คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : นิรันดร์
..... กลิ่นกุหลาบอาจจางหาย
ใบไม้อาจเหี่ยวเฉา
ใครๆ อาจลืมเจ้า
แต่ว่าฉันไม่ลืมเธอ.....
เหตุการณ์ที่กรเกล้าไม่คิดว่าจะเกิดเลยจริงๆ
มันเริ่มจากคืนเดือนมืด เธอนอนอยู่ในห้องของเธอ ได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆ เป็นเสียงผู้ชาย
“ฮือม์”
เธอพลิกตัวยังไม่อยากลุกขึ้น แต่เมื่อนึกได้ว่าอาจจะเป็นคุณพ่อกลับมา ทำให้เธอรีบลุกขึ้นนั่ง เสียงคุณพ่อจริงๆ เธอรีบวิ่งลงไปเปิดประตู
ลมหนาวพัดมา ทำให้ต้องห่อไหล่ หน้าบ้านไม่มีแม้แต่เงาของคน
“คงฝันไป”
เธอบอกกับตัวเอง หันหลังจะกลับเข้าบ้าน ก็แว่วยินเสียงเรียกชื่อเธอเบาๆ เธอแกล้งถอนหายใจ คุณพ่อแกล้งแน่แล้ว
“เอ้า แกล้งเป็นผี ก็เป็นผี”
เมื่อเธอหันกลับไป กลับไม่ใช่คุณพ่อของเธอที่ยืนอยู่ เป็นบุรุษวัยกลางคน สวมชุดดำผิวดูขาวเผือกในความมืด
“มีธุระอะไรหรือคะ”
เธอถาม อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงไม่รู้สึกกลัวเลย ทั้งๆที่เธอกลัวผีที่สุด
“คุณกรเกล้า”
เสียงเรียกเลื่อนลอยเหมือนเธอนั่งอยู่กลางตู้ลำโพง หาต้นเสียงไม่ได้ เธอก้มศีรษะลง
“บัตรเชิญครับ” บุรุษนั้นส่งการ์ดสีดำให้ แล้วหมุนตัวจากไป
เธอก้มลงมองการ์ดในมือ แล้วเตือนตัวเอง
“ฝันไปน่า”
กรเกล้าตื่นเมื่อนาฬิกาปลุกรูปค้างคาวของเธอดัง เด็กสาวกระพริบตานิดๆ นึกถึงความฝันเมื่อคืน แต่การ์ดสีดำที่วางพิงนาฬิกาทำให้เธอสงสัยว่าเมื่อคืน จริงหรือฝันไป กรเกล้าค่อยๆยื่นมือไปหยิบมาดูอย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว
“กรเกล้า พงศ์เทพ”
จ่าหน้าชื่อเธอด้วยตัวอักษรสีทองเล่นหางอย่างลายมือโบราณ เธอตัดสินใจเล็กน้อยก่อนดึงการ์ดออกมา ขอบเป็นลายเครือเถากุหลาบสีชมพูหวาน ใบสีเขียว สวย อ่อนไหว ตรงกลางเป็นตัวหนังสือสีทอง เนื้อความบอกถึงเวลา สถานที่ไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ เวลา คืนนี้ เที่ยงคืน
“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าที่ไหน” เธอบ่นเบาๆ
“คุณกรคะ ตื่นค่ะ สายแล้วนะคะ” เสียงเคาะเรียกอยู่หน้าประตู
“ตื่นแล้วจ้า” เธอขานรับ วางการ์ดทิ้งไว้อย่างไม่สนใจ รีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน
“กรจ๋า กร” อัปสรเข้ามานั่งใกล้ๆ
“จ๋า” กรเกล้าแกล้งขานตอบ
อัปสรเป็นคนสวย สวยมาก เป็นคนเด่นที่เดียว เธอมีกริยาที่อ่อนหวานเสมอ แต่กรเกล้าก็รู้สึกว่าเธอเป็นอย่างนั้นเอง เลือกคบกับคนที่ฐานะทัดเทียมกัน ถ้ากรเกล้าไม่ใช่ลูกสาวคนเดียวของนายธนาคารใหญ่ ไม่ใช่หลานของนักวิชาการที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก อัปสรจะรู้จักเธอไหม และอีกอย่างที่เธอไม่ชอบในนิสัยของอัปสรคือเธอเฟิร์สกับผู้ชายจริงๆ ทั้งๆ ที่เธออายุเพียงสิบห้าเท่านั้นเอง
“งานคืนนี้อย่าลืมนะจ๊ะ ขาดกรไปคน ฟ้าเหงาแย่” เธอบอกว่าอัปสรแปลว่านางฟ้า เธอจึงเรียกตัวเองว่านางฟ้า
“จ๊ะ ไม่ลืมหรอก” กรเกล้าตอบ
อัปสรจัดงานที่บ้านเสมอ บิดาของเธอเป็นนักการเมืองที่เขารู้กันเป็นความลับ ว่าโกงและกินขนาดไหน และอัปสรก็มีส่วนดีของเธอที่เอื้อเฟื้อยกับเพื่อนทุกคน มักจะมีของฝากเพื่อนทุกคน เมื่อเธอกลับจากเที่ยว
กรเกล้ายืนรอรถที่ป้ายรถประจำทาง อย่างกังวล รถประจำทางแน่นทุกคัน ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม
“สาวน้อย”
