คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บังเอิญหรือว่าบุพเพ
" ผมสวยยาวประบ่า รวบผมครึ่งหัวแล้วติดโบว์สีชมพูอันเบ้อเริ่มแบบเด็กน่ารักแบบนี้น่ะ
เชื่อสิว่าทั้งมหาลัยมีแค่คนเดียว " น่ารักหรือ ชั้นน่ารักอย่างงั้นหรือ เสียงของเอกยังวนเวียนอยู่ในหัว
อย่างนี้แผนทำตัวน่ารักก็ถือว่าสำเร็จแล้วรึเปล่าน้า...
ชั้นนั่งมองโบว์สีชมพูอันใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าชั้น เอานิ้วไปแหย่ๆมันอย่างรังเกียจ
แล้วนึกถึงแผนต่างๆที่ลองหลังจากเจอเอก
" ดูท่าทางเราจะไปไม่รอดซะแล้วสิ นี่ก็ผ่านวันนั้นมาจนเปิดเรียนวันแรกแล้ว ยังลืมคำพูดของหมอนี่ไม่ได้เลย " เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้นเป็นระยะ
จะว่าไปแล้วก็ถือเป็นโชคนะที่เรายังทิ้งโบว์อันนี้ไป แต่ก็อย่างว่าแหละนะ
ก็ใส่มันจนชินมาตั้งแต่ ม.3 แล้วนี่นา แม้ว่าชั้นกับคนให้โบว์จะรักษาสถานะภาพเพื่อนรักที่ชั้นพยายามสร้างไว้ไม่ได้
แต่สิ่งของที่ให้แล้วก็ต้องถือว่าให้เลยสิ แล้วเพราะการที่ใส่จนชินมันก็ทำให้ชั้นเนียนเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารักได้ดีนี่นา
ตอนที่คบกับดาวชั้นก็ทำตัวยังงี้มาตลอดน่ะนะ
เฮ้อ..จะมานั่งรำลึกถึงอดีตวันวานยังหวานเลี่ยนอยู่อย่างนี้เดี๋ยวก็ไปเรียนวันแรกสายพอดี
ว่าแล้วก็คว้าชุดนักศึกษามาใส่ แน่นอนว่าเป็นกระโปรงพีชยาวตามระเบียบ ไม่ใช่เพราะไม่มีความมั่นใจในเรือนร่างหรอกนะ
แต่ผู้ชายจะชอบคนเรียบร้อยมากกว่าน่ะ เสร็จสรรพก็คว้าโบว์เชยๆอันเดิมมาประดับด้วยผมทรงเชยๆที่ทำมาตั้งแต่อยู่ม.ต้น
คว้ากระเป๋าใบเก่าน่ารังเกียจ(เมื่อไหร่หม่อมแม่จะซื้อให้ใหม่ซะทีนะ)กับหนังสือที่ใช้เรียนมาได้
ก็กระโจนออกจากห้องไปนั่งประจำที่ห้องอาหาร ข้าวสวยร้อนๆและกับข้าวรวมไปถึงผลไม้และของหวานเต็มโต๊ะ
" โอ้โห! ทำอย่างกับงานเลี้ยงเลยนะคะเนี่ย แม่ "
" ก็งานเลี้ยงน่ะสิ เลี้ยงฉลองให้กับนักศึกษาใหม่ไง " ชั้นโผเข้าไปกอดแม่อย่างอบอุ่นและเริ่มรู้สึกอึดอัดจนร้อน
ชั้นต้องบอกแม่ให้ไปลดน้ำหนักบ้างแล้วล่ะ ไม่งั้นมีหวังชั้นคงหายใจไม่ออกตายซักวันแน่ๆ
" แล้วพ่อก็มีรางวัลให้กับนักศึกษาใหม่ด้วย เอ้านี่!ซอง ได้ยินว่าลูกเก็บเงินค่าขนมจะซื้ออะไรสักอย่างอยู่ไม่ใช่รึ " พ่อวางหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ลงแล้วยื่นซองสีแดงปิดผนึกมาให้
