คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จดหมายฝันฉบับที่ 2 : การกลับไป
ย้อนกลับไปสองปีกว่า
เช้า วันที่อากาศสดใส แดดสีเหลืองอ่อนเคลือบทางเท้าสีไข่หน้าอาคารหนึ่งได้นิดเดียว เอ๊ะ ไม่สิ ถ้าได้นิดเดียวก็ต้องไม่เรียกว่าเคลือบ อาจจะเรียกว่าเลอะดีกว่ามั้ง หรือ แต้มก็ได้ เอาเป็นว่า เช้าวันที่อากาศสดใส แสงแดดสีเหลืองอ่อนแต้มทางเท้าสีไข่ได้นิดเดียว เหตุเป็นเพราะมีต้นโพธิ์ใหญ่ยักษ์ปกคลุมทั่วทั้งหลังคาตึก แสงตะวันที่แข็งกล้าก็มิอาจย่างกรายกายของมันมาได้มากไปกว่านี้
เฮ้อ อุตส่าตื่นตั้งแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวใส่เสื้อใหม่ซะหล่อเพื่อมาโรงเรียนก่อนใครๆ ในวันเปิดเรียนวันแรกทั้งที แต่พอมาป๊าบบ คนเยอะฉิบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนคิดเหมือนผมหลายคน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแต่งตัวหล่อ หา?
มา โรงเรียนเช้าๆ วันแรกเพื่อจะอวดยศถาบรรดาศักดิ์ที่ติดหน้าอกให้ทั่วโรงเรียนรู้กันไปเลยว่า เฮ้นี่ ข้าเลื่อนยศแล้วเว้ย ข้าได้เลื่อนชั้นแล้วเว้ย เดินไปหน้าห้องน้ำ ตะโกนดังๆ ไม่ต้องกลัวใครได้ยิน “เฮ้ย ห้องน้ำ ข้าอยู่กะเอ็งมาจนถึงม.4แล้วเห็นมั้ย เห็นขีดที่หน้าอกด้านซ้ายบ้างมั้ย หืมมมม??” พลางยืดอกอย่างแสนภาคภูมิใจเหลือหลาย ฮ่า ฮ่า ๆ ‘ในที่สุดก็แก้ 0 ผ่าน และได้เลื่อนชั้น (อันนี้พูดขำขำนะ ไม่เคยติด 0 555)’ แต่พอลองมาคิดดูอีกที คงจะเป็นคนเดียวในโรงเรียนละมั้งที่มาเช้าเพราะเหตุผลข้างบนเป็นใจ เหอะ เหอะ คิดแล้วอนาจจิตตัวเองแท้เหลา
“เฮ้ยยย หวัดดีเพื่อน โหสุโค่ยจริงๆ เลยเพื่อน นี่ปิดเทอมไป เอ็งลดความอ้วนได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ” ผมลุกขึ้นจากที่นั่งริมระเบียงชั้นหนึ่ง จะเรียกว่าระเบียงก็แปร่งๆ อยู่ เพราะมันไม่สูงมาก งั้นเอาแบบว่า ระเบียงเตี้ยและกัน ผมลุกขึ้นเพราะเห็นเพื่อนเดินขึ้นบันไดหินทรายห้าขั้นมาจากทางขวา เดินไปพลางตะโกนเรียกอย่างประหลาดใจที่เห็นมันผอมลงจากตอนม.ต้นเยอะ พลางแท๊กมือขวากันทีหนึ่งหลังจากเดินมาใกล้กันในระยะหนึ่งก้าวแล้วตบแขนข้าง ขวามันแรงๆ เป็นการทักทาย พั๊ว!
“โหหห เอ็งมือหนักว่ะ นี่ไม่เจอกันสองเดือนกว่าๆ โตขึ้นเยอะนะเนี้ย ไหงล่ะ บายดีมั้ยวะ” ไอ่ เพื่อนคนนี้มันชื่อนัท เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ในท้องแม่ล่ะมั้ง เพราะเราเกิดไล่เลี่ยกัน และแม่ก็เป็นเพื่อนกันด้วย เลยเคยคิดสงสัยว่า พวกเราจะมีพ่อเดียวกันรึเปล่าวะ เอ้ยยย!! ทะลึ่งและ มันเป็นเรื่องที่เราเอาใว้ล้อกันเล่นนะ ไม่คิดอะไรมากมายหรอก แต่ถ้าไม่สนิทจริง อย่าริพูดเช่นนี้ ไม่งั้นเหงือกจะร่วงลงมาพร้อมฟัน ผู้ชายเราก็งี้แหละ มันเป็นนิสัยตั้งแต่โบราณแล้ว รุ่นพ่อเล่นยังไง รุ่นลูกก็ไม่เปลี่ยน อย่างเช่น การค้นพบชื่อเล่นของพ่อเพื่อน มันคือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่
