ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    six to six ร้านสะดวกซื้อ

    ลำดับตอนที่ #2 : ยุคกลาง

    • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 52


    Six to six หกโมงเช้าถึงหกโมงเช้า หรือจะหกโมงเย็นถึงหกโมงเย็น แล้วแต่ท่านจะคิดว่าเวลาไหนจะเป็นเวลาเปิดบริการของเรา
     
    ระบบบริการอัตโนมัติ สิ่งที่ท่านนำเข้ามา ท่านนำออกไปได้ สิ่งที่ท่านจะนำออกไปกรุณาชำระเงิน ระบบจะทอนเงินให้ท่านโดย อัตโนมัติ หากไม่สะดวกชำระเป็นเงินสด เรายินดีรับชำระเป็นอย่างอื่นไม่ว่าบัตรเครดิต บัตรเงินสด เวลาของท่าน หรืออะไรก็ตามที่ท่านมี Six to six ยินดีให้บริการ
     
    Six to six ตอน ยุคกลาง
     
    “วันนี้มันวันอะไรของช้านนน” อัปสรร้องตะโกนก้องในห้องพัก
     
    เมื่อตอนค่ำครอบครัวของเธอออกไปร่วมงานเลี้ยงของเพื่อนทางธุรกิจของคุณพ่อ หลังจากนั้นเพราะเธอยังเด็ก เลยขอตัวกลับมาส่งเธอที่โรงแรมก่อน แล้วคุณพ่อกลับออกไปคุยธุรกิจต่อ หลังจากนั้นไม่นานคุณแม่ออกไปกับหนุ่มหล่อที่เจอกันในงานเลี้ยง ส่วนเธอ... เด็กสาวมองธนบัตรที่ถูกขยำเป็นก้อนในมือ ค่าปิดปากและทำตัวเป็นเด็กดี นอนซะ
     
    ชีวิตของเธอมันน่าอิจฉาตรงไหนกัน
     
    ไปเที่ยวต่างประเทศทุกปี มีของสวยๆ งามๆ นำสมัย แต่ไม่มีใครน่ะหรือ เรียนเก่งไป ผลสอบออกมา...เอ...รวด คุณพ่อคุณแม่หยิบยื่นเช็คให้เป็นการชื่นชม ฟ้าอยากให้พ่อแม่กอด ออกปากชม หรือยิ้มให้สักนิดมากกว่าฝากเช็คมากับป้าสมแม่บ้าน  เด็กสาวกอดตัวเองอย่างคนขี้เหงา
     
    รสา เดี๋ยวฉันจะซื้อของดีชั้นหนึ่งไปฝากเธอ เลือกจากห้างแฮรอดเลย เอาให้ยายหมวยตาตี่อย่างเธอตาโตเท่าไข่ห่าน เด็กสาวยิ้มหมายมาดเมื่อนึกถึงเพื่อนร่วมห้อง คู่แข่งคนสำคัญ ยายหมวยตาตี่นั่น ไม่เห็นจะมีอะไรดีแต่ทำไมพี่โรม หนุ่ม เด่น ดังประจำโรงเรียน ตามองไม่ห่างไม่เคยชายตามองใคร แม้แต่เธอ สาวสวย ดาวประจำโรงเรียน เรียนเก่ง สวย น่ารัก ชาติตระกูลดี ทำไมพี่โรมไม่มองเธอ ไปเฝ้ามองยายรสา ที่โง่ซื่ออย่างนั้น
     
    ถึงเธอจะถือว่ารสาเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งที่ต้องช่วงชิงความใส่ใจจากพี่โรมมาให้ได้ แต่รสาเป็นเพื่อน เพื่อนที่จริงใจให้เสมอ รสาจะบอกตรงๆ เลยว่าชอบไม่ชอบอะไร ไม่ประจบประแจง ไม่เคยเก็บเรื่องหยุมหยิมมาให้รกสมอง ยายคนสมองกลวง โดนปั่นหัวได้ง่ายๆ
     
    อย่างตอนที่โดนขโมยรายงาน เด็กสาวยิ้มกว้างยิ่งทำให้เงาที่เห็นสะท้อนในกระจกงามละลานตา
     
    โดนขโมยรายงาน ทำไมรสาจะไม่รู้ว่าฝีมือเธอ เจ้าหล่อนไม่พูดสักคำ แล้วเธอก็ไม่กล้าไปเซ้าซี้กวนใจต่อ เรื่องใช้กำลังนี่ล่ะที่เธอไม่ขอสู้ยายหมวยบู๊ลิ้มคนนั้น ขอยกธงขาวตั้งแต่ยังไม่เข้าสนามเลยแล้วกัน บางครั้งเธออดเหนื่อยแทนรสาไม่ได้ เจ้าหล่อนเคยหยุดอยู่นิ่งๆ บ้างไหม ซนเหมือนลิง
     
    เด็กสาวถอนหายใจ มองเงาของเด็กสาววัยแรกผลิที่ยังอยู่ในชุดกลางคืนสวยสมวัยใสๆ ปากแก้มคิ้วคางที่เห็น แม้แต่เพื่อนคุณพ่อที่เป็นชาติตะวันตกยังออกปากชมว่าเธองามเหมือนตุ๊กตากระเบื้องราคาแพง สูงค่า ยิ่งโตยิ่งสวย แล้วทำไมพี่โรมมองผ่านเธอไปมองยายตุ๊กตาฉีดจากพลาสติกตัวละสิบบาทขายตามงานวัดอย่างยายรสา
     
    ชอบพี่โรมไหม โธ่ ใครจะไม่ชอบพี่โรม หล่อ ล่ำ นักกีฬาสุภาพ ใจเย็น ยิ้มเสมอ ไม่ดุเลยแม้แต่ตอนที่ยายรสาอาละวาดใส่ เด็กสาวอดหลุดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้ ส่ายหน้ากับนิสัยเด็กๆ ของเพื่อนเธอ เข้าใจเล่นนะ วางระเบิดพริกไทยไว้ในผ้าเช็ดหน้าของพี่โรม
     
    นึกถึงพี่โรม จะมีหนุ่มไหนเฟอร์เฟกขนาดนี้อีกไหม นอกจากรูปกายแล้ว สมองยังดีอีก เรียนเก่ง เป็นถึงว่าที่ประธานนักเรียน แล้วทำไมคนดีเลิศอย่างนี้ถึงเมินไม่มองคนที่เป็นเลิศทางฝ่ายหญิงประจำโรงเรียนอย่างเธอ
     
    เด็กสาวแนบใบหน้ากับกระจกเย็นๆ หิมะตกแล้ว พรุ่งนี้คงขาวไปทั้งเมือง ร้านที่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่มุมตรงข้ามโรงแรมนั้นดึงดูดสายตา เธอไม่เคยสนใจจะมองมาก่อน แต่ตอนนี้ยามที่เธอเหงาเหลือเกิน ทำให้อดมองไม่ได้ ก่อนจะยิ่งสนใจมากขึ้น
     
    นั่นมันร้านสะดวกซื้อข้างโรงเรียนเธอนี่นา ไม่น่าเชื่อว่าร้านโนเนมอย่างนั้นจะมีสาขาที่นี่ด้วย ไฟกระพริบวิบวับสีเขียว ทำให้เธอรู้ว่านี่คือวันพุธ เหมือนกับเด็กโรงเรียนเธอทุกคนรู้ว่าร้านขายของที่เปิดตลอดเวลานั้น มีวิธีเรียกลูกค้าด้วยสีสันตามวัน
     
    ท่ามกลางความมืดแสงสีเขียวทำให้ร้านดูลึกลับอันตราย เข้ากับอารมณ์ของเธอตอนนี้ อัปสรตัดสินใจทันที จากหน้าโรงแรมเดินไปไม่ไกลเลย ยังไม่ถึงมุมถนนลับสายตาของพนักงานเปิดประตูด้วยซ้ำ
     
    ร้านที่สื่อถึงอีกร้านข้างโรงเรียน หวังว่าจะพาบรรยากาศเพื่อนๆ ที่เข้าไปหาซื้อขนมในร้านกลับมาให้เธออบอุ่นหัวใจบ้าง
     
    เด็กสาวสวมเสื้อโค้ดคว้ากุญแจห้อง ยังไงนั่นก็ร้านเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้ว คืนนี้อาจจะทั้งคืนที่คุณพ่อคุณแม่จะทิ้งให้เธออยู่คนเดียวเหมือนอย่างเคย
     
    เด็กสาวทาบมือลงบนบานประตูประจก คำ “ตลอดเวลา” ในภาษาอังกฤษทำให้เธอไม่รู้สึกเงียบเหงาอีกแล้ว ร้านนี้ เหมือนจะยืนอยู่ตรงนี้ เป็นเพื่อนเธอตลอดเวลาที่ต้องการ ทำไมเธอไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อนนะ
     
    เสียงเครื่องอัตโนมัติเจื้อยแจ้วเป็นภาษาอังกฤษหากถอดความแล้วไม่ต่างจากภาษาไทยที่ฟังจนคุ้นหู เด็กสาวปิดปากแอบหัวเราะ เดินหลบไปตามชั้นที่ไม่มีคน
     
    Six to six หกโมงเช้าถึงหกโมงเช้า หรือจะหกโมงเย็นถึงหกโมงเย็น แล้วแต่ท่านจะคิดว่าเวลาไหนจะเป็นเวลาเปิดบริการของเรา
     
    ระบบบริการอัตโนมัติ สิ่งที่ท่านนำเข้ามา ท่านนำออกไปได้ สิ่งที่ท่านจะนำออกไปกรุณาชำระเงิน ระบบจะทอนเงินให้ท่านโดย อัตโนมัติ หากไม่สะดวกชำระเป็นเงินสด เรายินดีรับชำระเป็นอย่างอื่นไม่ว่าบัตรเครดิต บัตรเงินสด เวลาของท่าน หรืออะไรก็ตามที่ท่านมี Six to six ยินดีให้บริการ
     
    เออหนอ เพิ่งตั้งใจฟัง จ่ายเป็นอะไรก็ได้ แล้วสิ่งที่อยากได้ล่ะ ทำไม ไม่ว่าคุณต้องการอะไร ทางเราจะจัดสรรให้บ้าง
     
    เหมือนร้านจะตอบสนองต่อเสียงพึมพำเบาๆ ของเธอได้ ข้างเสาที่ว่างเปล่า ปรากฏสีแพรวพราวเหมือนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ดึงดูดสายตา
     
    “คุณต้องการอะไร”
     
    คำที่ปรากฏสะดุดสายตา ถามเธอหรือ? หญิงสาวมองตัวอักษรพึมพำตอบเบาๆ
    “ได้ทุกอย่างจริงๆ นะหรือ”
     
    “ไม่มีอะไรที่เราจัดหาให้ไม่ได้ แต่ว่า สำหรับสินค้าพิเศษราคาต้องพิเศษเช่นกัน” ตัวอักษรวิ่งขึ้นโต้ตอบเธอ
     
    “นายรู้ไหม ฉันเป็นใคร”
    อัปสรตอบกลับไปอย่างเย่อหยิ่ง เปลือกเคลือบคุณหนูถูกดึงขึ้นมาด้วยความเคยชิน
    “ไม่มีอะไรที่ฉันจ่ายเงินซื้อไม่ได้ แม้แต่ร้านกระจอกๆ นี่”
     
    “ลูกค้าพิเศษของเรา”
    คำตอบเอาใจเหมือนเธอเป็นคนพิเศษ แต่ในอีกความหมาย เธอคือลูกค้าทั่วๆ ไปที่...ความต้องการของลูกค้า เป็นธรรมดาที่ร้านเราจะให้บริการ...ซะอย่างนั้น
     
    “ถ้าอย่างนั้น ฉันอยากเป็นที่รักที่ต้องการ”
     
    สีวิ่งวนเหมือนจะคิดไม่ตก ยังไงล่ะ! ในที่สุดฉันคือคนพิเศษ เธอจะมีอะไรมาเสนอฉันได้ ไอ้ร้านกิ๊กก๊อก!
     
    “ที่รักที่ต้องการอย่างนั้นหรือ” ตัวอักษรค่อยๆ มาเรียงต่อกันเหมือนจะไม่แน่ใจนัก
     
    “มันยากเกินไปหรือไง ถ้าอย่างนั้นฉันต้องการให้ฉันเป็นที่ต้องการ เป็นหนึ่งเดียว ว่ายังไงล่ะ สินค้าที่ฉันต้องการ” เธอถามอย่างนึกสนุก
     
    “ราคาของมันคือเวลาของเธอ ในที่ที่เธอไม่ต้องการ”
     
    หญิงสาวยิ้มหมิ่นที่มุมปาก เวลาที่เธอไม่ต้องการ มันมีมากมาย จะเป็นอะไรไปเล่า อย่างเวลานี้ เธอไม่เป็นที่ต้องการทั้งกับพ่อหรือแม่
    “ได้ เวลาที่ฉันไม่เป็นที่ต้องการมันมีเหลือเฟือ”
     
    “ไม่ใช่เวลาที่เธอไม่เป็นที่ต้องการ แต้มันคือเวลาที่เธอจะอยู่ในที่ที่เธอไม่ต้องการ” สีสันเน้นให้เห็นถึงความแตกต่าง
     
    “เวลาในที่ ที่ฉันไม่ต้องการหรือ”
    เด็กสาวทวนคำ ก็เวลานี้ไงล่ะ ช่วงเวลาที่เธอไม่อยากอยู่ ไม่เป็นที่ต้องการ ไหล่บอบบางไหวน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ
    “อะไรก็ได้”
     
    “เธออยากเป็นที่ต้องการขนาดไหน”
     
    ฮือม์ ขนาดไหนดี เธอมองผ่านกระจกใสของร้านออกไป สถาปัตยกรรมเก่าแก่ โบราณ ปราสาทหลังใหญ่ ทายาทสาวผู้ร่ำรวยเป็นที่หมายปอง เป็นที่ต้องการจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งอาณาจักร
    “อัศวิน ยุคกลาง”
     
    สิ้นเสียงหวาน จากปากอิ่มแดง แสงสว่างวาบจากจอตรงหน้าเธอกลืนกินร่างเธอไว้ อัปสรหลับตาทันทีโลกหมุนโคลงเคลง อัปสรร้องดุตัวเองในใจ คุณพ่อคุณแม่ ฟ้าไม่น่าหาเรื่องออกมาให้โดนจับเรียกค่าไถ่เลย พวกโจรมันจะทำอะไรกับฟ้าบ้าง
     
    ผลัวะ! เด็กหนุ่มผมทองหัวคะมำไปข้างหน้าเพราะแรงตบอย่างไม่ยั้งมือ
     
    “อะไรเล่า มาร์ค”
    เด็กหนุ่มหันไปต่อว่าคนที่มาทำร้ายเขา หน้าตาสีผมแทบจะเหมือนกัน หากเป็นภาคขยายที่ใหญ่กว่า ก็ นายมาร์คเป็นพี่ชายนี่
     
    “นายทำบ้าอะไรลงไปเจค”
    มาร์คถามน้องชายตัวแสบ จัดการส่งคนข้ามมิติตามใจชอบได้ยังไง ถึงแม้ว่าคติของร้านคือ ไม่มีอะไรที่คุณต้องการแล้วจะจัดหาให้ไม่ได้
     
    “อ้าว ขายสินค้าไง”
     
    พี่ชายเงื้อมืออีกครั้ง เจ้าน้องตัวแสบเผ่นแผล็วไปหลบอยู่อีกด้านของโต๊ะ
     
    “ฉันจะฟ้องแม่”
     
    “เรียกอะไรแม่จ๊ะ”
    เสียงหวานตอบมาทันใจ พร้อมกับการปรากฏร่างของสตรีวัยกลางคนในชุดราตรีสีดำ ยังมีแก้วเครื่องดื่มถือติดมืออยู่ เหมือนเธอเพิ่งจะ ผละมาจากงานเลี้ยงอย่างกะทันหัน
     
    มาร์คหันไปเล่าให้แม่ฟังอย่างรวดเร็ว ตาสีฟ้าครามที่มองมาทางเขาทำให้เจคเกร็งตัวเตรียมรับการลงโทษ ดวงหน้างามส่ายช้าๆ อย่างอ่อนใจ
    “คุณคะ”
    สิ้นเสียงเรียกบุรุษ ร่างสูงในชุดราตรีสโมสรเต็มยศก็ปรากฏกายขึ้นทันที
     
    “มีอะไร เจ้าเจคทำเรื่องยุ่งอะไรอีก”
    คนที่มาใหม่ เดาเรื่องได้ทันที เมื่อเห็นลูกชายสองคนยืนระวังกันและกันอยู่อย่างนั้น เรื่องถูกถ่ายทอดอีกต่อ
     
    “เราจะไปแก้ไขเรื่องนี้” มาร์คัส กุมมือภรรยาเอาไว้
    “เราจะไปตามเธอกลับมา”
     
    สายตาเข้มงวดสีดำจ้องไปที่บุตรชายคนเล็ก
    “เจค พ่อระอากับลูกมากแล้วนะ พ่อจะให้ป้ามาร์กาเร็ตอบรมลูก เตรียมตัวไปอยู่กับป้าสักปีได้แล้ว ระหว่างที่พ่อกับแม่ไปจัดการเรื่องยุ่งๆ ที่ลูกทำไว้”
     
    ก่อนหันหน้ามาทางลูกชายอีกคนยิ้มให้อย่างภูมิใจก่อนส่งสายตาเข้มงวดไปทางตัวก่อเรื่องอีกครั้ง
    “ในเมื่อพี่เขาต้องกลับไปโรงเรียน ระหว่างที่นายอยู่กับป้า นายต้องดูแลร้านไปด้วย”
     
    เขาบอกพร้อมกับโบกมือ
    “พ่อคงปล่อยให้ลูกทำอะไรตามใจไม่ได้อีก ขายแต่ของให้มนุษย์ธรรมดาไปแล้วกันนะ เจ้าตัวแสบ”
     
    ลูกชายเล็กหน้าม่อย ขณะที่พี่ชายยิ้มกว้างอย่างชอบใจ แม่ตรงเข้ากอดลูกทั้งสองก่อนก้าวไปจับมือคู่ครองเธอเอาไว้ ร่างสองสามีภรรยาหายวับไป
     
    “ระหว่างนายไปเตรียมตัวฉันจะดูแลร้านให้นายเอง”
    มาร์คไล่น้องชายออกไป ทรุดตัวลงนั่งแทนที่ แสงกระพริบของจอ ทำให้เขาต้องกดเรียกมันขึ้นมา ภาษาแปลกตา ทำให้ต้องกดปุ่มแปลงภาษาอีกครั้ง
     
    “เฮ้ ทำไมไม่ตอบฉันเสียทีนายเจค วันนี้นายขายอะไรไปแล้วบ้างล่ะ ฉันขายได้แต่หมากฝรั่งล่ะ”
     
    นี่มันสารจากประเทศทางตะวันออกนี่ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน กดเรียกดูประวัติพนักงาน
    พาร์ไทม์ พนักงานชั่วคราวที่ไม่มีเชื้อสายแม่มด เป็นไปได้ยังไง เธอทำงานที่ร้านของป้ามาร์กี้  ซึ่งอะไรก็เป็นไปได้
     
    “นายจะเจอเพื่อนฉันไหมนะเจค เขาไปเที่ยวที่ประเทศของนายล่ะ ถ้านายเจอ นายจะต้องหลงรักเข้าเต็มเปาเลยรู้ไหม ยายฟ้าเพื่อนฉันสวยมาก แต่ร้ายสุดๆ”
     
    ข้อความชวนคุยไหลเรื่อยมา มาร์คลากคีย์บอร์ดมาพิมพ์โต้ตอบ
    “นี่มาร์คพนักงานกะคนใหม่”
     
    “อ้าว ขอโทษค่ะ”
     
    “ไม่เป็นไร ยินดีคุยกับผมไหม ผมเพิ่งเห็นสาวชาติเดียวกับคุณเข้ามาใช้บริการร้านของเรา สวยมาก”
     
    “จะใช่เพื่อนฉันไหมน้า”
     
    มาร์คส่งรูปลูกค้าสาวน้อย คนล่าสุดที่เจ้าเจคก่อปัญหาไปให้ดู ถ้าใช่ คุณคงต้องเสียเพื่อนแล้วล่ะ พนักงานพาร์ทไทม์ จนกว่าพ่อแม่ผมจะหาวิธีเอาตัวเธอกลับมาได้
     
    “ยายฟ้าจริงๆ ด้วย”
     
     
     
                “วันนี้มันวันอะไรของช้านนน”
    อัปสรร้องตะโกนก้องเมื่ออยู่ๆ เธอก็หล่นปุ๊ลงกับพื้นแข็งๆ เด็กสาวยกมือคลำก้นไม่ได้สนใจกับเสียงหวีดว๊ายรอบตัว มือสัมผัสโดนผ้านุ่ม
     
    นุ่ม!
     
    เด็กสาวยกมือขึ้นมองทันควัน จำได้ว่าใส่ถุงมือนุ่มลงไปซื้อของด้วยนี่น่า ระหว่างเจรจากับเจ้าคนขายแสนกวนเธอไม่ได้ถอดถุงมือออกแน่ๆ แล้วทำไมเวลาถูกจับโยนออกมาจากร้าน โดนยึดถุงมือไปได้อย่างไร
     
    หากที่ปรากฏตรงหน้า มือเรียวบาง ของเธอ! หากมันเหมือนไม่ใช่มือของเธอ แหวนประดับบนนิ้วมือเปล่าเปลือยไร้ถุงมือ หัวแหวนใหญ่กว่าลูกอมที่เคยเล่นเอามาวางบนนิ้วเหมือนสวมแหวนตอนสมัยยังเด็ก
     
    แขนเสื้อประดับลูกไม้ถักด้วยมือละเอียดจนเธอต้องยกขึ้นมาเกือบชิดลูกตา ระหว่างร่องละเอียดเหมือนใยแมงมุมนั้น เธอเห็นใบหน้าแปลกหน้ามองมาอย่างกระวนกระวาย
     
    ทำไงดี! ทำไงดี! เด็กสาวร้องก้องในใจ นางเอกเวลาเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ทำยังไง
     
    เป็นลม!
     