เสียงเรียกช้าๆ มีกังวานหนักแน่น ช่างคุ้นหูเหลือเกิน เธอหันไปทางต้นเสียงทันที แล้วยิ้มจนเห็นลักยิ้มลึกข้างแก้ม ย่อตัวลงไหว้ พร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้รถสีดำเป็นมัน คนขับลงมาเปิดประตูตอนหลังให้
“คุณตากลับมาเมื่อไรคะ” เธอถามบุรุษชราที่ท่าทางยังแข็งแรงอยู่ ผมท่านกลายเป็นสีดอกเลาไปทั้งศีรษะ
“ตาเพิ่งมาจากสนามบิน”
“คุณยายล่ะคะ” เธอถามถึงอีกท่านที่น่าจะนั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้
“คุณยายไปเยี่ยมเพื่อนที่อังกฤษ เดี๋ยวจะตามกลับมา”
“คุณตาก็อยู่บ้านคนเดียวซิคะ” เธอถามพร้อมกับยิ้มประจบ
“มาอยู่กับตาซิ” ท่านรู้ทัน
บุตรเขย บุตรสาวไม่ได้อยู่ดูแลหลายสาวตัวน้อยของท่านเท่าไร ท่านและภรรยาเลี้ยงกรเกล้ามาตั้งแต่เล็กๆ
“ไม่ทราบว่าจะกวนคุณตาไหม”
“เจ้านี่ทำพูดเข้า” ท่านพลักศีรษะหลานสาว
“พรุ่งนี้นะคะลูกหนูจะไป ต้องโทรบอกคุณพ่อคุณแม่ก่อน ยังไม่กลับเลยค่ะ”
ท่านพยักหน้า สอบถามถึงเหตุการณ์ทางบ้านในช่วงที่ท่านไม่อยู่ แวะส่งหลานสาวที่บ้าน พร้อมทั้งกำชับไม่ให้ลืมสัญญาที่จะไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพรุ่งนี้
“กลับมาแล้วหรือคะ” แม่บ้านออกมารับกระเป๋า
“ค่ะ วันนี้ไม่รับอาหารเย็นนะ ฟ้าชวนไปกินที่บ้านเขา”
“จะรับอาหารว่างไหมคะ”
“ก็รับซิคะ เดี๋ยว แป๊ปเดียว” กรเกล้าบอก วิ่งขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอลืมเรื่องการ์ดสีดำเสียสนิท
อัปสรมารับกรเกล้าเมื่อตอนหกโมงเย็น เธอบอกเองว่าจะมารับ ทั้งที่ตามปกติกรเกล้าจะไปเอง
“อื้อหือ สวยจัง” กรเกล้าชม
อัปสรแต่งชุดบานสีขาว ทำผมแต่งตัวเหมือนสาวน้อย เธอแต่งหน้าเกินวัย แต่ก็สวย กรเกล้าแต่งตัวธรรมดาเอามากๆ เลย ด้วยเอี๊ยมสีน้ำเงินกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวใหญ่ ผ้าใบอีกคู่ ก็ดูเหมาะสำหรับงานเลี้ยงของเด็กวัยเธอ เมื่อดูลักษณะการแต่งตัวของอัปสรเธอก็รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ
“จะไปไหนหรือ” กรเกล้าถาม
“คือว่า-“อัปสรยิ้มอายๆ แก้มแดงซ่านขึ้นมา
“กรรู้จักท่านชายอมรเทพไหมจ๊ะ”
กรเกล้าสั่นศีรษะ
“ท่านเชิญฟ้าไปงานวันนี้ ท่านหล้อหล่อ รวยด้วย แถมยังมีเชื้ออีกนะจ๊ะ”
“ส่งกรกลับบ้านก็แล้วกัน” กรเกล้าบอก
“ไปเป็นเพื่อนฟ้าหน่อยนะจ๊ะ นะ แล้วคืนนี้ค้างกับฟ้าก็ได้”
“บอกกรตรงๆ ก็ได้นี่จ๊ะ”
ท่าทางประจบประแจง ทำให้กรเกล้าอดใจอ่อนไม่ได้
“ฟ้าจะกลับดึกไหม” กรเกล้าถาม
“ตีสองนะจ๊ะ” อัปสรยิ้มประจบ
กรเกล้าถอนหายใจ
“กรจะกลับเที่ยงคืน” เธอยื่นคำขาด
“ภีม เจ้าสาวของข้า ใกล้เข้ามาแล้วไม่ใช่หรือ” เสียงก้องไปทั้งห้องกว้าง ร่างผอมบางที่คุกเข่าอยู่กลางห้อง น้อมศีรษะลง
“เหยื่อแห่งมายาของข้า มาแล้วมิใช่หรือ”
“พระเจ้าข้า” เสียงตอบแผ่วเบามีกระแสสั่นของความหวาดกลัว
“ศัตรูของข้า” เสียงสรวลสันต์กระหึ่มไปทั้งห้อง
“ถึงเวลาของข้าบ้างแล้ว เริ่มงานภีม” ประโยคสุดท้ายสั่งอย่างเข้มงวด
กรเกล้าไม่พอใจอะไรเลยในงานนี้ สตรีสาวสวยมากมายในงานต่างพากันกล่าวขวัญถึงเจ้าของงานอย่างชื่นชม ไม่มีใครสนใจเด็กกะโปโลอย่างเธอ กรเกล้ารู้สึกแปลก เหมือนงานเลือกคู่ เธอนึกในใจ กรเกล้ามองไปรอบๆ เหมือนแขกในงานจะถูกมอมเมาด้วยอะไรบ้างอย่าง อาหาร เครื่องดื่มทุกชนิดเธอไม่ได้แตะต้องเลย ลางสังหรณ์เตือนอยู่ตลอดเวลาว่าอันตราย
“นั่นไง ท่านชาย” อัปสรกระซิบ
