คิดคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะเนื้อที่ห้องมันมีจำกัด แต่ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะผมเห็นผมอยู่และโตมากับบ้านหลังนี้ ก็เลยมีเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกผูกพัน”
      ตุ้ย-AF3 ควงคุณแม่ ตะลุยฮ่องกงสุดประทับใจ

      หลังจาก “ยูบีซี อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่น 3” ได้ทำเซอร์ไพร์สเป็นของขวัญให้ลูกกตัญญู “ตุ้ย V12” แห่งบ้านอะคาเดมี่ฯ และ “แม่น้อย ล่าทา” ในฐานะที่ทำคะแนนป๊อปปูล่าโหวตสูงสุด จนทั้งคู่ต่างปลื้มปิติจนพูดไม่ออก เพราะตุ้ยได้เป็นตัวแทนไปซ้อมเต้นกับดาราดังอย่าง “อู๋จั๋วซี” ถึงฮ่องกง แถมยังได้ไปกับแม่อีกด้วย ซึ่งคราวนี้ตุ้ยได้ครูดีไปกับทริปนี้ไปสอนร้อง สอนเต้น เพื่อที่จะฟิตมาโชว์คอนเสิร์ตในวันเสาร์นี้ด้วย นั่นก็คือ “ครูเป็ด-วาเนสซ่า กัณโสภณ” ครูแดนซ์จาก LA DANCE และ “ครูกานต์ จั่นทอง” วอยส์เทรนเนอร์จาก GEN- X

      มาถึงสนามบินดอนเมืองในวันที่ 14 สิงหาคม 49 พร้อมกับเหล่าบรรดาแฟนคลับที่มาส่งแต่เช้า ให้กำลังใจและต่างก็ขอถ่ายรูปตุ้ยกันเต็มไปหมด อยู่บนเครื่องตุ้ยไม่รอช้างัดเนื้อเพลงที่มีอยู่ในมือออกมาซ้อมร้องอย่างไม่อายใคร ทันทีที่เครื่องลงจอดสู่สนามบินฮ่องกง ทางทีมงานก็พาตุ้ยไป “TVB” สถานีโทรทัศน์ของฮ่องเลย ตุ้ยได้เจอกับ “อู๋จั๋วซี” หรือที่ตุ้ยเรียก “พี่ลอน” ทั้งคู่ก็ได้ทักทายกันโดยมีล่ามแปลให้

      จากนั้นพี่ลอนถือโอกาสโชว์ท่าเต้นในเพลงของเค้าและสอนให้ตุ้ยเต้นตาม พอเสร็จจากเต้นแล้วพี่ลอนก็พาชมโรงถ่ายของ “TVB” ซี่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของตุ้ยมาก ส่วนตอนกลางคืนตุ้ยกับแม่ก็ได้ไปเดินช้อปปิ้งย่าน “เจียมซาจุ่ย” แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลย แค่ไปเดินชมบรรยากาศของฮ่องกงเท่านั้น วันแรกตุ้ยกังวลกับเนื้อเพลงมากเพราะว่าเนื้อเพลงเยอะมาก เค้าก็เลยค่อนข้างจะมีโลกส่วนตัว คือเค้าก็จะนั่งท่องเนื้อเพลงและซ้อมเต้นทุกที่เมื่อมีเวลาว่าง

      วันที่สอง ครึ่งวันเช้าไปไหว้ “เจ้าแม่กวนอิม” และไปจุดชมวิว “วิคตอเรีย พีค” ซึ่งครูเป็ดก็จะเปิดคลาสสอนเต้นกันที่นี่เลย ก็จะมีคนหยุดมองว่าทำอะไรกัน แต่ตุ้ยกับครูเป็ดก็ไม่สนใจ จากนั้นก็ไป “ดิสนีย์แลนด์ ( ฮ่องกง )” พอไปถึงก็ไปดูขบวนพาเหรด แล้วก็ไปซ้อมเต้นหน้าเครื่องเล่นอีกด้วย เสร็จจากการซ้อมตุ้ยกับแม่ก็ได้ไปดูโรงหนัง 3 มิติของการ์ตูนดิสนีย์ และควงกันเล่นเครื่องเล่นยอดฮิตของฮ่องกง นั่นก็คือ “SPACE MOUNTAIN” ซึ่งตุ้ยต้องไปยืนรอต่อคิวครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้เล่นเครื่องเล่นสุดฮิตนี้

      แต่ที่ลืมไม่ได้ก็คือของฝาก พวงกุญแจการ์ตูนดิสนีย์แลนด์เป็นของฝากที่ตุ้ยซื้อให้ผู้ชายในบ้านอะคาเดมี่ ส่วนสองสาวสวยได้ที่คาดผมแสนสวย และคุกกี้ตุ้ยตั้งใจซื้อให้พ่อและน้อง และตอนกลางคืนทางทีมงานได้พาไปที่ “สตาร์อเวนิว” ริมทะเลฝั่งเกาลูน ที่มีรอยประทับมือของดาราคนดัง อย่างเช่น หลิวเต้อหัว เฉินหลง เป็นต้น วันสุดท้ายเรียกว่า City tour คือเดินเที่ยวแถวย่านช้อปปิ้ง อย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือว่าโทรศัพท์มือถือ ซึ่งตุ้ยเรียกว่า “เดินอัพเดทเทคโนโลยี”

      ถึงเวลาที่ต้องจากฮ่องกงกลับเมืองไทยแล้ว อยู่ที่สนามบินฮ่องกงตุ้ยก็ยังไม่วายทั้งซ้อมร้องและซ้อมเต้นอยู่คนเดียว จนทำให้ฝรั่งแถวนั้นสงสัยจึงหันมาถามครูกานต์ ครูกานต์จึงได้ไขข้อสงสัยไป จนมาถึงกรุงเทพฯ ตุ้ยเดินออกจากปล่องเครื่องบิน ตกใจมากเพราะมีแอร์โฮสเตสและสจ๊วตหลายสายการบิ มายืนรอรับตุ้ยกันเต็มไปหมด จากนั้นตุ้ยก็เดินออกมากข้างนอกก็ยังมีแฟนคลับ และคนที่อยู่ที่สนามบินมารอขอถ่ายรูปกันเต็มไปหมด

      หนุ่มตุ้ยทำซึ้งก่อนจะจากแม่โดยการกราบเท้าแม่ และได้พูดกับแม่ก่อนจากกันว่า.....“แม่...เหลืออีกไม่กี่วันเองนะ เดี๋ยวตุ้ยก็ออกมาแล้ว แม่ไม่ต้องร้องไห้ เดี๋ยวตุ้ยก็ได้กลับบ้านมาอยู่กับแม่แล้วนะ” ส่วน “แม่น้อย” ก็ได้พูดถึงความรู้สึกครั้งนี้ว่า.....“ตื่นเต้นมากๆ ที่แม่กับตุ้ยได้ไปเที่ยวด้วยกัน แล้วก็ได้ไปถึงฮ่องกงอีกด้วย ไม่นึกว่าลูกเราจะดังและมีคนมาขอถ่ายรูปเยอะแยะขนาดนี้ตอนที่อยู่สนามบิน ไม่นึกไม่ว่าชีวิตนี้จะได้นั่งเครื่องบินกับเค้า”
      วันว่างของซุปเปอร์สตาร์

      ถึงช่วงหลังๆ คนในโลกกีฬาจะถูกเหมารวมเป็นส่วนหนึ่งของ “เซเลบริตี้” ไปแล้วก็ตาม แต่ภาพและข่าวของเขาและเธอที่ปรากฏสู่สายตาแฟนๆ อย่างเราๆ ก็ยังเป็นเรื่องราวในสนามที่พวกนั้นถนัดอยู่ดี เรียกว่าถ้าไม่ใช่คนดังจริงๆ อาทิ เดวิด เบ๊กแฮม แล้วก็ยากที่คนทั่วไปจะทราบว่าชีวิตในอีกโลกหนึ่งซึ่งไม่มี “กีฬา” เข้ามาเกี่ยวข้องของพวกเขาเหล่านั้นเป็นอย่างไร “ดิ อ๊อบเซิร์ฟเวอร์” หนังสือพิมพ์คุณภาพของเมืองผู้ดีจึงถือโอกาสตามติดชีวิตนอกสนามของนักกีฬาระดับโลกมากหน้าหลายตา ซึ่งเราได้คัดสรรเรื่องราวของคนดังชื่อคุ้นหูมาฝากกันไว้ ณ ที่นี้

      แลนซ์ อาร์มสตรอง

      วันทำงาน : แชมป์ตูร์ เดอ ฟรองซ์ 7 สมัย
      วันว่าง : แฟนพันธุ์แท้ ฮาร์เลย์-เดวิดสัน

      ถึงจะไม่ได้ใช้ชีวิตหลังแฮนด์จักรยานมากเท่ากับสมัยก่อน แต่ชีวิตของนักปั่นชาวอเมริกันก็ยังคงผูกพันกับ “รถสองล้อ” แทบไม่ต่างจากเดิมเลย ว่ากันตามจริงแล้วอาร์มสตรองก็ตกหลุกรักพวกรถยนต์มาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นตามประสาชายหนุ่มทั่วๆ ไป ตอนอายุ 16 เขาเก็บหอมรอมริบเงินจากการตระเวนแข่งขันไตรกีฬามาถอยรถคันแรก เป็นรถเฟียตมือ 2 สีแดงสด หลังจากซิ่งอวดชาวบ้านได้ปีหนึ่งอาร์มสตรองก็เอาเฟียตไปแลกซื้อ คามาโร ไอร็อค ซี 28 และจัดแจงแต่งรถใหม่มาซิ่งแข่งกับเพื่อนตอนกลางคืนจนโดนสปอนเซอร์จักรยานสั่งริบรางวัล