    อัปสรร้องหวีด ก่อนทำตัวอ่อนล้มพับลง เด็กสาวแอบหยีตามอง ท่ามกลางเสียงหวีดว๊าย เธอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาใกล้จนอดทำตัวแข็งไม่ได้
     
    “เกิดอะไรขึ้น” เสียงห้าวดังอยู่เหนือศีรษะ เจ้าของเสียงคงเหนื่อยหน่ายจนไม่อาจบัดบังความระอาในน้ำเสียงได้
     
    อยากลืมตามอง อยากลุกขึ้นยืนเท้าเอวตวาดใส่หน้า ฉันเป็นใครนายรู้ไหม มาทำเสียงหงุดหงิดใส่ฉันได้ยังไง คนเป็นลมน่ะ คนเป็นลม รู้จักหรือเปล่า
     
    “คุณหญิงตกรถเป็นลมเจ้าค่ะ”
     
    คุณหญิง! ฉันไปเป็นคุณหญิงตั้งแต่เมื่อไร เด็กสาวแอบถามตัวเอง เชื้อสายสืบสาวได้ไกลถึงทวดเทียด มีบรรพบุรุษเป็นคุณหญิงหลายๆ คน แต่ไม่ใช่เธอแน่ๆ
     
    แล้ว...ตกรถ เธอถูกเจ้าคนขายเฮงซวยโยนออกมาจากร้านไม่ใช่หรือ
     
    “ไหนดูซิเป็นอะไรมากไหม” เสียงขยับไหวของเจ้าสัตว์ทรงพลังก่อนคนบนหลังจะลงจากอาชาคู่ใจ
     
    วิลเลี่ยมถอดถุงมือโยนให้คนใช้ประจำตัวคุกเข่าลงข้างๆแม่สาวจืดชืดที่เขารับบัญชาจากองค์กษัตริย์ให้คุ้มครองส่งให้ถึงที่หมายโดยปลอดภัย กว่าเขาจะไปถึงสำนักแม่ชีก็มืดค่ำแล้ว ต้องรีบเร่งเดินทางก่อนที่ศัตรูของพ่อเธอจะรู้และส่งคนมาดักชิงตัว
     
    เจ้าหล่อนหน้าตาเป็นยังไงไม่รู้ เห็นแต่ร่างบางๆ ที่รีบงุดๆ มุดเข้าไปในรถ ตามด้วยขบวนพี่เลี้ยงที่พ่อเธอจัดหามาให้
     
     อัศวินหนุ่มคุกเข่าลงข้างๆ ยื่นมือไปแตะข้อเท้าบอบบางท่ามกลางสายตาจ้องเขม็งของบรรดาพี่เลี้ยงของเจ้าหล่อน อาการแข็งขืนของข้อเท้าบอกให้เขารู้ว่าเจ้าของร่างอ่อนระทวยนั้น เจ้ามายา เจ้าหล่อนไม่ได้สลบไปเสียหน่อย
     
    ดังนั้นแทนที่จะหยุดมือเช่นสุภาพบุรุษควรทำ เขากลับเคลื่อนมือสูงขึ้น ขาบอบบางหดกลับฉับทันควัน ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
     
     ถ้าไม่คิดว่าทำสลบอยู่จะยันให้สักเปรี้ยง อัปสรเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นี่ดีนะว่าเป็นเธอ หากเป็นรสาได้ประทับส้น สองส้นแหลมๆ ลงกลางอกไปแล้ว หญิงสาวขยับเท้านิดๆ มันมีอะไรประหลาดๆ อีกอย่างที่เท้าของเธอ
     
     ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้ม ก่อนก้มลงมองร่างบางๆ ที่ซุกอยู่ในอกพี่เลี้ยง
     “ข้าว่าคุณหญิงคงไม่เป็นอะไรหรอกไม่มีร่องรอยกระดูกหัก มาข้าจะอุ้มนางเข้าไปในรถเอง พวกเจ้าเข้าไปเตรียมที่ให้นางดีกว่า”
     
     เพราะสลบอยู่อัปสรเลยทำอะไรไม่ได้ต้องยอมถูกชายที่ไม่รู้จักชื่อหากเหม็นกลิ่นม้ามาอุ้มเข้าไปโยนใส่รถ
     
     วิลเลี่ยมลองผลักประตูดูกลอน ไม่ได้หลวม คุณหญิงแอนหล่นลงมาได้อย่างไร นอกจาก...นางตั้งใจจะหนี
     
     “ลงกลอนประตูด้วย” เขาสั่ง “ระวังนายพวกเจ้าจะตกลงมาอีก”
     
     ก่อนหันไปสั่งทหารให้ระมัดระวังมากขึ้นไปอีก นางตั้งใจจะหนีไปหาใครกัน ใครคือชู้รักของนาง
     
     สายตาเกรี้ยวกราดที่ทะลุผนังรถเข้าไปได้ทำเอาอัปสรสะท้านเยือก หญิงที่เข้ามาอยู่ในรถก่อนรีบเอาผ้าห่มมาคลุมให้ เด็กสาวเลยถือโอกาสนอนสบายไป เสียงกุบกับของฝีเท้าม้า การโยกเหยกของรถลาก แล้วยัง...อัปสรลูบคลำเสื้อผ้า ไม่ใช่ชุดที่เธอใส่ออกจากห้อง ไม่ใช่ชุดของเธอเลยด้วยซ้ำ
     ฝันไป ฝันไปแน่ๆ
     
     
     
                อัปสรเหยียดตัวก่อนปิดปากจามออกมาเบาๆ ใครมาบังอาจก่อไฟแถวนี้ คนสวนใหม่หรือยังไง ไม่รู้หรือว่าเธอแพ้ควันไฟ เด็กสาวจามอีกหลายที นั่นไงน้ำมูกเริ่มมาแล้ว แล้วทีนี้เธอจะจมูกแดงหมดสวยกันพอดี
     
                จมูกยุกยิก เมื่อสัมผัสกับสิ่งที่เธอเอามาปิดปากปิดจมูก ไม่ใช่ผ้าห่มบนเตียงเธอ เด็กสาวลุกพรวด ก่อนกรี๊ดดังลั่นเมื่อเห็นชัดว่าที่คลุมร่างเธอมันคือขนสัตว์ ขนสัตว์ที่ยังมีหัวด้วย เจ้าสัตว์มีเขี้ยว แยกเขี้ยวใส่เธอ
     
                ฝาข้างหนึ่งถูกกระชากเปิดออก ลมหนาวกรูเกรียวเข้ามา พร้อมหมียักษ์กากเล็บแหลมยาว อัปสรกรี๊ดจนสุดเสียง หวิวๆ เห็นลูกบอลเล็กๆ หลากสีร่วงลงมาผ่านหน้า ก่อนจะตามด้วยกล่องบรรจุหล่นโครมลงใส่ศีรษะ ทำให้ทุกอย่างมืดสนิท
     
                “อ๊าก เสียงดังจริง แม่คุณ”
    ชายหนุ่มยกมือข้างที่ว่างปิดหู มองสตรีผู้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตาเหลือกลานก่อนสิ้นสติไปอีกครั้ง เสียงบุกสวบสาบตรงมาอย่างเร่งร้อน อัศวินหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก บรรดาพี่เลี้ยงของนางกลับจากการทำธุระส่วนตัวแล้ว
     
                “คุณหญิงเป็นลมไปอีกแล้ว” เขาบอกยักไหล่ใส่สตรีทั้งสองที่ตีหน้ายักษ์ใส่เขา
     
    “ท่านทำอะไรคุณหญิงของข้า เซอร์วิลเลี่ยม”
     
    “ข้า...ทำอะไร” เขามองตามสายตานางไปที่ดาบที่เขาชักออกจากฝัก
    “อ๋อ! คุณหญิงของพวกเจ้าร้อง ข้าเกรงว่าจะมีสัตว์ร้ายจู่โจมนาง”
    ชายหนุ่มเก็บดาบ เปิดทางให้สตรีทั้งสองปีนขึ้นรถไปดูแลนายหญิงของพวกนาง
     
    “ข้าต้องการน้ำ”เสียงเข้มงวดสั่งมา
     
    วิลเลี่ยมยักไหล่อีกครั้ง ร้องสั่งเด็กรับใช้ประจำตัวให้มาคอยรับใช้บรรดาเลดี้
     
    กลุ่มทหารและอัศวินที่ถือโอกาสพัก ก่อไฟ นำเสบียงที่ติดมาอุ่นกินพอชายหนุ่มเดินกลับมา เพื่อนอัศวินก็ส่งอาหารยัดใส่มือ
     
    “อะไร” ชายหนุ่มถลึงตาถาม
     
    “อาหารของพวกนาง” คนส่งให้ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง
     
    แทนที่จะรับอาหารไปชายหนุ่มกลับทรุดตัวลงนั่ง หยิบอาหารส่วนของตนมากินต่อ
     
    “เจ้าเอาไปให้นางแทนเถอะ”
     
    พวกทหารหนุ่มๆ ซุบซิบกันแล้วหัวเราะ หากแต่รีบก้มหน้าเงียบเมื่อเซอร์วิลเลี่ยมจ้องหน้า อัลแลนสไคว์ของวิลเลี่ยมลุกเอาอาหารไปให้บรรดาเลดี้แทนพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
     
    “ท่านทำอะไรให้นางตกใจ”
     
    อีกแล้วคำถามนี้ เขาไปทำอะไรให้ แค่เปิดประตูเข้าไปนางก็ร้องราวกับเขาเป็นไส้เดือนกิ้งกือ แล้วยังสีหน้าหัวเราะของบรรดาทหารเหล่านี้อีก
    “ข้าไม่ได้ทำอะไร”
     
    สักพักอัลแลนก็เดินกลับมาพร้อมเสื้อคลุมสุนัขป่าสีขาวของเซอร์วิลเลี่ยม สีหน้าของสไคว์หนุ่มปั้นยาก จะยิ้มหรือจะไม่ชอบใจคละเคล้ากันไป
     
    “เลดี้แอนไม่ชอบหัวสุนัขป่าขอรับ นางขอให้ข้าเอามันออก”
     
    เท่านั้นก็เลือดขึ้นหน้าอัศวินหนุ่ม วิลเลี่ยมกระชากเสื้อคลุมกลับไป
    “ถ้าเช่นนั้นก็ให้นางหนาวตายไปเถอะ”
     
    เขาไม่เคยเจอเลดี้ที่ไหนที่ทำเรื่องให้ยุ่งยากมากเท่านางมาก่อนเลยขนาดเพิ่งร่วมทางกับนางได้ไม่ถึงวัน ตกรถม้า แกล้งสลบ และที่สำคัญ มารังเกียจเสื้อคลุมขนสุนัขป่าสีขาวที่เขาฆ่ามันด้วยมีดเล่มเดียวเพื่อช่วยชีวิตญาติของกษัตริย์ ทรงสั่งให้ทำเป็นเสื้อคลุมพระราชทานมาให้
     
    “วิล หากนางเป็นอะไรลงไป...”
    อัศวินอาวุโสกว่าเตือนสติถึงความสำคัญของคุณหญิงแอน หรือจริงๆแล้ว พ่อของนางมาร์ควีสวอนเดล ที่ปรึกษาคนสนิทของกษัตริย์ ขุนนางสูงวัยมีบุตรสาวเมื่ออายุมากแล้ว มารดาของนางนำนางมาหลบซ่อนตัวอยู่ในสำนักนางชี ถึงนางจะเป็นเพียงบุตรนอกกฎหมาย หากตอนนี้ ด้วยการถวายฎีกาของขุนนางผู้เฒ่า นางคือคุณหญิงแอน ทายาทของทรัพย์สินและบรรดาศักดิ์ของเขา ที่นางจะส่งต่อไปยังบุตรชายของนาง
     
    “เอาผ้าห่มของเจ้าไปให้นาง” วิลเลี่ยมสั่งสไคว์ ก่อนส่งเสื้อคลุมหมาป่าให้เด็กรับใช้นำไปเก็บ
     
    อัปสรเขี่ยผ้าห่มเหม็นอับไปทางหนึ่ง มือถือขนมปังแข็งๆ มีเนื้อย่างแห้งๆสอดไส้ อร่อยไหมก็อร่อย แต่มันดูธรรมดาเกินไปสำหรับคุณหนูอย่างเธอ เกิดอะไรขึ้น
     
    เด็กสาวกอดเข่า ปล่อยตัวโยกไปตามจังหวะการเคลื่อนที่ของรถ เธอถูกลักพาตัว หรือถูกใครล้อเล่น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กระทั่งภาษา สำเนียงที่ได้ยิน ก่อนแอบชำเลืองมองหญิงสาวสองคนที่เข้ามานั่งเป็นเพื่อน สีหน้าร้อนใจของพวกเธอและคำกระซิบพูดคุย ...นี่คือยุคกลาง ย้อนจากชีวิตปัจจุบันของเธอเป็นร้อยๆ ปี อาจจะพันปี
     
    ไม่หรอกน่า ไม่ใช่ นี่ต้องเป็นเรื่องตลกที่คุณพ่อคุณแม่จัดการเพื่อปลอบใจที่ทิ้งเธอไว้คนเดียวเป็นแน่ เด็กสาวก้มลงซบหน้าแอบเช็ดน้ำตากับกระโปรงผ้านุ่ม แต่ว่า ความคิดเรื่องการย้อนยุค เริ่มทับถมเข้ามาในความคิดของเธอมากขึ้นทุกที
     
    ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร ไหล่บอบบางสั่นสะท้าน เธอไม่ได้ปฏิเสธผ้ามีกลิ่นอับๆ ที่ถูกหญิงสาวคนหนึ่งดึงมาคลุมไหล่อีกครั้ง หนาว หนาวเหน็บ การหยิ่งไม่ได้ช่วยให้เธออุ่นขึ้นหรอก น้ำในถุงหนังที่ถูกส่งมาให้ดื่ม มีกลิ่นหนังสัตว์ แต่ดีกรีของแอลกอฮอร์บาดคอล้างคำบ่นของเธอไปได้ อัปสรกระแอมกระไอจนหน้าแดงแสบปอดไปหมด และไม่มีใครสนใจเธอ แม้แต่หญิงสาวสองคนที่เหมือนจะเป็นห่วงเป็นใยเธอยังเอาแต่ยิ้ม ฮึ่ม ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ
     
    เด็กสาวแอบมองลอดแผ่นหนังบังหน้าต่างออกไป หากแรงลมที่พัดเข้ามาทำให้ไม่ได้มองอะไรมากนักก็ต้องหลบเข้ามานั่งเงียบอีกครั้ง โอ๊ย อึดอัด คุณพระคุณเจ้าบอกอะไรหนูหน่อย เกิดอะไรขึ้น!!!
     
    เมื่อรถหยุดเธอถูกต้อนลงจากรถขนาบข้างด้วยหญิงสาวเพื่อนรวมรถทั้งสอง ตรงเข้าไปสู่ห้องเล็กๆ ที่มีเตาผิงจุดไฟไว้เรียบร้อย หากก่อนที่จะถูกประคองเข้าไปในชายคาของบ้าน เธอเหลือบมองเห็นป้ายทาสีฟ้าโดดเด่น six to six
     
                อัปสรรับผ้าเนื้อหยาบชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตัวเท่าที่สามารถทำได้ภายใต้สายตาจับจ้องของหญิงสาวคู่นั้น ฉันทำกรรมอะไรถึงได้เจออะไรอย่างนี้ อัปสรบ่นอุ๊บอิ๊บในใจ เสียงเคาะประตูดังๆ อลิซเดินไปเปิดประตู ก่อนเดินกลับมาบอกเธอ
     
    “เซอร์วิลเลี่ยม เชิญคุณหญิงไปรับประทานอาหารเย็นเจ้าค่ะ”
     
    เด็กสาวกางแขน มองเสื้อผ้าก่อนทิ้งแขนลงอย่างปลงอนิจจัง เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ลงไปกินข้าวข้างล่างก็ได้ ดีกว่าอุดอู้อยู่ในห้องอย่างนี้ อย่างน้อยๆ เธอจะได้ลงไปดูให้เห็นชัดๆ อีกครั้งว่า นี่มันความจริงหรือความฝัน
     
                อัปสรลงไปพร้อมพี่เลี้ยงสองสาวที่เธอเล็งเอาไว้เป็นเกราะป้องกันทุกกรณี ถ้าเธอต้องติดอยู่ในโลกนี้ ถ้าโลกนี้มันเป็นความจริงนะ สองสาวแยกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งหลังจากมาส่งเธอไว้กับนายโหด
     
    เหอะ! ใครที่ฆ่าสุนัขเอาเพื่อมาทำเสื้อคลุมนะ โหด ใจดำชาเย็น ไม่มีหัวใจ ไม่รู้หรือยังไงว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ที่สุด เป็นเพื่อนแท้ยามยาก ถ้าเธอติดอยู่ในโลกนี้จริงๆ ถ้า...มันเป็นความจริงนะ จะมีใครสนใจเจ้านโปเลียนของเธอไหม หรือมันจะกลายร่างเป็นกล่องทิชชู หรือหมอนกอดไปล่ะ ยิ่งคิด เด็กสาวยิ่งทวีความไม่ชอบหน้าท่านเซอร์ใจดำคนนี้มากขึ้นไปอีก
     
                ทันทีที่เธอลงนั่งอาหารถูกยกมาเสิร์ฟทันที มีดเล็กถูกดึงออกมาเฉือนเนื้อออกจากไก่อบทั้งตัวจับเข้าปาก อัปสรอยากจะเป็นลม
     
                “มีดของท่าน คุณหญิง หรือจะให้ข้าช่วย”
                มือว่องไว ปาดเนื้ออีกชิ้นส่งให้ ถึงไม่อยากรับแต่กลิ่นหอมๆนั่นทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเธอเดือดพล่าน ยังไงก็ต้องกินเอากำลังไว้ก่อน เด็กสาวค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบมาเข้าปาก รสหวานของเนื้อผสมกับเครื่องเทศเคล้าเกลือเรียกน้ำลายสอออกมา อร่อยกว่าไก่อบไก่ย่างที่เคยกิน ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในโรงแรมเล็กโดดเดี่ยวห่างไกลผู้คน
     
    กริยากระร่อยกระริบกินคำเล็กๆของสตรีที่นั่งข้างกายทำให้วิลเลี่ยมต้องบรรจงตัดชิ้นเนื้อให้เล็กเพียงคำส่งให้ เฮ้ย ถึงไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาในปราสาทใหญ่ข้าทาสบริวารพรั่งพร้อม หากบุตรีของท่านมาร์ควีสนางนี้มีกิริยามารยาทสมเป็นกุลสตรียิ่งกว่าบางนางที่เขาเคยพบเสียอีก
     
    อัปสรปฏิเสธเครื่องดื่มที่ถูกยื่นส่งให้ แค่ได้กลิ่นเธอก็เมาเสียแล้ว เจ้าของโรงแรมยกเครื่องดื่มใหม่มาให้ รอยยิ้มเห็นใจและแววตาแปลกๆ ของเจ้าของโรงแรม สะกิดความสนใจ และไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น เซอร์วิลเลี่ยมเอื้อมมือมาหยิบฉวยแก้วไปจากมือเธออย่างไร้มารยาท
     
    “นี่อะไร” ชายหนุ่มหันไปถาม
     
    “น้ำต้มเจ้าค่ะ ข้าเห็นคุณหญิงไม่ดื่มเหล้า” นางระร่ำระลักบอก
     
    อัปสรไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อคนร่วมโต๊ะของเธอยกแก้วขึ้นดมๆ แล้วยกดื่มก่อนส่งมาให้เธอ
    “ขอแก้วใหม่ได้ไหม” หญิงสาวหันไปขอภรรยาเจ้าของโรงแรม
     
    “ไม่ต้อง ถ้าท่านไม่กินแก้วนี้ก็ไม่ต้องกิน” เสียงห้าวบอกมาเย็นเฉียบ ตาจ้องหญิงเจ้าของโรงแรมเขม็ง
     
                “ก็ได้” อัปสรยกแก้วขึ้นดื่ม รสชาติน้ำเรียกความสดชื่นขึ้นมา คนนำน้ำมาให้เดินกลับไปตอนที่เดินผ่านรู้สึกไปเองหรือเปล่าที่เหมือนจะถูกตบหลังปลุกปลอบใจเบาๆ เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันโดนแกล้ง คุณต้องรู้ซิโรงแรมนี้ชื่อ SIX to SIX ไม่ใช่หรือ
     
    วิลเลี่ยมเห็นสายตาละห้อยที่มองตามหลังหญิงวัยกลางคนไป ชายหนุ่มร้องสั่งตามหลังไป
    “เอาน้ำต้มของเจ้ามาให้คุณหญิงอีก”
     
    “เจ้าค่ะ”
     
    นางเป็นลูกค้าของเรา
    ไม่ใช่ของเรา นางเป็นลูกค้าของร้านสาขาอื่น
     
    แต่นางไม่ควรถูกทิ้งไว้ที่นี่
    เจ้าอย่ายุ่งเลยนา เดี๋ยวผู้ดูแลสาขาที่นางทำสัญญาก็จะมานำนางกลับไปเอง
     
    แล้วเมื่อไรล่ะ เมื่อไรเขาจะมาหานางเจอ
    ถ้าเจ้าไม่สบายใจ ข้าจะส่งข่าวของนางแจ้งไปยังสาขาอื่นๆ
     
    ขอบใจ
     
    เสียงดังวิ๊งๆ ดังแผ่วๆ ใกล้ๆ หู จะมีคนมาช่วยเธอหรือไม่ เขาพยายามจะช่วยเธอใช่ไหม
     
                นอกจากน้ำเธอยังได้ผลไม้ตากแห้ง หากเนื้อนุ่มมาชิม ขณะที่เค้กเนื้อหยาบที่ถูกยกออกมาหายเรียบไปในพริบตา อัปสรกระพริบตาปริบๆ เธอเพิ่งรู้นะนี่ว่าผู้ชายตัวใหญ่ๆ ชอบกินเค้ก
     
                “พรุ่งนี้เราจะเดินทางแต่เช้า ท่านควรจะรีบขึ้นไปนอนได้แล้วคุณหญิง”
     
    วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นลูกน้องเขาเริ่มเมาแล้ว พากันกอดเกี้ยวนางเสิร์ฟที่ใส่เสื้อคอคว้านต่ำ แม้แต่พี่เลี้ยงสองนางของคุณหญิงแอนยังถูกเกี้ยวพา สตรีทั้งสองหน้าหน้าแดงขวยเขินกับความปากหวานของลูกน้องเขา
     
                อัปสรเหลียวมองไปรอบๆ ก่อนจะกอดตัวเองเอาไว้เด็กสาวรีบลุกขึ้น อยากไปให้พ้นจากที่นี่ อยากกลับไปบ้านของเธอ วิลเลี่ยมเดินไปส่งสุภาพสตรีทั้งสามนางถึงหน้าห้อง ไว้ใจไม่ได้ว่าระหว่างที่เดินขึ้นมาตามลำพังแต่สตรีจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
     
     
                แผ่นผ้าหนาที่บังช่องหน้าต่างสะบัดพึ่บพั่บ แล้วยังเสียงหวีดหวิวของลมอีก หลับไปได้ยังไง เด็กสาวจากยุคคอมพิวเตอร์ที่เกือบจะแน่ใจว่าเธอพลัดตกหลุมของห้วงเวลามาโผล่ที่ยุคบาบีเลี่ยนป่าเถื่อน
     
    แต่ยังก่อน เธอยังไม่ถอดใจขอให้มีความหวังอีกสักนิด เสียงกรนดังจากสองข้างตัว หญิงพี่เลี้ยงต่างซุกกายอยู่ข้างๆ ในชุดแนบเนื้อ ถึงจะไม่ชอบคนมานอนด้วย ในฐานะของบุตรสาวของผู้มีอันจะกิน ฮือม์...เหลือกินเหลือใช้มากกว่า อัปสรไม่เคยต้องนอนร่วมห้องกับใครอย่าว่าแต่จะร่วมเตียง 
     
