ตอนที่ 47 : ตอนที่ 47
แกร๊กกก
เพล้งงงงง!
ไม่ไกลจากจุดที่ราเซ็ตสึและอิโนอุเอะอยู่ ณ บนที่นั่งแห่งผู้นำอากาศเริ่มเผยให้เห็นรอยแตกร้าวราวแผ่นกระจก มีบางสิ่งทะลวงรอยแตกนั่นออกมา สิ่งนั้นก็คือฝ่ามือขาวซีดเป็นมือที่คล้ายกับมนุษย์ แต่แรงดันวิญญาณของเจ้าของมือที่กำลังแผ่ออกมาแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นอารันคาร์ในระดับเอสปาด้า
ร่างของชายหนุ่มผมดำค่อนข้างเตี้ยในชุดขาวค่อยๆย่างเท้าเดินออกมาจากรอยแตกอย่างสงบไร้อารมณ์ สติ๊กม่าบนใบหน้าคล้ายกับหยดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาอยู่ตลอด
"เลิกเล่นซ่อนหาอย่างไร้ประโยชน์เถอะ แม้ท่านไอเซ็นจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงฉันจะยอมรับมัน"
"สมกับเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ อุลคิโอร่า"
ราเซ็ตสึเดินออกมาพร้อมกับอิโนอุเนะจากเงามืด ในมือของชายหนุ่มยังคงถือดาบเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ที่ปากยังคงเผยรอยยิ้มแสนลึกลับ แม้แต่อุลคิโอร่ายังแอบรู้สึกตึงเครียดยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงดันวิญญาณของเขาก็ยิ่งทำให้อุลคิโอร่าเข้าใจถึงระดับที่แท้จริงของชายคนนี้
'แรงดันวิญญาณของชายคนนี้คือตัวแอันตราย'
"ไม่ต้องเกร็งนักหรอกอุลคิโอร่า เพราะต่อให้คุณจะระมัดระวังตัวมากแค่ไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าผมแล้วการระมัดระวังตัวของคุณมันไร้ความหมาย"
ร่างที่เคยอยู่ข้างกายอิโนะอุเอะโผล่มายืนที่ด้านข้างของอุลคิโอร่า มือของชายหนุ่มตบลงที่ไหล่ขวาของอีกฝ่ายเบาๆ สีหน้าของอุลคิโอร่าเปลี่ยนไปในทันที แม้แต่เขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายมาประชิดตัวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
"ต้องการอะไรกันแน่ ?"
"สิ่งที่ผมต้องการหรอ อืมมม?"
ราเซ็ตสึแสร้งทำท่าทีกุมคาง ความต้องการของเขาก็แค่อยากสู้กับคนเก่งๆ แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ในปัจจุบันมันไม่ค่อยเอื้ออำนวย แม้จะแอบทิ้งของขวัญสุดพิเศษไว้ในร่างของไอเซ็นโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ คิดว่าหลังกำหราบพวกเอสปาด้าได้แล้วเขาจะไปร่วมแบทเทิ้ลรอยัลที่เมืองคาราคุระต่อ
"ช่างเถอะอีกเดี๋ยวคนที่จะสู้กับคุณก็มาแล้ว ส่วนคู่ต่อสู้ของผมก็มาแล้วเช่นกัน ทำไมไม่ออกมาพบกันหน่อยละครับ เหล่าเอสปาด้าผู้ซื่อสัตย์ยิ่งชีพ"
"อย่าปากดีต่อหน้าท่านฮาริเบลนะเจ้ายมทูต"
เหนือหัวของราเซ็ตสึมีเอสปาด้าชายหญิงยืนอยู่ ข้างตัวของทั้งสองมีฟราเซี่ยนยืนอยู่ด้วยและเจ้าของเสียงที่โวยวายอยู่เมื่อสักครู่คือหนึ่งในสามฟราเซี่ยนของฮาริเบล ราเซ็ตสึเงยหน้าและเผยยิ้มให้อีกฝ่าย
"ทำไมถึงไม่ลงมายืนคุยข้างล่างกันดีๆละครับ"
"ทำไมฉันต้องฟังแกด้วยเจ้ายมมะ..."
สีหน้าของหญิงสาวร่างเล็กหนึ่งในฟราเซี่ยนของฮาริเบลถึงกับหน้าซีด ดวงตาของเธอเบิกกว้างคล้ายคนกำลังขาดอากาศหายใจ แรงดันวิญญาณที่หนักหน่วงกดขี่เธอจนเสียงของเธอหายทำให้เธอไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้
"ทำตามที่ชายคนนี้บอก เพราะเขาไม่ใช่คนที่พวกเธอจะรับมือได้"
หญิงสาวผิวสีแทนผมสีเหลืองทองหันไปกล่าวกับเหล่าฟราเซี่ยนของตนเองและพาทั้งสามลงสู่พื้น ราเซ็ตสึปลดแรงดันวิญญาณกดขี่อีกฝ่าย สายตาเหล่มองไปทางชายวัยกลางคนที่ยังยืนหาวราวกับคนขี้เกียจ ข้างกายของชายคนนี้มีเด็กหญิงน่ารักเธอเป็นฟราเซี่ยนและดาบฟันวิญญาณของอีกฝ่าย
"พวกเราเองก็ลงไปกันเถอะลิลิเน็ต"
"นายกลัวเจ้ายมทูตนั่นหรือยังไงสตาร์ค!"