กรเกล้าหันไปดูด้วยความหมั่นไส้ เหมือนตัวเองหลงตัวเองที่มีผู้หญิงมาคลั่งไคล้ไหลหลงมากมาย
ฉวีขาวผ่อง พักตร์ละมุ่นงามอย่างเทพของกรีก เกศาหยักศก วรกายสูงใหญ่
กรเกล้าชาวาบ เนตรเรียวยาวดำจนลึกล้ำอย่างนี้ ริมโอษฐ์บางเฉียบ คุ้นตาอย่างประหลาด
“เคยเห็นที่ไหน” เธอคิดในใจ
ยามแย้มสรวลจนเห็นเขี้ยวมุมโอษฐ์ เหมือนเขี้ยวของแด็กคูร่า
“อันตราย” กระแสลึกลับเตือน
“เป็นไงหล่อไหม” อัปสรถาม
“ฮึ” กรเกล้าตื่นจะภวังค์
ท่านชายหันมาทางเธอ พร้อมแย้มสรวลอย่างหมายมาด
“ดูซิ ยิ้มให้ด้วย” อัปสรกระซิบ เกาะแขนเธอไว้
กรเกล้าขมวดคิ้วอย่างไม่พึงใจ คิดว่าหล่อแล้วทุกคนต้องกรี๊ดกร๊าดหรือไง เมื่อไม่พอใจเสียแล้วกรเกล้าไม่เคยที่จะฝืนความรู้สึกของตัวเอง เธอจ้องตอบทำหน้าตาเฉย ท่านชายแย้มสรวลมากขึ้น เนตรวาววับดำเนินตรงมาทางนี้ กรเกล้าหันข้างให้ ทำเป็นสนใจกับดอกไม้ประดับโต๊ะ
“ดีใจที่เธอมา” เสียงทุ้มกังวาน
“เป็นพระกรุณาเพคะที่เชิญหม่อมฉัน” อัปสรทูลอย่างเอียงอาย
“ผมดีใจที่คุณกรเกล้ามา”
เมื่อมีรับสั่งกับเธอโดยตรง เธอจึงหันกลับมาตอบ
“ดิฉันมาเป็นเพื่อนอัปสรค่ะ”
“คนที่ผมไม่ได้เชิญ จะเข้ามาในงานนี้ไม่ได้”
“ดิฉันไม่ได้รับเชิญ” กรเกล้าย้ำ
ท่านชายแย้มสรวลเย็น สอดหัตถ์เข้าในฉลององค์ดึงการ์ดสีดำออกมา เห็นแวบเดียวเธอก็จำได้
“อ้อ” เธอพูดได้แค่นั้น
“เชิญทางนี้กับผมหน่อย”
กรเกล้าหันไปทางอัปสร ซึ่งพยักหน้าให้ เธอแปลกใจมากขึ้น อัปสรไม่เคยปล่อยเป้าหมายของเธอกับใคร ท่าทางของเธอเหมือนอยู่ในมนต์สะกด กรเกล้าจึงเดินตามท่านชายไป
“ผมให้คุณ”
ช่อดอกไม้สีขาว ขาวสะอาดจนดูขาวโพลนไปหมด ดอกไม้หลัก ดอกไม้แซม ใบไม้ กระดาษรอง กรเกล้ายื่นมือไปรับ มือสัมผัสกันโดยบังเอิญ เธอรู้สึกถึงความเย็นเฉียบของหัตถ์นั้น
“ผมดีใจที่คุณมา กล่าวได้ว่าจัดงานนี้ เพื่อคุณคนเดียว”
กรเกล้าเงยหน้าขึ้นมองอย่างพิศวง เห็นเพียงภาพเลือนราง กลุ่มหมอกกระจายบางๆ แล้วหนาขึ้น เธอรู้สึกหนังตาหนักขึ้น หนักขึ้น ก่อนสิ้นสติไป เธอได้ยินเสียงเอื้อนโศกซึ้งนัก ความคะนึงถึงนางที่จากไกล
ดอกไม้บาน แย้มกลีบตระการ แล้วโรยลา
ตามหา น้องนางแก้วเอย นานเนาว์
อยู่ใด น้องข้า ขานมานา
พี่ตามหา เจ้ามา นานเอย
“อยู่นี่” เธอขมุบขมิบตอบ
“คุณหนูคะ คุณหนู คุณกร สายแล้วนะคะ คุณกร”
“จ้า”
กรเกล้าขานออกไป แล้วก็สะดุ้งตื่น เธอกลับมายังไงนี่ เด็กสาวยกแขนขึ้นดู เห็นแขนเสื้อนอนสีฟ้า กรเกล้ารีบลุกขึ้น สลัดความกังวลทั้งหมดไป เมื่อมองนาฬิกา
“คุณกรคะ”
“ตื่นแล้วค่ะ”
กรเกล้าบอก แล้วรีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วที่สุด
“คุณคะ เรียนคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะคะ กรจะไปค้างที่บ้านคุณตา”
เธอบอกแม่บ้านก่อนรีบเร่งไปโรงเรียน
กรเกล้าถึงโรงเรียน ออดพอดี เธอไม่ชอบใช้รถที่บ้าน ชอบขึ้นรถประจำทาง ทำตัวเหมือนเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป
“ฟ้าไม่มาหรือ” เธอถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ เมื่อไม่เห็นอัปสร
“ไม่เห็นนี่ เมื่อคืนนัดแนะกรไปงานไม่ใช่หรือ ดึกมั๊ง วันนี้เลยไม่มา”
“ฮืมม์” กรเกล้าทำเสียงรับรู้ เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ อัปสรอาจกลับดึกมากก็เป็นได้ เธอคิด แต่อะไรที่ติดๆ อยู่ในหัว เธอกลับบ้านได้ยังไง ทำไมจำไม่ได้ ไม่ได้เมาไม่ได้มึนแน่ ก็ไม่ได้ดื่มกินอะไร หรือจะเป็นกลิ่นอะไรอย่างนั้นหรือ