      ความผูกพันกับเครื่องยนต์ติดล้อของอาร์มสตรองมาเริ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1998 สมัยที่เขากำลังฟื้นตัวจากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเพื่อกลับสู่อานจักรยานอีกครั้ง ตอนที่กำลังท้อๆ อยู่นั่นเองอาร์มสตรองบังเอิญเหลือบไปเห็นโฆษณารถมอเตอร์ไซค์ “ฮาร์เลย์-เดวิดสัน” ในนิตยสาร และเกิดปิ๊งปั๊งข้อความโฆษณา “ถ้าได้โอกาสรีเซ็ตชีวิตใหม่ สิ่งที่ผมอยากจะทำก็คือ...นั่งดูอาทิตย์อัสดงให้มากขึ้นกว่าเดิม” เข้าจนถึงขั้นคิดจะหันไปขี่ฮาร์เลย์แทนจักรยานกันเลยทีเดียว

      ถึงจะไม่ได้ทำอย่างที่คิดเอาไว้ในตอนนั้น อย่างน้อยๆ ที่สุดฮาร์เลย์ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของหนุ่มอเมริกันไปแล้วเรียบร้อย ที่บ้านของอาร์มสตรองในรัฐเท็กซัสจะมีฮาร์เลย์ 2 คัน ยืนตระหง่านรับแขกอยู่ตรงทางเข้า และครั้งหนึ่งเขาเคยสั่งให้ช่างทำมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ดีไซน์พิเศษขึ้นมาเพื่อเป็นที่ระลึกในการคบหากับแฟนสาว ( ณ เวลานั้น ) เชอรีล โครว์ ด้วย

      แลนซ์ อาร์มสตรอง กับฮาร์เลย์คู่ใจ ทุกวันนี้ในวันที่ว่างเว้นจากภารกิจส่วนตัวต่างๆ นานา หลายคนจะมองหาอาร์มสตรองได้แถวๆ เนินเขาแถบชานเมืองในเท็กซัส ที่ซึ่งเขาเคยบากบั่นปั่นจักรยานขึ้นลงซ้ำๆ กันอย่างยากลำบากในอดีต ภาพที่เห็นอาจดูคุ้นตา แต่พาหนะซึ่งนำพาเขาตะลุยผ่านเนินเขาเหล่านี้กลายเป็นมอเตอร์ไซค์คันโตที่ครองใจหนุ่มๆ ทั่วโลกไปแล้ว

      เจมี่ เร้ดแนปป์

      วันทำงาน : นักเตะอาชีพผู้ผันตัวเองเป็นนักวิจารณ์บอล
      วันว่าง : บรรณาธิการนิตยสารไลฟ์สไตล์ในแวดวงลูกหนัง

      ทุกอย่างเริ่มต้นจากไอเดียของ “ทิม เชอร์วู้ด” อดีตเพื่อนร่วมทีมของเร้ดแนปป์สมัยอยู่สเปอร์ส ระหว่างทั้งคู่มานั่งจับเข่าคุยกันในช่วงปลายชีวิตนักเตะอาชีพของแต่ละคน เชอร์วู้ดเสนอว่า “น่าจะมีใครสักคนคิดทำนิตยสารที่เจาะลึกเรื่องราวไลฟ์สไตล์ของนักฟุตบอลชื่อดัง และคู่ชีวิตของพวกนั้นแบบที่ไม่เคยปรากฏบนแผงหนังสือมาก่อน” แนวคิดนี้ชวนให้เร้ดแนปป์นึกย้อนไปถึงสมัยที่หัดเล่นฟุตบอลใหม่ๆ ตอนนั้นเรียกว่านักเตะดังๆ จะขยับตัวทำอะไร เด็กหนุ่มผู้มีฝันอย่างเขาเป็นต้องอยากรู้อยากเห็นไปหมด นี่จึงเป็นที่มาของ “ไอคอน แม็กกาซีน” ในเวลาต่อมานั่นเอง

      นิตยสารราย 2 เดือน ฉบับปฐมฤกษ์ถือเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนอย่างแท้จริง เพราะนอกจากเร้ดแนปป์จะนั่งเก้าอี้เจ้าของควบตำแหน่งบรรณาธิการไปพร้อมๆ กันแล้ว เขายังให้ “หลุยส์” ภรรยาสุดที่รักซึ่งเป็นอดีตนักร้องดังทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ “คอลีน แม็กลัฟลิน” คู่หมั้นสาวของ “เวย์น รูนี่ย์” ขณะที่ตัวเขาเองไปนั่งคุยชีวิตกับลูกพี่ลูกน้องคนดัง “แฟรงก์ แลมพาร์ด” เพื่อเอามาขึ้นปก แถมยังได้คุณพ่อ “แฮร์รี่ เร้ดแนปป์” มาให้คำแนะนำเรื่องรถซะอีกแน่ะ

      เร้ดแนปป์บอกว่า สนุกกับงานนิตยสารมาก ทั้งวางเลย์เอาต์หน้า ทั้งเลือกรูป และเขียนสกู๊ปด้วยตัวเอง ที่ผ่านมาเคยมีสตาร์ดังๆ แวะเวียนมาเป็นแขกรับเชิญในไอคอนแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล โอเว่น, ไรอัน กิ๊กส์ หรือสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด รายหลังนี่ดูจะติดใจมากเป็นพิเศษถึงขั้นออกปากว่า อยากจะโดดมาร่วมวงทำอะไรในกระบวนการผลิตด้วยเลยทีเดียว

      เลส เฟอร์ดินันด์

      วันทำงาน : นักเตะอาชีพผู้ผันตัวเองเป็นนักวิจารณ์บอล
      วันว่าง : นักบินเฮลิคอปเตอร์

      เฟอร์ดินันด์บอกว่า ก่อนอื่นต้องยกเครดิตให้ “เควิน คีแกน” กุนซือคนเก่าของเขาที่นิวคาสเซิล ซึ่งช่วยเปลี่ยนแนวคิดในการดำเนินชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง “บอสบอกว่าชีวิตในทีมนิวคาสเซิลก็ไม่ต่างอะไรกับการว่ายวนไปวนมาในโหลปลาทอง บอสเลยแนะให้ผมหาเป้าหมายอย่างอื่นในชีวิตนอกจากเรื่องฟุตบอลซะบ้าง”

      ด้วยเหตุนี้ระยะเวลา 2 ปีที่อยู่กับสาลิกาดง เฟอร์ดินันด์จึงหัดทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เช่นหัดทำอาหาร หัดขี่มอเตอร์ไซค์ และหัดเป่าแซ็กโซโฟน แต่ที่ถือเป็นทีเด็ดที่สุดเห็นจะไม่พ้นการหัดขับเฮลิคอปเตอร์ที่ต้องใช้เวลาเกือบๆ 2 ปีในการฝึก เฟอร์ดินันด์เริ่มบทเรียนแรกหลังจากย้ายไปอยู่กับสเปอร์สในปี 1997 และตกหลุมรักอิสระในการแหวกว่ายไปบนผืนฟ้าในทันที

      “ก่อนบินเดี่ยวแรกๆ ผมก็กลัวนะ แต่พอเครื่องขึ้นปุ๊บเหมือนร่างกายมันทำไปอัตโนมัติเลยครับ มีบางเวลาเหมือนกันที่ความคิดมันแวบเข้ามาในหัวว่า ถ้าเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาใครก็ช่วยเราไม่ได้ แต่โชคดีที่ผมยังไม่เคยเจออะไรอย่างงั้น” พอย้ายไปโบลตันในปี 2004 เฟอร์ดินันด์ก็ทุ่มเทเวลาให้กับการขับเฮลิคอปเตอร์อย่างเต็มที่ ถึงขั้นปักหลักพักที่โรงแรมและเดินทางไปไหนมาไหนด้วยคอปเตอร์กันเลย ตอนนี้เขามีใบอนุญาตขับฮออย่างเต็มรูปแบบ และมีโอกาสพาเพื่อนฝูงไปพักตากอากาศริมทะเลบ่อยครั้ง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรถติดเลยแม้แต่นิดเดียว

      เซเรน่า วิลเลี่ยมส์

      วันทำงาน : แชมป์เทนนิสแกรนด์สแลม
      วันว่าง : นักแสดงและดีไซเนอร์

      ในจำนวนนักกีฬาที่เรานำเสนอเรื่องราวในวันนี้ เชื่อเหลือเกินว่าคงไม่มีชีวิตนอกสนามของใครคนไหนที่แฟนๆ จะคุ้นเคยมากไปกว่าของเธอคนนี้อีกแล้ว ยิ่งช่วงหลังๆ นี่ยิ่งแล้วใหญ่เพราะนับตั้งแต่คว้าแชมป์ “ออสเตรเลียน โอเพ่น 2005” เป็นต้นมา จำนวนครั้งที่เธอใช้เวลาไปบนคอร์ตเทนนิสก็แทบจะนับนิ้วได้เลยทีเดียว