" ว้าว! ขอบคุณค่ะพ่อ หนูเก็บเงินซื้อเครื่องเล่นซีดีค่ะ เอาไว้ฟังเพลงซีดีที่หนูชอบ" ชั้นรับซองมาอย่างดีใจ
พับเก็บไว้ในกระเป๋าถือ จะให้เท่าไหร่กันน้า จะพอซื้อเครื่องสำอางค์คอลเล็คชั่นล่าสุดรึเปล่าก็ไม่รู้
แต่จะเปิดดูเลยก็น่าเกลียดไว้ทีหลังดีกว่า
" อันที่จริงให้พ่อซื้อให้ก็ได้นี่ลูก เครื่องนั่นมันแพงนะ ลูกเก็บเงินซื้อเองมันนานนะกว่าจะได้ " แม่ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วนั่งลงที่โต๊ะ
" นั่นสิลูก พ่อซื้อให้เป็นของขวัญก็ได้นี่ " พ่อพูดย้ำ
" อย่าเลยค่ะ หนูอยากทำให้ได้ด้วยตัวเองมากกว่า เอาเงินนั้นมาเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆดีกว่าค่ะ "
ก็เรื่องเครื่องเล่นซีดีนั่นหนูโกหกนี่คะ หนูจะเอาไว้ใช้อย่างอื่นต่างหาก ขืนพ่อซื้อให้ความลับก็แตกน่ะสิคะพ่อขา
"
ลูกนี่เป็นเด็กดีจริงๆ " พ่อยิ้มอย่างภูมิใจ คิดได้อย่างนั้นก็ดีค่ะ
ใช่สิคะ ลำพังเงินเดือนอันน้อยนิดของพ่อไม่พอจะยาไส้ลูกคนนี้หรอกคะ
พ่อรู้ไหมคะว่าหนูต้องพยายามแค่ไหนกัน เรื่องเรียนก็อย่างหนึ่งแหละ ถ้าหนูไม่พยายามเรียนดีๆจนขอทุนได้
เงินที่จะเอาไปซื้อเสื้อผ้าก็ต้องกลายไปเป็นค่าเทอมหมดน่ะสิคะ ว่าแล้วก็แอบค้อนแม่
ที่จริงถ้าลดค่าอาหารได้คงมีเงินเหลือมากกว่านี้นะคะแม่ขา
บรรยากาศอันแสนสุขของครอบครัวชั้นเป็นอย่างนี้ทุกๆวัน ทำให้ชั้นไม่รู้สึกเหงาแม้ว่าจะเป็นลูกสาวคนเดียว
(แค่รำคาญบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง)
พ่อทำงานที่บริษัทเอกชนเล็กๆแห่งหนึ่ง ส่วนคุณแม่ก็เป็นแม่บ้าน นั่นทำให่ชั้นได้รับความสุขและความอบอุ่นจากพ่อและแม่เต็มเปี่ยม ขอย้ำ!เต็มเปี่ยมมากจริงๆ
" อิ่มแล้วค่ะ อร่อยมากเลย หนูขอไปเรียนก่อนนะคะ " ชั้นก้มดูนาฬิกา แล้วหยิบของ
และไม่ลืมที่จะแสร้งทำน่ารักหอมแก้มพ่อกับแม่ก่อนออกจากบ้าน
เดินไปขึ้นรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก ยืนรออยู่สักพักรถเมล์ก็มา
โอ้! โชคดีจังมีที่นั่งว่างอยู่แต่ดันติดหน้าต่างซะนี่ รับลมเต็มๆเลย อย่างงี้ผมชั้นก็ยุ่งหมดน่ะสิ
แต่ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่นั่งก็อด ไม่รอช้าตรงไปนั่งทันที
ไม่นานนักรถก็มาจอดที่หน้าทางเข้าของมหาวิทยาลัย ฉันเดินเข้าไปด้านใน