ศาสตราจารย์กฤษณ์ส่งรถมารับหลานสาวที่หน้าโรงเรียน
“ลุงแจ่มแวะเอาเสื้อผ้าที่บ้านก่อน” กรเกล้าบอกเมื่อนึกได้
“คุณแม่บ้านส่งไปให้แล้วขอรับ” ลุงแจ่มรีบบอก
กรเกล้าชอบบ้านของคุณตา บ้านสองชั้นหลังเล็กๆ ข้างบนมีสองห้องใหญ่ และหนึ่งห้องเล็ก ห้องเล็กนั้นเป็นห้องของเธอที่อยู่มาตั้งแต่เล็ก บ้านคุณตามีคนเพียงสี่คน คือคุณตาคุณ
“น้องกร” ป้านางออกมารับ
“สวัสดีค่ะ” กรเกล้าย่อตัวลงไหว้ เดินควงแขนกับป้านางเข้าบ้าน
“กรสูงกว่าป้านางแล้วน๊า คุณตาไม่อยู่หรือค่ะ”
“ตอนนี้มีข่าวแปลกๆ น้องกร ผู้หญิงสาวๆ สวยๆ เจ็บเข้าโรงพยาบาลกันเยอะแยะเลยค่ะ คุณตาท่านเลยไม่อยู่บ้าน”
“เยอะแยะเลยหรือคะ” เธอแกล้งล้อ
“จริงนะ” ป้านางชักโกรธ ชี้ให้ดูหนังสือพิมพ์
“น้องกรอ่านดูซิค่ะ เดี๋ยวป้าไปทำกับข้าวก่อน”
“เดี๋ยวกรไปช่วย” กรเกล้าบอก คิดว่าจะดูข่าวสักนิด แต่เธอก็ต้องนั่งลงอ่านข่าวอย่างสนใจ ข่าวกล่าวถึงสตรีหลายสิบคน เข้าโรงพยาบาลด้วยโรคประหลาด ตัวซีดขาว เย็นเฉียบ อวัยวะทำงานได้ตามปกติ แต่อุณหภูมิของร่างกายกลับลดต่ำลง เลือดเริ่มแข็งตัว ตายอย่างช้าๆ หาสาเหตุไม่ได้ อาการเหมือนคนที่อยู่ในที่เย็นจัดๆ ข่าวได้เสนอชื่อผู้ป่วยหลายราย และหนึ่งในนั้นคือ ฟ้า อัปสรเพื่อนของเธอ และอีกหลายคนที่เธอเห็นในงาน กรเกล้ารู้สึกเย็นวูบตั้งแต่หัวจรดเท้า
อยู่แห่งใด น้องนาง ขานมานา
พี่ตามหา เจ้ามา นานนักเอย
เสียงเอื้อนโศกนัก ดังแว่วมา กรเกล้านั่งตัวแข็งอยู่ตรงนั้น มันไม่ใช่ความฝันเสียแล้ว
“สาวน้อย” กฤษณ์เรียกหลานสาวที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขก
“กร น้องกร” ท่านเรียกดังขึ้น กรเกล้ายังเฉย กฤษณ์ขมาดคิ้วเดินเข้าไปแตะบ่า พร้อมกับเรียกดังๆ
“กร กรเกล้า”
“คะ” หลานสาวท่านสะดุ้ง ตัวเย็น หน้าซีดขาว
“เป็นอะไรไป ตาเรียกไม่ได้ยินหรือ” ท่านเก็บความแปลกใจไว้
“คุณตาได้ยินอะไรไหมคะ เสียงคล้ายๆคนเอื้อนเพลงยาวๆ นะคะ”
“เอื้อนว่าอะไรล่ะลูก จะเหมือนตาเคยได้ยินไหม” ท่านถาม นั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับหลานสาว
“น้องนางเอย เอ กรจำไม่ได้แล้ว แต่รู้สึกเศร้าๆ คล้ายเขาตามหาน้องอยู่”
“ฮือม์ เทปหรือเปล่าล่ะ”
“คงไม่ใช่มั่งค่ะ กรไม่เคยได้ยิน แต่มันคุ้นๆหูบอกไม่ถูกค่ะ”
กฤษณ์ ยิ้มให้หลานสาวอย่างเอ็นดู
“คุณตาคะ ที่โรงพยาบาลเป็นยังไงบ้างคะ”
“แปลกนะกร ตาไม่พบอาการอย่างนี้มานานแล้ว แล้วไม่คิดด้วยว่าจะพบที่เมืองไทย”
“คุณตาเคยพบหรือคะ” เธอกระตือรือร้นขึ้น
“ใช่ ตาเคยพบครั้งหนึ่งแถบแอฟริกา ชาวพื้นเมืองเชื่อว่าพระเจ้าลงโทษ เพราะคนเจ็บรายนั้นทำบาปมาก ทำผิดกฎของเผ่านะ แต่ตามที่ตาตรวจพบเป็นเพราะถูกสัตว์พิษกัดเอา ตาติดต่อไปที่โน้นแล้ว ขอเซรุ่มกับให้เขาตรวจเลือดตัวอย่างให้ด้วย”
ดร.
“ครั้งนี้ตาหาบาดแผลไม่พบเลย”
“คุณตาคะ เมื่อคืนหนูไปงานกับเพื่อน งานของท่านชายอะไรก็ไม่ทราบค่ะ คนที่หนูพบในงานเมื่อคืน มีอาการอย่างนั้นค่ะ”
“อะไรนะ” ดร.กฤษณ์ ถามซ้ำ
“จริงๆ ค่ะ” หลานสาวพยักหน้ายืนยัน
“น้องกรไม่เป็นอะไรหรือ”
ท่านมองสำรวจอาการหลานสาวอย่างเป็นห่วง
“ไม่เลยค่ะ หนูไปแล้วสังหรณ์ยังไงไม่ทราบค่ะ รู้สึกเสียวสันหลังอยู่เกือบตลอดเวลาเลยค่ะ แล้วแปลกนะคะ รู้สึกเหมือนว่าคนในงานจะถูกมนต์สะกดนะคะ ผิดไปจากเดิม อย่างฟ้า เพื่อนของกร นิสัยเขาก็เปลี่ยนไปมาก”
“แปลกไปหรือ ?”