คน เริ่มพลุกพล่านใต้อาคาร ซึ่งอาคารหลังนี้มีสามชั้น เรานั่งอยู่ริมระเบียงเตี้ยทางขึ้นบันไดไปชั้นสอง ห้องโฮมรูมของเราก็อยู่อาคารนี้แหละ เขาเรียกว่า “ห้องเซียร์” ครูประจำชั้นของเราชื่อ อาจารย์กมลทิพย์ ธนาธาร กับ อาจารย์มนตรี ธนาธาร ครูกมลทิพย์ รู้มาว่าเป็นผู้หญิง ... เอ่ออ ผู้ชายชื่อนี้คงไม่แปลกหรอกนะ เอ้ยยย! จะบ้าเรอะ แกเป็นครูหัวหน้ากลุ่มสาระภาษาอังกฤษ เห็นได้ข่าววงในจากเพื่อนๆ ผู้หญิงมาว่า แกระเบียบเคร่งน่าดู แต่สอนดี วันนี้เป็นไงก็คงรู้
“เฮ้..ชเลย์ เอ็งกินข้าวยังวะ โหข้าหิวว่ะยังไม่กินเลย เป็นเพื่อนหน่อยหน่อยดิ” นี่ นิสัยคนไทยไม่เคยเปลี่ยน กลัวผีตั้งแต่เด็กจนโต ขนาดกลางวันแสกๆ ไปกินข้าวยังให้ไปเป็นเพื่อน ให้ตายสิ เด็กสมัยนี้เฮ้อ ... เอ่อว่าแต่ผมก็พูดหยั่งตัวเองโตแล้วงั้นแหละ “เออๆ แปปนึง เอาตังค์ก่อน”
ผมเปิดกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำเงินแถบข้างสีขาวออกดัง !เฉื อก เสียงดังจากตัวติดสีดำ เปิดกระเป๋าตังค์สีน้ำตาลขณะหยิบเงินก็เหลือบไปเห็นรูปแม่ แม่เป็นลูกคนจีน ผิวขาว หน้าจีนแต่ไม่หมวย ส่วนผมไทยจีนผสมไทยอีกที ข้างๆ รูปแม่เป็นรูปผม หน้าตาก็เค้าๆ ไปทางหมากปริญน่ะนะ แฮ่มมม! หมากฉบับซุปเปอร์ไซย่า ธนบัตรใบละ 50 บาทออกมา เก็บกระเป๋าใส่กระเป๋าเช่นเดิม
“เอ็งจะโก่งคอมาดูหาพระพานาโซนิกเลเซอร์เพื่ออะไรวะ ไป้ กินข้าวไม่ใช่เหรอ” ผมทำหน้าหัวเราะพลางสะบัดหัวกับความมึนของเพื่อนคนนี้ “ข้าก็แค่ดู ว่าเอ็งยังเก็บรูปน้อง...ใว้อีกไหม” “พอเลยๆ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก พูดแล้วมันขึ้น เข้าใจเปล่าวะ” เราลุกขึ้นเดินไปลงบันไดหินทรายทางขวาพร้อมกัน “เอ้า ข้าก็ไม่ได้เอ่ยชื่อสักหน่อย ก็ตามที่สัญญาไงวะ แค่ไม่เอ่ยชื่อ ฮ่า ฮ่า” แหม ไอ่เพื่อนคนนี้ เดี๋ยวเหอะๆ เอ็งเลิกกับแฟนเมื่อไหร่จะหัวเราะให้ฟันน้ำนมหลุดเลยคอยดู ฟันน้ำนมนะ ไม่เอาฟันแท้ อันนั้นงอกใหม่ไม่ได้ เดี๋ยวหมดหล่อ
เราอยู่ชายคาอาคารหนึ่ง ด้านหน้าคือร่มเงาใหญ่ยักษ์ของต้นโพธิ์บนทางเท้าที่เลอะแสงตะวันนิดเดียว “ว่าแต่ว่า ที่นี่ทำเป็นป่าช้าได้สบายเนอะไอ้เลย์”
“หา ทำไมเหรอ” ผมถามไอ่นัทกลับ “หน้าอาคารหนึ่งนี้ ต้นโพธิ์อันบ่ะละฮึ่มปลูกใว้ตั้งห้าต้น เส้นผ่าศูนย์กลางของกิ่งก้านที่แผ่รอบบริเวณจนไปจับใบกับต้นข้างๆ ยาวประมาณยี่สิบเมตร ถ้าทั้งต้นคงกว้างสี่สิบเมตร ว้าวว” มันร่ายหยั่งกะเป็นนักพฤษาศาสตร์จบสายวิทย์ แถมยังทำเสียงสุดตื่นเต้นเหมือนเพิ่งเคยพบเคยเจอ ไม่อยากจะคิด โรงเรียนเราจะมีผีตัวใหญ่ตามขนาดต้นโพธิ์รึเปล่าเนี้ย หึยยยย.... ไม่อยากจะจินตาการ
“โอ้ แม่เจ้า!! ปิดเทอมไปแค่ไม่กี่เดือน ต้นโพธิ์โตขนาดนี้เลยเรอะ” ผมตอบกลับอย่างยากที่จะอธิบายเป็นตัวอักษร ... “เว่อร์ไปๆ มันโตตั้งนานและ ตกใจไปได้” “อ่าวเหรอ” ผมทำหน้าเอ๋อออ แบบมิรู้ไม่ชี้ใดใดทั้งสิ้น แล้วเดินเลี้ยวซ้ายตามทางเท้าไป
“เอ ..... พวกเราลืมอะไรไปสักอย่างไหมวะ เดี๋ยวๆ ขอคิดแปปนึง” ผมพูดเสียงจริงจังสุดขีดเหมือนนักการเมืองถกเรื่องปรองดองระหว่างเดินบนทางเท้า “เอ่ออออ คิดไม่ออกว่ะ เอ็งช่วยเบิร์ดกระโหลกข้าหน่อยดิ๊” “โอเคจัดไป” โอ้แม่เจ้า ไอ่นัทมันกำลังง้างมือขึ้นเหนือหัวและเชื่อว่าเป้าหมายคงเป็นกะบาลผมเป็นแน่ ไม่ได้การ รีบบอกสิ่งที่นึกออกแล้วเลยดีกว่า “พวกเราลืมสแกนนิ้วมือน่ะ!” ผมร่ายรวดเร็ว เฮ้อออ รอดไป ก่อนที่มือขวาของมันจะโจมตีหนังศีรษะผม ผมก็ยับยั้งใว้ทันด้วยวาทะ คือ กฎของโรงเรียนแห่งนี้ต้องสแกนลายนิ้วมือก่อน 8.30 น. ของทุกวัน