      เรียกว่าตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับเวลาที่หมดไปบน “พรมแดง” ของงานบันเทิงหรือ “แคตวอล์ก” แฟชั่นน้อยใหญ่ทั่วโลก หนึ่งในผลงานชิ้นล่าของเซเรน่าคือ การรับบทแม่ที่ลูกตัวเองกำลังติดอยู่ในอาคารที่ไฟไหม้ ในซีรีส์หมอเรื่องดัง “อีอาร์” กับการเป็นผู้ร่วมดีไซน์กลิ่นน้ำหอมซีรีส์ “เฟลิร์ต” ของเอสเต ลอเดอร์ นี่ยังไม่นับความเอาจริงเอาจังในบริษัทแฟชั่นแบรนด์ส่วนตัว “อนีเรส” ของเธออีกต่างหาก

      ช่วงหลังๆ เซเรน่าแทบจะไม่เคยให้สัมภาษณ์เรื่องกีฬาเทนนิสที่ทำให้เธอกลายเป็น “เซเลบริตี้” อีกเลย ถึงขั้นที่เธอบอกเองเลยว่า “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาคิดถึงมาเรีย ชาราโพว่า หรือใครๆ ในทัวร์แล้วค่ะ เพราะฉันมีบริษัทแฟชั่นที่ต้องดูแล แล้วไหนจะงานแสดงอีก ตอนนี้ยังหันมาจับงานอนิเมชั่นเลยนะ โอ๊ย...ยุ่งไปหมดจริงๆ ค่ะ”

      จะว่าไปแล้วเซเรน่ก็แสดงออกถึงความรักชอบในโลกบันเทิงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แถมยังแสดงออกพร้อมความมั่นที่ไม่มีทีท่าว่าใครๆ จะฉุดรั้งเธอไว้ในโลกเทนนิสได้ด้วย ประเด็นนี้มีเกร็ดเล็กๆ ในโลกสักหลาดที่หลายคนอาจไม่รู้ยืนยันได้เป็นอย่างดี...ย้อนหลังกลับไปในเดือนกรกฎาคมปี 2004 เมื่อคราวที่เซเรน่าปรากฏตัวที่ห้องแถลงข่าวของออลอิงแลนด์คลับ ในชุดสีชมพูสวยปิ๊งและกระเป๋าถือสุดเริ่ด หลังพ่ายให้มาเรียในรอบชิงวิมเบิลดัน ครั้งนั้นนักข่าวคนหนึ่งตั้งคำถามกับสาววิลเลี่ยมส์ผู้น้องว่า

      “ในฐานะที่คุณเป็นหนึ่งในนักเทนนิสซุปเปอร์สตาร์ของยุคนี้ ช่วยคอมเมนต์เรื่องกระแสความแรงของมาเรียช่วงนี้หน่อยสิครับ” คำถามนี้ทำเอาเซเรน่าออกอาการช็อคอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตอบไม่ตรงคำถามว่า...“นักเทนนิสซุปเปอร์สตาร์เหรอคะ? ฉันไม่ใช่นักเทนนิสซุปเปอร์สตาร์นะ ฉันเป็นซุปเปอร์สตาร์ต่างหากแบบ บริตนีย์ สเปียร์ส ไงค่ะ”

      ศูนย์รวมความสุขของ ต๊ะ-วริษฐ์



      วันนี้ชีพจรลงเท้าฝ่าการจราจรที่แสนจะติดขัดท่ามกลางเปลวแดดร้อนระอุตอนบ่ายแก่ๆ ไปที่ซอยสวนผัก ตามกระแสความเรียกร้องจากแฟนๆ ที่ขอให้เรานัดแนะคิวไปเยี่ยมบ้านของนักแสดงหนุ่ม “ต๊ะ-วริษฐ์ ทิพย์โกมุท” ที่ได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากบทของ “มาร์ค” ในละครเรื่อง “อุ้มรัก” บ้านสีขาวหลังกะทัดรัดบนเนื้อที่ 40 ตารางวา ที่เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ หลังนี้เป็นบ้านที่มาจากน้ำพักน้ำแรงและไอเดียการตกแต่งของเขาเอง ที่ปรุงแต่งให้ออกมาเป็นสไตล์แบบไทยๆ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากความฝังใจในวัยเด็ก

      “เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมเคยไปบ้านยาย ซึ่งอยู่ในสวนและมีต้นไม้ใหญ่เยอะแยะเหมือนอยู่ในป่า แล้วตัวบ้านเป็นไม้หมด ก็เลยเป็นความฝังใจและคิดว่าถ้าเราโตขึ้นต้องมีแบบนี้ให้ได้ พอผมมีบ้านเป็นของตัวเองก็พยายามทำให้ใกล้เคียงที่สุด แต่คงได้แค่ในเรื่องของการตกแต่ง ส่วนตัวบ้านใจจริงอยากได้บ้านไม้แหละ แต่มันแพงเกินกำลังของผม นี่ขนาดตัวบ้านเป็นปูนไม่ได้เป็นไม้ ผมยังโดนเพื่อนแซวบ่อยๆ ว่าเป็นบ้านผมหรือบ้านปู่กันแน่ เพราะเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งเกือบทุกชิ้นถ้าไม่ใช่ทำมาจากไม้ก็จะเป็นหวายผสมผสานกันไป ซึ่งเป็นความชอบส่วนตัวของผม



      ผมว่าไม้มันดูคลาสสิกดีและดูไม่เบื่อ ผิดกับเฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์นมันดูได้แป๊บเดียว แล้วเวลาเปื้อนหรือสึกหรอยังไงมันก็ดูไม่สวย แต่ไม้ถึงจะเป็นรอยมันก็ยังดูขลัง ยิ่งเป็นไม้ของเก่าด้วยแล้วยิ่งดูขลัง แล้วผมอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวก็เลยไม่จำเป็นต้องแต่งให้มันมีพิธีรีตองอะไรมาก อะไรที่มิกซ์กันได้หรือประหยัดได้ก็ทำ อย่างมุมรับแขกผมก็ไม่มีชุดโซฟา แต่ทำแบบง่ายๆ แค่เอาตั่งมาวาง และมีเบาะรองนั่งก็โอเค.แล้วล่ะ เป็นแนวญี่ปุ่นออกไปทางเหนือ แต่จริงๆ แล้วผมอยากจะบอกว่าผมยังไม่มีเงินซื้อโซฟา ( หัวเราะ ) เพราะไปดูมาแล้วสู้ราคาไม่ไหว คือถ้าผมจะทำหรืออยากได้อะไร ต้องดีต้องเจ๋งสุดๆ ไปเลย ก็เลยต้องค่อยพัฒนาไปเรื่อยๆ ตามปัจจัยครับ

      อย่างห้องนอนของผมก็แมนๆ ง่ายๆ ไม่มีเตียงนอนอีกเหมือนกัน มันแพงครับ เพราะเตียงนอนที่ผมอยากได้เป็นเตียงนอนไม้ที่จะมีมุ้งอยู่ตรงกลาง ผมว่ามันดูโรแมนติกดีออก คือคนอาจจะมองว่าผมดูเป็นหนุ่มเซอร์ๆ แต่อีกมุมหนึ่งผมก็มีความโรแมนติกและละเอียดอ่อนมาก โดยเฉพาะเรื่องการแต่งบ้าน หรืออะไรที่เป็นความสุขกับตัวเราก็จะพยายามทำ ผมค่อนข้างเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวเยอะ ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่ไหนทุกที่ผมสามารถมีโลกส่วนตัวได้ แต่ที่บ้านคงเป็นส่วนตัวมากสุด เพราะบ้านเป็นศูนย์รวมแห่งความสุขของทุกอย่าง ไม่ว่าเราจะมีเวลาอยู่บ้านมากหรือน้อยก็ตาม แต่เราก็มีความสุขได้ ถ้าบ้านเราสะอาดและมีทุกอย่าง ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปหาความสุขข้างนอก”
      ท่องดินแดนอาทิตย์อุทัยกับ เมษ์-บัณฑิตา

      ทำงานเหนื่อยนักถ้ามีเวลาพักก็รู้จักพาตัวเองไปชาร์จแบตผ่อนคลาย ให้หายล้าจะได้มีกำลังวังชากลับมาสู้กับงานต่อไป เช่นเดียวกับเธอคนนี้ “เมษ์-บัณฑิตา ฐานวิเศษ” ที่ผ่านมาทำงานตลอดแทบทุกวันมานานนับปี เพิ่งจะมีเวลาไปเที่ยวพักผ่อนก็คราวนี้แหละทำให้เมษ์ถึงกับเริงร่า เพราะนอกจากจะได้ไปเที่ยวแล้วสถานที่ที่เธอเลือกไปนั้นคือดินแดนปลาดิบอย่าง “ประเทศญี่ปุ่น” ซึ่งเป็นประเทศในฝันที่เธออยากไปมานาน หลังจากเคยเห็นจากในหนังสือการ์ตูนที่ชอบอ่าน ทำให้อยากเห็นของจริงว่าเป็นยังไง



