คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เก็บรัก ในรอยแค้น
ฟิก เก็บรัก...ในรอยแค้น
แค้น แค้นใคร ใดเหมือน
แค้น หลายเรื่อง ของข้า
แค้น ซับซ้อน โถมมา
แค้น เกินกว่า บรรยาย
เรื่องราว หลายหลากที่ผ่าน
ไม่คิดจะพานประสบ
ด้วยหน้าที่ มิอาจเลี่ยงหลบ
จบลงด้วยความแค้นเคือง
บางเรื่อง ปล่อยวาง แล้วไป
บางเรื่อง มิอาจ ทิ้งได้
ต้องทวง เอามา คืนกลับ
ไม่ว่ายามหลับ ฤายามตื่น
ไม่มีทาง ที่ข้า...จะลืม
ดวงตะวันสีทองกำลังจะลาลับ แหล่งเพลิงสุมไฟแก่ทรายเม็ดน้อยกำลังจะราดับ เสียงเก็บของเก็บกระโจมนำขึ้นบนหลังพาหนะเริ่มขึ้นตั้งแต่แดดเริ่มอ่อนแรง จนกระทั่งความมืดกำลังจะย่างกราย หากบนพื้นทรายนั้นยังเหลือกระโจมหลังน้อยสีสันสดใสที่ยังไม่ได้รื้อถอน เจ้าของกระโจมยังไม่ออกมาและไม่มีใครกล้าเข้าไปปลุก แม้แต่ยามรื้อกระโจมหลังอื่นๆ ยังต้องพยายามเก็บให้เงียบเฉียบ ใครจะกล้ารบกวน หามีใครกล้าไม่
“ตื่น ตื่นนนน”
เสียงแหลมปรี๊ดดังสนั่น เรียกสายตาของกองคาราวานให้หันไปมองไม่ทันที่จะสิ้นหางเสียงแหลมใสร่างเล็กๆ ปลิวหวือออกจากกระโจมแต่ไม่ไกลเกินกว่าความยาวของเชือกที่ผูกล่ามข้อมือเอาไว้ เหล่าสตรีพากันลูบอกแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปประคอง ร่างที่ทอดกายแน่นิ่งเริ่มขยับดึงตัวขึ้นนั่ง
คิยายกข้อมือขึ้นดูรอยแดงจากการที่โดนรั้งด้วยเชือกเมื่อสักครู่ นางเกลียดเครื่องพันธนาการชิ้นนี้ เชือกที่ทำจากหนังสัตว์ที่ฟั่นเป็นเกลียวเส้นเล็กหากเหนียวแน่น ผูกรอบข้อมือไม่แน่นจนรัดเนื้อหากแต่ก็ไม่หลวมจนนางดึงออกได้ และที่ร้ายไปกว่านั้นคนผูก ผูกเงื่อนเฉพาะตัวที่นางแก้ไม่ได้ แถมเชือกเส้นนี้ แม้แต่มีดที่คมกริบยังเถือไม่เข้า ปลายเชือกตึงก่อนกระตุกเป็นจังหวะ
“ข้าไม่ใช่ทาสของท่านนะ”
คราวนี้ เชือกตึงวูบ ก่อนกระตุก ปล่อยเป็นจังหวะ อาศัยการเสียหลักของนางเป็นแรงดึงร่างบางกลับไป คิยาล้มลุกคลุกคลานถูกลากหายเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง
คราวนี้ไม่เพียงแต่สตรี บุรุษร่างกำยำยังสวดขอพรต่อพระเจ้า ขอให้ได้ออกเดินทางโดยเร็วด้วยเถอะ
“เจ้าเป็นทาสของข้า พูดซิ ข้าเป็นทาสของเจ้า”
คนที่เอาแต่นอนจนนางอารมณ์เสียต้องตะโกนปลุก ยังนอนอยู่ท่าเดิม หากมีเชือกอยู่ในมือ...ปลายอีกข้างของเชือกที่ล่ามบนข้อมือนาง
คิยาสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างดื้อดึง
“ดื้อจริง” มือหนาม้วนพันเชือกเข้ามาจนร่างเล็กๆ ก่ายเกยอยู่กับอกกว้าง
“บอกมา ว่า เจ้าเป็นทาสของข้า”
“เจ้าเป็นทาสของข้า” เสียงใสๆ ตะโกนลั่น
คนที่นอนอยู่หัวเราะจนอกกระเพื่อม
“เจ้านี่ช่างต่างจากแม่ของเจ้าจริงๆ ท่านแม่ของเจ้ามีแต่ทำให้ชายหลงใหล แต่เจ้าทำให้ข้าหัวเราะได้ไม่หยุด วันนี้ข้าตัดสินใจที่จะเก็บเจ้าเอาไว้ต่อไปคิยา”
ร่างสูงใหญ่กำยำลุกขึ้นทิ้งร่างเล็กลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี คิยารีบหันหน้าไปอีกทางเมื่อร่างสูงก้าวไปยังหีบเสื้อผ้า นางไม่เข้าใจ นางไม่เข้าใจหัวหน้าโจรผู้นี้เลย
ท่านพ่อของนางผลิตไวน์ชั้นดีที่ส่งเข้าราชสำนักทุกปี เพราะท่านพ่อมีกองกำลังที่เข้มแข็งหามีใครกล้าปล้นไวน์ชั้นเลิศที่ลำเลียงเข้าสู่เมืองหลวงไม่ อาจจะมี ก็แต่กองโจรทะเลทรายที่ไม่มีใครรู้ที่มา ที่มักจะดักปล้นขบวนที่เป็นราชบรรณาการเสมอ หากแต่ไม่เคยจับตัวหรือทำร้ายผู้ใดเพียงแต่นำของบรรณาการไปครึ่งหนึ่งเท่านั้น คิยาจึงไม่ได้ใส่ใจนักเมื่อขอพ่อแล้วไม่ให้ นางกับพี่เลี้ยงจึงแอบซ่อนมาด้วย
ยามเย็นของวันที่สามหลังจากออกเดินทางท่านพ่อส่งกองกำลังมารับนางกลับทันที กว่านางจะเกลี้ยกล่อมให้ออกเดินทางกลับในตอนเช้าตะวันก็ตกดินไปนานแล้ว ก่อนจะเดินทางถึงโอเอซิสแหล่งน้ำที่เป็นที่พักแรม ในตอนนั้นเอง ขบวนได้ก้าวตกลงสู่หลุมทรายใหญ่ ขณะที่ทั้งคนและสัตว์ต่างตะกายหนีขึ้นจากหลุมที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหลุมทรายดูดหรือไม่ คบไฟก็ถูกปักลงรอบๆ ปากหลุม พร้อมกับธนูที่ขึ้นสายสะท้อนแสงไฟเป็นประกายจำนวนมาก
“ไหน สินค้าของท่านเตฮูติมีอะไรบ้าง”
เสียงห้าวที่คุ้นหูของนายกองคาราวานทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก นายกองโจรผู้นี้แปลกกว่าโจรทะเลทรายอื่นๆ เหมือนมิตรแต่ก็ไม่ใช่ เพร้าไม่ขัดขืนก็มิได้ทำร้ายผู้ใด เพียงนำสินค้าไปครึ่งหนึ่งเท่านั้น เลือกเฉพาะสินค้าชั้นดีเสียด้วย หากไม่ใช่ของชั้นดีเลิศก็แค่มาป่วนกองคาราวานเล่นเย้ยไปถึงนายท่าน