    หากแต่อากาศหนาวอย่างนี้ถ้าเธอไล่สองสาวนี่ออกไปเธอก็บ้าล่ะ เด็กสาวได้แต่ถอนหายใจ นอนไม่หลับ ไม่อยากลุกจากกระไออุ่นของคนนอนข้างๆ แต่สายตาของหญิงเจ้าของโรงแรมเมื่อหัวค่ำมาสะกิดเตือน มีวิธีช่วยเธอใช่ไหม ยามดึกสงัดเช่นนี้ ยังจะรอเธออยู่ใช่ไหน ถ้าไม่ลุกจากที่นอนอุ่นๆเดี๋ยวนี้เธอจะไม่ได้กลับบ้าน ความคิดนี้ดึงดันตัวให้พ้นออกจากเตียงมาได้ เมื่อเธอลุกออกมา สองสาวพี่เลี้ยงขยับเข้าหาไออุ่นของกันและกันโดยอัตโนมัติ ซวยล่ะซิฉัน กลับมาจะแทรกเข้าไปนอนได้ยังไง แต่เรื่องนี้ไว้คิดกันทีหลัง
     
    เด็กสาวย่นจมูกใส่เจ้าหนังหมาป่าที่ทิ้งกองเอาไว้ที่เก้าอี้ นายป่าเถื่อนคนที่พาเธอมาส่ง ส่งเจ้าชิ้นส่วนของสัตว์ที่น่าสงสารมาให้ตามด้วยสายตา ถ้าเธอไม่รับเขาจะถลกหนังเธอเอาไปปูบนหลังม้าอย่างนั้นล่ะ
     
    อัปสรลูบขนนุ่มๆ ก่อนจะซุกมือเข้าไปหาไออุ่น สีขาวเหมือนเจ้านโปเลียนที่บ้าน ถ้าเธอไม่กลับจะมีใครเอามันไปฆ่าถลกหนังปูบนพื้นให้ใครๆเหยียบย่ำเล่นไหม
     
    “โปโป้ ฉันจะเรียกแกอย่างนี้แล้วกัน” เสียงหวานใสเอ่ยเบาๆ ก่อนจะนำเจ้าโปโป้คลุมรอบตัว อบอุ่นกายและหัวใจ เธอจะมีเพื่อนที่จะคุ้มครองเธอ อย่างน้อยๆ ตอนนี้จากความหนาว
     
    เสียงหวานที่ดังท่ามกลางความมืดปลุกให้อัศวินหนุ่มรู้สึกตัว เสียงใสๆ ของเด็กสาว ใกล้ๆ แถวนี้ ใคร? ยังไม่ทันคิดต่อ เสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ดังขึ้นในห้อง อัศวินหนุ่มถอนหายใจแรงๆ แม่ตัวยุ่ง ดึกแล้วยังไม่หลับไม่นอน
    ก่อนจะแกล้งกอดอกหรี่ตารอ เดี๋ยวต้องออกมา
    แล้วจะไปไหน
    มีคนรู้จักแถวนี้
    ใคร
    หรือเจ้าของโรงแรมจะเป็นไส้ศึก ศัตรูของท่านมาร์ควีสได้ข่าวทายาทคนงามนี้แล้วหรือ
     
    ถึงไม่อยากจะชมแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บุตรีท่านมาร์ควีสแห่งวอลเดลนางนี้งามเยี่ยมจริงๆ ผิวอ่อนนุ่ม ผมเป็นเงางามแถมยังหอมติดจมูก หากแต่เธอคือของต้องห้ามสำหรับเขา บุคคลที่คู่ควรกับเธอต้องมีกำลังและทรัพย์สินที่กษัตริย์พอพระทัย
     
    ประตูถูกเปิดแง้ม หัวสีขาวของหมาป่าโผล่ออกมาก่อน อัศวินหนุ่มแอบยิ้ม เขาได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นเสียงกระแอมกระไอกลบเกลื่อนใช่ไหม ถึงจะรำคาญลูกน้อง แต่ก็อุ่นใจที่ลูกน้องเขาต่างรู้สึกตัวแล้ว
     
    อัปสรลังเลเมื่อได้ยินเสียงกระแอม แต่ก็ดังแค่นั้น เด็กสาวเพ่งมองเงาตะคุ่มที่ระเกะระกะอยู่หน้าห้อง กลัวเธอจะหนีหรือยังไงถึงมานอนเฝ้าหน้าห้องอย่างนี้ เด็กสาวรวบชายกระโปรงและเสื้อคลุมขึ้นสูงก่อนก้าวเขย่งเดินข้ามไปที่บันได ก่อนรีบสะบัดกระโปรงลงคลุมขา หนาวชะมัด
     
    วิลเลี่ยมถึงกับตะลึงเมื่อร่างบางๆ นั้นยกชายกระโปรงขึ้นสูงเผยให้เห็นเรียวขาสวย นางก้าวย่างเหมือนเต้นระบำผ่านคนของเขาไปถึงบันไดได้ ชายหนุ่มโบกมือห้ามเมื่อคนของเขาขยับลุก กระชับดาบในมือ ก่อนจะย่องตามนางลงไป นางไปที่ใด นางคือธิดาของท่านมาร์ควีสตัวจริง หรือนางเป็นเพียงนางนกต่อที่ฝ่ายตรงข้ามนำมาสับเปลี่ยนตัว
     
    ความหวาดระแวงเริ่มเข้ามาในความคิดของอัศวินหนุ่ม หากนางเป็นนางนกต่อจริง เขาจะทำให้ชาตินี้ทั้งชาตินางต้องจดจำว่าอย่าบังอาจมาหลอกลวงคนอย่างเขา
     
    ชั้นล่างไม่มีใคร อัปสรดึงเสื้อคลุมรอบตัวให้กระชับเข้าไปอีก เสียงลมยังหวีดหวิวอยู่ภายนอก เธอจะออกไปข้างนอกทำไม ไม่ใช่คนโง่ เด็กสาวเหลียวมองรอบตัวอีกครั้ง ไม่มีใครไม่มีอะไร เก้าอี้ถูกยกไว้บนโต๊ะ เงียบ สะอาด แปลกประหลาด ได้แต่ถอนหายใจ ชีวิตเธอจะมีอะไรประหลาดอีกล่ะ เหลียวมองรอบๆ อีกครั้ง ก็ต้องออกแรงยกเก้าอี้ตัวใหญ่ลงมานั่ง เฮ้ย หนักฉิบ อัปสรกัดลิ้นเอาไว้ไม่ให้สบถคำแรงๆ ออกมา
     
    วิลเลี่ยมซ่อนตัวมองเด็กสาวยกเก้าอี้ลงมานั่ง เขาอมยิ้มขันๆ เก้าอี้นั่นคงหนักมากล่ะซิ เขาสังเกตจากสีหน้า แล้วสาวน้อยก็นั่งขดอยู่บนนั้นมีเสื้อคลุมของเขาห่อรอบกาย
     
    เงาตะคุ่มตัดผ่านหน้าไปถือไม้อันใหญ่อยู่ในมือ ก่อนที่เด็กสาวจะถูกทำร้ายวิลเลี่ยมก็หยุดชายคนนั้นได้ อัปสรตัวแข็ง เธอเพิ่งเคยเห็นการต่อสู้ใกล้ๆ ก็ครั้งนี้ล่ะ เสียงตุ้บตั้บ แล้วผู้พิชิตก็นั่งกดอยู่บนหลังตัวร้าย
     
    “ข้าคือริชาร์ดเจ้าของโรงแรมนี้เจ้าโจรถ่อย” เสียงชายร่างใหญ่ที่อยู่เบื้องล่างดังสนั่น
     
    วิลเลี่ยมเงยหน้าขึ้นมองหญิงกลางคนภรรยาเจ้าของโรงแรมที่ปิดปากอย่างตกใจ ก่อนมองขึ้นไปที่บันได ลูกน้องของเขาพร้อมรับการโจมตี
     
    “ท่านจะปล้น six to six หรือ นายท่าน”
     
    คำถามเรียบๆ ของหญิงวัยกลางคนตรงหน้าคนที่เธออยากพบ สำนวนแปลกๆ และ six to six ร้านค้าประหลาด เด็กสาวเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง เธอไม่เคยคิดว่าจะมีใครกล้าปล้นร้านที่ติดชื่อว่า six to six
     
    “ข้าดีใจที่ท่านหัวเราะได้คุณหญิง” น้ำเสียงเขาไม่ได้บอกว่ายินดีเลย “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าถึงจะทำร้ายนาง”
     
    “ข้าคิดว่านางคือหมาป่า”
     
    คำตอบของเจ้าของโรงแรมเรียกสายตาทุกคู่มายังเสื้อคลุมบนร่างสาวน้อยอีกครั้ง อัปสรแทบจะแทรกเข้าไปอยู่เป็นเนื้อเดียวกันกับเสื้อคลุม เอ็มม่าภรรยาเจ้าของโรงแรมจุดไฟอุ่นซุปที่เหลือเมื่อตอนเย็น เป็นอาหารมื้อดึกให้หนุ่มๆ อัปสรได้นมร้อนมาถ้วยโต เมื่อเธอตอบคำถามว่าลงมาทำไมด้วยคำตอบว่าเธอหิว
     
    วิลเลี่ยมจับตามองเด็กสาวในความคุ้มครองของเขา เธอเพียรสบตาหญิงเจ้าของโรงแรม มีอะไรอย่างนั้นหรือ
     
    “เจ้าต้องการอะไร”
    เสียงถามทำเอาเด็กสาวสะดุ้ง
     
    “ข้าอยากกลับบ้าน”
     
    “เรากำลังพาเจ้ากลับบ้านนี่ไง”
     
    “บ้าน...บ้าน” ปากอิ่มถูกขบเบาๆ ดวงตารวดร้าวของนางจะทำให้หนุ่มๆ อีกหลายคนใจสลาย แต่ไม่ใช่เขาแน่
     
    “ท่านไม่เข้าใจ” ศีรษะเล็กๆสะบัดไปมา เธอจะบอกได้ยังไงว่าเธออยู่มิติอีกห้วงเวลาหนึ่ง ขืนบอกไป เธอได้ถูกจับส่งโรงพยาบาลบ้านะซิ
    “ขอนมอีกแก้วได้ไหม”
     
    เอ็มม่ากระวีกระวาดมารับแก้วใบใหญ่ไปเติมนมร้อนๆ มาให้
    “ไม่เป็นไรนะคะคุณหญิง สิ่งที่ผิดพลาดจะถูกแก้ไขค่ะ คุณหญิงจะได้กลับบ้าน”
     
    ดวงตาสดใสขึ้นทันควัน จุดความสงสัยของอัศวินหนุ่มอีกครั้ง มีอะไรผิดพลาดในงานครั้งนี้ของเขาหรือ ชายหนุ่มเดินตามหญิงวัยกลางคนไป
    “ที่เจ้าพูดกับนางหมายความว่าเช่นไร”
     
    ดวงหน้ากลมอิ่มหันมามองอย่างฉงนก่อนจะยิ้มกว้าง นางลดเสียงเป็นกระซิบกระซาบ
    “นางเป็นทายาทหญิงใช่ไหมเจ้าคะ ถูกหลบซ่อนเพื่อความปลอดภัยของนาง นางกำลังจะกลับบ้าน ข้าเพียงแต่ปลอบใจนาง” มีความอบอุ่นมากมายในดวงตานั้น
    “โรงแรมของข้าเป็นที่พักค้างของขบวนอัศวินมากมายนายท่าน มีทายาทหญิงหลายนางได้ผ่านมาให้ข้าได้รับใช้ ทั้งที่กำลังกลับบ้านและจากบ้านของนางไปสู่บ้านสามี”
     
    “ข้าหวังว่าเจ้าจะหมายความตามที่พูดนะ” วิลเลี่ยมพูดกับนางเบาๆ ก่อนเดินออกมา
     
    หญิงเจ้าของโรงแรมได้แต่ยิ้มรับคำข่มขู่ เจ้าขู่ใครเจ้าหนุ่ม อย่าว่าแต่ลูก แม้แต่หลานคนเล็กของข้ายังแก่กว่าเจ้า เจ้าหนุ่มน้อย
     
    นางทอดสายตามองเด็กสาวที่นั่งโดดเดี่ยวอย่างกังวล ยิ่งนางใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเท่าไร รอยต่อของมิติยิ่งแปรผัน นางเป็นลูกค้าของสาขาไหน ทำไมข่าวที่นางส่งไปยังไม่ได้รับการตอบรับ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ยิ่งมองเห็นอัศวินหนุ่มพาสาวน้อยนางนั้นขึ้นบันไดไป สาวน้อยนางนั้นงดงาม งามพอที่จะล่มเมืองได้เลยเชียวล่ะ
     
    “มีปัญหาอะไรอีก” วิลเลี่ยมถามอย่างหงุดหงิดเมื่อร่างในชุดคลุมหมาป่าของเขายังยืนลังเลอยู่หน้าห้อง
     
    “ฉันเข้าไปแทรกตรงกลางไม่ได้ นางนอนกอดกัน” เธอเงยหน้าบอกเบาๆ ช้อนดวงตาขึ้นอ้อน เฮ้ยพ่อหนุ่มป่าเถื่อนนี่จะใจดีเข้าไปช่วยเธอไหม
     
    ชายหนุ่มนิ่งขึง จะให้เขาไปช่วยเธอ ให้ไป...อาไม่อยากนึกภาพ
    “ท่านคงต้องช่วยตัวเอง คุณหญิง”
     
    เกิดอะไรขึ้นกับ...ฉัน เดี๋ยวนี้การบริหารเสน่ห์ของเธอถึงใช้ไม่ได้ผลเอาเสียเลย ไม่ว่าจะกับหนุ่มคนไหน อัปสรกระทืบเท้าเข้าห้องปิดประตูปังเสียงดังปลุกสองสาวให้งัวเงียตื่นขึ้นมา เด็กสาวแทรกตัวเข้าไปตรงกลางโดยไม่สนใจเสียงถามอย่างตกใจของสองสาวเลย
     
     
                หลังจากนั่งโยกเยกอยู่ในรถม้าอีกเกือบวันก็ถึงปราสาทของท่านมาร์ควีสพ่อของเธอแล้ว พ่อของเธอ เหอะ อัปสรเป่าลมออกจากปากอย่างเซ็งจัด เมื่อเช้าเธอกะจะใช้ข้ออ้าง ไม่มีชุดเปลี่ยน ไม่มีน้ำร้อนอาบมาถ่วงเวลาอยู่ที่โรงแรมให้นานขึ้น แต่แล้วยามฟ้าสางเสียงขบวนม้าก็มาปลุกให้ตื่นทั้งๆ ที่เพิ่งจะนอนหลับได้ไม่เท่าไร สองหญิงพี่เลี้ยงต่างไม่สนใจเสียงประท้วงของเธอจัดการจับเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับชุดใหม่ที่ท่านพ่อส่งมาพร้อมกองกำลัง
     
    กองกำลัง!!!
     
                มันต้องเรียกว่ากองกำลังอยู่แล้ว มากกว่ากองกำลังทหารหกนายของนายวิลเลี่ยมตัวป่วนเป็นสิบเท่า
     
    เธอมีรถม้าส่วนตัวที่มีเบาะนุ่มๆ หลายใบ เตาความร้อน ผ้าห่มเนื้อนุ่มเบาบางหากอบอุ่น แต่ยังไงก็ตามเธอไม่ยอมคืนเจ้าโปโป้ให้แน่ๆ หญิงสาวส่งสายตาเขียวๆ ไปให้เจ้าของเสื้อ เมื่อเด็กรับใช้ของเขาเข้ามาถามว่าเธอต้องการจะให้เขาพาเสื้อคลุมน่ากลัวตัวนี้ไปให้พ้นหน้าหรือไม่ เชอะ เรื่องอะไรจะคืน
     
    “คุณหญิงคะ ถึงปราสาทของเราแล้วเจ้าค่ะ”
     
    “ปราสาทของเราหรือ” อัปสรตวัดเสียงใส่ การถูกเก็บตัวอุดอู้ในรถ ยิ่งทำให้เด็กสาวอารมณ์ไม่ดี
     
    “มันบ้านของพ่อฉันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่บ้านของพวกเธอเสียหน่อย”
     
                หญิงพี่เลี้ยงทั้งสองได้แต่ยิ้มรับ ไหนนายท่านว่านางเรียบร้อยสมกับโตมาในอารามนางชีอย่างไรล่ะ หากเด็กสาวคนนี้ฝีปากจัดจ้านเหลือจะรับ
     
    อัปสรผลักหน้าต่างกว้าง ชะโงกหน้าออกไป เห็นแต่กองกำลังเต็มไปหมด ชะเง้อชะแง้เห็นเพียงกำแพงหิน ไกลๆ นั่นนะหรือบ้านของเธอ
     
    ทหารที่ขี่ม้าอยู่ใกล้เหลียวมามองเมื่อเห็นเธอกำลังมองตัวปราสาท เลยสะกิดกันเว้นที่ให้คุณหญิงได้ดูปราสาทให้เต็มตา
     
    ขบวนเดินทางไต่สูงเป็นลำดับ จนเธอไม่สามารถพาดแขนเท้าคางแหงนมองตัวปราสาทได้ตามสบายอีกแล้ว อัปสรเลยยอมมุดกลับเข้ามานั่งข้างใน
     
    เด็กสาวกอดอกนึกถึงปราสาทที่เธอมองอยู่ไม่นานมานี้ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนที่สูงมีสะพานโดดเดี่ยวข้ามไปสู่ตัวปราสาท ป้องกันการจู่โจมอย่างได้ผล และคงป้องกันการหนีได้อย่างชะงักด้วย
     
    ทำยังไงเธอถึงจะกลับไปยังโรงแรมเมื่อคืนได้ กุญแจที่จะนำเธอกลับบ้านได้มันต้องเกี่ยวข้องกับบรรดาร้านที่ชื่อ six to six แน่นอน อัปสรหรี่ตามองสองสาวพี่เลี้ยงที่ซุบซิบหัวเราะต่อกระซิกกัน อย่างนี้ไม่มีอะไรนอกจากคุยเรื่องหนุ่มๆ เด็กสาวแบะปาก
     
    “นี่ พวกเธออยู่ที่นี่เหรอ”
    เด็กสาวถามเสียงดังขึ้น หญิงสาวทั้งสองต่างกระตือรือร้นหันมาตอบ หลังจากที่ เด็กสาวทำท่าไม่สนใจเลยว่าจะพาไปที่ไหน ไม่สนใจถามถึงผู้เป็นบิดาอย่างที่ควรจะถาม
     
    “เจ้าค่ะ คุณหญิง ท่านมาร์ควีส รอคุณหญิงอยู่อย่างเป็นห่วงยิ่ง”
     
    “ห่วงทำไม ไม่รู้จักกันเสียหน่อย” อัปสรงึมงำหากยิ้มหวาน “ฉันก็อยากพบท่านมาร์ควีสเหมือนกัน”
     
    “เรียกท่านพ่อซิเจ้าคะคุณหญิง”
     
    อ่ะอา ท่านพ่อ…เด็กสาวจากโลกข้างหน้าอีกหลายร้อยปีอยากจะเป็นลม เธอหล่นมาอยู่ที่นี่แบบมีพ่อด้วย แล้ว...ลูกสาวตัวจริงล่ะ จะหล่นปุ๊ ไปตก อยู่ที่บ้านแทนตัวเธอหรือเปล่า
     
    “คุณหญิงอย่าโกรธท่านมาร์ควีสนะเจ้าคะ ท่านทำอย่างนี้เพื่อความปลอดภัยของคุณหญิง”
     
    ชริ ไม่เหลือใครแล้วนะซิ เรื่องอย่างนี้เธอดูละคร อ่านนิยายมานักต่อนัก ลูกตามกฎหมายตายเรียบเลยต้องมาเรียกลูกที่เคยเขี่ยทิ้งกลับมาคืนนะซิ แล้วตามพล็อตเน่าสุดๆ เธอต้องมีคู่หมั้นผู้ทรงอิทธิพลรออยู่ด้วย อี๋ แค่คิดก็...ไม่ไหวแล้ว
     
    รถม้าผ่านสะพานเข้าประตูชั้นนอก พออัปสรขยับจะเปิดผ้าบังหน้าต่างสองสาวก็จับมือเอาไว้
    “ไม่ปลอดภัยนะคะคุณหญิง รอให้พบท่านมาร์ควีสก่อนดีไหมเจ้าคะ”
     
    คำท้วงของหญิงพี่เลี้ยงทำให้อัปสรทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้ตามเดิม กระชับเสื้อคลุมหมาป่าแน่นเข้า หมายถึงยังมีการปองร้ายเธอนะหรือ เท่าที่ผ่านมา ไม่มีใครทำร้ายเธอเลยนี่ ไม่น่าจะมีอะไร
     
    เด็กสาวแอบมองลอดผ้าบังตา คนในตัวปราสาทน่าสนใจดี เหมือนตลาดสดในต่างจังหวัด รถม้าหยุดลงในที่สุด พี่เลี้ยงสองคนลงไปก่อน ก่อนที่จะยื่นมือมาประคองเด็กสาวลงไป ยังไม่ทันจะมองอะไรได้เห็นชัดๆ เธอก็ถูกแม่ช้างสองตัวฉุดเข้าบ้าน ไปแล้ว ได้หยุดอีกทีหน้าชายชราที่อายุน่าจะเป็นปู่เธอได้
    “แอน ลูกช่างเหมือนแอนนิต้าแม่ของลูกเหลือเกิน”
     
                อัปสรได้แต่ยืนตาค้างตัวแข็ง เมื่อถูกชายคนนั้นกอดรัดแน่น
     
    “โอ้ ลูกคงโกรธพ่อมาก” เสียงสั่นเครืออย่างสะเทือนใจออกมาจากปากท่านมาร์ควีส ลูกสาวคนเดียวของเขาไม่ยินดีกับการพบกันครั้งนี้เลย
     
    อัปสรกลืนน้ำลาย มองดวงตาวาดหวัง มันคงต้องเป็นฉากที่เธอต้องพูดซินะ แล้ว ต้องพูดดีๆ เพื่อที่ว่าเธอจะไม่ต้องถูกกล่าวหาว่าบ้า ถูกจับโยนเข้าห้องมืด
    “หนูไม่ได้โกรธค่ะ แต่หนูยังปรับตัวไม่ได้”
     
    แทนที่จะดีขึ้น ชายชราที่อ้างว่าเป็นพ่อของเธอในภพนี้ต่อมน้ำตาแตก ไหลอาบหน้า อัปสรได้แต่ทำหน้าแหยๆ เธอพูดอะไรไปผิดไปล่ะนี่
     
    ท่านมาร์ควีสโอบรัดลูกสาวแน่น
    “พ่อขอโทษแอน พ่อน่าจะรับลูกมาอยู่กับพ่อตั้งนานแล้ว พวกแม่ชีทำอะไรไม่ดีกับลูกไหม พวกนางไม่น่าจะทำนะ ในเมื่อพ่อบริจาคให้โบสถ์นั่นไม่รู้เท่าไร”
     
    “ไม่มีอะไรค่ะไม่มีอะไร”
     อัปสรยกแขนเสื้อเช็ดหน้าตัวเองแล้วเลยไปเช็ดหน้า ท่านพ่อด้วย น้ำตาจะได้ไม่หยดใส่หน้าเธออีก เท่านั้น สายตาของท่านพ่อก็มองเธอเหมือนเป็นนางฟ้าไปแล้ว
     