      “พอได้ไปเห็นแล้วก็โอเค.นะ สวยอย่างที่คิดไว้ ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามหรือสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ เสียอย่างเดียวตรงที่อากาศหนาวเอามากๆ ประมาณ 6-7 องศา แถมบางวันยังมีลมมีฝน อู้ย...ยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่ ถึงขนาดเอามือออกจากกระเป๋าเสื้อไม่ได้ และต้องมีถุงร้อนติดตัวตลอด” แต่ถึงจะหนาวแค่ไหนทันทีที่เห็นหิมะสาวเมษ์ก็ขอสัมผัสแบบใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยการยอมลงทุนเอาตัวลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนหิมะด้วยความตื่นเต้น เปิดโปรแกรมทัวร์ดินแดนปลาดิบด้วยการไปนมัสการขอพรจากองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ “วัดอาซะกุซ่า” เป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในโตเกียว ก่อนจะไปต่อกันที่ “ชินจูกุ” ย่านความเจริญอันดับหนึ่งของนครโตเกียว ที่มีสินค้าให้ช้อปมากมาย เล่นเอาสาวนักช้อปมือทองอย่างเมษ์ช้อปเพลินจนกระเป๋าแทบฉีก

      และสิ่งที่เธอพลาดช้อปไม่ได้เลยคือหนังสือการ์ตูน แม้จะอ่านไม่ออกแต่ก็อยากซื้อเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก หรือจะเป็นที่ “ศาลเจ้าเฮย์อัน” ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นในโอกาสเฉลิมฉลองการครบรอบการสถาปนาเมืองเกียวโตครบ 1,100 ปี เมื่อปี ค.ศ.1895 หลังจากไหว้พระขอพรที่ศาลเจ้าเฮย์อันแล้ว สิ่งที่เมษ์อยากเห็นมากสุดคือ “เกอิชา” เพราะไกด์บอกว่าอาจจะได้เจอเกอิชามาไหว้พระที่ศาลเจ้านี้ แต่วันนั้นฝนดันตกหนักเมษ์ก็เลยไม่ได้เห็นเกอิชา น่าเสียดายสุดๆ เมษ์ก็เลยอธิษฐานขอพรให้เธอได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง อยากมาเห็นเกอิชาตัวจริงและดอกซากุระบาน แต่ไม่รู้คำอธิษฐานของเธอจะแรงกล้าเป็นจริงไหม



      และแล้วก็มาถึงไฮไลต์ของการมาครั้งนี้ด้วยการไปชม “ภูเขาไฟฟูจิ” ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ เป็นภูเขาไฟที่มีลักษณะงดงามที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง มีความสูงประมาณ 3,776 เมตร และมีหิมะปกคลุมบนยอดเขาตลอดทั้งปี แต่เป็นที่น่าเสียดายอีกแล้วเมื่อเมษ์ไม่ได้ขึ้นไปชมให้เห็นกับตา เพราะวันที่ไปฝนดันตกพอดีทำให้ถนนลื่นมาก แล้วที่ญี่ปุ่นจะเข้มงวดมากเรื่องความปลอดภัยในการเดินทาง เมษ์ก็เลยได้แค่ไปยืนเก๊กท่าถ่ายรูปตรงทางขึ้นเท่านั้น ก่อนจะเดินทางไป “หุบเขาโอวาคุดานิ” สัมผัสบ่อน้ำแร่กำมะถันที่สามารถต้มไข่ให้สุกได้ พร้อมลองอาบน้ำที่โอนเซ็น น้ำแร่ธรรมชาติเพื่อสุขภาพ

      ปิดท้ายความสนุกกับการมาเยือนญี่ปุ่นที่ “ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ” ที่ลงทุนสร้างมหาศาลและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นโรงถ่ายหรือการชมภาพยนตร์สามมิติ รวมไปถึงสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นมากมาย แม้จะมีเวลาอยู่ที่นี่ตลอดวัน แต่เมษ์ก็ไม่สามารถเล่นเครื่องเล่นได้ครบหมดทุกชิ้น เพราะต้องต่อแถวไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง นี่ขนาดเป็นวันธรรมดาคนยังเยอะมากขนาดนี้ ถ้าเป็นวันหยุดจะเยอะขนาดไหน เมษ์ก็เลยไปเดินดูโรงถ่าย ดูหนังสามมิติ ก่อนจะไปดูพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พร้อมช้อปตามอัธยาศัยที่แหล่งช้อปปิ้งชื่อดังอย่าง “กินซ่า” และ “อีโคบุคุโระ” เรียกว่าเป็นการเที่ยวพักผ่อนที่เมษ์แฮปปี้สุดๆ และสนุกสนานอย่างที่คิดไว้
      มอ..ม้า..คึกคัก..ของปูไข่

      วันนี้จะพาน้องๆ มาแอบดูนาย “ปูไข่-พงศ์สิรี บรรลือวงศ์” ควบม้ากันถึงคอกม้าแถวๆ ย่านรังสิต ครอง 15 เชียวแน่ะไกลมากๆ แต่เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองก็ต้องทนลำบากกันหน่อยจะสบายใจว่ามั๊ย !!...เอาล่ะแอบไปดูม้าเลี้ยงแสนรักของนายปูไข่กันเลยดีกว่า

      แนะนำตัวหน่อยสิ...สาวน้อย
      Hello สวัสดีค่ะหนูชื่อ “Furby” ค่ะ เป็นม้าสาวนักกีฬาขนสีน้ำตาลสวยเดิร์นของนายปูไข่ค่ะ บ้านเกิดหนูอยู่ที่ออสเตรเรียนู้น ไกลมะนายสั่งซื้อหนูมาในราคาลิบลับเลยล่ะ....ฮี้ๆ...ทั้งสวยทั้งเก่งก็ต้องราคาแพงแบบนี้แหละ ไม่เชื่อก็ต้องมาลองขี่หนูดูแล้วจะรู้ว่าไอ้ที่เค้าว่าแรงม้าน่ะมันแรงยังไง

      มาอยู่ไทยแลนด์...ปรับตัวอยากไหม
      มาอยู่ที่เมืองไทย 4 เดือนกว่าๆ แล้วปรับตัวได้ไม่มีปัญหานายหนูก็ใจดีไม่ดุ แถมหน้าตายังหล่อเหลาเอามากๆ ทำให้หนูงี้ปลื้มสุดฤทธิ์อยากจะโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนๆที่โน่นว่าหนูน่ะมีนายหล่อแถมยังเป็นดาราอีกด้วย แต่โทรไม่ได้เพราะโทรไม่เป็น.....ฮี้ๆ ขำมะ

      แล้วได้แข่งที่ไหนมาบ้างแล้วจ๊ะ
      ที่เมืองไทยยังไม่เคยแข่งที่ไหนมาก่อนเลยกำลังฝึกซ้อมให้ค่องๆ แต่ที่เมืองนอกนะ ก็มีแข่งบ้างได้รางวัลก็แค่เล็กๆ น้อยๆ เอง ก็มีที่ 2 บ้างที่ 1 บ้างอะนะไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่หรอก ( แหม...ถ่อมตัวน่าดู ) แต่ก็ยังไม่เคยลงแข่งของทีมชาติหรอกเพราะยังเกอยู่เลยจะแข่งได้ก็ต่อเมื่หนูต้องมีอายุ 8 - 12 ปี ขึ้นไปถึงจะแข่งได้

      ฝึกหนักไหมเป็นสาวผอมบางแบบเนี้ย
      ฝึกหนักเหมือนกันวันนึงจะซ้อม 1 ชั่วโมง แต่ถ้าเกิดจะมีการแข่งใหญ่ๆ ก็จะมีการซ้อม 45 นาทีตอนเช้า แล้วก็อีก 45 นาทีตอนเย็นวันล่ะ 2 รอบแน่ะแล้วก็จะมีการซ้อมยิมนาสติกของของม้าอีกอันนี้จะมีเพลงประกอบด้วยสนุกดี จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงฝึก 4 ครั้งต่ออาทิตย์ แล้วก็การฝึกกระโดด ที่ใช้ในการแข่งขัน จะฝึก 2 ครั้งต่ออาทิตย์ สรุปอาทิตย์นึงหนูมีฝึกตั้ง 6 วันแน่ะ โอ๊ย !!...เหนื่อย ฮี้ๆ

      สาวนักแข่งต้องกินอาหารดีๆ
      อาหารที่หนูกินจะเป็นอาหารพิเศษของม้า เพราะหฯเป็นม้าแข่งอาหารที่กินจะต้องเป็อาหารดีๆ จะต้องมีสัดส่วนของไขมัน โปรตีน ที่เหมาะสม และจะต้องมีการควบคุมอาหารด้วยก็เหมือนกับนักกีฬาที่เป็นคนนั่นแหละ ที่ต้องมีการควบคุมอาหาร หนูจะกินวันละ 4 มื้อ มีเช้า 7.00 น. กลางวัน 12.00 น. บ่าย 15.00 น. เย็น 6.00 น. แบบนี้แหละหนูถึงได้แข่งแรงไงค่ะ

      เรียบง่ายสไตล์บ้านในฝันของ แอร์-ภุมวารี



      บ้านในฝันของคุณเป็นอย่างไร ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นทันสมัย หรือเรียบง่ายในแบบสบาย อันนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคนที่จะปรุงแต่งบ้านในฝันของคุณให้ออกมาเพอร์เฟกต์อย่างที่คุณพอใจ แต่สำหรับบ้านในฝันของนักแสดงสาวร่างเล็กคนนี้ “แอร์-ภุมวารี ยอดกมล” ไม่ได้อยู่ที่ขนาด พื้นที่ หรือการตกแต่ง แต่อยู่ที่สมาชิกในครอบครัว บ้านจะไม่เป็นบ้านถ้าคนในบ้านอยู่แล้วทะเลาะกัน ไม่มีความสุขมีแต่ความทุกข์ ก็ไม่ใช่บ้านในฝันที่แอร์ต้องการ ที่สำคัญไปกว่าคือความภูมิใจ เมื่อบ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังแรกในชีวิต ที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเอง

      “เชื่อมั้ย...ตอนที่บ้านยังสร้างไม่เสร็จ แอร์มาดู รู้สึกดีใจมากจนอยากร้องไห้ มันเป็นบ้านหลังแรกในชีวิตของเราเลยจริงๆ เราไม่ต้องย้ายไปไหนอีก และไม่ต้องกลัวใครมาไล่ มันตื้นตันใจและมีความสุขมาก บ้านหลังนี้แอร์ซื้อที่ดินและปลูกบ้านเอง เพราะสมาชิกในครอบครัวคือคุณพ่อคุณแม่กับน้องสาวอีก 2 คนต้องการแบบบ้านที่ต่างกัน พ่ออยากมีบริเวณเนื้อที่ด้านนอกเอาไว้ทำสวนทำสนามหญ้า ส่วนแม่อยากมีบ่อน้ำพุและศาลาไม้นั่งเล่น ส่วนน้องสาวอยากมีห้องนอนส่วนตัว แอร์ก็เลยตัดปัญหาด้วยการซื้อที่ดินและปลูกบ้านเอง



      โดยที่แอร์ก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นบ้านทรงอะไร เพราะไม่ได้สนใจเรื่องแบบบ้านว่าจะสวยหรือไม่สวย แต่แอร์เอาความพอใจ ขอให้มีสี่ห้องนอน และถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย ถึงจะอยู่ในซอยค่อนข้างลึกหน่อย แต่แอร์ว่ามันมีความเป็นส่วนตัวมากๆ เพราะในซอยนี้มีบ้านแอร์แค่หลังเดียว แอร์ว่าเรื่องของโทนสีที่นำมาใช้แต่งบ้านมันเหมือนเป็นหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ทุกห้องสีของผนังและเพดานจะไม่เหมือนกัน แต่สีจะใกล้เคียงกันเพราะเราต้องคุมโทนด้วย อย่างห้องโถงชั้นล่าง ผนังสีขาวส่วนเพดานเป็นสีเทา เพราะแอร์ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่และน้องสาวจะตกแต่งแบบไหน

      ส่วนห้องอาหารตอนแรกจะใช้สีเขียวเพราะช่วยในการเจริญอาหาร แต่ไม่เอาดีกว่าเพราะกลัวจะเจริญอาหารมากไป เลยเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน แต่ไปๆ มาๆ ไม่ได้เป็นห้องอาหาร เพราะแม่อยากได้โต๊ะอาหารที่เป็นมุกและต้องเป็นโต๊ะกลมซึ่งใหญ่มาก พอเอาไปวางในห้องอาหารมันดูแน่นไปเลยเอามาวางไว้หน้าห้อง ส่วนห้องคอมพิวเตอร์เป็นสีเขียวเพราะสีเขียวช่วยในการถนอมสายตา ส่วนห้องนอนของแอร์เป็นสีครีมเพราะดูสบายๆ อบอุ่น และดูตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม

      ถ้าจะถามถึงมุมโปรดของแอร์ก็มีอยู่หลายมุม มุมดูทีวี. มุมคอมพิวเตอร์ และห้องนอน เกือบลืมบอกไปว่าบ้านแอร์ไม่มีการติดแอร์เลยทุกห้อง เพราะห้องนอนมีสี่ห้อง ถ้าติดแอร์หมดทุกห้องก็เปลืองสิคะ ถึงจะไม่ติดแอร์แต่อากาศก็ไม่ร้อนนะ เพราะแอร์เป็นคนขี้หนาวและติดนอนพัดลมมาแต่เด็ก อีกอย่างบ้านก็มีหน้าต่างเยอะ แล้วพื้นที่รอบๆ บ้านก็เป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรมาบดบังหรือช่วยเพิ่มความร้อน แอร์ก็เลยไม่รู้สึกเดือดร้อน หนำซ้ำยังเป็นการประหยัดไฟประหยัดเงินเราด้วย”
      หน่อย-อุ๋ม เที่ยวฝรั่งเศส



      ไม่บ่อยนักที่สองสาวเพื่อนซี้ “หน่อย-บุษกร พรวรรณะศิริเวช” กับ “อุ๋ม-อาภาศิริ นิติพน” จะทิ้งแฟนหนุ่มเอาไว้ที่กรุงเทพฯ แล้วเกี่ยวก้อยกันไปพักร้อนอย่างมีระดับ พร้อมด้วยอีกหนึ่งเพื่อนสาวคือ “พีเจ.กัญ-รังรอง วัณณรถ ณ ชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนของยุโรป “The French Riviera” สัญลักษณ์แห่งการพักผ่อนที่ขึ้นชื่อว่าหรูที่สุดของโลก ที่ประเทศ ฝรั่งเศส - โมนาโก สถานที่พักร้อนที่เปี่ยมรสนิยมของบรรดาผู้ดี, ไฮโซ, อภิมหาเศรษฐี, ดาราฮอลลีวู้ด และราชวงศ์ยุโรป กับกิจกรรม “Deluxe Vacation at The French Riviera” ของคลื่น 93 คูล เอฟเอ็ม

      เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาทันทีที่เครื่องถึงสนามบินกรุงปารีส หน่อยกับอุ๋มก็เริ่มต้นโปรแกรมสุดพิเศษ ตรงดิ่งไปชมความงามของจัตุรัสคองคอร์ต ต่อด้วยพระราชวังลูฟว, โรงละครโอเปร่า, ประตูชัยนโปเลียน, ถนนแฟชั่นชองป์เซลิเซ่, โบสถ์นอร์ธเทอร์ดาม และหอไอเฟล ที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส ก่อนจะเดินทางด้วยรถไฟด่วน TGV ที่เร็วที่สุดในโลก ไปที่เมืองนีมส์ เมืองโบราณตั้งแต่ยุคอาณาจักรโรมันเรืองอำนาจ เพื่อไปชมแอมปิเธียเตอร์ ยุคจักรพรรดิออกัสตุส ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ที่หน่อยกับอุ๋มดูจะตื่นตาตื่นใจเห็นจะเป็นสะพานส่งน้ำมัน ที่เมืองป๊องท์ ดู การ์ด ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน ก่อนจะย้ายกันไปที่ แซงต์โตรเปซ์ เมืองตากอากาศริมฝั่งริเวียร่า



      เช้าตรู่ออกเดินทางไปยังเมืองกราซ เมืองผลิตน้ำหอมที่สำคัญที่สุดของฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก วันนี้หน่อยกับอุ๋มสนุกสนานไปกับการช้อปปิ้งน้ำหอมไปฝากคนพิเศษน่าดู โดยเฉพาะหน่อยแอบหยิบน้ำหอมกลิ่นผู้ชายเอาไปฝากหวานใจหนุ่ม “เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์“ หลายขวดอยู่ หลังปล่อยให้ช้อปปิ้งกันจนหนำใจแล้ว ก็ไปต่อกันที่เมืองคานส์ เมืองแห่งเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลก ศูนย์กลางการพบปะระหว่างผู้กำกับฯ และดาราชั้นนำทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นเมืองแห่งการช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมชื่อก้องโลกอีกด้วย และแล้วไฮไลต์ของงานนี้ก็มาถึง นั่นคือการล่องเรือชมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีน้ำทะเลสีเขียวตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าดูสวยงามมากๆ จนหน่อยกับอุ๋มถึงกับอดใจไม่ไหวรำพึงรำพันออกมาว่า “โอ้...พระเจ้า...ช่างสวยงามอะไรเช่นนี้”

      สองสาวมัวแต่ตะลึงงันกับความงามของท้องทะเลจนเรือเทียบเกาะแซงต์มากาเร็ต ก็ได้ดื่มด่ำกับความงามของบรรยากาศบนเกาะที่สามารถมองเห็นภาพของชายหาดริเวียร่าที่ทอดยาวจากเมืองคานส์สู่ตัวเมืองนีซ โอ้...ช่างเป็นภาพที่สวยงามแบบไร้ที่ติจริงๆ แต่ความสวยงามแบบประทับใจยังไม่หมดแค่นี้ รุ่งขึ้นอีกวันออกเดินทางไปยังเมืองนีซ เมืองตากอากาศริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ชมบรรดาบ้านพัก, คฤหาสน์เก่า, โรงแรมใหญ่บนถนนพรอมเมอนาด เดอร์อองเกร ที่สุดหรูหราและโด่งดังที่สุดของยุโรป ก่อนจะแยกย้ายกันไปช้อปปิ้ง และก่อนที่จะเดินทางกลับเมืองไทยไม่ลืมที่จะแวะเก็บภาพความงามที่วิหารแห่งโมนาโค ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระศพของราชวงศ์ เรียกว่าเป็นทริปที่หน่อยกับอุ๋มประทับใจที่ได้มาเปิดประสบการณ์ล้ำค่าแบบที่สุดจริงๆ