ผมยกนาฬิกาข้อมือเรือนโปรดขึ้นมอง มันตีบอกเวลา “6 โมง โอเค ยังเหลือเวลาอีกเยอะ” ทำหน้าโล่งอกขณะเดินชมวิวอย่างช้า “เฮ้ยย!! จะบ้าเรอะ นาฬิกาของเอ็งเป็นรุ่นบอดี้แสลม นาฬิกาตาย นะเว้ย ฮ่า ฮ่า เอ็งนี่เบร้อไม่เปลี่ยนจริงๆ เลยว่ะ เลื่อนชั้นแทนที่สมองจะโต กลับถดถอยว่ะ ฮะฮ่า ถ่านนาฬิกาไม่รู้จักใส่ เฮ้อออ” มันตอกย้ำ นาฬิกาตายของผมพลางยกของตัวเองขึ้นมอง ของมันเป็นแบบอิเล็กทรอนิก ส่วนของผมเป็นเข็ม ตัวเรือนสีเงินเหมือนของคนแก่ แต่ผมรักมันมาก
“เฮ้ย เวรแล้วสิ เพลงมาร์ชอำมาตย์จะขึ้นแล้วสิเนี้ย อะไรวะ ปิดเทอมไปลืมหมดเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง เพลงมาร์ชขึ้นก็ต้องเข้าแถว เมื่อต้องเข้าแถวดังนั้นเราก็จำเป็นต้องรีบไปสแกนลายนิ้วมือ” นัทหยุดยืนยิ่งนับนิ้วตัวเองไล่เรียงสิ่งที่ต้องทำเป็นข้อๆ ส่วนผมเดินนำหน้าแต่ไม่เห็นเพื่อนเดินตามมา และได้ยินเสียงแว่วจากด้านหลังเลยหันไปมอง
เอ๊ะไอ่นี่ ผมยืนกอดอกเหมือนโลกกำลังจะแตกแต่ไม่หนี เพื่อนผมพูดพร่ำต่อไป “เมื่อสแกนลายนิ้วมือ....ก็....ไปกินข้าวไม่ได้แล้วน่ะสิ โว้!! ฮืออ ๆ......” ผม หันหลังกลับวิ่งไปทางร่มเงาโพธิ์ใหญ่เพื่อไปสแกนลายนิ้วมือพลางหันกลับไปมองไอ่นัทที่บัดนี้เพิ่งจะรู้ตัวว่าผมหายไปแล้ว และมันก็หันรีหันขวางหาใหญ่เลย ผมไม่สนหรอกอยากแกล้งมันให้เต็มอิ่มเสียที โทษฐานทำท่าทางกวนบาทา และยืนเซ่อร์นับเหตุผลหยั่งกะนักวิชาการอวดความรู้
เสียงเพลงมาร์ชของโรงเรียนอำมาตย์ดังขึ้นแล้ว “กระบี่อำมาตย์พานิชนุกูล เพิ่มพูนศักดิ์ศรีกระบี่เมือง...” ผม ไม่สนใจฟังมากนัก เป็นทำนองวงออเครสต้าฉบับไทๆ
ตอนนี้ใต้อาคารหนึ่งนักเรียนแน่นแออัด มีทั้งที่ยืนออกันอยู่ริมระเบียงเตี้ย และที่กำลังดิ่งเท้าลงมาจากบันไดทางขึ้นชั้นสอง มีครูคนหนึ่งเดินสวนขึ้นไป นักเรียนทุกคนยกมือสวัสดีครู แต่ที่ไม่น่าให้อภัยเลยคือ ข้างผนังบันไดเขียนว่า ขึ้น-ลง ชิดขวา แสดงให้เห็นชัดๆ ว่า คุณต้องขึ้นทางขวาที่มีราวบันได และลงทางฝั่งที่เป็นผนัง แต่ตอนนี้ครูผู้หญิงคนนั้น...เอ่อ ควรใช้คำว่าต้องนะ เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเดินขึ้นตรงกลางเพื่อแหวกฝูงเยาวชนนักเรียนขึ้นบันไดไป
ผมยืนอยู่หัวมุมระหว่างที่นั่งริมระเบียงเตี้ยกับทางขึ้นบันได ส่วนตรงหน้าทางขวาติดกับบันไดนี้จะมีบันไดหินทรายเพื่อลงเหมือนด้านหน้า แต่ทางนี้จะแคบ ถ้าจะเดินสวนกันต้องตะแคงตัวและแขม่วท้องเต็มที่ซึ่งคาดว่าไจแอ้นคงไม่มีวันไล่จับโนบีตะทางนี้ในเวลานี้ได้แน่นอน
ออกทางเดินนั้นไปมีเครื่องแสกนลายนิ้วมืออยู่ ผมจำเป็นต้องฝ่าฝูงชนสวมชุดยูนิฟอร์มเกือบยี่สิบเพื่อแสกนลายนิ้วมือก่อนเพลงมาร์ชจะจบ แต่เท่าที่เรียนมา ที่นี่เพลงมาร์ชจบไปกว่าสองนาที นักเรียนยังเข้าแถวไม่หมดเลย ... นี่แหละ มาตรฐานของเราล่ะ เด็กไทย ชิลๆ สบายๆ สบายเกินไปละสิ