    “ลูกช่างน่ารักเหลือเกิน ไม่ถือโกรธพ่อที่ทอดทิ้งลูกเลย พ่อสัญญาลูกตั้งแต่นี้เราจะอยู่ด้วยกัน”
     
    ...เหอะ ถ้าไม่จับฉันแต่งงานไปก่อนนะปู่... อัปสรได้แต่นึกท้วงอยู่ในใจ
     
    “นางเดินทางมาเหนื่อยๆ ให้นางไปพักก่อนดีไหมค่ะ คุณพี่”
     
    อัปสรมองลอดแขน ท่านพ่อไปพบกับเจ้าของเสียงหญิงสาววัยประมาณแม่ของเธอ แต่งตัวหรูหราดูดีกว่าพี่เลี้ยงสองสาว เครื่องประดับพราวตั้งแต่ผม คอ ลงไปถึงนิ้วทั้งสิบ
     
    “อ้า พี่ดีใจจนลืมตัวไป นี่อาแมรี่ของลูก นางเป็นน้องสาวคนเล็กของพ่อเอง นางเพิ่งเดินทางมาถึงก่อนหน้าเจ้านิดเดียวเองลูก”
     
    “และนางประหลาดใจมากที่มีหลานสาวสวยอย่างนี้”
    เลดี้แมรี่เอ่ยขึ้น ดวงตาจ้องหน้าเด็กสาวเขม็ง พี่ชายของนาง พี่ชายของนางแอบไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไร หากเขาตั้งนางเป็นทายาทของเขาจริงๆ ทรัพย์สินที่ไม่ได้ผูกติดกับตำแหน่งหน้าที่ ก็จะต้องตกเป็นของแม่เด็กคนนี้ แล้วสิ่งที่นางพากเพียรแวะเวียนมาดูแลพี่ชายหลายสิบปีมานี้ก็เท่ากับสูญเปล่า
    ”คุณพี่ไม่เคยบอกน้องเลย”
     
    เสียงแหลมๆ เสียดประสาท อา..อย่างน้อย เธอก็จะได้มีอะไรทำบ้างล่ะ แม่สาวแก่เสียงแหลมนี่ท่าจะเป็นคู่ต่อสู้แก้เหงาให้เธอได้ อัปสรเหยียดกายตรงเชิดหน้า เมื่อท่านพ่อ จับตัวเธอหมุนไปหา
     
    “สวัสดีค่ะ ท่านอา หนูดีใจที่มีญาติผู้ใหญ่ที่สวยงามอย่างท่าน”
    อัปสรส่งสายตาปลาบปลื้ม มองอย่างหลงใหลในเครื่องประดับแพรวพราว ซ่อนยิ้มเมื่อท่านอากุมสร้อยเส้นโตอย่างหวงแหน
     
    “อา ลูกคงเหนื่อยมากแล้ว เจ้ามาพาลูกข้าไปพักผ่อน เดี๋ยวพ่อจะให้เขาส่งอะไรอร่อยๆ ไปให้นะลูกรัก”
     ท่านมาร์ควีสรีบแยกลูกสาวที่เพิ่งพบหน้าออกจากน้องสาว เมื่อเห็นแววตาของทั้งสองฝ่าย
     
    อัปสรพยักหน้า เดินตามสองสาวพี่เลี้ยงไป ก่อนจะนึกถึงฉากในภาพยนตร์เก่าๆ ที่เคยดูได้ เด็กสาวหันไปย่อกายให้ท่านพ่ออีกครั้ง ซ่อนยิ้มเมื่อเห็นแววตาปลาบปลื้มของท่านพ่อ หึหึ ใครเป็นใครรู้เสียบ้าง
     
    วิลเลี่ยมมองตามหลังเด็กสาวไปอย่างเป็นห่วง นางไม่รู้หรืออย่างไรนะว่าเลดี้แมรี่ก็ต้องการอำนาจและทรัพย์สินของท่านมาร์ควีสอยู่ นางคิดว่านางหรือลูกชายของนางต้องได้ ถึงมาเกาะอยู่ที่นี่เป็นประจำ ชายหนุ่มชะงักความคิดเมื่อท่านมาร์ควีสก้าวตรงมาหา
     
    “อ้า วิลเลี่ยม ขอบใจเจ้ามากที่ไปรับลูกสาวมาให้ข้า เจ้าก็รู้ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว”
     
    “มิเป็นไรขอรับ” วิลเลี่ยมก้มศีรษะทำความเคารพอีกครั้ง
     
    “คุณพี่ขา ถ้าบอกน้อง ปีเตอร์คงยินดีที่จะไปรับหลานมาให้คุณพี่ ไม่ต้องเสียเงินเสียทองจ้างนักรบปลายแถวไปรับ”
    เลดี้แมรี่ปรายหางตามองอย่างเหยียดๆ ถึงจะเป็นอัศวินมีชื่อเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ หากไร้ซึ่งตำแหน่งหรืออำนาจ แม้หางตานางยังมิอยากจะชายไปมอง
     
    “อ้า นั่นซิ”
    ท่านมาร์ควีสพูดอย่างเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ แต่วิลเลี่ยมรู้ดีว่าท่านมาร์ควีสผู้นี้ฉลาดและเจ้าเล่ห์เพียงใด มิฉะนั้นท่านคงไม่สามารถซ่อนตัวทายาทคนเดียวไว้ได้นานถึงเพียงนี้และไปรับนางมาหลังจากที่ทำเรื่องขอให้กษัตริย์ยินยอมให้นางเป็นทายาทสืบทอดทั้งทรัพย์สมบัติและตำแหน่งของท่านเรียบร้อยแล้ว
    เท่านั้นยังไม่พอ ยังให้เขาซึ่งเป็นนักรบที่กษัตริย์ไว้วางใจที่สุดไปรับบุตรสาวคนเดียวมาให้โดยไม่เสียเงินจ้างแม้แต่เซ็นต์เดียว องค์กษัตริย์จะยกปราสาทหลังเล็กที่ปราศจากทายาทให้เขาเป็นค่าจ้าง
    “พี่ลืมนึกถึงปีเตอร์ของเจ้าไปเลยแมรี่ นี่ทำไมปีเตอร์ไม่มากับเจ้าด้วย เด็กๆ ล่ะ”
     
    “น้องคิดถึงและเป็นห่วงคุณพี่ซิคะ” เลดี้แมรี่เดินเข้ามาคล้องแขนพี่ชาย
    “น้องหิวแล้ว หวังว่าอาหารคงมีเตรียมไว้เผื่อน้องนะคะ แล้วเด็กๆ ที่คุณพี่หมายถึง แอนดรู เป็นอัศวินมาหลายปีแล้วค่ะ คุณพี่ฝึกเขาเอง จำไม่ได้หรือคะ มาร์กาเร็ต เพิ่งแต่งงานไปเมื่อต้นปี คุณพี่ยังส่งของไปให้นางมากมาย”
     
    “อา ก็ นั่นเจ้าบอกว่าหลานชอบนี่แมรี่...”
     
    วิลเลี่ยมได้แต่ส่ายหัว เดินตามเข้าห้องอาหาร ท้องไส้เขาร้องประท้วงอยากได้อาหารดีๆ อิ่มอร่อยสักมื้อ ได้นอนหลับสบายไม่ต้องระแวงอยู่ตลอดเวลา แล้วยังแม่สาวน้อยตัวแสบอีก นี่นางจะคืนเสื้อคลุมหมาป่าให้เขาหรือไม่ จะมาทำยึดเลยไม่ได้ เขาไม่ยอม ในเมื่อมันเป็นสิ่งของพระราชทานมาเลยเชียวนะ
     
     
                อัปสรกินอาหารที่ส่งขึ้นมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย ก่อนที่พี่เลี้ยงสองสาวจะจัดการจนเกลี้ยง มิน่า...ตัวใกล้ๆ จะเป็นช้างแล้วทั้งคู่ ก่อนจะลงแช่อาบน้ำในอ่างอย่างสบายใจ แต่สิ่งที่เธอไม่สบายใจที่สุดคือห้องน้ำ แหวะ มีถังไม้ให้นั่งขับถ่าย ไม่มีกระดาษ มีถังใส่น้ำวางเอาไว้ข้างๆ นี่แม่พี่เลี้ยงยังมีหน้ามาบอกว่ายังดีนะ เพราะที่โบสถ์ที่เธอเติบโตมาต้องถ่ายใส่ถังแล้วหิ้วไปเท อ๊าก โชคดีที่เธอไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจริงๆ
     
                ห้องน้ำของเธอใช่ร่วมกับพี่เลี้ยงสองสาวและคงเลดี้สาวๆ อีกหลายคน ห้องถ่ายเป็นห้องเล็กๆ อยู่เลยห้องเธอไปไม่ไกลนัก แล้วปราสาทอย่างนี้ที่เธอเคยจำได้มันมีรางต่อ งั้นเวลาถ่าย เทน้ำราด มันก็แล่นฉิวไปนอกปราสาทแล้วก็ ปุ๊ เลยไม่ใช่หรือยังไง ลองถามสองสาว บอกว่ามีรางไหลไปรวมที่เดียวกัน แต่ยังได้กลิ่นตุ๊ๆ ที่ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นกลิ่นขี้ม้า ตอนนี้ มันคงไม่ขี้ม้าอย่างเดียวแล้วล่ะมั่ง
     
                อาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดนอนที่ทำให้เธอนึกถึงชุดนอนสมัยคุณแม่ยังสาวที่มีระบายฟูๆ ยาวกรอมเท้า แต่มันก็ช่วยป้องกันความหนาวให้เธอได้เป็นอย่างดี จะมั่วไปนึกถึงชุดนอนลายเป็ดน้อยได้ยังไงกัน
     
                พอแปรงผมเสร็จ สองสาวก็ช่วยกันม้วน มัดผมเธอด้วยโบว์ ก่อนจะสวมหมวกคลุมผมเตรียมนอน ที่ทำให้เธอนึกถึงหมาป่าในเรื่องหนูน้อยหมวกแดง
     
    ที่นอนถูกอุ่นให้ร้อนรออยู่แล้ว เด็กสาวเหลียวมองหาเจ้าโปโป้ เมื่อกี้เธอถอดเสื้อคลุมวางไว้ที่เตียง
                “โปโป้ไปไหน”
     
    สีหน้ามีคำถามของพี่เลี้ยงทำให้อัปสรต้องอธิบายชัดๆ
     
    “เสื้อคลุมหมาป่าสีขาวของฉันน่ะ”
     
    พี่เลี้ยงทำหน้าปั้นยาก ทั้งอยากหัวเราะและ กลัวๆ ยังไงชอบกล ที่คุณหนูตีขลุมจะเอาเสื้อคลุมสุนัขป่าสีขาวของเซอร์วิลเลี่ยมมาเป็นของตัวเอง
    “เซอร์วิลเลี่ยมมาเอาไปแล้วเจ้าค่ะ”
     
    “เอาไปได้ยังไงมันเป็นของฉันนะ”
    กำลังจะก้าวขึ้นเตียง อัปสรหันกลับมามอง ดวงตาวาววับเอาเรื่อง
     
    “เอ่อ คุณหญิงขา ถ้าคุณหญิงอยากได้ อิฉันจะให้ท่านมาร์ควีสหามาให้ดีไหมเจ้าคะ”
    พี่เลี้ยงสาวช่วยกันเจรจา ใครๆ ต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าเซอร์วิลเลี่ยมได้เสื้อคลุมหมาป่ามาได้อย่างไร จนเขาได้ตราหมาป่าสีขาวเป็นตราประจำตัว วีรกรรมของอัศวินหนุ่ม ทำให้สาวๆ ต่างอยากอยู่ในอ้อมกอดกล้าหาญแข็งแรงนั้นสักครั้ง
     
    “ไม่ ฉันจะเอาโปโป้ของฉันคืน ให้นายเซอร์อะไรนั่นไปหาเอาใหม่ซิ”
    อัปสรอยากกระทืบเท้าปัง แต่พื้นหินแข็งๆ ออกแรงไปก็โง่นะซิ เด็กสาวเปลี่ยนสีหน้าเป็นออดอ้อนแทน
    “นะจ๊ะไปขอมาให้ได้ไหม เคยกอดมันนอนทุกคืน มันเป็นเพื่อนที่ช่วยปลอบใจฉันมากๆ เลยนะ ระหว่างรอขอตัวใหม่จากท่านพ่อ นะ นะ”
     
                สองพี่เลี้ยงปรึกษากัน ก่อนจะปลอบประโลมธิดาท่านมาร์ควีสอย่างเอาใจ
                “เจ้าค่ะ อิฉันจะไปเอามาให้ คุณหญิงนอนก่อนนะเจ้าคะ”
     
    “ไม่มีโปโป้ ฉันนอนไม่หลับหรอก ฉันจะคอยนะ”
     
    อัปสรก้าวเข้าไปนั่งกอดเข่าบนเตียง ไม่ยอมล้มตัวลงนอนอย่างที่พี่เลี้ยงคะยั้นคะยอ เรื่องดื้อแล้วได้ตามที่ต้องการนี่ เธอถนัด วันนี้ คืนนี้เธอต้องได้เจ้าโปโป้ คืนมา แล้วอย่าหวังว่าเธอจะคืน อัศวินบ้าอะไร ของแค่เนี๊ย ให้เด็กผู้หญิงไม่ได้
     
    พี่เลี้ยงสองสาวมองหน้ากันก่อนที่คนหนึ่งจะไปขอเสื้อหมาป่ามาให้คุณหนูของนางได้ห่มนอนอีกสักคืน อีกนางไปเรียนเรื่องนี้กับท่านมาร์ควีส หากคุณหนูไม่ยอมคืนเสื้อคลุมนั่นจริงๆ คงเป็นเรื่องใหญ่ที่เดียว
     
    “นางต้องการเสื้อคลุมหมาป่าสีขาว แถมนางตั้งชื่อมันว่าโปโป้”
    มาร์ควีสแห่งวอนเดลทวนความสรุปตามที่พี่เลี้ยงของบุตรสาวเข้ามารายงาน
    “นางถึงกับติดมันมาก ไม่มีเสื้อนั่นนางไม่ยอมนอน”
     
    ท่านมาร์ควีส เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง สมกับเป็นลูกสาวของข้าจริงๆ ทำทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ แต่เสื้อคลุมพระราชทานมานั่นเป็นของสำคัญของวิลเลี่ยมเช่นกัน หากจะคิดว่าเป็นของกำนัลคงเทียบเท่าของหมั้น หากเขาหวังสูงกว่านั้นสำหรับบุตรสาวคนเดียวของมาร์ควีสแห่งวอนเดล
     
    ถึงอัศวินหนุ่มจะเป็นนักรบระดับต้นๆ แต่ไร้ที่ดิน เป็นบุตรคนที่สองของตระกูล แถมตระกูลของเขาก็หาได้แตกแขนงแยกไปมากมายอย่างตระกูลอื่นไม่ ที่ดินยังอยู่สุดขอบของประเทศ เสี่ยงต่อการถูกรุกราญ เขาหายอมให้ลูกสาวที่น่ารักบอบบางไปอยู่ชายแดนทุรกันดารอย่างนั้นไม่
     
    แต่หากเป็นเครื่องหมายของการจงรักภักดีก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การจะให้อัศวินที่แกร่งกล้าทระนงอย่างนั้นยอมให้เสื้อพระราชทานเป็นสัญลักษณ์ของการจงรักภักดีคงไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไร
     
                หญิงพี่เลี้ยงยืนตัวสั่นเมื่อเจ้านายลูบคางครุ่นคิดไปมา บางครั้งก็ยิ้ม บางทีก็ตีหน้าเคร่ง
     
                “เจ้าไปหาคนดูแลหนังสัตว์ของข้า หาหมาป่าสีขาวจัดทำเป็นเสื้อคลุมให้ลูกสาวข้า” มาร์ควีสชรายิ้มเจ้าเล่ห์
                “เจ้าโปโป้ของเซอร์วิลเลี่ยม มีปลอกคอสีทองนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม เจ้ารูบี้ของข้าให้ทำปลอกคอเงินประดับทับทิม ส่วนดวงตานั้นจะมีอะไรจะเหมาะสมกับลูกสาวแสนบริสุทธิ์อย่างนางยิ่งกว่าเพชรเล่า ไปจัดการเดี๋ยวนี้”
     
    พี่เลี้ยงสาวตะลึงจนตัวชาไม่อยากจะเชื่อว่าท่านมาร์ควีสจะตามใจบุตรสาวที่เพิ่งพบหน้าถึงเพียงนี้ นางรีบกระวีกระวาดไปหาคนเก็บหนังสัตว์ของท่านมาร์ควีสทันที
     
     
    ขณะที่พี่เลี้ยงอีกนางหาได้โชคดีเช่นนั้นไม่
     
    “ไม่” อัศวินหนุ่มตอบสั้นๆ หากหนักแน่น
     
    “นะเจ้าคะเซอร์วิลเลี่ยม ขอยืมเจ้าโปโป้…เอ่อ เสื้อคลุมหมาป่าของท่านให้คุณหนูข้าอีกสักคืนนะเจ้าคะ” นางรีบเปลี่ยนคำทันทีที่ชายหนุ่มมองตาเขียว
     
    มันน่าให้ยืมนักล่ะ มาตั้งชื่อหมาป่าที่เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความกล้าหาญของเขาว่าโปโป้ ธิดาของมาร์ควีสนางนี้คิดได้อย่างไร หากให้นางเอาไปอีกครั้ง คิดว่าจะได้คืนหรือ
    “ที่ปราสาทหลังนี้คงมีผ้าห่มเสื้อคลุมมากมายที่ทำให้นางอบอุ่นได้ หากนางอยากได้ของเล่น เจ้าไปขอลูกสุนัขลูกแพะลูกแกะจากคอกม้ามาให้นางซิ เสื้อนี่ของพระราชทานมา หาใช่ของเล่นของนางไม่”
     
    “จะอย่างไรพรุ่งนี้ข้าถึงจะไปจัดหาของที่ท่านว่ามาให้คุณหนูของข้าได้ ขอให้ข้ายืมก่อนนะเจ้าคะ” พี่เลี้ยงสาวก้าวเข้าไปใกล้ ช้อนตามองถึงคำสัญญา
    “นะเจ้าคะ หากท่านต้องการสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนข้าก็พร้อมจะจัดหามาให้ก่อน”
     
    อยากจะบอกว่านำแม่คุณหญิงตัวแสบนั่นมาซิ หากนางคือธิดาคนเดียวของท่านมาร์ควีสผู้จะสืบทอดตำแหน่งและสมบัติทั้งปวง มิใช่ลูกคนใดก็ได้ ต้องคือนาง เลดี้แอนผู้เดียว และเขายังต้องคุ้มครองนางจนกว่าจะได้ส่งนางไปสู่การคุ้มครองของสามี
     
    อีกสามเดือน ที่นี่จะจัดการประลองเพื่อเลือกสามีให้แก่บุตรสาวคนเดียว ทายาทของท่านมาร์ควีสแห่งวอนเดล เมื่อเขานำนางมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยแล้ว พรุ่งนี้บัตรเชิญจะถูกส่งออกไป ช่างเขียนผู้มีฝีมือรอวาดภาพนางเพื่อนำกลับไปถวายให้กษัตริย์ ภาพของนางและผู้ชนะในการประลอง ที่อาจจะเป็นคู่ครองของนาง
     
    วิลเลี่ยมถอนหายใจ การทำตัวเป็นศัตรูกับนางตอนนี้ไม่เป็นผลดีเลยจริงๆ เขาส่งเสื้อคลุมให้
    “บอกนางว่าต้องคืนมันมาให้ข้า มิฉะนั้นข้าจะไปถอดออกจากตัวนางเอง แล้วอย่ามาตั้งชื่อให้ของของข้าอีก”
     
    “เจ้าค่ะ”
    พี่เลี้ยงสาวไม่สนใจแล้ว หอบเสื้อคลุมที่คุณหญิงของนางต้องการย่อตัวคำนับผลุบ รีบออกจากห้องก่อนเซอร์วิลเลี่ยมจะเปลี่ยนใจ
     
                อัปสรรับฟังคำฝากมาของเจ้าของเสื้อคลุมผ่านๆ เชอะ เจ้าของ แล้วนายรู้ไหมล่ะว่ามันชื่ออะไร ฉันซิควรเป็นเจ้าของ ฉันตั้งชื่อให้มันนะ นายฆ่ามันแล้วยังคิดจะเป็นเจ้าของอีกหรือ ฝันไปเถอะ
     
    วิลเลี่ยมมองธิดาของท่านมาร์ควีสที่กอดเสื้อคลุมหมาป่าของเขาแน่นอย่างหงุดหงิด มองไปทางพรรคพวกของเขาก็ ต่างเมินหน้าไปยิ้มในทิศทางต่างๆ กัน
     
                ตั้งแต่เช้าแล้วเมื่อคุณหญิงแอนธิดาคนเดียวของท่านมาร์ควีสเยื้องย่างลงมาจากข้างบน เข้ามาประจำที่ของนางในห้องอาหารเคียงข้างท่านพ่อ กิริยานุ่มนวลของนางยิ่งเป็นที่พอใจของมาร์ควีสแห่งวอนเดล
     
                ท่านมาร์ควีสเฒ่ามองเสื้อคลุมที่ธิดาน้อยใส่มาก่อนหันมามองทางเขายิ้มๆ วิลเลี่ยมได้รับเกียรติร่วมโต๊ะอาหารกับท่านเจ้าของปราสาทด้วย
     
                “ข้ากำลังให้คนทำเสื้อคลุมให้นางใหม่ ขึ้นมาทางเหนือมากเช่นนี้ นางคงไม่คุ้นกับสภาพอากาศ” ท่านมาร์ควีสชะโงกมากระซิบ
     
    อัปสรเดินเข้ามาใกล้โต๊ะที่ตั้งอยู่สูงกว่าโต๊ะตัวอื่นๆ มันตั้งอยู่บนยกพื้นอีกทีหนึ่ง เด็กสาวขยับเข้าไปใกล้ ย่อกายให้คนที่เป็นพ่อของเธอในภพนี้นิดหนึ่ง ชายหางตาไปทางอีกคน ฉีกปากยิ้มให้เหมือนเสียไม่ได้ เซอร์วิลเลี่ยม ก้มศีรษะยิ้มขรึม ไม่สนใจยิ้มกระตุกๆ กวนอารมณ์ของคุณหญิงจอมเรื่องมาก
     
                “อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านพ่อ อรุณสวัสดิ์เซอร์วิลเลี่ยม”
    อัปสรทักทายเสียงอ่อนหวาน ก่อนก้าวเข้าไปใกล้เมื่อท่านพ่ออ้าแขนออกรอ
     
                “เจ้าเป็นความสดชื่นในชีวิตของพ่อ แอนลูกรัก มากินอาหารเช้ากับพ่อซิ องศ์กษัตริย์ของเราก็ห่วงเจ้าเช่นกัน ถึงกับส่งคนมาวาดรูปเจ้าเชียวนะ”
     