“ค่ะ เขาหัวดื้อมากนะคะ แต่พอท่านชายพูดอะไรเขาก็เชื่อไปหมดเลยค่ะ”
“กรจำสถานที่ได้ไหม”
“ไม่ค่ะ” กรเกล้าส่ายหน้า
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ของคุณตา” กรเกล้ารู้สึกอย่างนั้น
ดร.กฤษณ์ มองหลานสาวอย่างตรึกตรอง ก่อนเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ” เสียงตอบปนหัวเราะ กระหึ่มเหมือนดังมาจากฝาทุกด้านของห้องที่นั่งอยู่
“ดร.กฤษณ์ จำผมได้หรือไม่ ขอรับ”
ดร.
“อมรเทพ”
“ผมกลับมาตามสัญญา ท่านคงทราบจากคุณพ่อของท่านแล้วกระมั่ง”
“กระหม่อมทราบ” กฤษณ์ ตอบเรียบๆ รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง เขามาแล้ว มาตามสัญญา
“เย็นนี้ท่านคงไม่ว่าง คืนพรุ่งนี้ผมขอเชิญมาร่วมรับประทานอาหารกับผม”
“กระหม่อมจะไป”
“พรุ่งนี้ คุณผู้หญิงจะกลับมา ผมขอเชิญคุณผู้หญิงด้วย” เสียงขาดหายไปเฉยๆ
“ใครคะ คุณตา”
“คนที่มีสัญญาต่อกัน หนูไปอาบน้ำซิ จะได้ลงมากินข้าวกับตา”
หลังอาหารเย็น กรเกล้าตามคุณตาเข้าไปในห้องสมุดด้วย ท่านนั่งลงอ่านหนังสือ เธอก็นั่งลงตรงข้ามอย่างเงียบๆ
“อะไรลูก” กฤษณ์ ถาม ลดหนังสือลง
“หนูไม่เข้าใจอะไรเลย” เธอบอกเรียบๆ
“เรื่องมันยาว” ท่านยิ้ม
“ตายังคิดว่ามันเป็นนิทานประรำประรา”
“หนูไม่เห็นทราบ” กรเกล้าทำหน้างง
“ทุกร้อยปี มันจะเกิดทุกร้อยปี ตาคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ จึงไม่ได้เล่าให้หนูฟัง ตาไม่รู้ว่ามันเกิดมานานเท่าไรแล้ว ตาทวดของหนูเล่าให้ตาฟัง มันนานมาแล้ว ตั้งแต่ครั้งมนุษย์ กับเทวดาอยู่ร่วมกันมีมนุษย์ เทพ แล้วก็ ปีศาจ อมรเทพเป็นเจ้าแห่งปีศาจได้รักกับน้องสาวเทพผู้ยิ่งใหญ่ เทพผู้ให้กำเนิดไม่ยอมยกนางให้ จึงเกิดศึกแย่งชิงกันขึ้น ผลจากการศึกนั้นทำให้เกิดผลกระทบกระเทือนกันไปทั่ว จึงตกลงทำสัญญากัน ทุกๆ ร้อยปี จะมาต่อสู้แย่งชิงนางไป ถ้าไม่สำเร็จก็ต้องรอไปอีกร้อยปี”
“แต่..เราเป็นมนุษย์นี่คะ”
“ใช่เป็นต้นตระกูลของเรา เมื่อร้อยปีก่อนก่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ พ่อของตาอายุได้สิบกว่าปี”
“แล้วเขาต้องการใครคะ ถ้ามันหลายร้อยปีมาแล้ว”
กรเกล้านึกถึงญาติพี่น้องทางฝั่งมารดา ที่ตอนนี้เป็นสาวสะพรั่งบ้าง วัยเดียวกับเธอวัยเด็กกว่า กระทั่งแต่งงานแล้วได้หลายคน
“สมัยนั้นเทพธิดาองค์นั้นคือป้าของตา ถ้าสมัยนี้คงคือตัวเจ้า”
“หนูหรือคะ” เธอตกใจ ชี้ที่ตัวเอง
“ใช่”
“เขาจะทำยังไงค่ะ เอาหนูไป เอาไปไหน”
กรเกล้าหน้าแดง
“หนูยังเด็กอยู่เลย”
“เขาจะทำอย่างที่ทำกับคนที่โรงพยาบาลนะซิ”
“แล้วทำไมวันนั้นหนูไม่เป็น”
“ตาคิดว่า.. วันนั้นหนูไม่ได้แตะต้องอะไรในงานนั้น”
“จริงซิค่ะ” กรเกล้านึกได้
“หนูไม่ได้แตะอะไรเลยค่ะ แต่หนูได้ดอกไม้มาช่อหนึ่งค่ะ ข๊าวขาว”
“หนูต้องระวังตัว” ท่านบอก
“จะไปไหนหรือไม่ไปอยู่ที่ตัวของหนู ใจต้องเข้มแข็ง”
“ค่ะ” เธอรับคำ
แม้แต่ก่อนนอน ขณะที่ไหว้พระ เธอก็อดนึกถึงเหตุการณ์อันไม่น่าเกิดขึ้นนี้ได้
ตามหา น้องนางแก้วเอย นานเนาว์
อยู่ใด น้องข้า ขานมานา
พี่ตามหา เจ้ามา นานเอย
มาอีกแล้ว เสียงโศก สะท้านใจ
“กระผมรอท่านอยู่ เชิญ”
ร่างสูงเด่นในชุดสีเข้ม ก้าวมาทันทีที่รถจอดหน้าตัวตึกใหญ่ทะมึน บรรยากาศเป็นเช่นวันวาน หมอกกระจายไปทั่ว พร้อมกลิ่นหอมจางๆ เยือกเย็น