เสียงดังจ๊อกแจ๊กจอแจไปทั่วใต้อาคาร นักเรียนทุกคนในมือถือรองเท้าเดินลงบันไดมา พอลงมาได้ก็โยนรองเท้าตัวเองลงกับพื้นพร้อมใส่ แต่บางคนสิไม่ทันได้ลงมาถึงขั้นสุดท้ายก็โยนรองเท้าลงมาแล้ว นั่นถ้าเผลอๆ ข้ามหัวคนที่ยืนด้านล่างแล้วโดนรุมแน่ เพราะเอ็งโยนข้ามหัวคนเป็นสิบ
“เออนี่แก ปิดเทอมที่แล้วชั้นไปติวเข้ามาด้วยแหละ ไม่ได้พักเลย” ‘บ้ารึเปล่าวะ ปิดเทอมแล้วเขาให้พัก มันคือเวลาพักแต่เธอคนนี้ดันไปติวเข้มจนไม่ได้ไปไหน ช่างน่าสงสารเสียจริง ชีวิตใช้ไม่คุ้มเล้ย’ ผมคิดในหนึ่งวิ “ชั้นคิดว่านะ เทอมเนี้ยจะต้องทำให้ได้เกินสามเลยคอยดู” เกินสามนี่ สงสัยน่าจะเป็นเกรดเฉลี่ยล่ะมั้ง ขอบอกคนอ่านใว้ก่อนเลยนะครับว่า เรียนพิเศษเรียนไปเหอะ ดีอยู่แล้ว แต่ควรเรียนในวิชาที่ชอบนะ ไม่งั้นถ้าเกลียดคณิตแต่ยังเรียนคณิต เรียนยังไงก็ไม่เข้าหัวหรอกครับ สู้เอาเวลาไปเรียนวิชาที่ชอบดีกว่า
ผมตัดสินใจจะนั่งรอริมระเบียงทางซ้าย หันไปมองก็เห็นกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งเป็นรุ่นน้องสี่คน บนหน้าอกทางซ้ายมีดาวสีเหลืองปักอยู่หนึ่งดวง โอ๊โอ เด็กใหม่ มัธยมหนึ่งนี่หว่า ผมหันไปและยิ้มมั่วซั่วเพราะเขาหันมามองหน้า เราก็ไม่คิดไรสักติ๊ด เดินไปนั่งใกล้กระเป๋าสะพายข้างที่วางอยู่ คราวนี้มีเสียงซุบซิบแว่วมาทางซ้ายพอได้ยินเพราะนักเรียนมีมากนิดนิดแล้ว เมื่อกี้มากมาก ผมไม่สนใจหันไปมอง พวกนั้นก็หัวเราะคิกๆ ผมลองหันไปมอง ทุกคนหัวเราะหมด แต่เหลือเด็กหญิงคนหนึ่งทำหน้าบูดบึ้ง ผมหน้าม้าปัดทางขวานี่มันอะไรกันนะรู้สึกคุ้นๆ แถมรูปร่างของเด็กม.1ที่บางเพรียวก็แตะตา เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน นึกยังไงก็นึกไม่ออก แน็กไทน์สีแดงที่เกาะใต้ปกเสื้อยิ่งคุ้นยิ่งกว่า เออ แต่โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนรัฐอิสระนี่หว่า แต่เท่าที่รู้มาไม่มีแน็กไทน์สีแดงนะ น้องเขาหันมาไม่หัวเราะ มันแปลกมาก ไม่เหมือนคนอื่น ผมก็พลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไปด้วย
เพลง มาร์ชจบแล้ว คนเริ่มซาไปมาก คาดว่าตอนนี้ไอ่นัทคงเข้าแถวเรียบร้อยแหงแก๋ ผมทำหน้าสงสัยเช่นเดิม เพื่อนๆ เขาหยุดหัวเราะ แต่ก็ยังยิ้มมาให้ประปราย ผมก็ยิ้มกลับ และหุบยิ้มมามองหน้าเด็กหญิงหน้ากวนคนนั้นอีกที ไม่ละๆ ในใจก็คิดไปต่างๆ นานา ทำไมไอ้เด็กเวรนี่มองหน้าหาเรื่องชะมัด ฮึ! ... ผมลุกขึ้นเบาๆ คิดว่าจะเดินไปถามให้รู้เรื่อง และค่อยรีบวิ่งไปสแกนลายนิ้วมือ รุ่นน้องพอเห็นเข้าก็หุบยิ้มคงคิดว่าผมไปแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าผมกำลังเดินไปหาเขาอยู่
ทุกคนยิ้มอีกครั้งเมื่อผมเดินใกล้เข้าไป แต่ก็ยังเหลือไอ่เด็กหน้ามุ่ยนั่นแหละยังไม่ยอมยิ้มซักที ให้ตายสิ ชีวิตนี้ผมยิ้มให้ใครเขายิ้มตอบหมด แล้วเด็กนี่เป็นใครกัน บังอาจมาจองหองกับข้า ฮึ! อีกสองเมตรก็ถึงกลุ่มนักเรียน ผมจ้องหน้าของเด็กน้อยหน้านิ่วคนนั้นด้วยคิ้วที่ขมวด เพื่อนๆ เห็นท่าไม่ดีเลยหุบยิ้มแล้วหันมาสะกิดเด็กสาวคนที่แปลกเพื่อน และดึงแขนเสื้อ เด็กสาวหน้าตาสดใส น่ารัก คิดดูสิ กำลังมองหน้าหยั่งกะนักเลงต้องการหาเรื่อง ผมไม่รอช้า เพราะตอนนี้เพลงมาร์ชจบมาได้สักครู่แล้ว และนักเรียนก็เริ่มไม่มีแล้วด้วย โอ้โห วันแรกเข้าแถวรวดเร็วได้เยี่ยมจริงๆ เพื่อนๆ โรงเรียนเรา