      บิ๊ก โชว์เดาะบอลยามว่าง

      ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์กับการเล่นกีฬาเอามากๆ สำหรับพระเอกหนุ่มตี๋ “บิ๊ก-ภุชิสสะ ธนพัฒน์” ขนาดระหว่างถ่ายละคร “ลูกไม้หลากสี” ที่สนามศุภชลาศัย ยังหาจังหวะมาเดาะลูกฟุตบอลสบายอารมณ์ ทว่าวันนี้พิเศษมากๆ เพราะหนุ่มบิ๊กมีแมตช์ดวลแข้งกับเพื่อนๆ ในวงการ แต่พอว่างจากลงสนามปุ๊บเลยมาสาธิตวิธีการเดาะลูกบอลให้ดูเป็นขวัญตาซะด้วย

      .....บิ๊กเป็นคนที่ชอบเล่นกีฬาครับ เพราะกีฬาทุกประเภทเสริมสร้างให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงและสดใส ซึ่งเมื่อก่อนนี้กีฬาที่บิ๊กเล่นและถนัดมากๆ ก็เป็นบาสเกตบอล แต่พอไปอยู่ที่เชียงใหม่ก็ห่างๆ ไป จนได้มีโอกาสเล่นฟุตบอลก็รู้สึกถนัดและชอบมากๆ เหมือนกัน ก็เลยมาสาธิตวิธีการเดาะบอลให้ทุกคนได้ชมกัน ซึ่งการเดาะบอลก็เรียกเหงื่อได้มากโขนะครับ อย่าคิดว่าหมูๆ นะ แต่จริงๆ แล้วไม่ยากหรอกครับ ซึ่งเราต้องคิดอยู่เสมอว่าลูกบอลที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นเพื่อนกับเรา และค่อยๆ ลองเลี้ยงลูกไปมาบนพื้นผิวเรื่อยๆ ดูสิว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มเตะไปเรื่อยๆ ก่อน แต่ถ้าคนที่ยังไม่เคยเล่นมาก่อนก็ค่อยๆ เลี้ยงลูกไปในทิศทางซ้าย ขวา และหน้า หลัง ให้สามารถคุมทิศทางของบอลที่กลิ้งไปมาบนพื้นอย่างช้าๆ ได้คล่อง หัดทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเริ่มมั่นใจว่าสามารถคุมทิศทางของบอลได้แล้ว

      ขั้นต่อมาก็เริ่มเลี้ยงลูกบนหลังเท้าสูงๆ ให้อยู่ในระดับที่เราสามารถประคองได้แล้วจึงเริ่มเดาะบอลทีละน้อยๆ ครั้ง โดยไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลว่าบอลจะอยู่บนหลังเท่านานแค่ไหน หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เริ่มสูงๆ ขึ้นทีละน้อยๆ ทำอย่างนี้สม่ำเสมอประจำทุกๆ วัน อาจจะหาเวลาหลังเลิกเรียนแล้วหรือวันหยุด วันหนึ่งสัก 2-3 ชั่วโมง หรือแล้วแต่ความเหมาะสม แค่นี้ก็จะสามารถเดาะบอลได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนใหญ่บิ๊กจะเล่นกีฬาก่อนไปเรียนครับ เพราะเรียนภาคค่ำ กว่าจะเรียนก็ประมาณ 18.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ทุกๆ คนจะต้องออกกำลังกายกันใช่ไหม หรือถ้าว่างจริงๆ ก็จะเข้าฟิตเนส ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ดูแลตัวเองเช่นกัน เพราะเราต้องใช้ร่างกายและสุขภาพในการทำงานเยอะ เพราะถ้าร่างกายสมสัดส่วนสุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรคอะไรง่ายๆ ก็จะไม่เป็นอุปสรรคในการทำงานเลยครับ เพราะนอกเหนือจากการมีสุขภาพที่ดี ทำกิจกรรมและการงานต่างๆ ได้ดีแล้ว ยังทำให้สุขภาพจิตเราสดใสด้วยครับ.....

      ฝน กับคอนโดส่วนตัว บรรยากาศเงียบสงบ



      บางครั้งคนเราก็ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พักอาศัย การเดินทาง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายทั้งปวง หรือในบางอารมณ์ก็อยากหลีกหนีความวุ่นวายจากหน้าที่การงานและสังคมรอบข้าง เพื่อต้องการความสงบและอยากมีเวลาเป็นส่วนตัว เช่นเดียวกับนางเอกสาวคนนี้ “น้ำฝน-กุลณัฐ ปรียะวัฒน์” แม้เธอจะมีบ้านพักอาศัยที่แสนจะอบอุ่นกับครอบครัว แต่เป็นเพราะหน้าที่การงานที่ทำให้ต้องกลับบ้าน ดึก และไม่ค่อยสะดวกต่อการเดินทาง ฝนจึงต้องมีคอนโดฯ เล็กๆ อาศัยนอนอีกแห่งหนึ่ง

      “ฝนมีบ้านอยู่แถวบางกะปิ แต่ฝนต้องมาทำงานโซนนี้ ก็เลยไม่สะดวกกับการเดินทาง ขับรถแต่ละทีรากเลือดเลย แถมบางทีต้องกลับบ้านดึกด้วย เหนื่อยเหมือนกันนะก็เลยตัดสินใจซื้อคอนโดฯ ที่นี่ในราคาที่ไม่แพงนักเพราะรู้จักกับเจ้าของ ตอนแรกฝนตั้งใจซื้อเอาไว้ทำงานและเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ก็ไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านกับคอนโดฯ แต่ตอนนี้เหมือนฝนจะมาอยู่ที่นี่เลย ถ้าเราต้องการความสงบ เพราะที่นี่มีความเป็นส่วนตัว ถึงจะเป็นคอนโดฯ ที่อยู่ย่านใจกลางเมืองและติดทางด่วน แต่มันเงียบมากเพราะมีตึกเดียวและมีแค่ 7 ชั้น ตอนกลางวันจะเหมือนคอนโดฯ ร้าง เพราะคนอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นแอร์โฮสเตสและสจ๊วตฝนก็เลยชอบ”



      พื้นที่ห้องขนาด 48 ตารางเมตร ถูกออกแบบตกแต่งสไตล์โมเดิร์นที่มีการเลือกใช้วัสดุ โทนสี และการจัดแบ่งโซนอย่างชัดเจน จึงทำให้ห้องนี้ดูกว้างขวางเกินพื้นที่.....“เพราะห้องของฝนเล็ก พื้นที่น้อยก็เลยต้องตกแต่งแบบมีลูกเล่นนิดหน่อย และมีการแบ่งโซนอย่างมุมครัว มุมทานอาหาร ห้องน้ำ และห้องแต่งตัว พื้นจะเป็นหินแกรนิตสีดำ ส่วนห้องนั่งเล่นกับห้องนอนจะเป็นพื้นไม้ และเลือกใช้สีทาผนังเป็นโทนสีขาวเพื่อทำให้ห้องดูไม่แคบ และต้องมีกระจกเยอะๆ เพื่อให้ห้องดูกว้าง ตอนแรกมันมีสองห้องนอนแต่มันเล็กมาก แล้วเพื่อนๆ ฝนชอบมาปาร์ตี้บ่อย ก็เลยทุบให้เหลือห้องนอนเดียว ส่วนที่เหลือก็ทำเป็นห้องแต่งตัว แล้วพี่เห็นกระจกที่เป็นฉากกั้นระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่นไหม ถ้าเป็นกระจกบานเลื่อนฝนรู้สึกว่ามันจะทำให้ห้องดูตันๆ ก็เลยทำเป็นกระจกบานพับ แต่ห้องฝนไม่เชิงว่าแต่งเป็นโมเดิร์นมากไป เพราะจะทำให้ดูเหงาๆ แต่แต่งตามที่ตัวเองฝันอยากจะได้และชอบ จะทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อเวลาอยู่

      เป็นสไตล์โมเดิร์นออกแนวดิบๆ เพราะฝนเป็นคนที่กลัวผีมากด้วย ก็เลยไม่ชอบเอาของเก่ามาแต่งห้อง ส่วนมากเฟอร์นิเจอร์ฝนก็จะทำแบบบิลด์อินเพื่อให้มันลงล็อกพอดี ไม่ต้องมีพื้นที่ส่วนเกิน โดยรวมเรียกได้ว่าห้องนี้แต่งออกมาแล้วฝนชอบนะ ฝนจำฟีลวันที่ห้องแต่งเสร็จได้ดี ฝนเข้ามานั่งมองไปรอบๆ เฮ้ย...ไม่น่าเชื่อเลย ห้องเราสวยนะ รู้สึกว่ามันเป็นของเราอย่างสมบูรณ์เพราะตอนนี้เราผ่อนหมดแล้วด้วย แต่ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ ฝนชอบอยู่บ้านมากกว่า เพราะชอบเลี้ยงสุนัข แต่ถ้าจะให้ฝนซื้อบ้านตอนนี้ก็คงมีภาระอีก แต่เมื่อไหร่ถ้าเรามีโอกาสได้แต่งงาน บ้านนั้นต้องเป็นแบบที่เราต้องการ สไตล์โมเดิร์นแบบดิบๆ และต้องมีสระว่ายน้ำ เพราะฝนชอบ”
      รักดาราแฮปปี้ ซี-เอมี่ หนีร้อน...ท่องกระบี่