มือซ้ายขวาของหัวหน้าโจรตวัดร่างลงจากหลังม้า จัดแยกกลุ่มคนและสินค้าออกจากกัน
“เป็นไวน์ชั้นเลิศขอรับ ตีตราเพื่อส่งเข้าวัง” ลูกน้องเงยหน้าขึ้นรายงานเมื่อสำรวจสินค้าทั้งหมดแล้ว
ตัวนายพยักหน้า ลูกน้องจัดการยกสินค้าครึ่งหนึ่งลำเลียงออกไป ดวงตาคมกริบของหัวหน้าโจรกวาดตามองไปตามคนในขบวนเหมือนจะค้นหาใคร
สินค้าถูกแยกไปแล้ว อาวุธจะถูกนำไปทิ้งไว้ยังที่จะตั้งค่ายในคืนนี้ กองโจรส่วนใหญ่เริ่มถอนตัวจากไป หากหัวหน้าโจรกลับชักม้าเข้ามาใกล้ สำรวจคนในขบวน คิยาถูกพี่เลี้ยงดึงไปซ่อนอยู่ด้านหลัง
“อยู่นี่เอง” เสียงห้าวๆ ดังอย่างมีชัยอยู่ใกล้ๆ ม้าถูกไสเข้ามากลางกลุ่มคนที่ฮือแตกกระจาย รู้ตัวอีกที คิยาก็ถูกจับคว่ำหน้าลงกับหลังม้าที่ห้อควบจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งเสียงโวยวายไว้เบื้องหลัง
“ปล่อยข้านะ”
เชลยสาวทั้งร้องทั้งสำลักกระไอฝุ่นทรายที่ปลิวคลุ้ง นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน มือหนักๆ ที่กดลงบนหลังผ่อนแรงลง
“ปล่อยเจ้านะหรือ” ตามด้วยเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วผืนทราย
ไม่รู้ต้องนอนคว่ำหน้ากินฝุ่นไปไกลเท่าไร ก่อนจะโดนทิ้งลงกับพื้นทราย ร่างสูงใหญ่กระโดดตามลงมาก่อนคว้าข้อมือไปผูกไอ้เชือกเส้นบ้าๆ นี่ แล้วเอาปลายอีกข้างไปผูกไว้กับอะไรสักอย่างที่นางไม่สามารถจะดึงมันออกได้ จนนางต้องนอนขดหนาวอยู่ตรงนั้นทั้งคืนขณะที่อีกฝ่ายจูงม้าหายลับไป
เมลซาร์ดึงผ้าที่เชลยสาวใช้คลุมร่างออก เขาอยากจะรู้ว่าบุตรสาวของเตฮูติและติอาจะหน้าตาเป็นเช่นไรจะหวานบาดใจเช่นเดียวกับมารดาของนางหรือไม่
“อย่ามายุ่ง” เสียงใสๆ ตวาดแวด ก่อนกระชากผ้าไปคลุมตัวเช่นเดิม
ร่างกำยำหัวเราะเบาๆ ท่าทางจะเหมือนพ่อนางเสียกระมั่ง มือหนากระชากผ้าที่เขาเอามาคลุมให้ยามดึกกลับ
“เอ๊ะ” ร่างที่นอนคุดคู้กระชากตัวขึ้นนั่งพลางผลักคนที่มากวนใจออกไป แต่ร่างหนาจะกระเทือนก็หาไม่
“ตื่นได้แล้วแม่สาวน้อย แล้วก็ไปตักน้ำมาให้เรากับม้าเราเสียดีๆ”
ร่างสูงก้าวฉับๆ ไปทิ้งไว้เพียงถังไม้ว่างเปล่า
ตักน้ำให้เรากับม้าของเรา! เช่นนั้นหรือ!!!
ฝันไปเถอะ
เมลซาร์จับตามองร่างบางที่นั่งจุ้มปุ๊กกอดถังอยู่ตรงนั้น นางเหมือนกับบิดานางเช่นที่เขาคิด ดวงตากลมโตกลอกกลิ้งอยู่ไม่สุข เพียรพยายามแกะเชือกที่ผูกอยู่รอบข้อมือ
ริมฝีปากได้รูปงามเหยียดยิ้ม ของฝากที่เขาเก็บจากห้องขังถูกนำมาใช้อย่างคุ้มค่าทีเดียว พร้อมด้วยเงื่อนที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง จะไม่มีใครสามารถแก้มันออกได้นอกจากเขา เมลซาร์จอมโจรแห่งทะเลทรายผู้นี้
แม้นางจะตั้งใจไม่ตักน้ำมาให้เขา แต่ความอยากรู้อย่างเห็นและความกระหายทำให้นางอดลากถังชะเง้อหา ไม่นานแม่สาวน้อยก็เจอแหล่งน้ำในซอกผาที่ไม่ไกลเกินความยาวของเชือก ร่างบางๆ นั่งเอนกายสบายหลังจากล้างหน้าและดื่มน้ำดับกระหาย ผู้แอบมองส่ายหน้าคงหลับไปแล้วละซิ
นางไม่เหมือนบิดามารดานางจริงๆ ริมฝีปากได้รูปงามคลี่ยิ้มอีกครั้ง ไร้การหวาดระแวงบริสุทธิ์ไร้เดียงสา และนั่นจะทำให้การแก้แค้นของเขาหอมหวานขึ้นอีกหลายเท่า
คิยาสะดุ้งตื่นเพราะแรงกระตุกที่ข้อมือ นางเหม่อมองมือตนเอง ที่ยกขึ้น...ก่อนตกลง....ยกขึ้น พอรู้สึกตัวเต็มที่นางก็กระชากแขนมากอดแนบอก ส่งสายตาเข้มงวดไปยังผู้ถือปลายเชือกอีกข้างที่ยอมผ่อนมือ หากตอนนี้ตั้งท่าที่จะกระตุกเชือกอีกครั้ง
เมลซาร์คลี่ยิ้มรั้งมือกระตุกเชือก เมื่ออีกฝ่ายดึงเอาไว้แน่นเขาก็ผ่อนก่อนกระตุกเร็วๆ อีกครั้ง เท่านั้นร่างบางๆ ก็เซถลามาหา ไม่กี่ครั้ง ร่างนั้นก็ล้มลุกคลุกคลานมาหมอบอยู่ตรงหน้า
“ไหนน้ำของเรา”
มือเล็กๆ สะบัดชี้ไปทางหน้าผาที่เขาเพิ่งลากนางจากมา
“ไปตักมาให้หน่อยซิ”
คิยาอยากจะตะปบรอยยิ้มออกจากหน้าคล้ำๆ นั้นนัก หญิงสาวสะบัดหนีอย่างไม่สน ก่อนจะหวีดร้องก้องเมื่อโดนรวบเอวไปโยนไว้ตรงแอ่งน้ำอีกครั้ง แล้วการลากนางผ่านผืนทรายก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
สุดท้ายนางกระแทกถังไม้ที่มีน้ำติดอยู่ก้นถังไม่เท่าไรลงตรงหน้าร่างสูงใหญ่ เนื้อตัวเสื้อผ้าเปื้อนทรายไปหมด เมลซาร์ดึงร่างมอมแมมลงตรงหน้า ดึงผ้ามาชุบน้ำเช็ดหน้าเนื้อตัวให้เหมือนนางเป็นเด็กๆ