ผมไม่รอช้าเอ่ยคำคำนั้นที่อัดอั้นในใจมานานแสนนานกับเด็กน้อย ที่ได้ทั้งฉายา เด็กเวร เด็กหน้ามุ่ย เด็กสาว และเด็กน่ารัก (อันหลังขอลบออก คิดไปได้ไง) “นี่น้อง เป็นทอมเหรอ??” ผมก้มลงนิดขณะยืนห่างจากเด็กเยอะฉายาคนนั้นครึ่งก้าว หัวเธอประมาณไหล่ผมได้มั้ง ผมสูง 176 เธอคงประมาณ 160 ผู้หญิงสมัยนี้โตไวจริงๆ ปล.คนอ่านคนไหนเตี้ยภูมิใจซะ ผู้ชายเขาไม่ชอบผู้หญิงสูงมากๆ หรอก...อันนี้คำปลอบใจตัวเองของสาวๆ เปล่าหว่า เสี้ยววินาทีที่ผมคิดเสียงตะโกนแสบแก้วหูก็ดังขึ้น “เฮ้ยยย ว่าเพื่อนน้องแบบนี้ได้ไงวะ” เอา เอาแล้วไง เพื่อนเขาที่ยืนข้างๆ คนหนึ่งเมื่อกี้ยังยิ้มให้กันอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับขึ้นเสียงดังก้องอาคารหนึ่ง จนกลบเสียงของอาจารย์บนแท่นพูดหน้าเสาธง กับเสียงจอแจของนักเรียนไปสิ้น คิดว่าบัดนี้ข้างนอกอาจจะได้ยินเสียงน้องเขาก็ได้ โชคดีที่อาคารหลังนี้โล่ง ไม่งั้นได้ยินเสียงแหลมๆ ในแนวแอ๊กโฮ่แน่ๆ เลย
“เฮ้ย นาย แล้วนายล่ะ เป็นลูกผู้ชายรึเปล่า ที่มามองผู้หญิงจากภายนอกแบบนี้ เขาไม่สนใจ ไม่ชอบ ไม่ยิ้มให้ ก็มาหาว่าเค้าเป็นทอม แหวะ หล่อตายแหละ” น้ำเสียงนี้มันคุ้นมากกกกก มันเป็นน้ำเสียงสำเนียงลูกคุณหนูชัดๆ เพื่อนเขาคนหนึ่งที่อารมณ์เสียแทนเด็กลูกคุณหนูยังพูดขึ้น “ใช่ แล้วยืนเซ่อทำไมอีกเนี้ย ทำไมไม่ไปเข้าแถวได้แล้ว” ผมขึ้นเลยครับคราวนี้ มาสั่งรุ่นพี่ได้ยังไงกัน หืมม “โหครับ แล้วน้องล่ะ ทำไมไม่เข้าแถว” ผมหันไปมองเพื่อนๆ ทุกคนของน้องเขา หลายคนยังทำสีหน้าปกติ อีกหลายคนก็อมยิ้มยอมรับนิสัยเพื่อนของตัวเอง
เว้ย! แต่เมื่อกี้น้องเขาว่าเราไม่หล่อ แบบนี้ยอมไม่ได้ต้อง ต้อง... “เอะอะไรอะไรกันจ๊ะนักเรียน” คุณครูผู้หญิงใส่ชุดราชการสีน้ำตาลผลักประตูกระจกห้องคอมพิวเตอร์เดินออกมา ผมยกมือสวัสดี “เอ้า แล้วนี่นักเรียนม.4 สีแดง นายธัญภาค ไหมฟ้านรินทร์ เลขประจำตัว สองแปดห้าเจ็ดสอง ทำไมยังไม่ไปเข้าแถวจ๊ะ” คุณครูมองหน้าอกเสื้อผมพร้อมอ่านตัวหนังสือบนนั้นจนเกลี้ยง พลางทำเสียงล้อเล่นแบบจริงจังเหมือนครูไหวใจร้าย “สงสัยแบบนี้คงต้องเรียกเข้าห้องปกครองแล้วล่ะมั้งงงง มาวันแรกก็โดดแถวซะแล้ววว” “มะ..มะ....ไม่นะครับ เอ่อพอดีคือว่า” ผมสายตาล๊อกแล๊ก หันขวา หันซ้ายสรรค์หาคำโกหก
“พี่คนนี้น่ะหาเรื่องหนูค่ะคุณครูอัษฎาพร เขาหาว่าหนูเป็นทอม” เฮ้ย ไอ่เด็กเวร นิสัยกวนบาทาแล้วยังขี้ฟ้องอีก พอดีคุณครูยืนหน้านักเรียนเลยไม่เห็นสีหน้าสะใจของเจ้าทอมบ้านั่นที่ตอนนี้กำลังแลบลิ้นปลิ้นตาหยั่งกะนารูโต๊ะโดนเหยียบหาง เดี๋ยวเถอะอยากเคอะกระโลหกเจ้าจริงๆ