      หนีอากาศร้อนวันหยุดลองวีกเอ็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาไปเที่ยวที่ “กระบี่” สำหรับนางเอกสาวนิสัยดี “เอมี่ กลิ่นประทุม” ซึ่งงานนี้เอมี่ไม่ได้ฉายเดี่ยวไปคนเดียวแต่ยกกันไปทั้งครอบครัว อันประกอบไปด้วย คุณพ่อ, คุณแม่ และน้องชายอีก 2 คน เพราะเอมี่ไม่ได้ไปเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวมานานแล้ว โดยมีหวานใจอย่างนาย “ซี-ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์” พร้อมกับคุณแม่ของซีซึ่งเป็นเจ้าบ้านอาสาเป็นไกด์นำทาง โดยที่ซีเป็นคนเอ่ยปากชวนเอมี่ให้มาดูสวนปาล์มนับหมื่นไร่ ( แหม...ซีเล่นพาเอมี่ไปดูมรดกแบบนี้ เหมือนจะให้ความมั่นใจว่ายังไงชาตินี้ซีก็สามารถดูแลเอมี่ได้ ก็เลยพลาดไม่ได้ที่จะเก็บภาพควันหลงมาฝาก )



      จากกระบี่ซีพาเอมี่และครอบครัวนั่งเรือประมาณ 2 ชั่วโมง ข้ามไปที่ “เกาะพีพี” ถือเป็นช่วงเวลายาวนานและทรมานของเอมี่มาก เพราะเธอเกิดอาการเมาเรืออย่างหนัก ขนาดกินยาแก้แพ้แล้วยังไม่สามารถบรรเทาอาการได้ แต่ยังดีนะที่ไม่ถึงกับอาเจียนออกมา และไม่ได้เอมี่คนเดียวหรอกนะที่เมาเรือคุณพ่อของเธอก็เป็นเช่นกัน ในขณะที่ซีก็ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีคอยดูแลเทคแคร์เอมี่และครอบครัวมิได้ขาดตกบกพร่อง พอนั่งเรือมาถึงเกาะพีพีแล้วก็เข้าพักที่ “รีสอร์ตบันยันวิลล่า” ของคุณป้าซี นอกจากบรรยากาศจะสวยยังมีความเป็นส่วนตัวมาก มีแต่ฝรั่งส่วนคนไทยมีน้อยเพราะกลัวผีจากเหตุการณ์สึนามิ แต่ตอนแรกๆ ที่เอมี่ไปถึงก็นึกกลัวอยู่เหมือนกัน แต่พออยู่ไปก็ลืมเพราะความสวยงามและมีกิจกรรมให้ทำเยอะ

      โดยการนั่งเรือไปดำน้ำตามเกาะต่างๆ ทั้ง “เกาะไผ่, อ่าวมาหยา, อ่าวปิเละ” แต่ละที่ที่ไปนั้นสวยมากๆ จนเอมี่ถึงกับออกปากว่าไม่เคยเห็นทะเลที่ไหนสวยอย่างนี้มาก่อน น้ำทะเลใสมากเป็นสีเขียวมรกต หาดทรายก็ขาวสะอาด ทำให้เอมี่กับซีและน้องชายอดใจไม่ไหว ดำน้ำแค่น้ำตื้นยังไม่สมใจอยากเห็นความงามของปะการัง และปลาสวยๆ นานาชนิดใต้น้ำอย่างใกล้ชิด เพราะที่อ่าวปิเละขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งดำน้ำที่สวยที่สุด ประการังสวยมากปลาก็เยอะ แต่ด้วยความที่เอมี่มัวแต่จดจ้องกับความงามใต้ท้องทะเลอย่างเพลิดเพลินเลยไม่ทันระวังตัว บริเวณหัวเข่าทั้งสองข้างดันไปโดนปะการังที่มีพิษเข้า ถึงกับดิ้นเพราะปวดแสบปวดร้อนมาก และร้องไห้โวยวาย “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” ทำให้ซีตกใจรีบพาเอมี่ขึ้นจากน้ำ



      พอดีคนขับเรือบอกว่าต้องเอาผักบุ้งทะเลมาขยี้โปะไปที่แผลเพื่อประทังอาการปวดแสบปวดร้อน ก่อนจะพาเอมี่เข้าฝั่งไปหาหมอ หมอก็จัดแจงทายาและพันแผล พร้อมยืนยันว่าไม่เป็นอะไรมาก รับรองว่าไม่เป็นแผลเป็นแน่นอน แต่จะปวดแสบปวดร้อนสัก 2-3 วัน ทำให้เอมี่ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย เพราะที่เธอร้องไห้ก็เพราะกลัวว่าขาจะเป็นแผลเป็น แต่ก็ทำให้เอมี่เซ็งมาก เมื่อตัวเองเหมือนกลายเป็นคนไข้ดำน้ำไม่ได้ ทั้งที่วางโปรแกรมเอาไว้ว่า 6 วันบนเกาะพีพี เธอจะดำน้ำให้สมใจ แต่กลับดำน้ำได้แค่ 2 วัน ที่สำคัญเธอพลาดโอกาสดำน้ำลึก ปล่อยให้ซีกับน้องชายไปเริงร่ากัน 2 คน แต่ยังดีเอมี่ไม่ถึงกับต้องนอนป่วยอยู่ที่รีสอร์ต เพราะซีพาเธอไปทำกิจกรรมอย่างอื่น

      โดยการพายเรือคายัคเที่ยวชมหมู่เกาะต่างๆ พาไปดูสวนปาล์ม ที่ตอนแรกเอมี่ไม่รู้ว่าจะกว้างใหญ่มีเป็นหมื่นไร่ ต้องอาศัยนั่งรถวีทีอาร์เข้าไปชม ไปเดินเล่นชมวิวริมชายหาดก็เป็นอีกหนึ่งบรรยากาศที่สวยงามและโรแมนติก เพราะไปกับหวานใจนายซีที่คอยดูแลเทคแคร์อย่างดี แถมคุณแม่ของซีก็น่ารักให้ความเอ็นดู นอกจากจะพาเที่ยวยังทำกับข้าวให้กิน ส่วนคุณป้าของซีก็น่ารักมากๆ ให้ความเป็นกันเอง เรียกว่าเป็นทริปที่เอมี่ประทับใจมากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้สัมผัสบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติและความงามใต้ท้องทะเล มีความสุขที่ที่ได้ดูฟ้า ดูทะเล ทำให้เอมี่ออกปากว่าถ้ามีโอกาสอยากจะกลับมาเที่ยวอีกแน่นอน แต่คงเป็นซัมเมอร์ปีหน้าโน่น
      แอ่วเหนือ เที่ยวปาย กับหนุ่ม ฟิล์ม-รัฐภูมิ

      World Trip ฉบับนี้อาจจะดูแปลกตาไปสักนิด เมื่อมีโอกาสเกาะติดพระเอก- นักร้องที่กำลังฮอตฮิตอย่าง “ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ไปแอ่วเมืองเหนือที่ “จังหวัดแม่ฮ่องสอน” เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์แนวกุ๊กกิ๊ก-โรแมนติก ที่ฟิล์มเล่นประกบคู่กับนางเอกดังอย่าง “พอลล่า เทเลอร์” ในภาพยนตร์เรื่อง “รักจัง” ก็เลยไม่พลาดที่จะเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ มาฝากกัน

      ทันทีที่รถไฟแล่นสุดปลายทางที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ หลังจากจัดการกับอาหารเช้าที่ “ตลาดสมเพชร” เป็นที่เรียบร้อย ก็นั่งรถตู้มุ่งหน้าสู่ “อำเภอปาย” เมืองเล็กๆ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาสูงตระหง่าน ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวอากาศจะเย็นจัด จนเมืองเล็กๆ แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยหมอก และละอองน้ำจางๆ ยามเช้า ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบ ทุ่งนาสีเขียว ท้องฟ้าสีคราม กับแสงแดดอุ่นๆ พร้อมกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คน ด้วยความเป็นเอกลักษณ์นี้ปายจึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของแม่ฮ่องสอน ที่มีมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัส



      หลังจากเอาสัมภาระเข้าเก็บยังที่พักที่ “ฮัทอิงปาย” พร้อมกับอาบน้ำอาบท่าให้สบายเนื้อสบายตัวเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกไปเดินเล่นสำรวจตลาดเมืองปายจนบ่ายแก่ๆ ก็พากันไปที่ “หมู่บ้านยูนนาน” เพื่อดูบรรยากาศและวิถีชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่ายของชาวจีนยูนนาน ที่อพยพมาจากมณฑลยูนนานและคุนหมิง มาอาศัยอยู่ที่นี่ร่วม 30 กว่าปี และสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาที่นี่ นอกจากบรรยากาศแล้วใครที่นิยมดื่มชาจีนต้องไม่พลาด เพราะร้านค้าที่ตั้งเรียงรายอยู่ในบริเวณหมู่บ้านนั้น ส่วนมากจะเป็นร้านขายชาจีนหลากหลายชนิด และไม่ต้องกลัวว่าซื้อชาไปดื่มแล้วจะไม่ถูกใจ เพราะเจ้าของร้านจะมีการชงชาให้ชิมก่อนที่จะซื้อ น้ำรินก็เลยเพลิดเพลินกับการดื่มชา พอเหลือบมองดูนาฬิกา อ้าว...ได้เวลาที่จะต้องไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่กองแลนแล้วนี่นา