“เจ้างามเหมือนกันนี่ ถึงจะไม่เท่ามารดาเจ้าก็ตาม” เขาพูดเมื่อพิจารณาดวงหน้าที่เช็ดล้างแล้ว
“ท่านรู้จักแม่ข้าด้วย”
“ทั้งแม่และพ่อเจ้า”
รอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกนับจากถูกจับตัวมา “เช่นนั้นท่านจะพาข้ากลับบ้านใช่ไหม”
ร่างกำยำคลี่ยิ้มสว่างจับตา “เจ้าหนีออกจากบ้านมาไม่ใช่อยากจะเที่ยวหรอกหรือ ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเมืองหลวงเอง แล้วจะส่งข่าวให้พ่อเจ้าไปรับเจ้าจากองค์เหนือหัวดีหรือไม่”
“ฟาโรห์อาโมสนะหรือ” คิยาถามอย่างประหลาดใจ
ท่านพ่อไม่ให้นางได้พบ แม้แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาเยี่ยมครอบครัวนางเป็นการส่วนพระองค์ ทั้งพ่อและแม่มักจะทูลพระองค์ว่านางหลับไปแล้ว ติดธุระ หรืออื่นๆกระทั่งไม่สบาย นางมักจะได้ของขวัญมากมายที่ส่งตรงมาจากวังหลวง ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับ ทุกครั้งทั้งท่านพ่อท่านแม่ก็พากันมองกองของขวัญแล้วพากันถอนหายใจราวกับของเหล่านั้นไม่น่าชื่นชม
“เจ้าอยากไปไหม” เสียงทุ้มนุ่มถามอย่างชวนเชิญ
นิ่งคิดไปครู่แม่สาวน้อยก็ส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากเจอฟาโรห์ ข้าแค่อยากไปเที่ยวเมืองหลวง แต่อยากที่สุดคือกลับบ้าน”
นางยกมือที่ถูกเชือกล่าม “แก้เชือกให้ข้าหน่อยนะ”
เมลซาร์กระตุกเชือกที่คล้องอยู่รอบข้อมือน้อยเล่นไปมา ยิ้มกว้างแล้วส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวเจ้าจะหนีข้าไป หากเจ้าหนีข้าไป พ่อเจ้ามาทวงคนกับข้า ข้าจะเอาที่ไหนไปคืนเล่า อยู่อย่างนี้ล่ะดีแล้ว”
สาวน้อยหวีดเสียงแหลม โผเข้าหากะจะกระชากกริชที่เสียบอยู่แถวเอว หากจอมโจรรู้ทันบิดตัวหลบ ผิวปากเรียกม้ามาหา ก่อนจะขึ้นม้าก็ชายตามองทางเด็กสาวที่ยังดิ้นตีแปลงอยู่กลางทรายอย่างแค้นใจ
“หากเจ้าไม่มายุ่งกับข้า ข้าจะให้เจ้านั่งม้าไปด้วย”
จอมโจรอารมณ์ดีหัวเราะเบาๆ อีกครั้งเมื่อแม่สาวแสนงอนนั่งหันหลังให้ พอเขาขึ้นม้าได้ก็เตะเท้าให้ออกเดินช้าๆ มือข้างหนึ่งยังจับเชือกที่ล่ามข้อมือเชลยสาวเอาไว้ เสียงจอมโจรหัวเราะก้องเมื่อเสียงแหลมใสโวยวายลั่นสลับกับเสียงกระอักกระไอทรายที่ต้องล้มลุกคลุกคลานไป เมลซาร์ดึงให้ม้าเดินช้าลง
“ว่าไงล่ะ” เขาก้มลงถามแม่สาวน้อยที่มอมแมมอีกแล้ว
คิยาทำปากยื่น ชูสองมือขึ้นโดยไม่พูดว่าอะไร นั่งม้าย่อมดีกว่าโดนม้าลากมากมายนัก
“หากเจ้าขโมยอาวุธข้าละก็นะแม่สาว ข้าจะลากเจ้าไปจนกว่าจะถึงที่พักแรมคืนนี้ทีเดียว อย่าคิดว่าข้าจะไม่ทำล่ะ”
ใครจะไปคิด
ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะกล้าลากข้ามาไกลตั้งขนาดนี้ ...ไม่คิดเลย
คิยาตอบประชดในใจ ขยับพิงอกกว้างหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เมลซาร์ยิ้มน้อยๆ ขยับร่างในอ้อมอกให้นั่งพิงให้สบาย คิยาเอ๋ยคิยา เมื่อไรเจ้าจะโตเสียที
“ข้าไม่เต้นรำ”
สิ้นเสียงใส ร่างบางก็โดนโยนออกมานอกกระโจม บทเรียนสอนนางไม่ให้ดื้อกลับเข้าไปอีก ไม่เช่นนั้นนางต้องโดนโยนออกมาอีกครั้งและอีกครั้ง สาวน้อยลูบสะโพกที่คงมีรอยแดงช้ำขนาดใหญ่
หนุ่มใหญ่เจ้าของกระโจมโผล่ออกมาพร้อมเสื้อผ้าในมือ พอเขากระตุกเชือก นางก็ได้แต่เดินตาม...ตามอย่างรวดเร็วยิ่งหากไม่ต้องการให้ใครเห็นเชือกที่ล่ามนางไว้กับเขา
นายโจรพานางไปที่อาบน้ำ
“หากเจ้าไม่เต้นรำเจ้าก็ไม่ควรแต่งกายเป็นหญิง”
เสื้อผ้าอาภรณ์ของชายขนาดใกล้เคียงกับตัวนางถูกวางไว้ให้ ก่อนอีกฝ่ายจะหลบไปนั่งหันหลังให้อยู่ไม่ห่าง คิยาไม่กล้าหนีไม่กล้าลอบทำร้าย นางไม่อยากถูกจับโยนอีก ไม่อยากถูกม้าลาก ได้แต่ดีใจที่จะได้อาบน้ำเสียที
นางไม่เข้าใจว่าทำไมเขาอยากให้นางเต้นรำ นางร่ายรำได้ไม่สวยงามเท่าท่านแม่ ยิ่งพยายามยิ่งทำให้นางขายหน้า คิยาจึงหลบเลี่ยงการเรียนทุกคราวที่ทำได้ นางพันผ้าซ่อนผมยาวสลวยเอาไว้ เมื่อสวมใส่ชุดบุรุษเช่นนี้ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าเดิมมาก คราวนี้จะมาลากข้าไปโน่นไปนี่ไม่ได้ง่ายๆ แล้ว นางหมายมาด
เมลซาร์หันกายมาเมื่อไม่ได้ยินเสียงน้ำและเสียงสะบัดของผ้า หนุ่มน้อยหน้าตาคมสันนั้นช่างเสียดแทงใจยิ่งนัก ยามคิยาแต่งกายเช่นหญิงนางดั่งเป็นตัวแทนของมารดา แต่ในชุดบุรุษเช่นนี้ กลับเป็นเตฮูติผู้อ่อนวัย
เมลซาร์ก้มลงรวบเสื้อผ้า จริงๆ ก็น่าจะเรียกว่าเศษขยะก่อนเดินนำกลับไปที่กระโจมมีพ่อหนุ่มน้อยหน้าตาสดใสเดินแกมกระโดดตาม พอผ่านกองไฟหน้ากระโจมเมลซาร์ก็ทิ้งเสื้อผ้าลง