“ผมขอโทษครับ ผมไปเข้าแถวแล้วนะครับ” พี่ไม่ได้ขอโทษน้องหรอกนะเว้ย เชอะ! คุณครูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับหันหลังไปพูดซึ่งผมเดินจนมาถึงบันไดหินทรายแล้ว “เอาล่ะค่ะ เดี๋ยวเราจะไปรายงานตัวบนแท่นพูดกัน อย่าลืมนะ เรามาที่นี่ เราคือคนไทย ห้ามทำอะไรที่เป็นการอวดตัวเองเด็ดขาด เข้าใจมั้ย เอานี่เอกสารครูถ่ายมาให้เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมนะเวลาพูด” ผม เดินห่างมาไกลแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงกลายๆ อะไรหว่า รางานตัวหน้าแท่นพูดทำไม แล้วอะไรคือคนไทย นั่นไม่ใช่คนไทยเรอะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าชาวไทย .... ฮึยยย ผมสะบัดความคิดออกไปจากหัว และเสียงนักเรียนคนหนึ่งก็แว่วมา “หนูไม่ชอบพี่คนนั้นเลย เขาว่าหนูได้ยังไงกัน” ผมหันขวับกลับไปทำหน้าใส่แผ่นหลังของเด็กกวนคนนั้น ไอ่เด็กนี่ เดี๋ยวเหอะเจอคราวหน้าได้ล้างแค้นกัน แล้วคุณครูก็ตอบกลุ่มเด็กม.1สองสามคำ และเสียงก็จางหายไป
ผมเดินลงบันไดมาแล้ว ให้ตายสิเขาเข้าแถวกันหมดแล้วนี่นา แต่ยังดีที่วันนี้เป็นวันแรก การจัดแถวสำหรับชั้นใหม่ยังไม่สมบูรณ์แบบ คุณครูประจำชั้นจำเป็นต้องช่วยกันจัดบ้าง
วิ่งผ่านใต้ต้นโพธิ์ได้สักยี่สิบก้าวเบื้องหน้านักเรียนแถวยาวเหยียวหน้ากระดานกำลังยืนหันหลัง ไม่ต้องถามใครก็รู้ด้วยสัญชาตญาณว่าเป็นรุ่นพี่ม.6
เดินอ้อมหลังรุ่นพี่มาทางขวาเป็นประตูทางเข้าของโรงเรียนขนาดพอรถยนต์สองคันสวนกันได้ บัดนี้ประตูปิดใว้ครึ่งหนึ่งเพื่อแสดงให้รู้อย่างแจ่มแจ้งว่า “เฮ้นักเรียนเข้าแถวแล้ว ส่วนครูที่มาสายน่ะ กรุณาขับวนรอบโรงเรียนไปก่อนนะจ๊ะ...” เอ่ออันนี้เดาเอานะครับ เดี๋ยวโดนฆ่าหมกไม้เรียวห้องปกครอง
เบื้องหน้าเป็นลานกว้างฉาบปูนหลากสีมีนักเรียนชั้น ม.1-ม.3 เข้าแถวกันเต็มพื้นที่ เห็นว่าแต่ละคนขยุกขยิกหยั่งกะหนอนที่เป็นอาหารนกกรงหัวจุก
ถึงหลังแถวนักเรียนชั้นม.2 ลองมองผ่านสายตาเรดาร์ขั้นเทพก็รูได้ว่าประมาณห้าร้อย เพราะเป็นกลุ่มแถวใหญ่มากที่แยกตัวจากม.1 และม.2
ผมเดินอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน เอิ้วววว บ้าไปแล้วมั้ยเนี้ย เราต้องรีบสิ วันปฐมนิเทศเราต้องยืนแถวริมสุดของสนามบาสสนามที่สามนี่นา
ผมเริ่มวิ่งสลับเดิน และเปลี่ยนเป็นวิ่งสุดขาเร่งจากศูนย์ถึงเก้าสิบกิโลเมตรเหมือนเสือชีต้าร์เมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ผู้ชายใส่แว่นยืนบนแท่นพูดหน้าเสาธง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคือ “นักเรียนตั๊งหมด นั่งลง” ภาษาแปร่งๆ แบบนี้ มันทองแดงแบบคนใต้แท้ร้อยเปอร์เซ็น
สิ้นเสียงนักเรียนทั้งบนสนาม หรือ ลานเอนกประสงค์ บนทางรถ และบนถนนลาดยางที่อยู่ตรงกลางระหว่างเสาธงกับสนามบาสสำหรับนักเรียนอีกชั้นนั่งลงจนหมดเกลี้ยง เหลือแต่เพียงผม และนักเรียนไม่กี่คนที่เพิ่งข้ามประตูโรงเรียนมา บางคนวิ่งลงมาจากอาคารกระจายทั่วทิศแดนถิ่นโรงเรียน โชคดีที่ฝีเท้าเร็วจัด และครูคงเหนื่อยไม่อยากทำโทษ หรือ อาจจะไม่เคยทำโทษเลยกับนักเรียนที่เข้าแถวสาย เพราะคงดีกว่ามันโดดแถว
แถวห้องของผมยาวเหยียด อยู่แถวแรกของสายชั้น เอ้อลืมบอกไป ก็ผมม.4 ห้อง 1 นี่นา ต้องแถวแรกสิ นับๆ จากสายตาขั้นเทพ(อีกครั้ง) นับได้สิบเอ็ดแถว โห*O* ผมก็ทำใจล่วงหน้าและ ว่าจะไม่สามารถรู้จักเพื่อนทั้งสายชั้นได้หมด เฮ้อออ ขอปลงกับเรื่องนี้จริงๆ