    “รูปหนู ทำไมต้องวาดด้วยล่ะคะ”
    ตายล่ะ วาดรูปเธอ แล้วนี่มันอดีต ถ้ามีหลักฐานว่าเธออยู่ในอดีตแล้วทีนี้เธอจะกลับบ้านได้ยังไง เธอยังนึกถึงเครื่องสุขภัณฑ์อเมริกันสแตนดาร์ตอยู่น้า ไม่อยากถ่ายไหลลงท่อให้มันไปตก ปุ๊! ตรงไหนก็ไม่รู้
     
    เด็กสาวนั่งลงยังเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนให้ ค่อยยังชั่วเธอไม่ต้องนั่งใกล้พ่ออัศวินจอมหยิ่งคนนั้น อัปสรกวาดตามองไปรอบๆ อย่างสนใจ เหล่าอัศวินที่คุ้นหน้า ต่างนั่งเรียงรายอยู่ตามโต๊ะต่างๆ แต่โต๊ะบนยกพื้นนี่มีแค่สาม
     
    “ท่านอาละคะ”
    เด็กสาวถามอย่างสงสัย ที่นี่แยกโต๊ะตามเพศหรือเปล่า เธอมาผิดที่หรืออย่างไร หากหญิงพี่เลี้ยงพามาส่งนี่ แล้วนางสองคนก็แยกย้ายไปนั่งโต๊ะอยู่นั่นไง
     
    มาร์ควีสยิ้มอย่างยินดีที่ธิดาสาวถามถึงญาติคนอื่น นางต้องได้รับการอบรมให้อ่อนโยน เป็นภรรยาที่ดีแน่ๆ
    “เจ้าคงเจอท่านอาตอนอาหารเย็น”
     
    อัปสรพยักหน้ารับกับตัวเองในใจ ..อ้อ..นอนกินบ้านกินเมือง ทำอะไรจนดึกจนดื่น ไฟเฟ้ยก็ไม่มี คอมพิวเตอร์ก็ยังไม่มีใช้ สู้รีบเข้านอนแล้วมาหาเรื่องเล่นอะไรสนุกๆ กลางวันไม่ได้ เด็กสาวกินอาหารอย่างละนิดล่ะหน่อยปฏิเสธเครื่องดื่มมึนเมาร้องขอน้ำเปล่าหรืออย่างอื่นที่มีอย่างสุภาพ คำขอบคุณที่ติดปากธิดาสาวยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อปลาบปลื้ม
     
    “ฮือม์คิดไปอีกที รอให้เสื้อผ้าของเจ้าเสร็จก่อนน่าจะดีกว่า ยังไงช่างผู้นั้นรอมานานแล้ว รออีกหน่อยเพื่อภาพแสนสวยของลูกสาวข้า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมิใช่หรือ เซอร์วิลเลี่ยม”
     
    “ไม่มีขอรับ”
     
    เสียงหนักแน่นของอัศวิน ทำให้อัปสรอยากชะโงกไปดูหน้านัก ทีอยู่กับเธอล่ะขู่เอาขู่เอา ต่อหน้าท่านพ่อ ขอรับ อ้อ ท่านพ่อเป็นมาร์ควีสนี่ นายคนนี้เป็นแค่เซอร์ หาได้มีตำแหน่งบ้านช่องเสียเมื่อไร อือม์แต่เขาคงมีครอบครัว ญาติพี่น้องบ้าง เด็กสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ เดี๋ยวต้องลองถามพี่เลี้ยงสองสาวนั่นดู พวกนางคงช่างนินทาไม่ผิดอะไรกับสาวๆ ในยุคของเธอหรอกน่า
     
    “ลูกรักเจ้าคงยังเหนื่อยจากการเดินทาง หลังอาหารไปพักผ่อนอีกสักหน่อยนะ บ่ายๆ พ่อจะให้ช่างตัดเสื้อมาวัดตัวเจ้า”
     
                “ท่านพ่อไม่มีอะไรให้หนูช่วยหรือคะ”
    อัปสรเอียงคอถาม เธอไม่อยากกลับไปในห้องนี่ไม่เห็นจะมีอะไร เธออยากไปเดินดูรอบๆ เผื่อจะมีอะไรสนุกๆ เล่นบ้าง
     
    “เจ้าอยากจะทำอะไรล่ะลูก”
     
    วิลเลี่ยมอยากจะหัวเราะ เพียงไม่ถึงวันนางก็ยึดครองหัวใจของพ่อนางได้แล้ว ด้วยความอ่อนหวานอย่างเสแสร้งของนาง ท่านยังไม่เจอกับนิสัยเจ้าเล่ห์ เอาแต่ใจ ชอบสร้างปัญหาของนาง ดูซิถึงเวลานั้นท่านจะทำอย่างไรกับนาง
     
    “หนูอยากไปดูรอบๆปราสาทได้ไหมเจ้าคะ”
     
    “ได้ซิ อย่าลืมเอาทหารติดตามเจ้าไปด้วย” ท่านมาร์ควีสตบมือ ก่อนกวักเรียกนายทหารสูงวัยคนหนึ่ง
    “นี่คือ อดัม รองหัวหน้าทหารของเรา พ่อจะให้เขาคอยคุ้มครองเจ้า”
     
    วิลเลี่ยมกระแอมเอียงตัวไปกระซิบ
    “สำหรับสมบัติล้ำค่าของท่าน ข้าว่าน่าจะสอง จะให้ดี สามดีกว่านะขอรับ”
    ก่อนจะลดเสียงลงเป็นพึมพำกับตัวเอง
    “จริงๆ ต้องใช้ทหารสักกองทัพ”
     
    อัปสรวางท่าสำรวมหากกางหูฟังสิ่งที่เซอร์วิลเลี่ยมกระซิบกับท่านพ่อ กระซิบอะไร นินทาเธออย่างนั้นหรือ
     
    “อานั่นซิ ขอบใจที่ท่านเตือนข้านะ เซอร์อดัมเจ้าพาคนไปอีกสักสองสามคน จะได้ช่วยลูกข้าถือของ”
     
    วิลเลี่ยมเบือนหน้าไปยิ้มทางอื่น นางสมควรจะเป็นลูกสาวท่านมาร์ควีสจริงๆ ท่านพ่อของนางใช้อัศวินมีฝีมือไปช่วยถือของให้ลูกสาว เขาไม่อยากมองหน้า เซอร์อดัมจริงๆ อดเห็นใจเพื่อนอัศวินอาวุโสไม่ได้
     
                สีหน้าคุณหญิงแอนเบิกบานยิ้มหวานให้เซอร์อดัม
    “ฉันคงไม่ได้รบกวนท่านนะคะ เซอร์อดัม” อัปสรยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน
     
    “ไม่เลยครับ คุณหญิง”
    อดัมยิ้มให้บุตรสาวของเจ้านาย เขารับใช้ท่านมาร์ควีสมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลความปลอดภัยของปราสาทแห่งนี้ และความปลอดภัยของท่านมาร์ควีสเอง บุตรีคนนี้ของท่าน คงมีอายุไม่เกินบุตรสาวคนเล็กของเขา เซอร์อดัมคำนับเจ้านายอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปรับประทานอาหารให้เสร็จ
     
    “ท่านพ่อ” อัปสรเอียงไปกระซิบเบาๆ
    “หนูต้องใช้อะไรซื้อของคะ”
     
    ท่านมาร์ควีสยิ้มกว้างตบมือบุตรสาวเบาๆ อัปสรยิ้มหวานตอบ แค่เนี๊ยะก็มีทรัพย์ไปซื้อของแล้ว
     
     
    หลังอาหารท่านมาร์ควีสใช้ให้คนเอาถุงบรรจุเหรียญเงินเหรียญทองและเหรียญทองแดงมาให้สำหรับบุตรสาวใช้จ่าย อัปสรหยิบเงินหล่อเหล่านั้นออกมาดู เหรียญตีตราเหมือนธงที่เธอเห็นแขวนไว้ที่ห้องอาหาร แล้วเธอจะรู้อัตราแลกเปลี่ยนไหมนั่น เด็กสาวยิ้ม ส่งถุงเงินให้หนึ่งในพี่เลี้ยงสาว
     
    “เอาไว้จ่ายของให้ด้วย ถ้าพวกพี่อยากซื้ออะไรก็เอา”
     
    พี่เลี้ยงสองสาวยิ้มปลาบปลื้มในน้ำใจของคุณหนูแต่ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้
    “พรุ่งนี้ซิพ่อค้าจะนำสินค้ามาให้ที่ปราสาทเลือก ก่อนที่จะนำไปขายที่ตลาดนัด”
     
    เด็กสาวตาโตอย่างสนใจ แสดงว่าใครจะผ่านมาทำมาค้าขายที่นี่ต้องมาจ่ายค่าผ่านทางก่อนนะซิ ชีวิตในโลกส่วนนี้ชักน่าสนใจแฮะ แต่ไม่ใช่วันนี้นี่น่า แล้ววันนี้จะทำอะไรล่ะ
     
    “ฉันอยากไปเดินเล่นนี่ ไม่อยากอยู่เฉยๆ”
    อัปสรทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้วางเบาะนุ่ม แกล้งทำเป็นงอนๆ
     
    สองสาวมองหน้ากัน
    “อย่างนั้นไปเลือกดูผ้ากันไหมคะคุณหนู ถ้าคุณหนูไม่ชอบยังไง พรุ่งนี้เราจะได้เลือกของใหม่กัน”
     
    อูย เรื่องโปรด ยังไงเธอต้องมีเสื้อผ้าเอาไว้ใส่ที่นี่นี่น่า แหม แล้วใครจะได้ใส่เสื้อผ้าในยุคโบราณบ่อยๆ กันเล่า
     
    “ท่านพ่อให้ฉันตัดชุดใหม่สวยๆ ใครเป็นช่างตัดเสื้อล่ะ ไปดูของด้วยกันดีไหม”
     
    “ค่ะ” พี่เลี้ยงยิ้มในความกระตือรือร้นของนายสาว ที่ผ่านมาระหว่างเดินทางคุณหนูคงเหนื่อยถึงได้ทำฤทธิ์มากมายอย่างนั้น นี่พอหายเหนื่อย นางก็สดใสเหมือนเด็กสาวทั่วๆ ไปแถมยังใจดีให้ถือเงินมากมายอีก
     
    “เจ้าพาคุณหนูไปดูผ้าก่อนนะ ข้าจะไปตามมาร์กาเร็ต” พี่เลี้ยงสาวคนหนึ่งบอก
     
    “ใครเหรอ มาร์กาเร็ต ช่างเสื้อหรือ”
     
    พี่เลี้ยงสาวหัวเราะในการไม่รู้อะไรเลยของนายหญิง นางสงสัยว่าทางสำนักชีสอนอะไรให้คุณหนูบ้าง ในเมื่อเหมือนนางจะไม่รู้เรื่องการเย็บปักถักร้อย การจัดการดูแลบ้านช่อง จัดสรรการใช้จ่ายเงินทองเลย
     
    “พวกเราเย็บผ้ากันได้ค่ะ แต่มาร์กาเร็ตออกแบบเสื้อผ้าได้สวยที่สุด เมื่อปีที่แล้ว เธอติดตามนายท่านไปที่ราชสำนัก คุณหนูจะได้ใส่เสื้อผ้าไม่ล้าสมัยไงล่ะคะ”
     
    อัปสรพยักหน้า ใช่เลย เรื่องแต่งตัวเชยนี่ไม่เคยอยู่ในสารบบของ อัปสร เธอต้องนำอยู่แถวหน้า มีแต่คนอื่นต้องตามเธอ ก็ดี จะได้รู้ว่าแฟชั่นยุคนี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ ขอกางเกงใส่สักตัวเถอะ เดินโล่งๆ แล้วไม่สบายใจเลย เด็กสาวแช่งด่าคนที่ส่งเธอย้อนยุคมา ไม่ให้เสื้อผ้าชุดชั้นในติดมาบ้าง แล้วยุคนี้เสื้อชั้นใน มันก็เสื้อนอนตัวหลวมๆ มีชิ้นล่างเสียที่ไหนกันเล่า
     
     
    เด็กสาวกำลังสนุกกับการเลือกผ้า ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ หลายหลากสี ลองคุยเรื่องแบบเสื้อกับมาร์กาเร็ตหญิงสาวรับปากว่าจะตัดตามแบบที่เธอต้องการให้ มีช่างช่วยในการปักลายที่ต้องการให้ได้ นางถามอย่างสงสัย ทำไมต้องการปักลายด้วยไหมหลากสี ทำไมคุณหนูไม่อยากใช้อัญมณีมากมีของท่านพ่อประดับชุดให้สมฐานะธิดาคนเดียวของท่านมาร์ควีส
     
    ดูอย่างคุณหญิงแม่รี่น้องสาวของนายท่านซิมาใช้ผ้าใช้อัญมณีของนายท่านประดับชุดอย่างไม่เกรงใจเลย ทั้งๆ ที่ท่านเอิร์น สามีของคุณหญิงก็ร่ำรวยยังกับอะไรดีอยู่แล้ว
     
    อัศวินที่เธอจำได้ว่าชื่อเซอร์อดัม กวาดสายตาคมไปรอบๆ ห้องที่สาวๆ กางผ้าออกพาดไปทั่วห้อง ก่อนจะซ่อนยิ้มเมื่อเห็นเจ้าเสื้อคลุมหมาป่าสีขาวที่นางไม่ให้ห่างกาย
     
    “ท่านมาร์ควีสอยากพบคุณหญิงขอรับ”
     
    “เอ๋ มีเรื่องอะไรหรือคะ”
    อัปสรลองถาม ไม่ลืมหยิบเจ้าโปโป้ติดมือมาด้วย บทเรียนเมื่อวานสอนเธอว่าต่อให้เวลานอน เธอก็ต้องนอนทับมันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคนใจร้ายจะเอามันคืนไป
    “ฉันไม่ได้ทำอะไรให้ท่านไม่พอใจนะคะ”
     
    เซอร์อดัมยิ้มให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยน กับสีหน้ากังวลใจของนาง ไม่ต้องห่วงไปหรอกคุณหญิง ท่านพ่อทั้งรักทั้งหลงท่านออกเช่นนี้ จะต้องกังวลไปทำไม
     
    อัปสรรอให้พ่อบ้านขานชื่อก่อนก้าวเข้าไปในห้อง เซอร์อดัมเดินตามมาเป็นเพื่อน ยิ้มให้กำลังใจเด็กสาว พอท่านมาร์ควีสเงยหน้าขึ้นมอง อัปสรก็ย่อกายคำนับ ก่อนก้าวเข้าไปใกล้ ตามกริยาเรียกของท่าน
     
    “อา...”
    มาร์ควีสแห่งวอนเดล ก้มลงมองเสื้อคลุมหมาป่าสีขาวที่บุตรสาวของเขายังสวมใส่ติดกาย
    “โปโป้ใช่ไหม”
     
    เท่านั้นอัปสรก็ยิ้มกว้าง ท่านพ่อรู้จักชื่อตุ๊กตาหมาของเธอด้วย น้ำตาเด็กสาวรื้อขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่จะสนใจเธอแบบนี้ไหม เจ้านโปเลียนของเธอจะเป็นยังไงบ้าง
     
    “ค่ะ” เด็กสาวยิ้มหวาน
     
    ท่านมาร์ควีสดึงเสื้อคลุมหมาป่าสีขาวออกมาส่งให้มองสีหน้าตกตะลึงของลูกสาว รอคอยรอยยิ้มหวานซาบซึ้งในน้ำใจของพ่อ แต่ไม่คิดว่าจะเห็นน้ำตาเม็ดโตๆ ร่วงลงมา
     
    “ทำไม ทำไมต้องไปฆ่ามันด้วยล่ะคะ”
     
    ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่อ้อมกอดของเด็กสาวกลับกอดหมาสีขาวตัวใหม่แน่น ถึงไม่ต้องมีปลอกคอเงินตีเส้นทองเป็นลวดลายฝังทับทิมอย่างสวยงาม ตาที่เป็นสีขาวใสสะท้อนแสงที่เธอระแวงว่าจะเป็นเพชรลูกเม็ดใหญ่หลายสิบกะรัต เธอก็แยกมันออกจากโปโป้ของเธอได้ นี่แสดงว่าเธอต้องคืนเจ้าโปโป้ไปจริงๆ ใช่ไหม เด็กสาวใช้หัวคิดเร็วจี๋ ทำยังไงจะไม่ต้องคืนมันไป
     
    “พ่อไม่ได้...”
     
    อัปสรปล่อยโฮ
    “เซอร์วิลเลี่ยมจะเอาโปโป้คืนใช่ไหมคะ ทำไมเขาใจร้ายอย่างนี้ ไม่คิดบ้างว่าเจ้าตัวนี้ก็มีครอบครัวรอมันกลับไปด้วย”
     
    ท่านมาร์ควีสได้แต่เงยหน้ามองอัศวินที่ทำหน้าบอกไม่ถูกเช่นกัน หนังหมาป่าผืนนี้เขาล่ามาได้ตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ดูแลรักษาอย่างดี ท่านมาร์ควีส ลูบผมดำสลวยเบาๆ
     
    “ไม่ใช่เลยนะลูก พ่อปกป้องแม่ของลูก จึงต้องฆ่ามัน ไม่เช่นนั้นพ่อคงจะไม่มีลูกในวันนี้”
     
    เสียงอ่อนโยนของท่านมาร์ควีสยิ่งเรียกน้ำตาของเด็กสาวออกมาอีก อัปสรกอดเสื้อคลุมกระชับมั่น
     
    “การที่เขาฆ่ามันทำให้เขามีสิทธิเป็นเจ้าของมันหรือคะท่านพ่อ ทำไมในเมื่อเขาได้ชีวิตมันไปแล้ว ซากของมันควรเป็นของคนที่รักถนอมมันซิคะ”
     
    ท่านมาร์ควีสโอบลูกสาวไว้ในอ้อมกอด ลูกสาวเขาช่างมีหัวใจอ่อนโยนจริงๆ
     
    “มันเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญนะ แอน วิลเลี่ยมกับมีดเล็กๆ เล่มเดียว เขาจะหนีไปก็ได้ แต่เขาอยู่ขวางระหว่างหมาป่ากับพระญาติที่บาดเจ็บของกษัตริย์”
     
    อัปสรตัวแข็งในอ้อมแขนของคนที่คิดว่าเธอเป็นลูกสาว เห็นว่าสูงวัยขนาดนี้แล้ว แต่เธอยังสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางใจดี
     
    “ใครๆ ก็ทราบถึงความกล้าหาญของเซอร์วิลเลี่ยม”
    อัปสรไขว่นิ้ว ยกเว้นเธอไม่เห็น ไม่เคยรู้ เธอไม่ใช่คนของที่นี่ 
    “หากเขาให้หนูดูแลเจ้าโปโป้ยิ่งแสดงถึงน้ำใจที่กว้างขวางของเขา ท่านพ่อขา”
    อัปสรเงยหน้าให้ท่านมาร์ควีสเห็นดวงตาชุ่มน้ำตาของเธอ
    “ตอนที่หนูออกจากเดินทาง หนูไม่มีอะไรเป็นเพื่อนเลย หนูมีแต่เจ้าโปโป้นี่เป็นเพื่อนคอยปกป้องหนู ท่านพ่อจะให้หนูทิ้งเพื่อนเมื่อหนูได้เข้ามาอยู่อย่างสุขสบายแล้วหรือคะ ท่านพ่อจะให้หนูทิ้งเพื่อนเมื่อมีเพื่อนใหม่หรือคะ”
     
    เด็กสาวบีบน้ำตาออกมาอีก
    “หนูคิดว่ามันน่าจะดีใจที่มีเจ้ารูบี้มาอยู่เป็นเพื่อน ถ้าเซอร์วิลเลี่ยม...”
    อัปสรทำเสียงสะอึกในลำคอ “เอาโปโป้คืนไป รูบี้มันคงเหงานะเจ้าคะ ท่านพ่อ”
     
    มาร์ควีสมองหน้าวิลเลี่ยมที่ก้าวออกจากที่ซ่อนอย่างจนปัญญา หากภายในหัวเราะลั่น นางสมกับเป็นลูกสาวข้าจริงๆ ยึดสิ่งที่ต้องการไม่ยอมปล่อย เสแสร้งร้องไห้ได้จนข้าปวดหัวใจ หากน้ำตานางออกมามากกว่านี้ พูดเสียงสั่นไม่ชัดเจนเช่นนี้ เขาคงจับผิดนางไม่ได้
     
    “การเอาแต่ใจของท่านจะทำให้ท่านพ่อของท่านลำบากคุณหญิง สิ่งนี้คือสิ่งที่พระราชทานมาข้าไม่อาจจะให้ใครได้”
     
    อัปสรสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเจ้าของตัวจริงดังขึ้น เด็กสาวช้อนตามองท่านมาร์ควีสอย่างตัดพ้อ ก่อนจะยืดกายหันไปเผชิญหน้ากับเซอร์วิลเลี่ยมอย่างกล้าหาญ
     
    ใจเย็นไว้โปโป้ ยังไงฉันก็จะพยายามจนสุดฝีมือไม่ให้แกต้องไปอยู่กับคนใจร้ายที่ฆ่าแกหรอก เชอะ...มีดเล่มเล็กๆ กว่าแกจะตายคงทรมานมากใช่ไหม แล้วทำไมแกต้องไปแปะอยู่กับตาคนนั้น เพื่อประกาศความพ่ายแพ้ของตัวเองล่ะ ฉันไม่ยอมหรอก...ถ้าฉันทำได้นะโปโป้ ถ้าไม่ได้อย่าว่ากันล่ะ ยังไง ตอนนี้ฉันก็มีรูบี้มาให้กอดแทนแล้ว
     
    “ถ้ามันไม่ใช่การให้ล่ะเจ้าคะ ท่านอัศวินผู้กล้าหาญ แค่ให้ฉันเก็บเอาไว้ เพื่อปลอบประโลมความหวาดหวั่นไม่มั่นใจของเด็กคนหนึ่งล่ะเจ้าคะ”
     
    ถ้อยคำอ่อนหวานเอาแต่ใจนั้น แทบไม่มีช่องให้โต้เถียง
     
    “ฉันคิดว่าองค์กษัตริย์คงไม่คิดว่าท่านหมิ่นเกียรติพระองค์เป็นแน่ แต่หากท่าน”
    อัปสรซบหน้าลงกับขนเจ้ารูบี้ที่กอดเอาไว้แน่ เอ๊ะ ไม่มีกลิ่นสาบสางของสัตว์เลยแฮะ ทำได้ยังไงนี่ ก่อนเงยหน้าสบตาอัศวินผู้กล้า
     
    “หากแต่ถ้าท่านจะไม่เห็นใจในความหวาดหวั่นของฉันที่ได้มันช่วยปลอบใจมาตลอดเวลาที่เดินทางมาที่นี่จนฉันคิดว่ามันเป็นเพื่อนสนิทที่สุด...”
     