“เสื้อข้า”
คิยาผวาหาชุดของนาง หากจอมโจรรั้งตัวเอาไว้มั่นไม่สนใจอาการดิ้นรนร่ำไห้ของนาง
เมลซาร์ลูบศีรษะสาวน้อยที่ซุกสะอื้นกับอกจนหลับไป จรดจมูกลงสูดกลิ่นหอมของเนื้อนวลแต่เพียงแผ่วเบา เมื่อการเดินทางครั้งนี้สิ้นสุดลง ข้าคงคิดถึงเจ้า...คิยา
หนุ่มใหญ่และหนุ่มน้อยที่พากันเดินเที่ยวชมตลาดเป็นจุดสนใจของคนที่ผ่านไปผ่านมา เนื่องจากหน้าตาคมสันของพ่อหนุ่มน้อยที่มีวี่แววว่าจะเติบโตเป็นหนุ่มหล่อ ทำให้มีสาวทั้งอ่อนวัยและมากประสบการณ์ชายตาทอดไมตรีให้ แม้พ่อหนุ่มจะทำหน้าบึ้งด้วยไม่ได้อย่างใจบ้าง ต่างกับหนุ่มเต็มตัวอีกคนหามีใครกล้ามองไม่ทั้งที่มีรอยยิ้มอารมณ์ดีติดแต้มบนใบหน้าหล่อเหลาอยู่เสมอก็ตาม
ทหารเริ่มเพ่งมองชายหนุ่มต่างวัยทั้งคู่ก่อนหันไปซุบซิบกัน
เมลซาร์ซ่อนยิ้ม ยอมตามใจซื้อขนมหวานให้ เมื่อทหารเริมเดินเข้ามาใกล้ โจรหนุ่มก็พาคิยาหลบเข้าฝูงชน ชี้ชวนให้ดูของแปลกต่างถิ่น
“เอาหรือไม่ เป็นของที่ระลึก”
คิยาส่ายหน้า ทั้งๆ ที่มองสร้อยคอหลากสีอย่างสนใจ ลวดลายแปลกตาไม่เคยเห็นมาก่อนแม้นางจะมีเครื่องประดับอยู่มากมายแล้วก็ตาม นางแกล้งเลิกคิ้ว กางแขนให้ดูชุดของนาง
“ข้าซื้อไปคนอื่นจะคิดว่าเช่นไร”
“คิดว่าเจ้าซื้อไปกำนัลสาวน้อยนะซิ”
เมลซาร์จ่ายเงินหยิบสร้อย ฉวยโอกาสคนหนาแน่นแอบกระตุกถุงเงินของคนที่เข้ามาจับจ่ายซื้อของในตลาด ยัดใส่อกเสื้อของคิยา ก่อนจะพากันเผ่น ทหารที่ลอบตามติดอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ตะโกนโหวกเหวกเรื่องขโมย
คิยาวิ่งหน้าตั้งตามคนที่ขายาวกว่าออกมาหอบแฮกอยู่ข้างกองเกวียนที่พวกตนอาศัยมาจากกลางทะเลทราย นางไม่รู้ว่าเจ้าโจรหนุ่มจะมีเส้นสายดีขนาดนายกองคาราวานรับเข้ามาร่วมโดยไม่ซักถามให้มากความ แล้วตอนนี้ทำไมนางต้องวิ่งจนหายใจหายคอไม่ทันเช่นนี้ด้วย นางไม่ได้ขโมยใครเสียหน่อย พอหายใจสะดวกนางก็ควักถุงเงินออกมาหากที่ติดมือคือสร้อยคอหลากสีเส้นนั้น เมลซาร์ผิวปากเดินห่างไปพร้อมกับโยนถุงเงินสามถุงสลับกันไปมาในมือเล่น
ถ้ามีเงินก้อนนั้น นางก็เดินทางกลับบ้านได้โดยไม่ต้องง้อพ่อโจรรักสนุกนี่เลย ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เมื่อมีแรงกระตุกของเชือกที่ยังคล้องอยู่รอบข้อมือ เงินถ้ามีก็ดี แต่ถ้าไม่มีเชือกเส้นนี้ยิ่งดีเสียกว่า
“เมลซาร์ เจ้าหมายถึงเจ้าชายเมลซาร์เช่นนั้นหรือ”
“พระเจ้าข้า ทหารที่รายงานเคยเห็นเจ้าชายเมื่อครั้งที่ถูกจับขังเอาไว้”
“ยังไม่สิ้นพระชนม์จริงๆ” ฟาโรห์อาโมสเคาะดรรชนีกับพระเพลาเบาๆ
“เดินทางมากับเด็กหนุ่ม แต่ดูเหมือนทรงรู้ตัว”
รู้ตัว หรืออยากให้ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่กันแน่เมลซาร์
“เจอตัวเมลซาร์ที่ไหนนะ”
“บานิฮาซันพระเจ้าข้า”
“อา เช่นนั้นคงกำลังมาหาเรา เตฮูติเล่า”
แม้จะไม่คิดว่าเกี่ยวกับอดีตนายทหารผู้นั้นเมื่อเครื่องบรรณาการได้ส่งมาถึงแล้วครบตามจำนวนแม้จะมีข่าวว่าถูกปล้นไปบ้างก็ตาม แต่สังหรณ์ประหลาดบอกต่อพระองค์ว่าเขาเกี่ยวข้องด้วย
“ท่านเตฮูติออกจากบ้านมาได้หลายวันแล้วพระเจ้าข้า ออกมากับคนสนิทเพียงไม่กี่คน”
“อา”
องค์ฟาโรห์เอนพระองค์ลงกับแท่นบรรทม โบกพระหัตถ์ให้นายทหารที่มาส่งข่าวออกไปได้ ทรงเคาะระฆังเพียงแผ่วเบา นางกำนันก็เข้ามานวดพระวรกายถวายต่อ
เมลซาร์กำลังจะมา เตฮูติออกจากบ้านพร้อมคนสนิท เด็กสิบขวบมันยังว่าจุดหมายคือที่นี่ ที่ที่พระองค์ประทับอยู่ จะรอหรือจะสวนทางไปเผชิญหน้ากันดี คราวนี้เตฮูติเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ ข้าอยากจะรู้นัก
เตฮูติกำชายผ้าที่หลงเหลือจากกองไฟแน่น เจอเมื่อไรข้าจะไม่ให้เจ้าได้สืบต่อลมหายใจอีกแม้แต่เฮือกเดียว เนื้อผ้าที่หลงเหลือจากไฟขะมุกขะมอมหากเขายังจำได้ เนื้อผ้าเช่นนี้คือผ้าที่คิยาบุตรสาวชมชอบที่สุด ท่ามกลางความสกปรกยังหลงเหลือรอยปักที่นางปักด้วยตนเองอยู่ ลูกพ่อตอนนี้เจ้าจะเป็นเช่นไรแล้ว คิยา
ข่าวร่องรอยของเจ้าชายเมลซาร์และเตฮูติยังส่งตรงมาที่ฟาโรห์อาโมสอย่างต่อเนื่อง แต่หามีใครจับเมลซาร์ได้ไม่ สำหรับเตฮูติ เขาหายลับไปได้ง่ายๆ จนคนส่งข่าวไม่ทันจะได้ส่งข่าวของพระองค์ให้
ทำไม ทำไม องค์ฟาโรห์ได้แต่ครุ่นคิด อะไรทำให้เตฮูติต้องหลบเลี่ยงพระองค์ด้วย หากเขาติดต่อขอข่าวสารทำไมพวกนั้นจะไม่ให้ ไยต้องหลบเลี่ยง นอกจาก....