ผม นั่งลงหลังสุดของแถว หลังเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเธอหันมายิ้มและทักทาย เอ่ออออ ผมไม่รู้จักนะ ใครหว่า วะฮ่าฮ่าบ้าไปแล้ว เดี๋ยวก็รู้จัก ผมยิ้มตอบพลางลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอาจารย์อีกครั้ง
“เอาล่ะกั๊บ นักเรียนตั๊งหมด ลุกกึ้น” สำเนียงใต้แท้ปรากฏชัด ผมเข้าใจดีที่อาจารย์ให้นั่งเพื่อเป็นการจัดแถวทางลัด พอเราทั่งเราก็นั่งเป็นแถว
อาจารย์ใส่แว่นยื่นไมค์ให้สภานักเรียนข้างๆ ให้กล่าวคำสรรค์เสริญ นักเรียนทั่วทั้งลานอเนกประสงค์ยืนตรง แต่ยังมีเสียงงำงัมเช่นเคย “ธง ชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย เราจงร่วมใจยืนตรงเคารพธงชาติ เพื่อความภาคภูมิใจในเอกราช และความเสียสละของบรรพบุรุษไทย ทั้งหมดแถ้วตรง” เสียงทั้งหมดเริ่มหดหาย และสาปสูญไปเมื่ออินโทรเพลงชาติเริ่มขึ้น
ผมล่ะภูมิใจเหลือเกินที่เกิดมาในผืนแผ่นดินไทย ดนตรีจากลำโพงที่แขวนใว้บนเสาไฟฟ้าบ้าง ต้นไม้บ้าง บนตึกบ้าง หันมาเปล่งเสียงอย่างชัดเจน ตามด้วยเสียงร้องของนักเรียนเกือบสามพันคน ผมหลับตาฟังเสียงร้องเพลงอย่างภูมิใจ และไม่ลืมร้องไปด้วย สายลมเย็นๆ จากด้านหลัง ซึ่งเป็นถนนสองเลนน์รถราน้อยคันวิ่งไปมา เสียงเครื่องยนต์มิอาจกู่ก้องสู้เสียงของพวกเราได้
โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล คุณครูพร่ำบอก พร่ำสอนตลอด เราก็นะ รู้สึกดีอยู่ที่ได้เป็นมาตรฐาน แต่เราละสงสัยจริงๆ เพราะคำว่ามาตรฐานมันต้องดีไปทุกอย่างสิ ยิ่งเพิ่มคำว่าสากลมาด้วยแล้วล่ะนะ ผมก็ยังเห็นขยะเกลื่อน ป้ายห้ามพาโทรศัพท์มาโรงเรียน แต่เก้าสิบในร้อยมาพา ผมเคยคิดนะถ้าบอกนักเรียนว่า พาเครื่องเล่นเพลงมาได้ โทรศัพท์มาได้ แต่ต้องไม่ใช่รุ่นที่ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ และมีการสุ่มตรวจหน้าแถวสักครั้งต่ออาทิตย์ ผมว่าเท่านี้ก็คงลดการพาโทรศัพท์มาได้ไม่มากก็น้อยเชียวล่ะ
เพลงชาติจบลงแล้ว นักเรียนหลายคนพนมมือสวดมนต์ตามคำกล่าวของสภานักเรียน เสียงแว่วกังวานใสดังก้องสนาม ก้องโรงเรียน ครูทุกคนพนมมือพร้อมกล่าวบทสวด “อะระหัง สัมมาสัมพุธโฑ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง” ส่วนผมซึ่งเป็นไทย-มุสลิมก็ยืนตรง มือขวาทับมือซ้ายเหนือสะดือ กล่าวบทสวดในใจด้วยความศรัทธาเช่นกัน ’อาอู ซูบินลา ฮิมินัช ไชตอนิรอยีม บิสมิลละ ฮิจเรอะมา นิรอฮีม’ …. สวดในใจต่อไป เมื่อบทสวดจบลง เราทั้งหมดนั่งลงอย่างอัตโนตูด ที่เรียกอย่างนั้นเพราะเมื่อย อยากนั่งตั้งนานแล้ว
เรานั่งขัดสมาธิซึ่งเป็นสิ่งที่เคยชินของเด็กโรงเรียนนี้ มีเพลงเปิดขึ้นมาเป็นเสียงผู้หญิงควบคู่เสียงระนาดร้องว่า “นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาหงาย ทับมือซ้ายวางลง ....” “หลับตาค่ะนักเรียน หลับตา คนเราเมื่อจิตอยู่กับที่ จิตก็จะสงบ ไม่มีเรื่องกระวนกระวายใจ ไม่มีความทุกข์” เสียงนั้นที่แสนคุ้นหู เมื่อใครได้ยินเข้า เสียงนั้นบอกให้แค่หลับตา แต่ทุกคน หลับตาพร้อมสูดลมหายใจลึกๆ จนตัวนั่งตรงโดยไม่ได้นัดหมายกัน อาจารย์คนนี้คือ ป้าหมู ท่านเป็นคนดีมาก ขนาดผมเป็นคนอิสลาม ผมยังนับถือคำสอนของท่านเลย