การเดินทางมาก็แปลกประหลาด
โปรดขับรถมา เมื่อถึงเวลา ท่านก็จะถึงสถานที่นัดหมายเอง
ตอนที่คุณตาถามขันๆ ว่าเราจะไปไหนดี กรเกล้าบอกว่าขับวนถนนรอบบ้านก็แล้วกัน
น่าแปลกแต่จริงเมื่อถึงเวลา หมอกลงจัดก็เห็นประตู พอเลี้ยวรถเข้ามา ก็เห็นผู้มารับ ยืนรออยู่หน้าตึกใหญ่
ดร.กฤษณ์ก้าวเข้าไปพร้อมคุณ
“ได้เวลาอาหารพอดี เราคุยกันในระหว่างรับประทานอาหารดีหรือไม่” เสียงที่ถาม ทอดยาว สุภาพ
“ดี กระหม่อม”
โต๊ะอาหารยาว จัดไว้เฉพาะสี่ที่ จุดเทียนกิ่งไว้ที่กลางโต๊ะ ประดับด้วยดอกไม้ขาว แปลกตา โคมเทียนประดับที่ฝาพนัง แปลกที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ก็ไม่มืด เหมือนสิ่งของทุกอย่างมีประกายเรืองแสงในตัว
“เหมือนทุกครั้งที่ผมมา ผมต้องการตัวมธุกัลยา”
ดวงเนตรที่ทอดตรงมา ทำให้กรเกล้ารู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
“กระหม่อมอยากทราบเวลา”
“เจ็ดวัน ผมมีเวลาเจ็ดวัน วันนี้เป็นวันที่สี่”
“ฝ่าบาทเลิกแล้วต่อกันไม่ได้หรือเพคะ” กัลยาถาม
“นี่เป็นสัญญา” เสียงตอบกึกก้อง
“คนตายแล้วก็เป็นวิญญาณ รอรับตอนนั้นไม่ได้หรือเพคะ” กรเกล้าถาม
“ได้ ถ้าต้องการ แต่ตัวเจ้าหาได้เป็นสิทธิแก่ตัวเจ้าไม่”
“ถ้าคุณตายอมยกให้เล่าเพคะ” กรเกล้าถามอีก
แล้วรู้สึกยะเยือกเข้าในใจ รอยแย้มสรวลขยายออกจนเห็นเขี้ยว เลือดเย็น
“จะยอมง่ายๆ อย่างนั้นหรือ” เสียงตวัดขึ้นสูง ตามด้วยเสียงสรวลกึกก้อง
“น้องนาง ดวงใจเจ้าเป็นของพี่ แต่วิญญาณเจ้าเป็นเกียรติแห่งตระกูล”
“กระหม่อมไม่เข้าใจบรรพบุรุษเลย” ดร.กฤษณ์ปรารภ
รอบแย้มสรวลมีลับลมคมนัย
“เกียรติของลูกผู้ชาย มรุตมีหรือจะยอมยกน้องสาวสุดที่รักให้แก่ข้า มธุกัลยาควรอยู่ ณ สรวงสวรรค์ หาใช่ใต้พิภพที่มืดมิดไม่”
“ไม่เคยได้นางมาเลยหรือเพคะ ไหนรับสั่งว่าหัวใจของนางเป็นของฝ่าบาท” กรเกล้าถาม
“ไม่ใช่หัวใจของนาง หัวใจของเจ้า” ถ้อยรับสั่งอ่อนหวาน
“ข้าเคยบอกแล้ว หัวใจเจ้าเป็นของพี่ แต่วิญญาณเจ้าเป็นของตระกูล เราคุยเรื่องเคร่งเครียดมามากแล้ว จะไม่ออกไปชมอกไม้ท่ามกลางแสงจันทร์บ้างหรือไร ดอกไม้ที่นี่เบ่งบานรับแสงจันทรา เราไม่ค่อยได้พบกับแสงอาทิตย์นัก” ท้ายรับสั่งแผ่วเบาลง
ทั้งหมดพร้อมใจกันลุกขึ้น กลิ่นหอมมาอีกแล้ว หอมอ่อนๆ เย็นๆ หนังตาหนักลง กรเกล้ากัดริมฝีปากปลุกความรู้สึกของตัวเอง จนรู้สึกถึงรสเค็มปร่าของเลือด มันทำให้หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“น้องนางคราวนี้เจ้าจะจากข้าไปได้อย่างไร”
เธอได้ยินเสียงคุ้นหู พร้อมทั้งถูกอุ้มกระชับแนบอุระ เธอปล่อยตัวเหมือนหมดสติ ลอบจำทางที่ถูกพาไป เธอนับได้สามโค้ง โค้งที่วนซ้าย
การเดินหยุดลงเธอหรี่ตามอง
โลงแก้ว
เธอถูกนำไปวางลง กรเกล้าอาศัยความไวกับมายาเล็กน้อย วางเข็มปักผมแทรกเอาไว้ที่ล่องผนึกของตัวโลงกับฝา
ฝาโลงถูกวางลง เบาๆ ระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง เหมือนไม่อยากปลุกให้เธอตื่น
“บุคคลข้างนอก ปล่อยทิ้งเอาไว้ เดี๋ยวจะถึงเวลาที่บริวารของข้าจะออกมาแล้ว”
เสียงแผ่วๆ ที่ผ่านมาตามรอยที่ปิดไม่สนิท
“ขอแสดงความยินดีต่อฝ่าบาท”
“ยัง ยังไม่ถึงเวลา จนกว่าจะหมดเวลาของข้า”