เมลซาร์เดินทางกับเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หากถ้าไม่ใช่เด็กหนุ่ม...
โจรที่ดักปล้นเครื่องบรรณาการ หากไม่ได้เอาไปเพียงสิ่งของเล่า.....
ริมโอษฐ์แย้มกว้าง อา มาเลย ข้ารอพวกเจ้าอยู่
“เมื่อไรเจ้าจะแก้เชือกนี้ให้ข้าเสียที”
คิยาบ่น หลังจากถูกลากผ่านทะเลทราย จอมโจรใจดีพาไปเที่ยวในเมืองก่อนวิ่งเหนื่อยแทบขาดใจ นางก็ได้รางวัลโดยการนั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำ นางใกล้จะได้กลับบ้านแล้วล่ะซิ
“เจ้าทำให้ข้าพอใจได้เมื่อไรข้าจะแก้เชือกให้”
ชายหนุ่มร่างกำยำที่นางไม่รู้จักชื่อตอบ สายตาจับจ้องไปตามริมฝั่ง
“กลัวทหารมาจับเข้าหรือยังไง” คิยาถามซื่อๆ
“จับข้าเช่นนั้นหรือ” ปากได้รูปแย้มกว้าง “นี่คิยา หากพ่อเจ้ามาตามเจอ เจ้าว่าเขาจะตีเจ้าไหม”
คิยาเกือบจะปฏิเสธแล้ว แต่ครั้งนี้นางก่อเรื่องใหญ่ท่านพ่อคงไม่ยอมให้นางพ้นผิดง่ายๆ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าหนีไปกับข้าไม่ดีกว่าหรือ ข้าหนีทหาร เจ้าหนีพ่อ”
ถ้อยคำยั่วยวนเรียกเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากนางได้
“ท่านหนีทหารเอาชีวิตรอด ข้าถูกพ่อจับได้ อย่างดีก็ตีทีสองที เหตุใดข้าต้องหนีไปเรื่อยด้วยเล่า”
เมลซาร์ขยับลุก ดึงร่างบางให้ลุกตามไปด้วย เขาชี้ให้ดูเรือที่กำลังแล่นสวนมา
“มาเรากระโดดไปเรือลำนั้นกัน”
ก่อนที่คิยาจะทันตั้งตัว เอวบางถูกโอบ นางได้แต่กอดลำคอหนาซุกแนบแน่น ลืมตาอีกครั้งนางก็อยู่ในเรืออีกลำแล้ว จากล่องเรือสู่เมมฟิสบ้านเกิด นางกำลังนั่งเรือพายทวนน้ำสู่ธีบิส
เมลซาร์เหลือบมองกลุ่มทหารริมแม่น้ำ ที่ไปออรอกันยังท่าน้ำฝั่งล่องลงเมมฟิส จะจับข้านะหรือ ริมฝีปากได้รูปแย้มกว้าง...ยาก
“นั่งเรือไปเมมฟิส”
อาโมสทวนคำก่อนหัวเราะก้อง โบกมือไล่ให้คนส่งข่าวออกไปได้ เอนพระองค์พาดพระเศียรลงกับพระเพลามเหสีคู่หทัย
“ทรงสรวลทำไมเพคะ”
“เมลซาร์กำลังจะมาหาเรา” จรดนิ้วพระหัตถ์บอบบางแนบพระนาสิก
“พี่อยากจะให้จัดเตรียมต้อนรับสาวน้อยนางหนึ่ง”
“จะทรงรับนางสนมใหม่หรือเพคะ” ราชินีเนเฟอร์ตาริทูลถามยิ้มๆ “คนไหนเพคะสวยไหม”
“คนสวยของพี่ก็มีแต่เจ้า เนเฟอร์ คิยาต่างหากล่ะ ลูกสาวของเตฮูติ”
“ที่ท่านเตฮูติเดินทางมา คือพานางมาถวายตัวหรือเพคะ”
เนเฟอร์ตาริขมวดขนงอย่างไม่เข้าพระทัย ไม่ว่าฟาโรห์อาโมสจะจัดของดีเลิศส่งไปประทานนาง
อาโมสหัวเราะชอบใจ “ไม่ใช่เตฮูติพามาดอก เจ้าชายเมลซาร์ต่างหากล่ะ”
“แต่ไหนข่าวว่า เจ้าชายทรงไปเมมฟิส”
“ข่าวโง่ๆ”
ทรงดึงราชินีเข้ามาในอ้อมพระกรประทานจุมพิตดื่มด่ำ
“ข้าอยากจะรู้นัก แม่สาวน้อยคนนั้นจะงามสู้เจ้าได้หรือไม่ เนเฟอร์ของข้า”
เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้อยู่ใกล้นาง ไม่ได้ถือเชือกอีกข้าง เพราะมันถูกพันอยู่รอบข้อมือของนาง แต่ทำไมเล่า ทำไม นางถึงรู้สึกอ้างว้างเช่นนี้
คิยาถูกจูงลงสระน้ำก่อนจะถูกนวดชโลมด้วยน้ำมันและเครื่องหอม แต่งตัวด้วยชุดและเครื่องประดับอย่างงดงาม
เสลี่ยงที่นางถูกส่งตัวเข้าไปนั่งห้อมล้อมด้วยทหาร น้ำตาเม็ดโตๆ หยาดหยดลงมา ข้าไร้เสียงพูดไร้เสียงร้องประท้วง ชายผู้ใจดีต่อข้าขายข้าให้แก่ผู้ประมูลสูงสุด ข้าน่าจะรู้ ข้าเป็นเพียงเชลยที่ถูกจับมาหาผลประโยชน์ หาใช่เด็กน้อยที่เขาจะเห็นเป็นเพื่อนไม่
ในห้องมืดมิดที่มองเห็นเส้นทางของเสลี่ยงหลังน้อย ร่างสูงกำยำลอบมองตาม ข้าทำถูกหรือผิดที่ใช้ นางผู้ไร้เดียงสาเป็นเครื่องมือ แต่นางคือชนวนที่จะจุดประกายแค้นระหว่างอาโมสและเตฮูติ แต่หากนางไม่เต็มใจเล่า จะมีใครรู้ซึ้งถึงการไม่ยอมแพ้ของนางดีกว่าเขา
ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมยังเปียกชื้น นางห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้ ผ้าคลุมหน้าถูกดึงออกช้าๆ ก่อนอ้อมแขนหอมกรุ่นจะโอบรอบตัวนาง
“โอ๋เด็กน้อย อย่างร้องไห้ เจ้าปลอดภัยแล้ว ปลอดภัยแล้ว คิยา”
เนเฟอร์ตาริประคองดวงหน้าที่สะอื้นไห้ขึ้นมองแม้นางจะร้องไห้อย่างหนักแต่หามีเสียงร้องออกมาไม่ พระนางไม่เคยได้ยินว่าบุตรสาวของเตฮูติพิการ
“เจ้าคือคิยา บุตรสาวของเตฮูติและติอา”
เด็กสาวตรงหน้าก้มศีรษะรับ เอามือปาดน้ำตาเหมือนเด็กน้อย
“แต่เสียงเจ้า”
คิยา ทำมือยกดื่ม เท่านั้นองค์ราชินีก็เข้าใจได้ทันที นางรีบเรียกหมอหลวงมาตรวจอาการ
“เจ้าโจรที่ชั่วร้ายนัก ทำร้ายกระทั่งเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ได้ หากตกไปอยู่ในมือผู้อื่นที่ไม่ใช่ฝ่าบาทจะเกิดอะไรกับเจ้าบ้างก็ไม่รู้”