    วิลเลี่ยมโบกมืออย่างจนปัญญา ใครล่ะที่ร้องกรี๊ดโยนเสื้อคลุมตัวนี้ทิ้งในตอนแรกแต่เขาจะพูดอะไรได้ ยิ่งพูดไปก็เหมือนผู้ใหญ่ฟ้องเด็ก ยิ่งสายตาท่านมาร์ควีสที่มองมาเหมือนเขาใจร้ายรังแกเด็กเล็กๆ
    “เอาไว้ปลอบใจ เป็นเพื่อนท่านยามหวาดหวั่นเถอะคุณหญิง เมื่อไรที่มันไม่เป็นที่ต้องการของท่านแล้ว กรุณาส่งคืนข้าด้วย”
     
    “ขอบคุณเจ้าค่ะที่ให้มันกับข้า”
    คำพูดของนางสะกิดใจ แล้วยังรอยยิ้มวาบที่ผ่านในดวงตาชราหากมากประสบการณ์ของผู้เป็นพ่อของนาง ทำให้เขาต้องกล่าวย้ำให้ชัดเจน
     
    “ข้าไม่ได้ให้มันกับท่านคุณหญิง มันยังเป็นของข้า ข้าเพียงให้ท่านยืมเพียงช่วงเวลาที่ท่านยังปรับตัวเข้ากับปราสาทนี้ไม่ได้เท่านั้น เมื่อสิ้นสุดการประลองข้าจะนำมันกลับไปด้วย เมื่อข้างกายข้าไม่มีมันข้าก็เปลี่ยวเหงาเช่นกัน”
     
    อัศวินหนุ่มคำนับอำลาท่านมาร์ควีส ก้มศีรษะให้แก่สุภาพสตรีที่สร้างความปวดหัวให้เขาไม่รู้จบ คิดว่าพอถึงเวลาสิ้นสุดการประลองเลือกคู่ของนาง สามีนางคงจะมีเหตุมีผลพอที่จะเอาเสื้อคลุมตัวนี้กลับมาคืนให้เขาได้
     
    “อ้อ คุณหญิง มันเป็นของข้า ชื่อของมันควรเป็นข้าตั้งให้มันไม่ได้ชื่อโปโป้”
     
    “ในเมื่อท่านไม่ได้ตั้ง และมันขานยามถูกเรียกชื่อโปโป้ ดังนั้นมันชื่อโปโป้เจ้าค่ะ”
     
    วิลเลี่ยมหันขวับกลับไปพร้อมจะมีเรื่อง นอกจาก อัศวินอาวุโส ที่หันไปยิ้มกับผ้าทอแสดงวีรกรรมในสงคราม ท่านมาร์ควีสที่สามารถตีหน้าตายได้ในทันทีแล้ว เขาพบเพียง ใบหน้างดงามสงบเสงี่ยมเหมือนพระแม่มารีผู้บริสุทธิ์ ดวงตาดำสนิทใสกระจ่างส่องได้ลึกถึงบึ้งหัวใจว่าไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่ในนั้นเลย ไม่มี วิลเลี่ยมทำได้เพียงก้มศีรษะคำนับอีกครั้งก่อนออกจากห้องไป
     
     
                อัปสรถลาเข้าห้องอย่างดีใจ บรรจงวางเจ้ารูบี้ หมาป่าสีขาวตัวใหม่ลงบนเตียง เคียงข้างด้วยเจ้าโปโป้ ตอนนี้เธอไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแอบฉกเอาเสื้อคลุมไประหว่างเธอเผลออีกแล้ว สาวน้อยถึงกับครวญเพลง ชีวิตฉันเดินมีหมานำ ฉันเดินตามหมาเดิน อย่างอารมณ์ดี
     
    ใครจะคิดว่าเด็กสาวไฮโซ อย่างอัปสรจะรู้จักเพลงพวกนี้ด้วย คนอื่นจะไปรู้อะไร พ่อแม่เธออยู่บ้านเสียที่ไหน สาวใช้เปิดเพลงลูกทุ่งเพลงเพื่อชีวิต เธอฟังจนหลับไปทุกวัน มันต้องเข้าไปอยู่ในหัวบ้างล่ะน่า
     
                พอบรรจงว่างเจ้าหมาสองตัวคู่กันบนเตียงก็ถอยออกมาดูผลงาน แหม น่าหอบกลับไปบ้านได้ พอคิดถึงบ้านก็รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันที แทนที่จะหยิบเสื้อคลุมหมาป่าตัวใดตัวหนึ่งขึ้นมา เธอกลับไปเปิดหีบหยิบเสื้อคลุมสีแดงเข้มประดับมรกตงดงามออกมาสวมแทน เมื่อวานที่เมินเสื้อผ้าชิ้นอื่นๆ เพราะเธอต้องการจะเอาเจ้าโปโป้คืนมาหรอก อันอื่นนะของตาย ของเธอเห็นๆ อยู่ แล้วตอนนี้ เธอหันไปยิ้มกับเจ้าตาสีน้ำเงิน ตอนนี้แกถูกฉันล่ามไว้ใกล้ๆ ตัวแล้ว
     
                บานประตูเปิดออกพร้อมๆ กับเจ้าก้อนขนสั้นกลมๆ ถูกไสเข้ามา มันขดนิ่งตัวสั่นระริกอย่างหวาดกลัว
     
     “ลูกหมา” อัปสรแทบเก็บเสียงกรี๊ดไว้ไม่อยู่ หญิงสาวถลาลงไปหมอบจนจมูกเกือบชนจมูกเจ้าตัวน้อย ลิ้นสีชมพูเล็กๆตวัดแวบเลียหน้า
     
    เด็กสาวหัวเราะอุ้มเจ้าตัวน้อยเข้ามาอิงไออุ่นของเสื้อคลุมด้วยกัน ก่อนจะจับยกชูสำรวจ เจ้าตัวน้อยเริ่มคุ้นเคยจนกระดิกหางให้ พอเธอยกสูง มันก็ฉี่โด่งออกมา อัปสรหลบไปก็หัวเราะไป ไม่ฟังคำดุว่าของสองพี่เลี้ยงสาว ก่อนจะปล่อยให้มันวิ่งเล่นกับพื้นห้องสำรวจที่ใหม่อย่างสบายใจ
     
    เธอคิดว่ามันเป็นพันธุ์ อิงลิช ชีพดอก เสียอีก จากสีบริเวณลำตัวที่เป็นสีเข้มกว่าส่วนหัวและขาทั้งสี่ แต่เมื่อดูดีๆ แล้ว เจ้านี้ไม่ได้มีหัวยุ่งๆ กลมๆ แบบเจ้าชีพดอก เด็กสาวเกือบเก็บอาการกรี๊ดไว้แทบไม่อยู่ งั้นนี้ก็ Bearded Collie ต้นตระกูล อิงลิช ชิพดอกนะซิ
     
    “ของฉันหรือ”
    อัปสรหันไปถาม แววตาคุณหญิงบอกเอาไว้ว่า มันต้องเป็นของฉัน สองพี่เลี้ยงสาวจะกล้าบอกเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร
     
    “ของคุณหนูเจ้าค่ะ เซอร์วิลเลียมให้นำมาให้”
    แม่พี่เลี้ยงสาวอ้างเสียอย่างนั้น จะได้ทำให้คุณหนูญาติดีกับท่านอัศวินหนุ่มเสียที
     
    “รู้จักคิดเหมือนกันนะ”
    อัปสรงึมงำ ตาวาวเมื่อนึกอะไรขึ้นได้
    “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องโลกนี้เท่าไร เซอร์วิลเลี่ยมเป็นใครหรือ ทำไมท่านพ่อถึงให้เขาไปรับฉันแทนที่จะเป็นทหารของท่านพ่อเอง”
     
    สาวใช้กระแอมมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ
    “เซอร์วิลเลี่ยมเป็นบุตรชายคนรองของเอิร์ลซัลแวลล์ ที่ดินของตระกูลอยู่ติดชายแดนทางเหนือโน่นน่ะค่ะ ตอนนี้ตำแหน่งและที่ดินเป็นของพี่ชาย”
     
    สองสาวใช้ผลัดกันเล่าเมื่อต้องคอยตามคุณหนูที่วิ่งเล่นหยอกล้อกับเจ้าลูกสุนัขตัวใหม่ที่ซนใช่เล่น
    “หลังจากเซอร์วิลเลี่ยมได้ตำแหน่งเป็นอัศวิน เขาก็รวบรวมลูกน้อง รับจ้างไปทั่ว จนครั้งหนึ่งได้ช่วยชีวิตญาติของกษัตริย์เข้าโดยบังเอิญ ตั้งแต่นั้น ท่านเซอร์ก็ได้เป็นหนึ่งในทหารที่องค์เหนือหัวเราไว้วางใจ”
     
    “ครั้งนี้ นายท่านได้ทำทูลขอให้คุณหนูได้กลับสู่บ้าน กษัตริย์เลยให้เซอร์วิลเลี่ยมไปรับคุณหนูมาส่งไงคะ”
     
    อัปสรอยากจะเกาหัว เรื่องที่ทั้งสองเล่ามาก็ไม่มีอะไรบอกเธอได้เลยว่าทำไม พ่อที่มีทหารมากมายของเธอ ถึงไม่ส่งทหารของตัวเองไปรับเธอมา ไปไว้ใจทหารไม่กี่คนของเซอร์วิลเลี่ยม
     
                “แล้วพ่ออัศวินคนกล้านั่นอยู่ไหน”
     
                เด็กสาวเลิกคิ้วอย่างพิศวงเมื่อสองสาวใบหน้าแดง ต่างม้วนเอียงอายกันไปมา
     
                “หรือว่าเขา เออ”
    อัปสรชูนิ้วชี้ขึ้นทำวนๆ เออ ไอ้ที่แปลว่ากำลังจู๋จี๋กับสาวนี่ ใช้ยังไงหว่า
     
                สองสาวม้วนกันอีกรอบก่อนหัวเราะกิ๊กกั๊ก
    “กำลังฝึกซ้อมการต่อสู้มือเปล่ากันอยู่ค่ะ”
     
                ท่าทีมีพิรุธของสองสาวกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น เอ๊ะ น่าจะมีอะไรเป็นความลับ ดีล่ะ เธอต้องรู้ให้ได้ เผื่อจะเก็บเอาไว้ใช้ได้คราวหน้า อัปสรอุ้มเจ้าลูกสุนัขตัวน้อยขึ้นมาทันที
     
                “มันหย่านมหรือยัง ต้องเอาไปคืนแม่มันไหม”
     
    “ไม่ต้องเจ้าค่ะ”
    สองสาวตอบ หัวเราะกิ๊กหยอกล้อกัน เดินนำทางอย่างรวดเร็วไปข้างหน้า ผ่านประตูหอคอยออกไปทางเชื่อมระหว่างยอดปราสาท
     
                เด็กสาวชะงักเท้าเล็กน้อย เมื่อหลังประตูบานกว้างมีทางเดินเชื่อมไปยังส่วนอื่นของปราสาท ที่มันลอยอยู่เหนือพื้น เธอเห็นสองสาวหมอบอยู่ริมทางเดินด้านหนึ่ง จึงปิดประตู แล้วย่องตามไปดูบ้าง ตรงผนังทางเดินที่สูงประมาณอกเธอมันไม่ได้ทึบไปเสียหมดมีบางส่วนที่ทำเว้นเป็นช่องเอาไว้ ที่ตอนนี้สองสาวมองผ่านไปดูอะไรบางอย่างที่คงเป็นที่ชอบใจแน่ล่ะ เมื่อต่างกระซิบกระซาบใส่หูกันและกัน อัปสรมองอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะกระแทกตัวแทรกเข้าไปตรงกลาง
     
                “ไหนมีอะไร”
     เด็กสาวอ้าปากค้าง หูแทบไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของสองสาวเมื่อเห็นสีหน้าคุณหนู
     
    แม่เจ้า หนุ่มๆ ล่ำๆ นุ่งผ้าเตี่ยวกำลังประลองกำลังกันอยู่ข้างล่าง แค่เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ อัปสรก็อยากเป็นลมเสียแล้ว นี่มันยิ่งกว่าไปชมกีฬาเพาะกาย หรือมวยปล้ำข้างสนามเสียอีกนะ เด็กสาวหลับตาปี๋ เมื่อเห็นคู่หนึ่ง จับคู่ต่อสู้ยกเหนือหัวฝาดลงกับพื้นแข็งๆ เธออดสะดุ้งแทนไม่ได้
     
    “กลับดีกว่าไหมคะ คุณหนู” เสียงถามอย่างห่วงใยทำให้อัปสรรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
     
    “ม่ะ ไม่เป็นไร”
     
    เธอต้องทำใจว่านี่ยุคกลางนะ ต้องฝึกซ้อมมากๆ เวลาโดนของจริงจะได้มีชีวิตรอด ท่องเอาไว้ ท่องเอาไว้ เด็กสาวกวาดตามองหาคู่อริ แต่สายตามันอดวอกแวกแวะเวียนตามกล้ามเนื้อสวยๆ ไม่ได้ ก็ของมันน่ามอง เธอแก้ตัวกับตัวเอง
     
                แล้วเธอก็เห็น เซอร์วิลเลี่ยมกับคู่ต่อสู้ถึงสองคน ร่างเกือบเปลือยกำยำ รูปร่างอาจจะเสียเปรียบตู่ต่อสู้ไปบ้าง แต่สมองเจ้าเล่ห์ของหมาป่า เธอว่าไม่มีใครสู้เขาได้ นั่นไง เอาชนะได้แล้ว
     
                พอเบื่ออัปสรก็มองไปรอบๆ แทน เธอเห็นระเบียงเชื่อมแบบนี้ อีกสองระเบียงในระดับเดียวกับเธอ และอีกสาม ในระดับที่สูงกว่า มีทหารยามเดินวนเวียนอยู่สองคน เขาส่งยิ้มมาให้เมื่อเธอมองขึ้นไปพอดี
     
    เสร็จกัน ท่านพ่อจะว่าอะไรเธอไหมนี่ ที่มาแอบดูหนุ่มๆ ฝึกซ้อมกัน หัวสมองวิ่งเร็วจี๋ ในสมัยนี้ ทำอย่างนี้ได้ไหม แล้วเด็กสาวก็ยักไหล่ คงจะได้ล่ะ เมื่อแม่พี่เลี้ยงไม่ห้ามเธอเลยนี่
     
                เธอเห็นทหารบางคนเดินไปในสิ่งก่อสร้างคล้ายๆ ศาลาหลังใหญ่เด็กสาวสะกิดถามทันที
    “นั่นอะไร”
     
    “อ๋อ” เธอเห็นพี่เลี้ยงหน้าแดงกว่าทุกที “โรงอาบน้ำเจ้าค่ะ”
     
    หัวคิดวิ่งเร็วจี๋แล้วยิ่งเห็นเซอร์วิลเลี่ยมเดินผละจากกลุ่มคนออกเดินไปทางนั้น เจ้าตัวขนปุยในอ้อมกอดทำตัวยุกยิกอย่างที่เธอรู้แล้วว่ามันต้องการอะไร เขาต้องลอดใต้ระเบียงตรงนั้น เด็กสาวออกวิ่งทันที
     
     
                “จ้อก”
     
                วิลเลี่ยมเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกถึงหยดน้ำ แล้วรีบดีดตัวหนีแทบไม่ทันเมื่อเห็นเจ้าตัวมีขนสี่ขาในมือบางๆกำลังฉี่โด่งลงมา แม่เจ้าประคุณตัวแสบพอได้เสื้อของเขาไว้ในครอบครองก็เลิกเห่อ หันมาใส่เสื้อคลุมตัวใหม่เสียอย่างนั่น
     
                “อ้าว ท่านหรือคะเซอร์วิลเลี่ยม”
    อัปสรกระชับลูกหมาเอามากอดตามเดิม ชะโงกหน้าไปยิ้มหวานให้
     
                “ข้ากำลังรอคำขอโทษของท่านอยู่คุณหญิง”
     
                อัปสรทำตาโตหน้าตาไม่รู้เรื่องใส่ชายหนุ่มเกือบเปลือยที่อยู่ด่านล่างเธอไปหลายฟุต ไม่มีทางที่เขาจะเอาคำนั้นออกจากปากเธอได้
     
                วิลเลี่ยมเป็นแววท้าทายในดวงตาคู่ที่ดำล้ำลึก ดวงหน้างามเหมือนนางฟ้าส่ายเล็กน้อยแทบไม่เห็น ยายตัวแสบ! ชายหนุ่มคำรามในใจ ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เธอลอยนวลได้ได้ง่ายๆ
     
                พอวิลเลี่ยมเริ่มปีนขึ้นมาบนระเบียง อัปสรก็วิ่งเข้าในตัวปราสาทกระแทกประตูปิดตามหลัง
     
    “ท่านพ่ออยู่ไหน” อัปสรกระหือกระหอบถามคนแรกที่เธอเจอ
    “ท่านมาร์ควีสน่ะ”
     
    “ท่านมีแขกขอรับ”
     
    “เซอร์อดัมล่ะ”
    หญิงสาวถามหาที่พึ่งต่อไปของเธอ หูได้ยินเสียงตะโกนของสองพี่เลี้ยงบอกให้รู้ว่าเซอร์วิลเลี่ยมใกล้เข้ามาแล้ว พร้อมๆ กับเสียงเชียร์ของทหารคนอื่นๆ ทหารบางส่วนคงเชียร์เซอร์วิลเลี่ยม และอีกส่วนก็ลุ้นให้เธอหนีให้ได้
     
    “ทางคอกม้าขอรับ”
     
    อัปสรมองสองทางที่เธอต้องไป ก่อนตัดสินใจเลือกไปพึ่งท่านพ่อดีกว่า วิลเลี่ยมต้องไม่กล้าเข้าไปลากตัวเธอที่นั่นแน่
     
    พอถึงโถงใหญ่ก่อนจะไปทางห้องรับแขกที่คนรับใช้รีบชี้ทางให้ ข่าวที่วิลเลี่ยมกำลังวิ่งไล่เธอคงแพร่ไปเร็วยิ่งกว่าสายลมอีกล่ะมั่ง เธอหันไปมองเห็นบรรดาคนรับใช้ช่วยกันขวางเขาเอาไว้ ทำถังน้ำหกขวางทางบ้าง กำลังปัดกวาดขวางทางบ้าง  ระหว่างเธอวิ่งลงมาตามบันไดกว้าง เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ตามมาข้างหลังทำให้เธอเลือกแหล่งช่วยเหลือที่หาได้ใกล้ที่สุด เหมือนพระมาโปรดประตูหน้าเปิดออกพร้อมร่างท่านพ่อและแขกที่เข้ามา หญิงสาวพุ่งเข้าไปแอบข้างหลังท่านมาร์ควีสทันที
     
    “อะไรกัน”
    มาร์ควีสชายตามองลูกสาวที่หลบอยู่ข้างหลัง ก่อนหันไปทางกลุ่มคนที่ต่างชะงักกันไปหมด เริ่มตั้งแต่ อัศวินหนุ่มที่แต่งตัวน้อยชิ้นอย่างที่สมควรจะอยู่ที่สนามฝึกมากกว่าในส่วนห้องโถงหน้าของปราสาท ก่อนจะเลยไปถึงสองพี่เลี้ยงสาว อัศวินในผ้าเตี่ยวผืนเดียวอีกกลุ่มใหญ่ ยังไม่นับคนรับใช้เกือบจะทั้งปราสาทที่มารวมตัวอยู่ที่นี่เกือบทั้งหมด
     
                “เซอร์วิลเลี่ยม เมื่อข้าขอให้ท่านลงไปฝึกซ้อมทหารให้ข้า ข้าไม่คิดว่าท่านจะซักซ้อมการต่อสู้ในปราสาท”
     
                อัปสรชะโงกมองมาจากข้างตัวท่านพ่อ ยิ้มกว้างเมื่อเห็นเหล่าอัศวินต่างยืนนิ่งเหมือนเป็นหุ่น
     
                “ขออภัยให้กับความไร้มารยาทของอัศวินของข้าด้วย แวลแซกซ์”
     
                เมื่อนั้นเด็กสาวถึงรู้สึกตัวว่าท่านพ่อไม่ได้ก้าวเข้ามาคนเดียว ยังมีร่างสูงก้าวเข้ามาพร้อมๆ กันด้วย ใครหรือที่ทำให้ท่านมาร์ควีสต้องออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง
     
                “บางทีความซ้ำซากก็ทำให้น่าเบื่อ ข้าน่าจะนำการฝึกแบบนี้ไปฝึกทหารของข้าบ้าง แต่ วิลเลี่ยม…”
    เสียงทุ้มนุ่น เรียกอัศวิน ที่ยังยืนตัวตรงนิ่งอย่างถือสนิท
    “การที่ท่านใช้สาวน้อยนางนี้เป็นเป้าไล่ล่า จะไม่เกินไปหน่อยหรือ”
     
                วิลเลี่ยมโค้งตัวคำนับมาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ บุตรชายคนโตของท่านดยุกแห่งเค้นท์ เขากับมาร์ควีสเติบโตมาพร้อมๆ กัน ตั้งแต่เป็นเด็กรับใช้ สไคว์ จนเป็นอัศวิน มาร์ควีสหนุ่มก้มศีรษะลงรับนิดๆ
     
                “ในเมื่อข้าจับเป้าหมายของท่านได้แล้ว”
     
    อัปสรยืมตัวแข็ง เมื่อชายแปลกหน้าโค้งต่ำลงต่อหน้า ก่อนจะจับมือเธอไปคล้องแน่นไว้ที่แขนของเขา เด็กสาวมีโอกาสเห็นดวงหน้าหล่อเหลานั้นได้เพียงแวบเดียวก็ถูกดึงหันไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่ไล่ตามเธอมา เซอร์วิลเลี่ยม
     
    “ถือว่าข้าชนะ”
    คิ้วสีทองเลิกขึ้นนิดๆ เป็นเชิงถาม เมื่อไม่มีเสียงตอบปฏิเสธมาจากชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่
    “เช่นนั้นข้าขอใช้สิทธิผู้ชนะ ช่วยไปดูแลทหารให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ชี้ที่ทางที่จะให้ตั้งเต็นท์ ทหารของข้าจะได้เริ่มสร้างค่ายพักแรม”
     
    มาร์ควีสหนุ่มหันมาทางเจ้าของบ้าน
    “เมื่อสารการประลองแจ้งออกไป คงมีอัศวินมากมายเดินทางมาที่นี่ ข้าคงไม่อาจรบกวนเข้ามาขอพำนักยังบ้านท่านได้ ท่านพ่อบัญชาให้ข้าล่วงหน้ามาช่วยดูแลความเรียบร้อย”
     
                มาร์ควีสเวลเดลพยักหน้าให้พ่อบ้านของเขา
    “แซมมวลจะพาท่านไปดูสถานที่”
     
                “นี่ท่านรู้จักบุตรสาวของข้าหรือยัง”
    เจ้าของบ้านถามแขกหนุ่ม ดวงตาชรามองปลอบใจบุตรสาวที่เพียรจะดึงตัวออกให้ห่าง
     
                “ข้ารอที่จะได้ชมโฉมนางอยู่”
     
                เสียงทุ้มนุ่มดังอยู่เหนือศีรษะ อัปสรส่งเสียงฮึมฮัมอยู่ในใจ ก็ปล่อยมือซิจะได้รู้จักกันเสียที ฉันก็อยากจะดูให้ชัดๆ อีกทีว่ามีคนหล่อเลิศขนาดนี้อยู่ในโลกจริงๆ หรือ ตามคุณพ่อคุณแม่เที่ยวไปจนจะทั่วโลก เธอยังไม่เคยเจอใครที่มองแวบเดียว แล้วแทบจะอ้าปากค้างอย่างชายหนุ่มที่ยึดตัวเธอไว้แน่นคนนี้เลย นี่ยังไม่นับเจ้าตัวกลมน้อย ที่ดิ้นดุกดิก อยากลงไปวิ่งเต็มทีอีกตัวนะ
     