สตาร์คเกาศีรษะสายตาเหล่มองไปที่ชายหนุ่มยมทูต เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวของอีกฝ่ายได้ดีมันราวกับระเบิดที่พร้อมจะถูกปลดปล่อยออกมาได้ทุกเมื่อ ถ้าอีกฝ่ายปลดปล่อยมันออกมาในต้อนนี้บอกได้เลยว่าเหล่าฟราเซี่ยนคงหายวับไปในชั่วพริบตาเดียว
"เธอนี่ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ"
เมื่อเห็นเหล่าเอสปาด้าและฟราเซี่ยนที่เหลือรอดพากันลงมาข้างล่างราเซ็ตสึก็เก็บกลิ่นอายข่มขู่ของตนเองและปล่อยมืออกจากไหล่ของอุลคิโอร่าและเดินไปประชันหน้ากลับเอสปาด้าทั้งสองคน เขาเก็บสึคุโยมิลงสู่ฝัก ตัวดาบปล่อยควันสีดำออกมาและกลายสภาพเป็นเด็กหญิงเข้าไปคุ้มครองอิโนอุเอะตามคำขอของเขา
"พวกคุณจะเข้ามาพร้อมกันเลยก็ได้นะครับ"
"ไม่คิดเลยว่าเอสปาด้าอย่างพวกเราจะถูกพวกยมทูตเหยียดหยามถึงเพียงนี้ นายยังไม่ต้องเข้ามายุ่ง"
ฮาริเบลกล่าวและหันไปบอกสตาร์ค ซึ่งฝ่ายชายก็ยักไหล่และอ้าปากหาวอย่างขี้เกียจหญิงสาวชักดาบและปลดซิบที่เสื้อส่วนบนออกเผยให้เห็นหมายเลขที่สลักเอาไว้ที่หน้าอกข้างซ้ายข้างกระดูกขาวที่ถูกใช้แทนชั้นในและส่วนหน้าครึ่งปากถูกปกคลุมไว้ด้วยหน้ากาก
"เอสปาด้าหมายเลข 3 เทียร์ ฮาริเบล"
"หัวหน้าหน่วยที่ 5 คุโรกิ ราเซ็ตสึ แห่ง 13 หน่วยพิทักษ์"
"เนื่องจากที่นี่มีกฎ เอสปาด้าตั้งแต่หมายเลข 4 ขึ้นไปไม่สามารถต่อสู้ที่ลาส์นอเช่ได้ ดังนั้นพวกเราจะไปสู้กันด้านบน"
"เอาแบบนั้นก็ได้"
ราเซ็ตสึและฮาริเบลดีดตัวพุ่งขึ้นผ่านรูแยกที่ถูกเปิดไว้ด้วยเก็ตสึกะ เท็นโชของราเซ็ตสึ ทั้งสองโผล่ออกมายืนอยู่บนหอคอย เพียงไม่นานเสียงการเคลื่อนไหวจำนวนสิบกว่าคน ก็พุ่งตามขึ้นมา 3 ในแปดเป็นฟราเซี่ยนของฮาริเบล สตาร์คและลิลิเน็ต อุลคิโอร่าและอิจิโกะที่พึ่งมาถึง
"จงสาดแสงอุษาเป็นเจ้าเหนือหัวแห่งสุริยา จงแผดเผาและขจัดสิ่งมืดดำเพื่อตัวข้า อามาเทราสึ โนะ มิโคโตะ"
ร่ายบทขับขานชื่อของดาบเสร็จสิ้นตัวดาบก็ส่องแสงเปร่งประกายสีผมและสีนัยน์ตาก็ผันเปลี่ยน ชายหนุ่มถอดแว่นทรงกลมโบราณที่สวมออกและพับเก็บลงในฮาโอริประจำหัวหน้าหน่วย
"ก็ยังคงคิดดูถูกกันอยู่สินะ ?"