เจ้าโจรชั่วอดสะดุ้งไม่ได้ ข้าตั้งใจจะส่งเนื้อเข้าปากเสือนะซิ จะให้ตกไปอยู่กับหมาบ้าน หมาตลาดที่ไหนได้อย่างไรกันเล่า
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าคร้ามครึ้มไปด้วยหนวดเคราเมื่อเห็นราชินีออกโรงปกป้องเด็กสาวราวแม่ไก่หวงลูกน้อย ก่อนจะอดฉงนไม่ได้ ทำไมขันทีจึงส่งนางงามที่ประมูลได้มาให้ราชินีมิได้ให้ไปถวายงานแก่องค์ฟาโรห์หรือ เสียงถอนหายใจดังขึ้นข้างๆ เมลซาร์ยกดาบขึ้นปัดอาวุธได้ทันในเสี้ยววินาที
คิยาถลาเข้าหา ตลบม่านออกไปให้พ้นตาเมื่อได้ยินเสียงกระทบกันของโลหะ ร่างกำยำสองร่างปะดาบกันอย่างดุเดือดอยู่บนระเบียบที่แคบเพียงวางเท้า
“ตายแล้ว” เนเฟอร์ตาริร้อง รีบดึงคิยาเข้ามาใกล้องค์ ทหารองค์รักษ์กรูกันเข้ามาเต็มห้อง แสงคบเพลิงสว่างราวกับกลางวัน
“นี่คือแผนของท่านหรืออาโมส” เมลซาร์ถือโอกาสที่ปะดาบยันกันถอยห่างหอบหายใจส่งเสียงถาม
“แล้วนั่นคือแผนของท่านหรือ” อาโมสพยักหน้าเข้าไปในห้องที่มีทหารห้อมล้อมเนเฟอร์ตาริและคิยาอยู่
“ไม่” เมลซาร์ยิ้มกว้าง “ของกำนัลการขอเฝ้าฯ ต่างหากเล่า”
ร่างสูงกระโจนลงไปยังหลังคาที่ต่ำกว่า อาโมสกระโดดตามไป เนเฟอร์ตาริถลามองตาม คิยารีบตามติดกระชั้น ร่างปราดเปรียวสองร่างวิ่งไล่กันไปตั้งแต่ในแสงคบเพลิง ห่างไป ห่างไป จนลับไปท่ามกลางความมืด
“โอ้”
มือหนาลูบไล้เรือนผมหยิกงาม คิยาแอบหยีตามองก่อนเบิกกว้าง นางโผหาผู้เป็นบิดา แต่ไร้เสียงหวานเรียกหา เตฮูติซบหน้าลงกับผมนุ่มของบุตรี ครั้งนั้นข้าไม่ควรปล่อยท่านไป เจ้าชายเมลซาร์ ใครจะรู้ว่าท่านจะย้อนมาเป็นหอกคอยทิ่มแทงข้าครั้งแล้วครั้งเล่า
คิยาผละจากอกบิดาลูบคำคอเล็กๆ ของตนเอง
“พ่อรู้แล้ว องค์ฟาโรห์ทรงเรียกหมอยาทั้งแผ่นดินมาดูอาการเจ้า เจ้าบอกพ่อได้หรือไม่ว่า ใครทำเช่นนี้กับเจ้า”
คิยาส่ายหน้าแรงๆ นางหารู้ชื่อจอมโจรไม่ แม้ร่อนเร่ไปกับเขาหลายวารหลายราตรี นอกจากจะรู้ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดี ชอบเย้าแหย่นางเล่น นางหารู้อื่นๆ เกี่ยวกับเขาไม่ ไม่เคยเห็นหน้าลูกน้องโจรคนอื่นๆ ในเมื่อเขาเดินทางเพียงลำพัง บางครั้งก็ร่วมกับคาราวานระหว่างทาง ก่อนจะลอยล่องไปไร้หลักแหล่ง พอใจจะไปที่ใดก็ไป พอใจจะพักก็พัก อยากจะแกล้งนางเมื่อไรก็แกล้ง หากทำไมนางหวนหาเวลาที่อยู่ร่วมกับเขานัก
“พ่อห่วงเจ้านัก คิยา เห็นเจ้าอยู่ตรงนี้พ่อก็สบายใจ พ่อจะไปเข้าเฝ้าองค์ฟาโรห์ก่อนนะ”
คิยายุดมือบิดาไว้ไม่อยากอยู่เพียงลำพัง เตฮูติหันมาลูบศีรษะบุตรสาวเบาๆ
“เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่มีอะไรมาทำอันตรายเจ้าได้ดอก ที่เจ้าเห็นไอ้โจรผู้นั้นบุกเข้ามาได้ เพราะองค์ฟาโรห์ต้องการดักจับมันต่างหาก”
เด็กสาวทำหน้ามุ่ย แล้วจับได้ไหมเล่า ก็เปล่า แล้วยังจะให้นางวางใจว่าไม่มีอะไรอีกหรือ คิยาลูบลำคออีกครั้ง อ้าปาก แต่ก็ยังไม่มีเสียงออกมาสักเพียงน้อยนิด
เตฮูติลูบศีรษะอย่างสงสารอีกครั้ง ก่อนจะเข้าเฝ้าฯ องค์อาโมสทรงบาดเจ็บมา แต่รับสั่งว่าอีกฝ่ายก็คงเจ็บไม่น้อยไปกว่า อดีตคู่ศึกคู่หทัยฟาโรห์ได้แต่นึกเจ็บใจตัวเอง หากครั้งนั้นจำกัดเสี้ยนหนามชิ้นนี้ทิ้งไป คงไม่ต้องมาเฝ้าหวาดระแวงนอนตาไม่หลับอยู่เช่นนี้
“เป็นอย่างไร เจอคิยาแล้ว”
“พระเจ้าข้า ทรงพระกรุณา”
“ข้านะอยากจะกรุณามาตั้งนานแล้ว แต่เจ้าไม่เปิดโอกาสให้ข้าเอง”
“เปิดตอนนี้ คงไม่มีโอกาสหรอกมั่งพระเจ้าข้า”
เตฮูติชำเลืองมองบาดแผลที่ถึงไม่ฉกรรจ์นัก แต่ก็ทำให้ทรงเคลื่อนไหวพระองค์ไม่สะดวกไปสักพัก
“ข้ารอได้”องค์ฟาโรห์สรวลดังลั่น ก่อนขยิบพระเนตร “หากเจ้ายอมนะ”
“หากไม่ทรงเป็นอะไรมาก กระหม่อมจะพาบุตรสาวกลับบ้านพระเจ้าข้า”
“อ้าว ข้าเจ็บนะ” อาโมสร้องลั่น กว่าสหายจะยอมมาสักทีก็แสนจะยากเย็น มาถึงก็จะรีบไปเสียอีก
“เจ้าชายเมลซาร์จะตามกระหม่อมไป”
“ข้าเสียใจที่ครั้งนี้จับเขาไม่ได้” เงียบไปนาน ฟาโรห์อาโมสก็รับสั่งขึ้น “หากเจ้าอยากจะไปก็ไปเถอะ และเรื่องเสียงของคิยาเล่า”
“กระหม่อมพอมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง”
“ยังไง รออีกสักวันสองวัน ข้าให้คนไปตามพ่อหมอเฒ่าที่เชี่ยวชาญเรื่องยามาแล้ว จะได้ติดตามเจ้ากลับไปด้วย”
เตฮูติรอจนแน่ใจว่าทรงบรรทมแล้ว ก่อนที่จะขยับออกมา มือแกร่งก็กำกระชับลงบนบ่าจนเจ็บแปลบเพราะความคมของธำมรงค์ที่ทรงอยู่
“คืนนี้อยู่กับข้าเถอะ ยามข้าเจ็บ ข้าไม่อาจหลับลงได้เต็มสองตา หากไม่มีเจ้าอยู่ข้างๆ”