สองฟากฝั่งของถนนมีนักศึกษาชายหญิงยืนอยู่ประปราย บรรยากาศไม่ต่างจากวันปฐมนิเทศนัก
ต่างกันก็แค่ไม่มีเสียงร้องเพลง และไม่มีกลุ่มรุ่นพี่มาคอยชี้แนะ รู้สึกสบายหูชะมัด
" น่ารักแบบนี้น่ะ เชื่อสิว่าทั้งมหาลัยมีแค่คนเดียว " เฮือก เสียงของเอกแว่บเข้ามาในหัวอีกแล้ว
นี่เวลาเรียนนะยัยต้นข้าว นี่เธอจะใจร้อนอะไรของเธอมากมายขนาดนี้กันนะ
เดี๋ยวตอนพักค่อยไปเดินหาเหยื่อ เอ้ย! หาผู้ชายก็ยังไม่สายนะยะ
" นักศึกษาคนนั้นเป็นอะไรรึเปล่าคะ " อาจารย์ประจำวิชาถามอย่างเป็นห่วงที่เห็นชั้นกำลังทุบหัวตัวเองอยู่
" เอ่อ..ปะ..เปล่าค่ะ "ชั้นรีบปฏิเสธลั่น เพื่อนร่วมภาคหันมามองกันอย่างเป็นที่ขบขัน
ขำอะไรกันหนักหนายะ ไม่เคยเห็นคนสวยทำตัวน่ารัก?หรือยังไงกัน
เชอะ ให้ตายเถอะ ทำไมเพื่อนร่วมภาคชั้นแต่ละคนไม่มีหล่อๆแบบพ่อเอกคมเข้มของชั้นบ้างนะ
จะได้ไม่ต้องไปอ่อยที่ไหนไกลๆ
หลังจากนั้นชั้นก็นั่งเงียบ ตั้งสมาธิเรียนอย่างจดจ่อ แต่เพราะเป็นการเรียนวันแรก
อาจารย์จึงบอกเพียงรายละเอียดของบทเรียนและแนะนำตัวเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงซักถามรายชื่อของนักศึกษา
ซึ่งนักศึกษาบางคนก็ใช้โอกาสนี้ซักถามชื่อของเพื่อนๆไปด้วย แต่ชั้นก็ยังคงนั่งเงียบ
อาจารย์ถามก็ตอบ เพื่อนๆถามก็ตอบ แต่ตอบสั้นๆห้วนๆด้วยสีหน้าเฉยเมย แบบไร้ซึ่งความตื่นเต้น
โตกันตั้งขนาดนี้แล้ว ทำไมยังต้องมาแนะนำตัวทีละคนเหมือนเด็กๆด้วยนะ น่าเบื่อชะมัดเลย
เมื่อไหร่จะเสร็จๆไปซะทีนะ คนอื่นๆที่อยู่ในห้องพากันมองด้วยชั้นสายตาชวนสงสัย
แล้วพวกแกจะมีปัญหาอะไรกันนักนะ
เที่ยงครึ่งแล้ว ได้เวลาอาหารสักที หิวแย่แล้ว แต่ตอนบ่ายยังมีเรียนอีก 2 วิชา ไปหาข้าวเที่ยงหย่อนลงกระเพาะที่โรงอาหารดีกว่าคนเยอะดีเผื่อจะเจอผู้ชายดีๆบ้าง
เมื่อคิดได้ดังนั้นชั้นก็เก็บหนังสือแล้วพุ่งตัวราวจรวดถูกปล่อยออกจากฐานออกจากห้องเรียนอย่างไม่สนใจใคร(งงมั้ยละ คนเขียนก็งง???)
เดินมาจนกระทั่งถึงอีกฝั่งหนึ่งของโรงอาหาร เป็นโรงอาหารที่อยู่เป็นศูนย์กลางล้อมรอบ
ด้วยตึกเรียนของคณะต่างๆทำให้มีนักศึกษามากมายในเวลาเที่ยงอย่างนี้
ชั้นมองซ้ายขวาเห็นว่าไม่มีรถมาจึงเตรียมตัวข้ามถนน
" ต้นข้าวนี่!! " เสียงผู้ชายเรียกชื่อชั้นอีกแล้ว แต่เสียงฟังดูคุ้นๆอยู่
ชั้นหันไปตามเสียงเรียกก็ต้องตกใจ " เอก!! " บุพเพมีจริง!