เห็นอีกฝ่ายไม่ใช้ขั้นบังไค ฮาริเบลก็รู้สึกไม่พอใจราวกับกำลังถูกอีกฝ่ายหยามเกียรติ แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพราะคิดว่าด้วยการกระทำอันแสนประมาทในครั้งนี้จะกลายเป็นบทเรียนสอนสั่งอีกฝ่ายเอง
"คุณเองก็เถอะ ถ้าไม่ปลดปล่อยดาบในตอนนี้ระวังจะไม่ได้ปลดปล่อยมันอีกเลยนะ"
"นั่นมันก็เรื่องของฉัน"
เมื่อเห็นคำเตือนของตนเองไม่ถูกรับฟังก็ได้แต่ถอนหายใจตัวดาบในมือของชายหนุ่มเริ่มมีเปลวเพลิงสีดำอมส้มแผ่ขยายออกมาครอบคลุมไปที่ตัวดาบไว้อย่างหมดจน ความร้อนแผ่ขยายออกมาจนอณูวิญญาณโดยรอบเหือดแห้งลงในทันที เขาปักดาบลงสู่ดาดฟ้าของลาส์นอเช่
"Tenrō Kaken(ดาบเพลิงคุกสวรรค์)"
นัยน์ตาของฮาริเบลหรี่แคบลงดูจริงจังเธอรีบกระโดดทิ้งระยะห่างออกจากจุดที่ยืนอยู่หลายร้อยเมตรในชั่วพริบตา ตรงจุดที่เธอเคยยืนเมื่อครู่ มีเสาเพลิงสีดำอมส้มขนาดใหญ่พวยพุ่งออกหมายแผดเผาเธอทั้งเป็น
'ไม่น่าจะมีเพียงแค่นี้'
เธอรีบเคลื่อนไหวโยกย้ายร่างด้วยทักษะโซนีดทักษะโยกย้ายร่างของเหล่าอารันคาร์และทันทีที่เธอเคลื่อนย้ายออกไปจากจุดที่เคยยืนเมื่อสักครู่ ก็จะมีเสาเพลิงแบบเดิมพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง
ฮาริเบลพยายามเคลื่อนย้ายเปลี่ยนจุดยืนเพื่อหลีกหนีเสาเพลิง โดยพยายามเข้าใกล้และประชิดตัวชายหนุ่มให้ได้มากที่สุด ยิ่งนานเข้าในใจของเธอก็เริ่มเกิดข้อสงสัย
'ชายคนนี้มีเป้าหมายอะไรกันแน่ ในเมื่ออีกฝ่ายก็น่าจะรู้ว่าเราหลบพวกมันได้แต่ทำไมยังโจมตีไม่หยุดแบบนี้ ไม่สินี่มัน!'
ฮาริเบลตื่นตะหนักหลังเข้าใจถึงเป้าหมายที่แม้จริงของชายหนุ่ม แต่ทว่ากว่าจะรู้ตัวมันก็มันสายเกินไป ตอนนี้เสาเพลิงที่สูงเสียดฟ้าหลายสิบต้นเข้าล้อมกังขังเธอไว้โดยไม่หลงเหลือทางออกเอาไว้ให้เธอเลย
'มันเคลื่อนที่ได้แถมยังปิดล้อมเรา ชายคนนี้'
ทางราเซ็ตสึที่เห็นอีกฝ่ายติดกับดักอย่างง่ายดายก็เกาหัว ไอ้เราก็นึกว่าอีกฝ่ายจะจับไต๋ของเขาได้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ ดูแล้วไม่น่าจะไหวละมั้งๅ แต่เอาเถอะเขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะแก้สถานการณ์นี้ได้ยังไง ถึงเวลาแล้วที่จะลองวิชาของโซเคียคุที่ติดตัวหลังถูกอามะคุงกลืนกินเสียหน่อย
"Kikōō(ราชันย์เพชรฆาต)"
กรี๊ซซซซ
เสียงกรีดร้องออกมาจากตัวดาบเพลิงที่ใบดาบเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มแผ่ขยายพุ่งสู่ท้องฟ้าราตรีอันมืดมิด เพลิงขนาดใหญ่ก่อตัวเป็นนกเพลิงอมตะในตำนาน มันจ้องมองที่ราเซ็ตสึอย่างภักดีและกรีดร้องออกมาราวว่าเป็นสิ่งมีชีวิตและมีจิตนึกคิดเป็นของตนเอง
"ไปเล่นกับเธอหน่อยแล้วกันนะคิโคโอ!"
คิโคโอผงกหัวของมันและกรีดร้องคำรามดังสนั่น เสาเพลิงที่ล้อมกรอบฮาริเบลขยายตัวอย่างฉับพลัน ร่างนกเพลิงอมตะกระพือปีกบินทะยานพุ่งไปที่นั่นหมายสังหารเป้าหมายในคราวเดียว
ทางฮาริเบลที่ถูกความร้อนเล่นงานเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ความร้อนที่แผดเผาชั้นอากาศจนถึงบรรยากาศทำให้อณูวิญญาณรอบตัวเธอในระยะหลายกิโลเมตรที่ใช้ดำลงชีพสูญสลายไป ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปมีหวังเธอไม่ถูกแผดเผาจนตายก็ขาดอากาศหายใจตายก่อนแน่
"ชายคนนี้ร้ายกาจมากแต่ว่าเขาเป็นพวกสายเพลิงมาเจอกับสายวารีอย่างฉันสุดท้ายสายเพลิงก็ย่อมพ่ายแพ้ จงโรมรัน-ทีบูรอน(ราชินีฉลาม)"
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปราบให้ราบคาบแล้วเอาเข้าฮาเร็มโลด5555555
แล้วใครเป็นคนบัญญัติไว้ละว่าไฟต้องแพ้น้ำ กลายเป็นฉลามตากแห้งแน่ๆ
ข้องใจ แต่ก็ชอบนะ วับๆแวมๆดี
น้องฉลามจะตายแบบตัวประกอบสินะT_T