เธอรอจนเงียบเสียง เงียบสงัด หรี่ตาดูไม่เห็นใคร ก็ผลักฝาโลงออก ปีนออกมา ปิดฝาโลงไว้ตามเดิม ก่อนวิ่งกลับไปทางที่ถูกนำมา ไม่นานนักเธอก็พบคุณตาคุณยายหลับอยู่ใต้กอไม้สีขาวบานสะพรั่ง อาศัยความพยายามพอดู กว่าจะนำตัวท่านทั้งสองมาที่รถได้ กรเกล้าจัดแจงนำรถออกจากสถานที่ ที่แสนจะวังเวงนั้น
“วิญญาณเจ้าเป็นเกียรติแห่งตระกูล” เสียงทุ้มๆ กังวาน
กรเกล้าสะดุ้งตื่น เธออยู่ในห้องของเธอที่บ้านของคุณตาคุณ
“คุณตาคะ” กรเกล้าเรียก พร้อมทั้งเขย่าแขนท่านเบาๆ
“กร หรือลูก” ท่านอ่อนเพียรมาก ไฟชีวิตใกล้มอดดับ
“ค่ะ”
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ดี” ท่านหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
“ตามน้าวินมา ให้เขารีบกลับมา”
“ค่ะ” กรเกล้ารับคำ
หัวหมุนไปหมด น้าวินลูกชายคนเดียวของน้องชายคุณตา กำลังทำงานอยู่แถบยุโรป งานอะไรเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน นานๆ น้าวินจะมาเมืองไทยสักที มีของฝากเป็นเครื่องประดับแบบโบราณบ้าง ตุ๊กตาพื้นเมืองแบบแปลกๆ มาฝากหลานสาวคนเดียวบ้าง กรเกล้าต่อโทรศัพท์ทันที
“น้าวินเอง” กวินบอก เมื่อจำเสียงหลานสาวได้
“คุณตาให้น้าวินกลับบ้านด่วน คือว่า..”
สายถูกตัดลงทันที กรเกล้าหันไปทางประตู หมอกบางเบาที่ลอยกระจายไปทั่ว ค่อยๆลอยมารวมตัวกันหนาขึ้น
“คุณตาไม่สบาย ไม่รับแขกค่ะ” เธอพูดเบาๆ
“แล้วเจ้าล่ะ”
“หม่อมฉันต้องดูแลคุณตา”
“น้องนางถึงกวินจะมา ก็ไม่แน่นักว่าจะชนะ”
“แล้วทำไมต้องตัดการติดต่อ” กรเกล้าซักไซ้
“พี่ไม่อยากให้เวลายืดยาวออกไป พี่รอเจ้ามานานนับหมื่นปี อย่าให้พี่รออีกต่อไป”
หัตถ์ขาวเอื้อมมาใกล้ กรเกล้าเกือบส่งมือไปให้ แล้วก็ชะงัก
“หม่อมฉันไม่สามารถทำได้ หม่อมฉันเป็นเพียงเครื่องเดิมพันเท่านั้น” เธอร้องออกมา
“เครื่องเดิมพัน” เสียงรับสั่งทวนอย่างเศร้าๆ กลุ่มหมอกกระจายหายไป
กรเกล้าอยู่บ้านอย่างขวัญผวา คุณตาคุณยายตัวเย็นลงเรื่อยๆ แต่ท่านยังมีสติ ยังยิ้มให้เธอได้
วันรุ่งขึ้นกวินมาถึง เขารับฟังเรื่องราวจากดร.กฤษณ์และกรเกล้าอย่างสงบ
“กร” กวินเรียกหลานสาว
“นี่ไม่ใช่การต่อสู้ของน้ากับอมรเทพ แต่เป็นกร จะแพ้หรือชนะอยู่ที่ตัวกร” กวินบอก
ขาดคำ ลมพัดแรงขึ้น หมอกกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว พร้อมกลิ่นหอมระรวย
“อมรเทพ” กวินเดินไปยืนที่ประตูพร้อมเรียก กรเกล้าเกาะหลังน้าชายแน่น
จากประตู ผ่านเฉลียงยาวที่แล่นตลอดรอบบ้าน มีเก้าอี้ชุดเล็กบ้าง เบาะนั่งเล่นบ้าง ต้นไม้เลี้ยงในร่มวางเป็นระยะ มีกระจกบานยาวตลอดแนวสำหรับปิดตอนกลางคืน กันผู้บุกรุก กันลม กันฝน ร่างสูงตรง สง่า ปรากฏขึ้น
“กระหม่อมไม่บังอาจต่อกร หรือแข่งขันแย่งชิงอะไรกับฝ่าบาท แต่กระหม่อมจำต้องป้องกันของของกระหม่อมเอง”
เสียงสรวลยะเยือก ไม่มีรับสั่งตอบ
“กระหม่อมหิวและง่วง”
กวินพูด เอามือข้างหนึ่งเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้า
“ถ้าฝ่าบาทยังไม่เสวยของเช้าก็เชิญ”
“กวิน คุณเป็นคนที่น่าคบมาก แต่น่ากลัวสำหรับศัตรู”
“โอ๊ย ใครๆ กระหม่อมก็คบทั้งนั้น”
กวินตอบ ก้าวไปนั่งจัดการกับอาหารเช้าที่ป้านางนำมาเตรียมไว้ให้ ที่โต๊ะนั่งเล่นชุดเล็ก
ร่างสูงตรง ยังคงอยู่ที่เดิม กรเกล้าเกาะประตูมอง
“กร” กวินเรียก