                เด็กสาวพยายามจะบิดมือออก ส่งสายตาอ้อนวอนท่านพ่อ พอท่านยื่นมือออกมา เธอรีบย้ายตัวเองมาเกาะแขนท่านมาร์ควีสชราแทน โดยหนุ่มแปลกหน้ายอมปล่อยมืออย่างอ้อยอิ่งไม่เต็มใจเอาเสียเลย
     
                “นี่คือแอนบุตรสาวของข้า”
     
                อัปสรย่อกายลงถอนสายบัวให้ก่อน ไม่มีทางที่เธอจะยื่นมือไปให้เขาจับอีกหรอก เด็กสาวหมายมั่นอยู่ในใจ
     
                ไมเคิลก้มศีรษะลงโค้งต่ำ ก่อนยื่นมือมาให้ ในเมื่ออีกมือบุตรสาวไม่ยอมปล่อยเจ้าหน้ายุ่งลง มาร์ควีสแห่งวอนเดลจึงต้องส่งมือของบุตรสาวให้ มาร์ควีสหนุ่มบรรจงจูบปลายนิ้วเพียงแผ่วเบาก่อนปล่อย อัปสรกลั้นเสียงแหวะเอาไว้เต็มที่ เล่นกับเจ้าตัวกลมนี่ยังไม่ได้ล้างไม้ล้างมือเลย จูบลงไปได้
     
                “ยินดีที่พบท่านค่ะ”
    อัปสรย่อตัวอักครั้ง รีบดึงมือกลับ ส่งสายตาอ้อนวอนให้ท่านมาร์ควีสแห่งวอนเดลช่วยเธอ
     
                “ลูกสาวข้าเพิ่งมาถึงเมื่อวาน เกรงว่าการถูกไล่ล่าวันนี้คงทำให้นางเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย ขอบคุณท่านด้วยแวลแซกซ์ที่ยุติเกมนั้นลง”
     
                หนุ่มรูปงานคลี่ยิ้มช้าๆ
    “ข้าช่วยเซอร์วิลเลี่ยมมากกว่า ถ้านางรู้ตัวก่อน ข้าคงจับนางไม่ได้ง่ายๆ”
     
    อัปสรได้แต่ทำตาโต ตีหน้าไร้เดียงสา เจ้าตัวกลมในอ้อมแขนส่งเสียงเห่าเตือนเจ้านายให้ปล่อยมันลงเสียที
     
    “นั่นไปได้มาจากไหน”
     
    “เซอร์วิลเลี่ยมส่งมาให้เจ้าค่ะ” อัปสรตอบ ยกความดีให้หน่อยก็ได้
     
    “ฮือม์”
    ท่านมาร์ควีสเวลเดลพยักหน้าให้พี่เลี้ยงสองสาวมานำตัวคุณหนูออกไปได้ ก่อนเชื้อเชิญแขก เข้ามานั่งพักผ่อนก่อน
     
    ไมเคิลก้มศีรษะรับ เดินตามเจ้าของบ้านไป หากในความคิดของเขา ภาพเพื่อนอัศวินที่มีเพียงผ้าชิ้นเดียวติดกายวิ่งไล่เด็กสาวบอบบางคนหนึ่ง สีหน้าที่พอจะฆ่าคนได้ สีหน้าที่ไม่มีอัศวินคนใดเห็นแล้วจะไม่รีบวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุดด้วยความหวาดกลัว
     
    แล้วสาวน้อยนางนั้นเล่า วิ่งเร็วจี๋จนผมดำขลับปลิวไสว ดวงหน้างามราวตุ๊กตากระเบื้องที่แสนบอบบาง ดวงตาโตเต้นพราวอย่างสนุกไร้แววหวาดกลัว พอนางหมุนตัวหลบหลังผู้เป็นบิดา การเคลื่อนไหวอย่างฉันพลันนั้น ทิ้งกลิ่นหอมกำจาย จนเขาอดสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้...นี่นะหรือธิดาสาวผู้ลึกลับของมาร์ควีสแห่งเวลเดล
     
                อัปสรปล่อยเจ้าตัวกลมลงกับพื้น ล่อให้มันวิ่งตามเธอขึ้นบันไดไปที่ห้อง เด็กสาวไม่ได้สนใจจะมองรอบข้างว่าใครจะมองเธออย่างไร เธอสนใจแต่เจ้าตัวกลมว่ามันจะกระโจนขึ้นขั้นบันไดตามเธอมาได้หรือไม่
     
                สองพี่เลี้ยงสาวกวาดตามองคนรับใช้ที่แอบมองคุณหนูอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นสายตาพี่เลี้ยงโฉบมอง ต่างหลบกันวูบวาบ
     
                ไมเคิลเหลียวมามองตามเสียงหัวเราะหวานใส ที่ส่งเสียงลุ้นเจ้าลูกสุนัขตัวน้อยให้ตระกายขึ้นบันได เสียงลูกสุนัขเห่าประท้วง ครางหงิงๆ ออดอ้อน มาร์ควีสหนุ่มยิ้มกับตัวเองส่ายหน้าช้าๆ ไม่อยากจะเชื่อเด็กสาวที่เหมือนนางไม้ซุกซนนี่นะหรือ ธิดาที่ลือกันว่าถูกเก็บตัวเงียบอยู่ในสำนักชีมืด หากนางนิสัยเป็นเช่นนี้ เขาอดสะดุ้งแทนท่านมาร์ควีสผู้เฒ่าไม่ได้ที่ต้องเสียเงินทองมหาศาลเพื่อให้ทางสำนักชีเก็บนางเอาไว้
     
     
                อัปสรหลอกล่อเจ้าตัวยุ่งไปถึงห้องจนได้ พอขึ้นมาถึงทางตรงมันควบเร็วแซงหน้าเด็กสาวไป แถมยังเข้าห้องได้ถูกเสียด้วย
     
                อัปสรชะงัก ยิ้มทักทหารที่มายืนเฝ้าหน้าห้องของเธอ เอ เธอว่าเพิ่งโดนสั่งให้มายืนตรงนี้นะ เพราะตอนที่เธอออกไปสนุกนั้นยังไม่มีใครมายืนเฝ้าเลย
     
                ใครล่ะที่สั่ง ว้า ถ้าอย่างนี้เธอจะแอบออกไปสนุกได้อย่างไร คงไม่พ้นตาเซอร์ วิล ตัวยุ่งแสนจะเจ้าระเบียบนั้นแน่ๆ ที่เป็นตัวการ เธอไม่คิดว่าเขาจะมีอำนาจมาสั่งทหารของท่านพ่อเธอได้หรอกนะ
     
                “ใครสั่งให้ทหารมาเฝ้าฉัน”
    เด็กสาวหันมาถามพี่เลี้ยงสองสาวที่หันมามองหน้ากัน อ้าว ก็วิ่งตามคุณหนูไป ใครจะไปรู้เล่า
     
                “ท่านไปถามดู”
    อัปสรเลือกพี่เลี้ยงสาวที่หูตาแพรวพราว ผมสีอ่อนจาง ขณะเดียวกันก็ดึงมือคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าผมสีเข้มเอาไว้
                “เดี๋ยวท่านอยู่ช่วยข้าเลือกเสื้อผ้า เราคุยกับมาร์กาเร็ตยังไม่ถึงไหนเลยท่านพ่อก็ตามหาฉันเสียแล้ว”
     
    “เดี๋ยวข้าไปตามมาร์กาเร็ตมานะคะ คุณหนู”
     
    หากอัปสรยังดึงมือเอาไว้
    “ท่านไปใช้ทหารไปตามได้ไหม ไม่มีคนช่วยถอดชุด”
     
    เด็กสาวอ้าง ดวงตาพี่เลี้ยงมีแววเท่าทัน หากก็ยอมตามใจแต่โดยดี อัปสรยิ้มหวานให้ มองเจ้าตัวกลมที่เลือกที่หน้าเตียงเธอ ขดตัวกลมหลับไปแล้ว
     
    “แขกที่มาหาท่านมาร์ควีสเป็นใครเหรอ”
    อัปสรถามขณะที่อาบน้ำสำราญใจอยู่ในอ่างหลังม่าน ฉลุ มองไปเห็นสาวๆ กำลังขะมักเขม้นกับการเย็บเสื้อตัวใหม่ของเธอ
     
    มาร์กาเร็ตถ่อมตัวว่าฝีมือออกแบบของเธอสู่นักออกแบบที่เมืองหลวงไม่ได้ หากคุณหญิงต้องการ ไม่มีช่างออกแบบคนไหนจะปฏิเสธท่านมาร์ควีส ได้มีแต่จะรีบเร่งเดินทางมาให้ทันใจ แต่แบบเสื้อที่มาร์กาเร็ตร่างคร่าวๆ ให้ดู เธอก็ว่ามันแสนจะทันสมัย แสนจะสวยอยู่แล้ว แล้วรสนิยมของเธอเป็นที่รู้กันดีว่า เลิศค่ะ
     
                สาวๆ มองหน้ากันก่อนหัวเราะคิกคัก
    “แล้วท่านพ่อจะบอกคุณหญิงเองล่ะเจ้าค่ะ”
     
                ฮึ่ม ใครนะบอกผู้หญิงช่างนินทา เด็กสาวลุกขึ้นเช็ดตัว ก่อนสวมเสื้อชั้นใน สีฟ้าเข้ม ตามด้วยชุดชั้นนอกสีชมพูสด ให้มันตัดกันฉึบฉับไปเลย สาวๆ อ้าปากค้างไปทีแล้วกับการเลือกเสื้อผ้าของเธอ ในเมื่อยุคนี้จะเลือกใส่เสื้อผ้าสีโทนเดียวกันมากกว่า แต่เมื่ออยู่บนร่างบอบบางของคุณหนู สีสดใสเข้ากับแววตาที่ซุกซน
     
                เด็กสาวหมุนตัวดูชุด อะไรนะที่มันขาดไป ระบาย ริมบิ้น ที่เอามาใช้ตกแต่งเสื้อไงล่ะ เธอมองสาวๆ อีกสามคนในห้องที่ต่างมีลายปัก ติดอะไรฟู่ๆ แล้วดูของเธอ นอกจากสีตัดกันแล้ว เรียบสนิท พอเห็นคุณหนูขมวดคิ้ว ทั้งสาม ต่างแย่งกันเสนอถึงการปักอัญมณีเข้าไปที่เธอปฏิเสธไปในครั้งแรก แบบที่เอามาให้ดู ขืนปักตามนั้น จะเดินไหวไหม ไม่เอาด้วยหรอก แล้วทีนี้ เธอจะแก้ปัญหายังไงดีล่ะ เข็มขัด สร้อยคอ ยาวๆ อย่างสาวๆ ใส่ อัปสรดีดนิ้ว
     
    “มีเข็มขัดไหม”
    เด็กสาวออกปากถาม ดูเข็มขัดเส้นหนาที่คาดต่ำรอบเอวของสามสาว มีพู่ห้อยประดับสวยดีทีเดียว
     
                เธอเห็นหญิงพี่เลี้ยงถอนหายใจอย่างโล่งอก เอ ทำไมหรือ เธอทำตัวให้ยุ่งยากเกินไปหรือไง ไม่ได้ให้ตัดเสื้อยาก อย่างตัดชิ้นเล็กๆ มาถักเป็นตัวเสื้อเสียหน่อย
     
                พอเห็นหีบที่สองพี่เลี้ยงสาวช่วยกันยกมาเปิดให้ดูก็แทบอยากจะเป็นลม คุณแม่ของเธอมีเครื่องเพชรเครื่องทองมากแล้ว แต่มาเจอในหีบนี้ มันเทียบกันไม่ได้เลย
     
                หลังจากพยายามค้นหาเข็มขัดเส้นเล็กที่สุด เธอก็ได้ เข็มขัดทองเป็นแผ่น ร้อยต่อแผ่นด้วยห่วงทองเล็กๆ ตรงกลางแผ่นฝังอัญมณีแผ่นละเม็ด ที่จัดว่าไม่ใหญ่มาก หวังว่าถ้ามีเหตุการณ์ให้วิ่งเธอจะยังวิ่งไหวนะ อัปสรถอนหายใจเฮือก รับมาคาดกับเอว
     
                ไม่คิดว่าจะต้องทรงเครื่องใหญ่ขนาดนี้ ตอนที่ ท่านมาร์ควีสส่งเครื่องแต่งกายไปให้ ก็มีเข็มขัดหนังธรรมดา เสื้อผ้าก็เรียบๆ หรือคิดอีกที ท่านกลัวจะถูกปล้นหรือยังไง ไม่น่ากลัวหรอกนะ ก็ส่งทหารไปอีกตั้งเกือบครึ่งร้อยละมั่ง
     
                พอคุณหนูเลือกเข็มขัดเสร็จ พี่เลี้ยงสองสาวก็จัดการปิดหีบยกไปเก็บมุมห้อง ก่อนจะพากันเปิดหีบโน้นหีบนี้วุ่นวาย ก่อนจะมาส่งเครื่องแต่งตัวที่เข้าชุดกัน ประกอบด้วย สร้อยคอที่ทำด้วยทองแผ่นย่อมกว่าเข็มขัด ประดับอัญมณีเนื้อดีกว่า เม็ดเป้งกว่า กำไลอีกหลายวง ตามด้วย ตาข่ายทองโปร่งประดับอัญมณีสำหรับคลุมผม
     
                อัปสรถอนหายใจยอมนั่งลงให้พี่เลี้ยงสองสาวช่วยกันเก็บผมให้เรียบร้อย
     
                “นี่ฉันจะไปหาซื้ออะไรมาแต่งเสื้อที่มันไม่ใช่เพชรพลอยหรือเส้นเงินเส้นทองได้ที่ไหนบ้าง”
     
                “มีงานประลองเช่นนี้ จะมีพ่อค้าเร่เอาของมาขายค่ะคุณหนู ก่อนจะเอาไปขายให้คนอื่นๆ เขาจะเอาเข้ามาให้เราเลือกก่อน”
     
    “เหรอ” เด็กสาวรับคำด้วยเสียงเซ็งๆ เอาเข้ามาให้เลือกแล้วเธอจะออกไปนอกปราสาทได้ไหม ลองมีทหารมาเฝ้าอย่างนี้ เธอจะออกไปจากห้องได้หรือเปล่า ยังน่าสงสัย และน่าลอง
     
    “ไม่มีร้านขายที่หมู่บ้านบ้างเหรอ ฉันอยากไปดูนะ นะ แล้วสาวๆ ในหมู่บ้านเวลาอยากแต่งชุดสวยๆ จะซื้อของที่ไหนล่ะ ต้องมีใช่ไหม นะ นะ”
    ดวงตาสวยส่งแววออดอ้อน พี่เลี้ยงสาวมองหน้าก่อน ก่อนที่มาร์กาเร็ตจะกระแอมเบาๆ
     
    “พวกท่านพาคุณหนูไปที่ร้านนั้นซิ” นางพูดเบาๆ “ที่นั่นเราไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหนู ใครๆก็รู้”
     
    “อ๋อ ที่นั้นหรือ แต่ว่า”
    พี่เลี่ยงสองสาวส่งเสียงออกมาพร้อมกันอย่างรู้ดี แล้วก็ลดเสียงเบาลง เหมือนกลัวใครจะได้ยิน
    “แต่ว่ามันจะดีหรือ เธอก็รู้นี่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถ้าเกิดคุณหนู...”
     
    อัปสรตะแคงเข้าไปใกล้ อะไรนะ เธอจะไปทำอะไร ยิ่งพอสาวๆ เห็นเธอเอียงเข้ามาใกล้ ยิ่งเบนตัวห่าง เด็กสาวยิ่งขัดใจ สะบัดกระโปรงลุกขึ้น
     
    “ไปกันดีกว่า เร็วๆ เข้าซิ”
     
    สาวๆ ได้แต่มองหน้ากันเมื่อคุณหนูเดินออกมาจากห้องไปก่อนแล้ว มีเจ้าหน้าขนตัวน้อยถอนหายใจอย่างยืดยาวเมื่อต้องลุกจากที่นอนแสนสุขก้าวตามชิดเจ้านายอย่างภักดี
     
     
                อัปสรลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเธอสามารถออกจากห้องมาได้อย่างไม่มีการขัดขวาง เมื่อมาถึงหน้าปราสาทเธอก็พบกับนายทหารที่เคยแนะนำตัวกับเธอว่าเขาจะเป็นคนคอยดูแลคุ้มครองเธอในระหว่างนี้
     
    ในระหว่างนี้น่ะมันระหว่างไหน เด็กสาวคิดอย่างหงุดหงิด แต่ความหงุดหงิดนั้นก็ไม่สามารถทำลายอารมณ์ดีที่จะได้ออกไปเที่ยวในหมู่บ้านได้
     
    อัปสรขี่ม้าได้ ถึงจะขี่อานไขว้ก็ตาม หากต้องอยู่นานกว่านี้เธอต้องให้มาร์กาเร็ตช่างเสื้อประจำตัวเธอตัดกางเกงให้ใส่เสียแล้ว
     
    พี่เลี้ยงสองสาวนั่งมาบนเกวียน ชมบรรดานายทหารหุ่นล่ำๆ ลงแรงตั้งค่ายพักกัน อยู่นอกกำแพง บริเวณเชิงสะพานข้ามอีกด้านหนึ่ง
     
    “ทหารที่ไหนหรือคะเซอร์อดัม”
    อัปสรหันไปถามองครักษ์ของเธอเพื่อให้แน่ใจ ถ้าจำไม่ผิด มาร์ควีสสุดหล่อที่เธอขอห่างไกลคนนั้นหรือเปล่า เด็กสาวมองธงหลายหลากสี ที่แน่ๆ บนพื้นธงมีรูปอัศวินบนหลังม้า กางเขน มังกรตัวยาวๆ ที่มองๆ แล้วคล้ายไส้เดือนติดปีก ช่องสุดท้าย เป็นวงกลมสีขาว มีวงกลมสีดำอยู่ภายในสองวง เหมือนหัวกะโหลก เด็กสาวส่ายหน้ากับสัญลักษณ์บนพื้นธง   จับหัวกะโหลกกับกางเขนมาอยู่ด้วยกัน ทำไมไม่เพิ่มโลงอีกสักอย่างเลยล่ะ
     
    “ค่ายทหารของมาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์อย่างไรล่ะคุณหญิง”
    เซอร์อดัมตอบบุตรสาวเจ้านายอย่างอารมณ์ดี อัศวินและมังกรบินเป็นสัญลักษณ์ทางตระกูลฝ่ายพ่อ กางเขนคือตระกูลฝ่ายแม่ ที่หมายถึงตัวมาร์ควีส คือหัวกะโหลก แก้วตาอัศวินสูงวัยหดเล็กลง เมื่อนึกถึงที่มาของตราสัญลักษณ์นี้ เพราะเส้นทางที่กองทัพของเขาผ่านจะเหลือเพียงเถ้ากะโหลกไร้สิ่งมีชีวิต ด้วยกิตติศัพท์เช่นนี้ เพียงศัตรูได้ข่าวแว่วว่าเขาจะเดินทางไป ต่างพากันส่งของบรรณาการ ของกำนัลมาให้อย่างล้นหลาม และอย่าหลงใหลในหน้าตาหล่อเหลา คำพูดอ่อนโยนของเขาเชียว ท่านลอร์ดหนุ่มโหดเหี้ยมกว่าภายนอกที่เห็นมากนัก ซาตานในคราบของเทพบุตร
     
    “ท่านดยุค บิดาของมาร์ควีสเป็นมิตรสนิทของท่านมาร์ควีสท่านพ่อของคุณหญิง ท่านดยุคส่งบุตรชายให้มาร่วมงานก่อน”
     
    “ท่านพ่อจะมีงานอะไรหรือเซอร์อดัม”
    อัปสรถามอย่างสงสัย ทหารที่ติดตามมาร์ควีสหนุ่มมาคงมีไม่น้อย เห็นธงทิว ยาวออกไปสุดตา
     
    “งานประลองของอัศวินทั่วอาณาจักร เพื่อรับขวัญที่ท่านกลับบ้านอย่างไรล่ะคุณหญิง”
     อดัมบอกยิ้มๆ จากงานประลองครั้งนี้ ท่านมาร์ควีสจะมองหาเขยขวัญผู้แข็งแกร่ง และ อวดโฉมของบุตรสาวไปพร้อมๆ กัน ถึงเขาจะรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านมาร์ควีสมาตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม จนมารับหน้าที่ที่ปรึกษาของกษัตริย์ หากเขาไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลยว่าท่านมาร์ควีสมีบุตรสาว เขามองเลดี้แอนที่ขี่ม้าเคียงข้างอย่างชื่นชม หากเขามีบุตรสาวโฉมงามเช่นนี้ เขาคงใช้อำนาจทุกอย่างที่มี แอบซ่อนนางไว้เช่นกัน
     
    อัปสรสะบัดหน้า เมื่อเห็นร่างสูงที่เธอจำได้ อยู่ในกองทหารของมาร์ควีสหนุ่ม
    “ท่านนำทางฉันไปที หากไปถึงชักช้า คงไม่ได้อะไรเหลือให้ดูแล้ว”
     
    เซอร์อดัมชักม้าออกนำทาง เมื่อน้ำเสียงเลดี้แอนเปลี่ยนไป นางคงเห็นว่าเสียเวลาดูของของนางไปมากกว่าจะรำคาญตากับแถวทหารของมาร์ควีสหนุ่ม
     
     
    อัปสรลงจากม้าด้วยความช่วยเหลือของเซอร์อดัม  เธอมองร้านรวงที่เปิดไม่กี่ร้าน ส่วนใหญ่เป็นร้านเหล้า เด็กสาวชายตามองพี่เลี้ยงสองสาวอย่างหมายมาด หากคิดจะพาเข้าร้านเหล้าล่ะก็ จะได้เจอฤทธิ์อาละวาดของคุณหนูอัปสร
     
    “ทางนี้เจ้าค่ะ คุณหนู”
    พี่เลี้ยงสองสาวฉุดมือเธอไปทางร้านเหล้า หากก่อนจะถึงร้านนั้น มีประตูทางเข้าสวนเล็กๆ อยู่ ชื่อที่แกะสลักอยู่เหนือประตูคือ six to six ทำเอาเธอตัวแข็ง เซอร์อดัมเดินตามมา ส่วนทหารอีกสองนายที่มาด้วย เดินเลยไปทางร้านเหล้า
     
    “บุตรสาวข้า เคยมาที่นี่ มีของดีๆ อยู่มากมาย ไม่ว่าท่านจะต้องการอะไรคุณหญิง”
    เซอร์อดัมกระซิบบอกเบาๆ เมื่อเห็นเลดี้แอนไม่ยอมขยับตามการดึงของสาวพี่เลี้ยง นางคงดูถูกร้านเล็กๆ แห่งนี้
    “ที่นี่ ไม่ได้เปิดเป็นร้านขายของ ผู้ที่อยู่อาศัยเป็นพระ พวกท่านจะจาริกแสวงบุญไปตามที่ต่างๆ หากใครสนใจอยากจะดูของที่พวกท่านหาได้ระหว่างเดินทาง จะแวะมาชม หรือขอซื้อพวกท่านก็ยินดี”
     