“บรรทมเถอะพระเจ้าข้า กระหม่อมจะอยู่ตรงนี้”
“ศัตรูบางครั้ง มัดด้วยความหวานของน้ำดอกไม้ยังดีกว่าบังคับให้กลืนกินยาพิษ เพราะความหวานนั้นแม้ยามตาย ยังมีรอยยิ้มค้างด้วยความสุขไม่รู้ว่าตนได้ตายไปแล้ว ส่วนยาพิษ ต่อให้ยังไม่กินก็รู้แน่ว่าจะตาย ต่อให้กินเข้าไปจริงๆ อาจจะไม่ตาย แต่รู้สึกราวกับผ่านความตายมาหลายสิบครั้ง”
เตฮูติได้แต่นิ่งฟัง ไม่แน่ใจว่าองค์อาโมสต้องการบอกอะไรหรือจะทรงเพ้อด้วยพิษไข้ จนต้องลองแตะพระฉวีดู ฟาโรห์ทรงสรวลเบาๆ
“ข้ากำอาวุธเข้ารบมาไม่รู้กี่ศึกผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง ข้าอยากจะลองสู้ศึกด้วยน้ำดอกไม้สักครั้ง หากดอกไม้ดอกนี้หาใช่ของข้าไม่”
เสียงทอดอ้อยสร้อยของเหนือหัวกระตุกหัวคิดอดีตจอมแผนการให้แล่นพล่าน
“ท่าน”
เตฮูติทะลึ่งพรวดลุกขึ้น ก่อนจะรู้สึกโคลงเคลงจนต้องทรุดตัวลงหน้าพระแท่น
“เจ้าบอกว่าเจ้าจะอยู่เฝ้าข้าคืนนี้นะ เตฮูติ ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าไป”
“ตื่น”
เสียงปลุก ตามด้วยแรงสะกิด แต่ยังไม่สามารถทำให้ชายร่างยักษ์ที่นอนทอดกายหน้าแท่นบรรทมขยับได้
“ท่านเตฮูติ”
เสียงหวานๆ เรียกเบาๆ ก่อนที่จะทันได้แตะต้องร่างอดีตทหาร อาโมสก็รั้งร่างชายาเอาไว้
“อย่าเสี่ยงดีกว่า พี่ว่าเอาเอาดาบพี่แทงสักทีสองที พี่ยังสบายใจกว่าที่เจ้าอาจจะเจ็บตัวเพราะสัญชาตญาณนักรบของเตฮูติ”
ร่างที่ไม่ขยับเขยื้อนถอนหายใจขยับลุกขึ้นถวายความเคารพองค์ราชินี อาโมสหัวเราะเบาๆ
“คิยารอทานอาหารพร้อมท่าน พอดีพ่อหมอที่องค์ฟาโรห์ให้หาอยู่ไม่ไกลนักจึงสามารถได้ตัวมาอย่างรวดเร็ว พ่อหมอเฒ่าจะได้ช่วยท่านหาสมุนไพร แกบอกว่า ตัวยาแก้เป็นพืชและแมลงที่อยู่ท่ามกลางทรายร้อนระอุหรือ”
“พระเจ้าข้า” เตฮูติตอบรับ ถวายบังคมอีกครั้งก่อนถอยออกจากห้อง อาโมสหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสายตาแค้นเคืองของสหายเก่า
เอาน่า เตฮูติ นานๆ ข้าจะได้เจอกับเจ้าเสียที อยู่กับข้าให้นานอีกหน่อยไม่ได้หรือไง
คิยามองพ่ออย่างไม่เข้าใจที่พ่อกอดนางแน่นเกินไป หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พ่อก็พานางไปทูลลาฟาโรห์และราชินีก่อนออกเดินทางกลับพร้อมกับพ่อหมอเฒ่าที่ชำนาญเรื่องตัวยา พ่อหมอจะช่วยหาสมุนไพรแก้พิษเรียกเสียงนางกลับมาอีกครั้ง
คิยาขี่ม้าตามหลังพ่อหมอที่จะนำทางไปหายาแก้ก่อน ทำไมท่วงท่านั้นคุ้นตานางเหลือเกิน
“หิวน้ำไหมคิยา”
เตฮูติถามเบาๆ ยื่นถุงน้ำมาให้ คิยาส่ายหน้า ส่งสมุนไพรแห้งๆ ให้บิดาดูก่อนชี้ไปที่คนขี่ม้านำทาง เตฮูติรับไปลองขยี้ ดม ก่อนจะส่งเข้าปาก รสขมไม่นานก็เรียกความชุ่มชื้นขึ้นมาในปาก
หลายราตรีในทะเลทราย ได้ตัวยามาเพียงสองอย่าง ยังขาดอยู่อีกหนึ่ง หลังอาหารคิยาชอบมานั่งหน้ากระโจมฟังเรื่องราวที่พ่อหมอเล่าให้ทหารของบิดาฟัง หลังจบเรื่องเล่า พ่อหมอจะเคาะไม้เป็นจังหวะเบาๆ กล่อมให้หลับใหลก่อนที่จะเดินท่อมๆ หายไปท่ามกลางแสงจันทร์ เตฮูติได้รับแจ้งเอาไว้แล้วว่าหมอจะออกไปหาตัวยา บางทีก็กลับมาเร็ว บางครั้งก็เช้า
หากคืนนี้เมื่อเสียงเคาะไม้เบาลงจนเงียบหายก่อนที่พ่อหมอเฒ่าจะลุก คิยาก็เอื้อมมือไปจับข้อมือใหญ่เอาไว้ ดวงตาภายใต้หนวดเคราหงอกรกครึ้มมองสบตาอ่อนเยาว์
ปลายเชือกเส้นเล็กถูกยัดใส่ลงในมือใหญ่ รอยยิ้มผ่านแวบในดวงตาอ่อนล้า ตอนนี้ไม่ใช่ดวงตาที่พร่ามัวด้วยวัยชราเสียแล้ว ดวงตาแจ่มใสบ่งบอกถึงพลังของชีวิต หมอเฒ่ากำมือน้อยๆ ค่อยๆ ดึงให้เดินตามออกไปท่ามกลางทะเลทราย
“ข้าเต้นรำให้ท่านดูไหม”
เมลซาร์มองสาวน้อยที่เอียงตัวแหงนหน้ามองเขาใกล้ๆ
“เอาซิ” หนุ่มใหญ่พยักหน้า ตอนนี้ใบหน้าของเขาไร้หนวดเคราดูเยาว์วัยกว่าเดิม
“งั้นท่านร้องเพลงให้ข้านะ”
สาวน้อยถลาร่อนไปบนพื้นทราย คืนนี้ไม่มีจันทร์ มีเพียงเหล่าดวงดาวเป็นเพื่อนร่ายรำกับนาง
...แสงจันทร์ลับหาย สายลมกองไฟ และดวงดาว
ข้าเป็นดั่งทรายขาว ถูกดึงดูดไว้ ด้วยแสงดาว
ไม่เคลื่อนคลาย เป็นประกาย ทุกคราวที่หันไปมอง
ดวงดาวที่ปกป้อง คุ้มครอง ดวงดาวของหัวใจ
สายลมพัด เมล็ดทรายปลิวไป จะไกลเพียงไหน
เพียงเหลียวมอง ถูกดูดให้คืนมา ด้วยดาวสดใส
อยากให้ไม่มีจันทร์ เพียงอยากเก็บคืนฝันเอาไว้
รับรู้ด้วยใจสองเรา หากจันทร์คืนมา ดาราแรมไกล
รู้ว่าหยุดเวลาไม่ได้ ขอเพียงเคลื่อนไป ช้าช้าได้ไหม
ขอเวลาทราย แอบแนบแสง ขอเวลาอุ่นแอบอิงไอ
ขอได้ไหม ขออีกเพียงนิด เพียงเสี้ยวลมหายใจ
แสงทองสาดส่อง ดวงอาทิตย์มา เวลาหมดลง...