ทุกครั้งที่ผมหลับตานั่งสมาธิ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงเพลงคู่ระนาดอันอ่อนช้อย และก็ชอบนึกถึงลำธารใสใสบนหุบเขา มีต้นไม้เขียวอ่อนปกคลุม แสงสดใส ปลาน้อยใหญ่ว่ายวนในลำน้ำ ผมจะจินตนาการว่าตัวเองนอนคว่ำริมธาร และจุ่มหน้าลงไปในน้ำที่ไหลเอื่อย พร้อมลืมตา ฮ้ายยย.... ผมลืมตาขึ้น เพลงจบลงแล้ว และต่อไปไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ของสภานักเรียนพรรคใหม่ที่เพิ่งได้รับเลือกเมื่อปีที่แล้ว
แสงแดดตอนเช้าส่องพออุ่นๆ ลมโชยเบาๆ “สวัสดีท่านผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ และพี่น้องชาวอำมาตย์ทุกคนค่ะ วันนี้อากาศแจ่มใสดีนะคะ” ช่ายยย โคตรแจ่มใสเลย และอีกหลายคนคงคิดว่า แจ่มใส จนหน้าใสซะไม่มีแล้วเนี้ย “เอาล่ะนะคะ เรามาพบกับนักเรียนแลกเปลี่ยนจากต่างประเทศที่จะมาเรียนกับเราในปีนี้กันนะคะ” ผม หาวหวอดใหญ่ โอ้ยยยง่วง เมื่อคืนสงสัยเล่นเฟสบุ๊คดึกไปหน่อยเพราะปลอบเพื่อนอีกคน มันอกหักตั้งแต่เพิ่งปิดเทอม ตอนนี้ผ่านไปหลายเดือนยังไม่หายเฮิร์ทกันเลย เฮ้อออ ... เข้าใจ เข้าใจ .... เอ๋ เฮ้ยยยนั่นมัน!!! ไอ้เด็กเวรนั่นนี่
..................................................................................................................................................................
โอ้ว แย้ ..... แย้นี่คือ ตะกวดรึเปล่า 55+ จบไปอีกหนึ่งบทแล้วล่ะนะ บทนี้เป็นเรื่องที่ย้อนไปเมื่อสองปีที่แล้ว ... โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล มีอยู่จริงนะครับ ลองเข้าไปดูได้ที่ www.ammart.ac.th ยังไงก็อ่านกันเยอะๆ นะครับ เพราะมันอ้างอิงจากชีวิตจริงของใครคนหนึ่งที่เขียนบันทึกประจำวันของตนเอง ผมเลยนำบันทึกนั้นมาเผยแพร่ .......
..
ความรู้ในวันนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหน เมื่อเห็นผู้หญิงที่เขายิ้มให้ แต่ไม่ยิ้มตอบ ผู้ชายส่วนมากจะคิดเป็นสองแบบ คือ เฮ้ยยย สาวนี้เป็นทอมหรือเปล่าวะ หรือ เฮ้ย หยิ่งว่ะ ... ทั้งๆ ที่ผู้หญิงเขาแค่ไม่รู้จักคุณ เหมือนผู้ชายบางคนที่ปิ๊งใคร หากใจกล้าก็เดินไปขอเบอร์ แต่ผู้หญิงักไม่ให้หรอก ต่อให้คุณหล่อมากมายก็ตาม เพราะ...อะไรก็รู้ดี
และในขณะเดียวกันผู้หญิงก็ชอบคิดว่า ผู้ชายที่ตนชอบ ที่ตนยิ้มให้ ไม่ชอบตน ผู้ชายคนไหนที่แต่งตัวเนี๊ยบๆ เรียบร้อยๆ สาวเจ้าจะหาว่าเป็นเกย์ประมาณนี้ ซึ่งสาวๆ หารู้ไม่ว่า ผู้ชายพวกนี้คุณแค่ไม่รู้จักเขา ถ้าได้รู้จักจริงๆ ล่ะ กวนสุดๆ เลยล่ะขอบอก และเป็นพวกอินดี้ซะด้วย 55+
สุโค่ย แปลว่า สุดยอด
โฮมรูม คือ ห้องที่พบปะเพื่อน คุณครู หรือ ห้องประจำ
ห้องเซียร์ เป็นห้องที่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ
ตอนที่ 3 จะอัพเดทพรุ่งนี้นะครับบบ รออ่านกันด้วยในตอน
"เปิดเทอมใหม่ นี่แค่วันแรกนะ"
ความคิดเห็น