“ท่านไม่เสด็จเข้ามาชายคาบ้านเราหรอก”
“คุณรู้ ?” รับสั่งมีแววสนุก
“ถ้ากระหม่อมอยากมีเรื่องกับใคร กระหม่อมก็ไม่อยากเหยียบชายคาบ้านฝ่ายตรงข้าม”
กวินบอก
“บ้านนี้ผูกด้วยอักขระบ้างอย่าง ที่ผมไม่อยากล่วงล้ำ”
“แต่อิทธิฤทธิ์เข้ามาได้” กวินตอบ ลุกจากโต๊ะอาหารที่เขากวาดอาหารเรียบร้อย
“กระหม่อมจะนอน ถ้าฝ่าบาทจะเข้าไปคุยกับกระหม่อมในฝันก็ได้ กระหม่อมไม่ขัด”
แล้วกวินก็ทิ้งตัวลงนอนกับเบาะที่วางปูอยู่ อย่างง่ายๆ
“น้องนาง” รับสั่งเรียก พร้อมรอบแย้มสรวลอบอุ่น
“เจ้าอยากดูเหตุการณ์ครั้งเริ่มต้นไหม”
กรเกล้าพยักหน้า นั่งลงพับเพียบข้างประตู
สวนดอกไม้งดงาม ชายหญิงคู่หนึ่งเกี่ยวก้อยกันชมดอกไม้
“น้องนาง เจ้าไม่มาอยู่เป็นราชินีของพี่หรือ”
“พี่ข้าคงไม่ยอม” เธอตอบยิ้มแย้ม
“มันอยู่ที่ตัวเจ้า” บุรุษนั้นหยอกล้อ แตะกุหลาบงามที่ปรางนาง
“จับมัน บังอาจมาถึงนี่หรือ น้องข้า เจ้ายังเป็นน้องข้าอีกหรือ”
ร่างทั้งสองแยกห่างจากกัน
“เอาเถอะท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าขอแจ้ง ข้าจะแย่งนางมา”
“ตกลง” รอยเยาะเย้ยปรากฏ
“ทุกร้อยปี ท่านมา มธุกัลยา ถ้าท่านนำนางไปได้ นางก็ไม่ใช่น้องของข้าอีก”
กรเกล้าน้ำตาซึม เธอเข้าใจแล้วเกียรติของตระกูลกับความรัก
กุหลาบงาม แย้มกลีบตระการ แล้วโรยลา
อา ! ความรักจะเป็นเช่นนั้นหรือ
“กร กร กร” กวินแถบจะเขย่าร่างหลานสาว ถ้าเธอไม่กระพริบตาเสียก่อน
“โล่งอก” กวินถอนหายใจอย่างโล่งอก
กรเกล้ามองรอบๆ ตัว อย่างงงๆ แล้วสติก็กลับมาอยู่กับตัว เมื่อเห็นซากงูที่อยู่ใกล้ๆ
“ไม่ไหว” กวินบ่น
“บอกให้มาคุยกันในฝัน ดอดจะมาเอาหลานสาวไปเสียนี่”
“น้าวินตื่นนานแล้วหรือค่ะ”
“ไม่ได้หลับเลยมากกว่ามั๊ง” กวินบอก ฉุดหลานสาวให้ลุกขึ้น
“วันนี้ให้น้านอนห้องเดียวกับกรนะ จะได้ดูแลถนัด”
บ่นไป กวินก็หิ้วร่างไร้วิญญาณของงูออกไปจัดการ
“ค่ะ” กรเกล้ารับคำ ถึงจะเครียด แต่เธอก็อดขันไม่ได้
คืนนั้นเธอนอนหลับอย่างสบาย เสียงขับขานกล่อมเบาๆ ลอยตามกระแสลมมา กวินลุกมาสูบบุหรี่ หลังจากหลานสาวหลับ พระจันทร์กระจ่างกลางฟ้า
“ผมอยากคุยด้วย”
กวินพูดเบาๆ ไม่มีเสียงตอบ
“วันนี้วันสุดท้าย” กวินบอก
เงาเลือนรางปรากฏ
“คุณรู้”
“ใช่” กวินรับ
“ผมทราบว่าคุณก็รู้ ขอโทษนะครับ คำราชาศัพท์กับผมมันไม่ค่อยไปด้วยกัน”
“ตามสบาย”
“กรน่ารักนะ รึคุณว่าไง”
“ทำไมต้องถาม” รับสั่งอ่อนโยน
“ฉลาดด้วย คุณไม่คิดจะเอาเธอไปจริงๆ”
“พรุ่งนี้ ให้ผมไปเที่ยวกับเธอได้ไหม”
“ถ้าคุณทำได้” กวินตอบ
อมรเทพแย้มสรวลขบขัน มรุตเมื่อไรก็ยังเหมือนเดิม ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ที่เขาเฝ้าคอยมองนาง เกิด เติบโต ผ่านไปวัยชรา ละร่าง นั่น เป็นช่วงเวลาเพียงลมหายใจที่จะได้อยู่ร่วมกัน แล้วนางก็ผ่านไปภพอื่น วนเวียนเช่นนี้
สายลมพัดมาเบาๆ พร้อมกลิ่นหอมจางๆ กลิ่นกุหลาบกำจาย ผิวแก้มถูกสัมผัสด้วยริมฝีปากอุ่นแผ่วเบา เธอลืมตาขึ้น ไม่มีอะไรเลย
กุหลาบสีแปลก เหมือนกุหลาบในอดีตที่เธอเห็นมา วางอยู่ข้างหมอน
กวินนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้ข้างหน้าต่าง
“ลาก่อน” เธอเอ่ยเบาๆ
กลิ่นกุหลาบนี้อาจจางหาย
กายนี้อาจสลาย
สิ่งหนึ่งจะคงอยู่ตลอดไป
ฉันจะไม่มีใคร
......นอกจากเธอ
ความคิดเห็น