น้ำตาที่สะท้อนแสงไฟทำให้เมลซาร์อ้าแขนออก สาวน้อยที่เมื่อครู่ยังร่ายรำกับแสงดาวถลาเข้าหา
“ทำไมเราไม่ไปยังที่ที่ไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องไม่มีแสงจันทร์ละ”
“เพราะข้าเป็นดวงอาทิตย์ ถึงจะอับแสงแต่ข้ายังเป็นดวงอาทิตย์”
ศีรษะเล็กๆ เกลือกกลิ้งอยู่กลางอก
“จอมโจรเช่นท่านกล้าเปรียบตัวเองเป็นดังตะวันเชียวหรือ ข้าว่าท่านเป็นคืนเดือนมืดนั่นล่ะ”
“ใช่...ข้าถึงชอบดวงดาว”
เมลซาร์ขยับอ้อมแขนกล่อมแม่สาวน้อยขี้แยให้หลับใหล อาจจะมีเพียงคืนนี้ที่นางจะได้นอนทอดกายในอ้อมกอดข้า อาจจะมีคืนพรุ่งนี้ แต่ในที่สุดนางก็ต้องจากไป ฟากฟ้า พื้นดินมิมีวันบรรจบกัน...ดวงดาว...เม็ดทราย ต่อให้ลมแรงเพียงไหนก็ไม่สามารถส่งตัวมันปลิวไปถึงดวงดาวบนฟากฟ้าได้
ดวงตะวันและดวงดาว ยังอาจจะพบกันได้ยามอุษาและสนธยา
แต่เม็ดทรายและดวงดาวนั้น เวลาของเรามีเพียงห้วงฝันเท่านั้น
ร่างสองร่างกอดตระกองมาบนม้าตัวเดียวกัน แม้เมื่อเห็นหมู่ม้าที่ยืนนิ่งรออยู่ก็ยังไม่ได้ควบหนีไม่ได้เร่งเร้า กลับปล่อยให้พาหนะเดินเหยาะย่างไปตามสบาย
จนระยะห่างพอเห็นหน้ากันได้ถนัดอีกฝ่ายจึงดึงม้าให้หยุดลง ร่างที่นั่งอยู่ด้านหน้าถูกปล่อยลงให้ยืนบนพื้น มือข้างหนึ่งยังมีเชือกล่ามติดอยู่กับผู้อยู่บนหลังม้า ดาบถูกกระชากออกจากฝัก
เตฮูติและบรรดาทหารต่างพากันกระชากอาวุธออกมาบ้าง ไม่กล้าผลีผลามเข้าไปใกล้กลัวสาวน้อยผู้เป็นตัวประกันจะได้รับอันตราย
ประกายดาบคมกริบฟันฉับลง สะท้อนแสงสุดท้ายแห่งดวงอาทิตย์
เส้นเชือกที่ไม่ว่าพยายามแก้อย่างไรก็แก้ไม่ออก หลุดร่วงลงบนพื้นทราย คิยาก้มลงมองมันอย่างตกตะลึงเมื่อรู้สึกถึงข้อมือเปล่าเปลือยหากน้ำหนักกลับทับถมลงในหัวใจ
ท่านจะปล่อยข้าไปเช่นนั้นหรือ ท่านไม่ต้องการข้าแล้ว!
ยามแสงตะวันสาดส่องไม่มีแม้ดวงดาวจริงๆ เช่นนั้นหรือ !!!
สาวน้อยช้อนตามองคนบนหลังม้าที่หลังจากฟันเชือกขาดก็สอดดาบคืนฝักไม่หันมามองนางแม้แต่จะชายตา
เมื่ออีกฝ่ายเก็บอาวุธ เมลซาร์ก็ชักม้าถอยช้าๆ เขาไม่กล้าเหลือบองนาง กลัวใจจะคว้าและพากันลับหายไปในท้องทะเลทราย ซ่อนทรายไว้ในทะเลทราย ซ่อนดาวเอาไว้ในหมู่ดาวไม่ให้มีผู้ใดพบเจอ
คิยามองตามผู้ที่กำลังจะจากไป มองข้าซิ มองข้า หันมามองข้า บอกข้าว่าเม็ดทราย...ดวงดาวอยู่เคียงข้างเมื่อมีพายุ หากเขาไม่มองมา นางก้มลงมองเชือกขาดที่หล่นอยู่ข้างกาย มองตรงไปยังบิดาผู้เปรียบดังดวงตะวันให้ความอบอุ่นแก่นางมาตลอด เหลียวกลับไปมองม้าที่ขยับห่างออกไปทุกที
เตฮูติมองบุตรสาวที่ก้มลงคารวะอำลา คว้าเชือกพันธนาการที่ถูกตัดขาดวิ่งตามหัวใจของนางไป
ข้าอยากจะลองประลองศึกโดยใช้น้ำหวานของดอกไม้ดูสักที แต่ดอกไม้นั้นไม่ใช่ของข้า เจ้าเล่า เตฮูติ อยากจะลองดูหรือไม่ เจ้าที่มีดอกไม้งามอยู่ในมือ
“นี่เจ้ายังพาข้าไปเที่ยวไม่ทั่วเลยนะ จะมาทิ้งข้าไปได้เช่นไร”
เสียงใสที่ลอยมาตามสายลมเหมือนน้ำที่ให้ความชุ่มชื้นแก่หัวใจที่แห้งผาก เมลซาร์หัวเราะก้อง ชักม้ากลับไปรับดาวดวงน้อย เม็ดทราย อะไรก็ได้ที่นางอยากจะเป็น เราจะไปด้วยกัน ไปทุกทีที่อยากไป เก็บหัวใจจากพื้นทราย และจะรักษาไว้ตลอดไป
เมลซาร์กุมมือน้อยแตะไว้กลางหัวใจ ว่าเขาจะดูแลนางอย่างดี มองส่งขบวนของเตฮูติที่จากไปกับแสงตะวัน
แค้น แค้นใคร ใดเหมือน
เรื่องราว ความแค้น ของข้า
ถือไว้ ได้อะไร กลับมา
ปล่อยแค้น ทิ้งไป กับสายลม
เก็บรัก ผสมบ่มรัก
อ่อนหวาน เพียงฝัน ยามหลับ
ถนอมรัก เก็บไว้ กลางใจ
เติบใหญ่ แม้ใน พื้นทราย
ความคิดเห็น