" บังเอิญจังเลยนะ มหาลัยกว้างออกขนาดนี้ นี่เห็นโบว์แล้วมั่นใจว่าใช่เลยนะเนี่ย "
เอกเร่งเท้าเดินเข้ามาหาชั้น อ้ะไม่ได้มาคนเดียวนี่นา มีเพื่อนมาด้วยอีกคน
" กำลังจะไปไหนเหรอ " เอกยิ้มแย้มถามอย่างรื่นเริง
" ไปส้วม!! " ตอบเสียงแข็ง ใจเย็นไว้ๆ เก็บอาการบ้าผู้ชายหน่อยๆ
" ไปคนเดียวเหรอ แล้วเพื่อนต้นข้าวล่ะ " เอกหันมองซ้ายขวา มองหาคนข้างๆชั้นทั้งๆที่ไม่มี
" ไม่มีหรอก มาคนเดียว!! " ยังคงเสียงแข็งอยู่ ยุบหนอ พองหนอ ทำตามแผนหนอ อย่าหลุดหนอ
"
เอ่อ นี่เพื่อนของเอกเอง ชื่อบอย เป็นนักศึกษาทุนเหมือนกับเราเลยล่ะ เขาเรียนคณะเดียวกับเอกน่ะ "
เอกจับไหล่เพื่อนแล้วดันมาหาชั้นเบาๆ กรี๊ด!อย่าเข้ามาใกล้ เดี๋ยวเผลอลูบไล้
นายบอยเป็นคนขาว ขาวพอๆกับชั้นเห็นจะได้ หน้าตาคมออกไปทางหนุ่มญี่ปุ่นปนจีนอย่างไงอย่างงั้น
ไว้ผมยาวอย่างดาราญี่ปุ่นเสียด้วย แต่อ้าว ไม่ใส่ชุดนักศึกษารึ
จริงอยู่ที่มหาลัยอนุญาตให้ใส่ชุดอะไรมาเรียนก็ได้ แต่ไม่นึกว่าจะมีคนกล้าใส่มาตั้งแต่วันแรก
หึ นายเอกนี่ก็เข้าใจเลือกคบเพื่อนนะ ตัวเองสูงยังไม่พอ หาเพื่อนตัวสูงพอๆกันได้
แถมสีผิวกับหน้าตายังหล่อไปคนละแบบอีกต่างหาก เป็นอาหารตาชั้นดีไปเลยล่ะ
"
" บอยไม่พูดอะไร ตีหน้าขรึมอยู่ตลอดเวลา
" นายไปสร้างความหนักใจให้เพื่อนของนายทำไมกันนะ บอยคงรำคาญแย่แล้ว ดูเขาทำหน้าสิ "
คนอะไร เจอผู้หญิงสวยๆอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่ยิ้มให้สักนิด
" เฮ้! เป็นอะไรไปน่ะบอย ที่คณะนายยังเฮฮาอยู่เลยนี่นา "
" เปล่าหรอก เอ่อ..ฉันขอตัวไปซ้อมกีฬาก่อนล่ะ " เสียงทุ้มต่ำของบอยแว่วมาเบาๆ เขาเดินผ่าน
ชั้นไปอย่างรวดเร็ว แก...แก แกกล้าเมินใส่ชั้นเหรอยะ
" แปลกคนจังแฮะหมอนี่ ตอนอยู่ที่ภาคยังพูดจาเฮฮาร่าเริงอยู่เลย ไหงเงียบไปอย่างนั้นล่ะ
อืม..แต่หมอนั่นเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล เห็นว่าเป็นตัวแทนระดับจังหวัดมาแล้วด้วย "
" นักกีฬาบาส!! ผิวขาวอย่างนั้นเนี่ยนะ นักกีฬาบาส!! ไม่น่าเชื่อ ถ้าผิวสีอย่างเอกนี่สิว่าไปอย่าง " O_o
"
" เอกขมวดคิ้ว ทำหน้าตาเหมือนน้อยใจ
" อ้ะ!! ขอโทษๆ ฮิฮิ ต้นข้าวไม่ได้ว่าเอกนะ " ชั้นหัวเราะอย่างมีจริตจก้านเต็มสตรีม
" ยิ้มได้สักทีนะ " เอกคลายสีหน้าอย่างรวดเร็วกลับมายิ้มอย่างร่าเริง
" !!! " ต๊าย! พ่อคุณ ยิ้มละลายจิตเหลือเกินเพคะ เอ๊ะ!ว่าแต่หมอนี่ วางแผนไว้ตั้งแต่แรกงั้นรึ..
" เอาล่ะ จะยืนตรงนี้กันอีกนานไหมล่ะเนี่ย ไปทานข้าวกันเถอะ หิวจะแย่แล้ว "
" นั่นสิ ต้นข้าวก็หะ...!! หา!! ว่าไงนะ!! " ชั้นสะดุ้งเฮือก นี่สุดหล่อชวนชั้นเหรอเนี่ย กรี๊ดดด!
เอกเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะ " อ้าว!! ก็ไปทานข้าวด้วยกันไง นี่บอยมันก็ทิ้งเอกไปแล้ว
ต้นข้าวจะปล่อยให้เอกทานข้าวคนเดียวเหงาๆได้ลงคอเหรอ "
โอย!! คำพูดแบบนี้อีกแล้ว แต่คราวนี้เห็นหน้าแบบเต็มๆ ต่อให้เป็นหญิงแกร่งแรงเกินร้อยขนาดไหน
ลองมาเจอคำพูดกับหน้าตาออดอ้อนแบบนี้ก็คงต้องรู้สึกแบบเดียวกับชั้น ก็มันจะไม่เขินได้ยังไงล่ะ
ชั้นก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่มีหัวใจโหยหาผู้ชายเหมือนกันนะ แล้วนายเอกนี่ก็ไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาเสียด้วย
" ตกลงนะ " เอกโน้มตัวลงมาจ้องหน้าชั้น รู้สึกร้อนขึ้นมาที่หน้า
" ไม่เอา!! อย่ามายุ่งกับฉัน " ว้ายยัยต้นข้าว ยัยคนสวย นังคนเพียบพร้อม แกพูแบบนั้นออกไปทำม้าย
ไม่นะคะเอกขา ต้นข้าวพูดผิดไป ต้นข้าวจะบอกว่า ก้มมาสิคะ ก้มมาใกล้ๆและจูบต้นข้าวเลยค่ะ
กรี๊ดด! เขิลไปหมดแล้ว ทำไงดี แค่ผู้ชายคนเดียวทำให้ชั้นไข้วเขวได้ขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย
ขืนเจอนายเอกมากๆ จะไม่มีแก่ใจทำตามแผนเพราะมัวแต่มองหน้าหล่อๆของเค้าอยู่น่ะสิ
" ไว้เจอกันอีกนะ " เอกตะโกนส่งท้าย
ชั้นหันกลับมาก็พบว่าเอกยืนโบกมือให้อย่างยิ้มแย้ม ชั้นรู้สึกวูบวาบขึ้นมาที่หน้าอีกครั้ง
ก่อนจะแลบลิ้นให้เอกแล้ววิ่งหนีต่อ
รู้สึกตัวอีกทีชั้นก็มาเดินในสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากโรงอาหารมากนัก
ที่นี่รายล้อมไปด้วยไม้ยืนต้นและไม้พุ่มนานาพรรณ มีต้นศรีตรังที่ชั้นชอบเสียด้วย
มีดอกตูมๆแล้ว ที่นี่มีร่มเงาจากไม้ยืนต้นทำให้อากาศเย็นสบายดีมาก แต่ทำไมผู้คนถึงไม่มาแถวนี้นะ
คงเพราะไม่ใช่สถานที่ที่สนุกสนานหรือจะได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงกระมัง
แต่ถ้ามากันผู้ชาย2ต่อสองล่ะก็อีกเรื่อง หุ หุ เดินไปสักพักชั้นก็เจอชุดโต๊ะหินอ่อนสีขาวเล็กๆ
ตั้งอยู่ใต้ต้นหูกวางที่แผ่ใบหนาให้ร่มเงา ชั้นตรงเข้าไปนั่งทันที
จากที่นั่งตรงนี้มองเห็นต้นศรีตรังต้นนั้นเสียด้วย อีกไม่นานดอกก็คงจะบานสินะ
แล้วที่นี่ก็จะสวยสดไปด้วยดอกสีม่วงอมชมพูแสนสวย อุ้ยแหม ชั้นนี่ก็พอจะเป็นกวีเอกกะเค้าได้นะเนี่ย
ร้านสะดวกซื้ออยู่ห่างจากที่นี่ไปเกือบ 500 เมตร ชั้นลูบท้องเพราะได้ยินเสียงมันร้องขออาหาร
มาบ่อยครั้งแล้ว และเนื่องจากยังหาทาส(ผู้ชาย)มาคอยเป็นเบ๊ให้ไม่ได้
ชั้นจึงจำต้องลุกขึ้นเดินตรงไปยังร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่นี้ชั้นก็คงจะมาใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้
เพราะชั้นรู้สึกได้ว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ มันช่างสบายใจเสียจริงๆ
แล้วถ้ามีผู้ชายผ่านมามันก็คงง่ายที่เค้าจะเข้ามาคุย(จีบ)ผู้หญิงที่นั่งอยู่น่ะนะ
หรือคุณว่าไม่จริง
ความคิดเห็น