      รุ่งขึ้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างทรมานเล็กน้อย เมื่อเราต้องพยายามกระแซะตัวลุกจากที่นอนแต่เช้ามืด เพราะวันนี้ต้องใช้เวลาเดินทางนานหน่อยไปที่ “อำเภอปางมะผ้า” เพื่อเก็บภาพเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “รักจัง” ที่ “หมู่บ้านมูเซอดำ” โดยวันนี้พระเอกของเรื่องคือ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ” ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นชาวเขาเต็มยศ ตามเนื้อเรื่องหลังจากที่ฟิล์มซึ่งเป็นนักร้องซูเปอร์สตาร์ขวัญใจสาวๆ ทั่วประเทศ เกิดอาการเบื่อเมืองกรุงจึงแอบหนีมาเที่ยวเมืองเหนือ แต่ดันเกิดอุบัติเหตุทำให้ฟิล์มความจำเสื่อม และจับผลัดจับผลูต้องกลายมาเป็นชาวเขาไปซะนี่



      การถ่ายทำฉากนี้ ทีมงานได้เซ็ตมุมหนึ่งในหมู่บ้านมูเซอดำให้เป็นตลาดขายของ ที่ฟิล์มต้องเอาของมานั่งขายปะปนกับชาวเขาเผ่ามูเซอดำตัวจริงที่ทีมงานขนมาร่วมเข้าฉากหลายสิบคน ฉากนี้การถ่ายทำดูเหมือนง่ายแต่กว่าจะถ่ายทำเสร็จปาไปหลายเทค เล่นเอาหนุ่มฟิล์มรู้สึกแสบหน้าไปหมด เพราะต้องนั่งตากแดดขายของตั้งแต่เช้าจนบ่าย แต่ฟิล์มก็ไม่ปริปากบ่น กลับรู้สึกสนุกและประทับใจมากที่ได้มาเสพบรรยากาศสวยๆ ที่แม่ฮ่องสอน และได้มาสัมผัสวัฒนธรรมประเพณีที่ค่อนข้างเคร่งครัดของชาวเขาเผ่ามูเซอดำ ที่ทำให้ฟิล์มเกือบผิดผีซะหลายครั้ง

      “ผมไม่เคยมาที่นี่เลยครับนี่เป็นครั้งแรก ซึ่งผมชอบมากทุกที่ที่ได้ไปเพราะสวยมากแล้วอากาศก็ดีมาก ส่วนชาวบ้านที่หมู่บ้านมูเซอดำก็น่ารักมาก แถมพวกเขายังจำผมได้ด้วยนะ พอผมเดินมาเขาจะเรียก “ฟิล์ม-รัฐภูมิ” และวิ่งเข้ามาดูเต็มเลย พร้อมกับขอถ่ายรูปจับมือ แต่ส่วนมากจะเป็นพวกเด็กๆ มากกว่า พวกผู้หญิงหรือคนที่อายุมากหน่อยจะไม่ค่อยแสดงออกมากนักเพราะประเพณีที่นี่เคร่งมาก ถ้าผู้หญิงโดนตัวผู้ชายจะถือเป็นการผิดผี หรืออย่างผมไปขอเข้าห้องน้ำ ซึ่งที่ตักน้ำของเขาเป็นกระบวย ผมก็จะตักน้ำราดหมด ทีมงานต้องรีบวิ่งมาบอกว่าอย่าราดน้ำหมดนะ ถ้าผมราดน้ำหมดแล้วไม่ตักน้ำมาคืนเขาตอนนั้น ผมจะต้องไปซื้อหมูให้เขาตัวหนึ่งเพราะเป็นการผิดผี เสาบ้านก็ห้ามจับจะผิดผี ขนาดมีผีเสื้อตัวใหญ่บินมา ผมจะจับทีมงานรีบร้องบอกอย่าไปจับ ผมก็ครับๆ เดี๋ยวจะผิดผีต้องเสียหมูอีก โอ้โฮ...อันตรายมาก ผมก็ต้องคอยระวังทุกอย่างเพราะกลัวจะผิดผี แต่ดีที่มีพี่ๆ ทีมงานคอยบอก ไม่อย่างนั้นละก็ผมคงผิดผีเสียหมูไปหลายตัวแล้วครับ”
      จั๊กจั่น หลงเสน่ห์เวียดนาม

      ออกอาการดีใจสุดๆ เมื่อบอสใหญ่ค่ายเอ็กแซ็กท์ไฟเขียวให้นางเอก “จั๊กจั่น-อคัมย์สิริ สุวรรณศุข” ร่วมเดินทางกับคลื่น 103.5 เอฟเอ็ม วัน ไปเริงร่าโอ้ลันล้ากินกระจุยช้อปกระจายที่ “ประเทศเวียดนาม” กับทริป “SALZ LET’S GET FULL HEALTHY IN HANOI” ในเมื่อสาวหมวยคนดังอย่างจั๊กจั่นฉายเดี่ยวไปเที่ยวต่างประเทศทั้งที มีหรือที่ WORLD TRIP จะพลาด จัดแจงคว้ากล้องติดสอยห้อยตามไปเก็บภาพสวยๆ ของจั๊กจั่นมาฝากหนุ่มไทยเพียบ



      แต่ก่อนที่จะพาทัวร์เวียดนาม ต้องกล่าวคำทักทายเป็นภาษาเวียดนามเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศว่า “ซินจ่าง” ที่แปลว่า “สวัสดี” และทริปนี้แม้จั๊กจั่นจะไร้หนุ่มคู่กายแต่ความเหงาก็ไม่ได้แอ้มเธอร้อก เพราะมีหนุ่มๆ ฮานอยคอยเทคแคร์ดูแลและหยอดคำหวานชมจั๊กจั่นว่าสวยตลอดการเดินทาง แหม...จะไม่ให้สวยยังไงไหวก็อาหารแต่ละมื้อที่จั๊กจั่นไปลิ้มลองมานั้น ล้วนเป็นเมนูสูตรเด็ดต้นตำรับบำรุงสุขภาพทั้งนั้น อาทิ เฝอ, กั้งทอดซีฟู้ด, ปูเนื้อหวาน, กุ้งอบฟองเบียร์, ผัดปลาหลีฮื้อ และยังมีส้มตำเวียดนามที่ดูยังไงก็หน้าตาเหมือนผัดถั่วงอกบ้านเรา แต่กลับได้รับการยืนยันจากจั๊กจั่นว่า รสชาติอร่อยที่ซู้ด

      อิ่มหมีพีมันกับอาหารแสนอร่อยอย่างเต็มอิ่ม ก็มาล่องเรือชมความเขียวชอุ่มของ “เกาะหินปูนรูปสัตว์“ ที่ตั้งเรียงรายนับ 1,000 เกาะ ชมถ้ำหินงอกหินย้อยที่มีความสวยงามจนติดอันดับได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกที่ “อ่าวฮาลองเบย์” จากนั้นไปต่อกันที่ “ทำเนียบประธานาธิบดี, เยี่ยมชมสุสาน, บ้านพักเก่า, พิพิธภัณฑ์ของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินต์” แต่ถ้าจะให้เดินดูวันเดียวเที่ยวไม่ทั่วถึงแน่นอน ต้องอาศัยตัวช่วยโดยการนั่งสามล้อถีบชมความงดงามของบ้านเรือนเมืองเก่า รวมถึงตลาดที่ยังคงอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบโบราณ ที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและฝรั่งเศสไว้ได้อย่างสวยงาม ขนาดสาวจั๊กจั่นยังเคลิ้มจนต้องควักกล้องส่วนตัวออกมาโพสต์ท่าสวย แชะ...แชะ...แชะ เกือบหมดม้วน



      จากนั้นต่อด้วยการชมหุ่นกระบอกน้ำที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และสถานที่สำคัญๆ อันเป็นเอกลักษณ์ประจำกรุงฮานอย โดยที่นักแสดงและหุ่นกระบอกต้องแช่อยู่ในน้ำนานนับชั่วโมง และใช้ภาษาพื้นเมืองในการแสดง แม้จั๊กจั่นจะแปลไม่ออกแต่ก็สนุกสนานไปกับลีลาการเชิดหุ่นกระบอกในน้ำที่ดูแล้วให้ความรู้สึกดุจมีชีวิตจริง นอกจากนี้ยังได้ย้อนรอยแหล่งรวมแท่นศิลาจารึกนาม “จอหงวน” บนหลังเต่าที่ “วิหารวรรณกรรม” ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ พร้อมชมเจดีย์สูง 11 ชั้น ริมทะเลสาบตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดและสวยเด่นจับใจภายใน “วัดหง็อกเซิน” ก่อนจะมาที่ “ตลาดด่องซวน” กับ “ตลาด 36 สาย” แหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมืองฮานอยที่มีของดีราคาถูกให้เลือกสรรกันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ แถมพ่อค้าแม่ค้าก็ยอมให้ต่อราคากันแบบสุดๆ ทำให้ต่อมช้อปของจั๊กจั่นกำเริบ กระหน่ำช้อปไม่ยั้ง หอบหิ้วของฝากมาเพียบ ก่อนจะไปปิดท้ายกันที่ทะเลสาบคืนดาบ ตำนานดาบวิเศษกับเต่าศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการขนานนามว่าสวยที่สุดในกรุงฮานอย

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×