    Six to six ไม่มีอะไรที่จะหาไม่ได้ ใจอัปสรเต้นแรง คราวนี้ไม่มีเซอร์วิลเลี่ยม จะไม่มีใครขัดขวางเธอได้ เธอจะขอซื้อการกลับบ้าน ของแลกนะหรือ ไอ้เจ้าของร้านที่ลอนดอนตัวแสบเป็นไงล่ะ
     
    เซอร์อดัม ก้าวแซงหน้าไปเคาะประตู มือจับด้ามดาบอย่างระวังตัว หลังเสียงเคาะประตู ช่องมองเปิดออกดูผู้มาหาก่อนบานประตูจะเปิดกว้างพร้อมกับเจ้าของบ้านที่ออกมายืนรอรับ
     
    “เซอร์อดัม ลมใดพัดท่านมาถึงนี่ได้ พวกข้ากำลังต้อนรับญาติที่เดินทางมาจากแดนไกล”
     
    “หลวงพ่อ ถ้าหากข้ามารบกวน”
    เซอร์อดัมลังเล อัปสร ก้าวเข้าไปประชิด เธอจะไม่ยอมกลับ จนกว่าจะรู้ว่าที่นี่ คือ ร้าน six to six หรือไม่ เธอต้องการกลับบ้าน
     
    “ไม่เลย เชิญท่านเข้ามาร่วมฟังการเดินทางของพวกเขากับเรา อา...นี่ คือคุณหนูของท่านมาร์ควีสใช่หรือไม่”
     
    อัปสรส่งยิ้มหวาน
    “ฉันอยากฟังการเดินทางที่ว่านั่น ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนท่านค่ะ คุณพ่อ”
     
    เจ้าของบ้านยิ้มรับ เปิดประตูออกกว้างต้อนรับอาคันตุกะ เด็กสาวเหลียวมองไปรอบๆ ห้องกว้าง เพดานสูงโล่ง มีชั้นลอยที่มีม่านกั้นเอาไว้ ลักษณะคล้ายๆ โรงนา ตรงกลางห้องเป็นโต๊ะยาว มีคนนั่งกันอยู่สี่ห้าคน อัปสรโล่งใจอยู่บ้างที่เห็นมีผู้หญิงอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย
     
    “นี่ญาติของข้า เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อสายนี่เอง มาร์คัส และ เจนภรรยาของเขา”
     
    อัปสรผงกศีรษะทักทาย เช่นเดียวกับเซอร์อดัม เธอขอบคุณนายทหารที่เลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง ก่อนที่จะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับฝ่ายเจ้าของบ้าน เด็กสาววางตัวสงบเสงี่ยม ส่งยิ้มให้ทุกคน
     
    เซอร์อดัมกระแอมเบาๆ เมื่อการแนะนำตัวสิ้นสุดลง
    “คุณหญิงของข้า อยากได้ของแปลกๆ หายากไปตกแต่งเสื้อผ้าสำหรับใช้ในงานใหญ่ของท่านมาร์ควีส”
     
    อัปสรเหลือบมองนายทหารที่นั่งข้างๆ เธออย่างตกใจ ไม่คิดว่านายทหารสูงวัยจะพูดอะไรตรงๆ อย่างไม่มีชั้นเชิงอย่างนี้ ก็เห็นอยู่ว่าที่นี่ไม่มีของขาย เธอหันไปยิ้มเป็นเชิงขอโทษให้ฝ่ายเจ้าของบ้าน ก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกไป เจน ญาติที่เพิ่งเดินทางมาจากแดนไกลก็ยิ้มกว้าง
     
    “เราอาจมีของที่ท่านต้องการ คุณหญิง แต่ข้ายังไม่ได้รื้อของที่ได้มาเลย หากท่านสะดวกจะมาพรุ่งนี้”
     
    “อย่าให้คุณหญิงต้องเสียเวลา เจ้าไปเอาของมาให้นางดูเดี๋ยวนี้”
    มาร์คัสตัดบท ไล่ภรรยาตัวเองไปนำของมาให้ ก่อนจะค้อมกายลงพูดอย่างนอบน้อม
    “เราข้ามทะเลไปถึงดินแดนตะวันออกไกล ที่ที่มีแสงแดดร้อนแรง มีไข่มุกเม็ดโตๆ เครื่องทองฝีมือละเอียด ผ้าทอลายงดงาม ข้ายังได้ของตกแต่งผมมาหลายชิ้น”
     
    ระหว่างที่ชายร่างใหญ่ผมทองโฆษณาสินค้า ภรรยาสาวผมทองก็ขึ้นบันได้เข้าไปหลังม่านผืนหนึ่ง ก่อนที่จะหอบห่อผ้าห่อเล็กๆ กลับลงมา
     
    อัปสรอดตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ ไข่มุกหลายร้อยเม็ด หยกงามๆ หลายชิ้น ยังมีปิ่นปักผมดอกไม้ไหว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากได้ไปประดับบนเสื้อผ้า และไม่ใช่สิ่งที่เธออยากได้เมื่อเห็นชื่อ six to six
     
    ด้วยมารยาทเธอเลือกไข่มุก หยก และ ผ้าปักสวยๆ ไว้ไปตกแต่งเสื้อผ้า ก่อนจะรับปากว่าพรุ่งนี้เธอจะมาดูของหลังจากที่พวกเขารื้อของออกมาเสร็จแล้ว
     
    สองสามีภรรยาที่เพิ่งเดินทางมาถึง พูดอ้อมค้อมกับเซอร์อดัมเรื่องที่พวกเขาอยากจะขอเปิดร้านขายเครื่องดื่มเฉพาะช่วงงานประลอง เซอร์อดัมให้ไปติดต่อที่พ่อบ้านโดยให้บอกว่าเขาแนะนำมา อัปสรแอบเห็นกระปุกเหล้าจีนที่สองสามีภรรยาส่งให้เซอร์อดัม แหม ยุคนี้ก็ยังมีการติดสินบนอีกนะ
     
     
    ทันทีที่ลับร่างแขกผู้มาเยือน  ใบหน้าทุกหน้าต่างคลายรอยยิ้มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
     
    “ขอให้ข้าบอกท่านเช่นนี้ มาร์คัส เจ้าตัวแสบเจคของท่าน ช่างตั้งเงื่อนไขได้ยอดเยี่ยมกระเทียมดองจริงๆ”
     
    มาร์คัสขยับยิ้มมุมปาก กับคำชมแกมประชดนั้น
     
    ยุคกลาง กับ เวลาที่เธอจะอยู่ในที่ที่เธอไม่ต้องการ
     
    มันช่างคิดได้ มาร์คัสนึกในใจ ข้อตกลงของ six to six จะเป็นความจริง เมื่อไรที่เด็กสาวคนนั้นเริ่มชอบชีวิตที่นี่ เธอจะสามารถกลับไปยังโลกของเธอได้ แล้วเมื่อไรล่ะ เขาเห็นความกระวนกระวายอยากกลับบ้าน ประกายตาสดใจเมื่อเห็นคำ six to six ที่รั้วบ้าน เขาได้แวะถามโรงเตี๊ยมที่เธอพักเมื่อคืนก่อน ตอนนี้เขาจะทำอะไรได้ นอกจากคุ้มครองให้เธอปลอดภัย
     
     
    อัปสรถูกหญิงพี่เลี้ยงพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกชุดสำหรับเข้าร่วมรับประทานอาหารเย็นที่วันนี้มีมาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์เป็นแขก และแน่นอน เซอร์วิลเลี่ยม
     
    อัปสรเลือกชุดสีทอง ซับในสีดำ หลังจากค้นเครื่องเพชรเครื่องทองในหีบใหญ่จนทั่วแล้ว ไม่พบสิ่งที่ต้องการ เลยตัดสินใจให้สาวๆ ช่วยร้อยไข่มุกที่เพิ่งจะซื้อมาวันนี้เข้ากับเส้นผมของเธอแทนเครื่องประดับ ใช้เส้นทองร้อยหยกสีเขียวสดผูกติดลำคอ เมื่อเด็กสาวลุกขึ้นหันกลับมาให้บรรดาสาวๆ ที่เฮโลพากันมาช่วยแต่งตัวดู ต่างพากันอ้าปากค้าง ธิดาของท่านมาร์ควีสช่างเหมือนตุ๊กตาแสนสวยบอบบางเหลือเกิน อยากเก็บถนอมเอาไว้ ไม่อยากให้ใครได้ชม ไม่อยากให้แม้สายลมมาต้อง
     
    “อะไร มีอะไรประหลาดเหรอ”
    อัปสรส่งเสียงถามเมื่อเห็นการอ้าปากค้างไปตามๆ กัน เอ...ความคิดเรื่องแต่งตัวของเธอไม่เคยเป็นสองรองใครมาก่อน ถึงจะไม่มีกระจกให้มองผลงาน แต่จากการคำนวณคร่าวๆ ของเธอ มันต้องออกมาเลิศซิ
     
    “สวยมากค่ะ คุณหนู เหมือนเทพธิดาจริงๆ เชียว”
     
    เด็กสาวหัวเราะเสียงดังกับคำชม เจ้าหมาน้อยที่ถูกจับผูกให้ไกลเพราะมันเข้ามาก่อกวนการแต่งตัว เห่าเรียกร้องความสนใจ เมื่อได้ยินเสียงเจ้านาย เสียงใสนั้นรอดประตูออกไป เรียกรอยยิ้มฉาบบนใบหน้าเรียบเฉยของทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าห้อง
     
    “จุ๊ๆ เบาๆ ค่ะคุณหญิง หัวเราะเสียงดังไม่งาม อย่างน้อยเอาพัดป้องไว้สักหน่อยนะเจ้าคะ”
     
    อัปสรฉีกยิ้มนิดๆ รักษารอยยิ้มน้อยๆ ปานเทพธิดาเอาไว้ รับพัดขนนกยูงร้อยสายไข่มุกมาคล้องข้อมือเอาไว้ ให้ตายเถอะ ยุคไหนๆ ทำไมไม่พ้นต้องเสแสร้งเสียทีนะ
     
    “ฉันเอามันไปด้วยได้ไหม” เธอชี้ไปทางลูกหมาตัวน้อย
     
    เหล่าสตรีที่เข้ามาช่วยแต่งตัวพากันลังเล ที่ปราสาทแห่งอื่นอาจจะให้สุนัขเข้ามาเผ่นพล่านในห้องรับประทานอาหาร หากที่นี่ ท่านมาร์ควีสไม่ชอบเช่นนั้น เด็กสาวเอียงคอมองกิริยาซุบซิบกัน แสดงว่าปกติไม่มีสุนัขเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร เด็กสาวพยักหน้า หากเธอจะพามันไป คงไม่มีใครว่าเธอที่เป็นธิดาคนเดียว แถมท่านยังโปรดปรานเธอจนออกนอกหน้า แต่การทำเช่นนั้น เหมือนเธอหักหน้าท่านมาร์ควีส เด็กสาวซ่อนยิ้มยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะเอาแต่ใจตัวเอง
     
    อัปสรเดินไปก้มลงลา
    “อยู่เฝ้าห้องดีๆ ล่ะ” ก่อนจะหันกลับมาถาม
    “แล้ว มันจะกินอะไรที่ไหนล่ะ”
     
    พี่เลี้ยงสาวยิ้มอย่างยินดีที่คุณหนูไม่ทำอะไรเอาแต่ใจ สองสามวันที่ติดตามนางมา แต่ล่ะอย่างที่ทำ ทำเอาใจหายใจคว่ำ กับความแก่นแก้ว แสนซน เอาแต่ใจของนาง
    “มีเด็กรับใช้ที่จะดูแลมันเจ้าค่ะคุณหนู พาไปขับถ่าย กินอาหาร อาบน้ำ คุณหนูอยากพบเมื่อไร ก็ให้เด็กพามาให้”
     
    “ฉันอยากให้มันมานอนกับฉันได้ไหม”
    อัปสรลังเลไม่แน่ใจนัก ว่ามันจะมีเห็บหมัดที่จะไต่มากัดเธอหรือไม่ เด็กสาวสยิวกายอย่างไม่อาจจะห้ามได้ อยากจะให้เอาไปนอนที่อื่น แต่ดวงตาแป๋วที่มองมาอย่างออดอ้อน ทำให้ต้องกลั้นใจถามต่อ
    “ได้ไหม”
     
    “เจ้าค่ะ”
     
    นั่นล่ะ ถึงได้ออกจากห้องไปได้อย่างวางใจ
     
     
     
                ถ้าถามว่าเธอชอบอะไรที่สุดในงานประลองครั้งนี้ อัปสรบอกได้อย่างไม่ลังเล เธอชอบการออกร้าน มีของกินอร่อยๆ มีการแสดงต่างๆ รวมทั้งมายากล แถมยังมีร้านทำนายชะตาของยิปซีเสียด้วย ดูแล้วหน้าตาเหมือนแขก มากกว่าชนทางยุโรป ไม่เหมือนที่เธอจินตนาการเอาไว้ ว่ายิปซีจะเหมือนพวกสเปน หรือเม็กซิโก สาวๆ พากันแอบเข้าไป บ้างคนออกมาหน้าตาเคลิ้มฝัน บางคน โมโห คงถูกทำนายอะไรที่ไม่ชอบใจ แต่เธอไม่เคยเข้า และแม่เฒ่ายิปซีก็ไม่เคยออกมาชักชวน
     
                เธอมีที่สิงสถิตอยู่คือร้าน six to six คนขายแสนน่ารัก มาร์คัสและเจน ทั้งคู่เปิดร้านขายเครื่องดื่ม มีเหล้า เอล เบียร์สำหรับบุรุษ น้ำหวานรสแปลกสำหรับสตรีและเด็กๆ ยังมีขนมชิ้นเล็กๆ กรอบหอม เธอชอบร้านของทั้งสองคนที่เหมือนนั่งอยู่กลางสวนดอกไม้
     
                ข้างๆ เป็นร้านขายของจากแดนไกลของคุณพ่อจากบ้าน six to six เช่นกัน ท่านมีเด็กหนุ่มๆ บาทหลวงฝึกหัดมาช่วย ยังสงสัยว่าเป็นบาทหลวงนิกายอะไร ไม่เคยเข้าไปนำสวด ซึ่งเป็นหน้าที่ของบาทหลวงประจำโบสถ์ แต่ก็เห็นทั้งสองคณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดี พอนึกถึงนิสัยชอบเดินทาง เธอก็นึกถึงอัศวินครูเสดขึ้นมาทันที แต่ดูท่าทางใจดีของบาทหลวงคณะนี้แล้วก็ไม่น่าจะใช่
     
                “เอาน้ำมะนาวอีกแก้วไหมคะคุณหนู” เจนถามเด็กสาวที่นั่งมองโน่นมองนี่
     
                “ขอน้ำผึ้งร้อนๆ เติมเยอะๆ ค่ะ”
    เด็กสาวหันไปยิ้มตาหยี ที่นี่เป็นที่เดียวที่บรรดาพี่เลี้ยงและองครักษ์จะปล่อยเธอเอาไว้คนเดียว ร้านโล่ง อยู่กลางเนินสูง ท่ามกลางกองทหารมากมาย จะมีใครมาทำอันตรายเธอได้ อยู่ตรงไหนก็จะมองเห็นเธอที่นั่งอยู่ในร้าน ต่อให้ตั้งใจทำร้าย ไปตั้งธนูยิงมาแต่ไกลก็คงจะมาไม่ถึงร้านนี้ คิดแล้วก็น่าลองให้แข่งยิงธนูมาที่ร้านนี้จริงๆ
     
                อัปสรรับถ้วยเครื่องดื่มมา พร้อมกับชวนคุยเมื่อเห็นว่า ลูกค้าเริ่มซ่าไปบ้างแล้ว
    “ฉันกำลังคิดว่า ร้านของท่านทั้งคู่ เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
     
    เจนเริ่มระแวงยิ้มหวานๆ บนหน้าสวยๆ เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ซ่อนความเจ้าเล่ห์แสนร้ายกาจเอาไว้ มิน่า เจคถึงไม่ค่อยถูกชะตา คนประเภทเดียวกัน
     
    “อ่า พ่อบ้านเลือกที่ตั้งให้น่ะค่ะ คุณหญิง”
    เจนตอบเบาๆ ยังมีรอยิ้มประดับไว้บนหน้า นางจะเอาที่ตั้งร้านของข้าไปทำอะไรหรือเปล่า มาร์คัส เธอเรียกหาสามีในใจ ในเวลาเช่นนี้เขาหายไปไหน
     
    “ฉันอยากรู้ว่า จะมีตำแหน่งไหนที่สามารถยิงมาที่ร้านนี้ได้บ้าง”
     
    เสียงใสๆ นั้นไม่ได้ดังไปหรือเบาไป หากแต่ได้รับการตอบสนองจากบรรดาอัศวินที่อยู่ใกล้ เสียงลุกกัน พึ่บพั่บ มาร์คัสที่รีบสาวเท้าเดินกลับร้าน ถึงกับวางถังเบียร์ลงกล้ามเนื้อขยับเขม็งเตรียมรับสถานการณ์
     
    วิลเลี่ยมและไมเคิลที่กำลังเตรียมจะซ้อมการต่อสู้บนหลังม้าถึงกับชะงัก เหลียวมองร้านเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่บนเนินสูงเป็นตาเดียว
     
    “ข้าขอตัวก่อน แวลเซ็กซ์”
    วิลเลี่ยมกระโดดลงจากหลังม้า ถอดหมวกเกราะโยนให้เด็กรับใช้ สายตาอัศวินหนุ่มจับอยู่ที่ร่างบอบบางในชุดสีแดงสดใส ตัดกับซับในสีน้ำเงินจัดจ้า ไม่มีใครจะมองไม่เห็นนางหรอก ไม่มีใครที่จะไม่ชื่นชม แต่จะมีใครรู้สึกถึงเรื่องวุ่นวายที่จะตามมาจากการกระทำอันแสนจะไร้เดียงสานั่นบ้าง เซอร์อดัมไปไหน ปล่อยให้ยายคุณหญิงตัวยุ่งก่อเรื่องอีกแล้ว ชายหนุ่มหยีตามองขึ้นไปบนเนินสูง นางนั่งอยู่ในร้านเช่นทุกวัน ในเวลาเดียวกันนี้และก่อเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวัน
     
    ไมเคิล มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ ลงจากม้าตามคู่ซ้อม หากเขาอยากให้วิลเลี่ยมมีสมาธิในการเป็นคู่ซ้อมคงต้องขอให้ท่านมาร์ควีสวอลเดลเจ้าของบ้านขังบุตรสาวไว้แต่ในห้อง ซึ่งเขายังสงสัยว่าหากท่านมาร์ควีสยอมขังนางเอาไว้ตามคำขอของเขาจริงๆ ซึ่งในความเป็นจริงคงยากยิ่ง ในเมื่อเขารักนางยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ หรือถ้าหากเขายอมจริงๆ ไมเคิลยังไม่เห็นทางว่า นางจะออกมาไม่ได้
     
    กลุ่มคนบนเนินสูงกรูกันลงมาจากเนินราวกับมีสัตว์ประหลาดอยู่บนนั้น เหลือเพียงเจ้าของร้านและเลดี้แอน วิลเลี่ยมและไมเคิลเดินสวนทางกับคนอื่นขึ้นไป
     
    “ท่านทำอะไรอีกคุณหญิง” วิลเลี่ยมส่งเสียงถามอย่างหงุดหงิด
     
    “ฉันไม่ได้ทำอะไร”
    อัปสรหันมาสวนทันควันเมื่อได้ยินเสียงตะคอก เธอไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นี่ ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนหวานให้มาร์ควีสหนุ่มที่เดินตามหลังมา นั่นก็อีกหนึ่งหนุ่มที่ไม่ได้หลงใหลไปกับเสน่ห์ของเธอ เขาอาจจะสุภาพ หว่านเสน่ห์ใส่เธอ แต่อย่าหวังให้เขาทำอะไรตามที่เธอชี้นำ
     
    เด็กสาวหันไปสนใจกับมาร์คัสที่กำลังเรียงถังเบียร์ซ้อนสูงก่อนจะยกถังเบียร์เปล่าไว้บนสุด อัปสรส่งผ้าคลุมไหล่ทอจากเส้นทองละเอียด ปักอัญมณีส่งให้มาร์คัสนำไปผูกบนกิ่งไม้สูงปักไว้บนยอดถังอีกที วิลเลี่ยมถึงกับพูดไม่ออกที่นางเอาผ้าสูงค่าเป็นเป้าหมายของอะไรสักอย่าง ไมเคิลได้แต่ส่ายหน้า กับการใช้ของอย่างฟุ่มเฟือยของเด็กสาว พ่อของนางร่ำรวย นางช่างสมกับเป็นลูกพ่อจริงๆ
     
    “พ่อค้า เอาผ้านั่นไปทำอะไร”
    วิลเลี่ยมเปลี่ยนเป้าหมายในการซักถาม ให้ตายเถอะ!!! ถามยายคุณหญิงตัวแสบนี่ มีแต่จะทำให้ปวดหัวยิ่งขึ้น
     
    มาร์คัส ค้อมตัวตอบยิ้มๆ
    “เป้ายิงธนูขอรับ”
     
    เขายินดีทำทุกอย่างให้นางพอใจ พึงพอใจที่จะอยู่ที่นี่ เมื่อนั้น เขาจะพานางกลับไปยังโลกของนาง แต่ก่อนที่จะส่งนางกลับสู่อ้อมอกพ่อแม่ เขาขอเปิดอบรมแถมท้ายเสียหน่อยเถอะ มาร์คัสสบตาภรรยา เจนคงคิดเช่นเดียวกัน สายตาเธอบอกเขาได้เป็นอย่างดี
     
    “ยิงมาที่ร้านนี้”
    วิลเลี่ยมสะกดเสียงให้เบาลง มองร้านค้ารอบๆ ที่ว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย
     
    “ขอรับ”
    มาร์คัสยังตอบอย่างสงบเสงี่ยม เซอร์อดัมที่ลงไปจัดเตรียมที่ทางข้างล่าง ก้าวขึ้นมารับนายสาว
     
    “ข้าเตรียมเรียบร้อยแล้วคุณหญิง”
    อัศวินสูงวัยสบตาเต็มไปด้วยโทสะของอัศวินหนุ่มอย่างใจเย็น
     
    “มันเกิดอะไรขึ้นหรือ เซอร์อดัม”
    ไมเคิลหันไปถาม ถามเลดี้แอนก็มีแต่ชวนปวดหัวเสียเปล่าๆ ที่เขาแปลกใจ คือ เซอร์อดัมยังเห็นด้วยกับความคิดของนาง
     
    “คุณหญิงสงสัยว่า ทำไม ที่ร้านนี่ข้าถึงปล่อยนางไว้ตามลำพัง หากเพราะว่า รอบๆ ร้านมีอัศวินมากมายที่สามารถคุ้มครองนางได้ และเกินระยะธนูยิงหรือเปล่า”
     
    “ด้วยความอยากรู้เพียงเท่านี้ คุณหญิงถึงกับสร้างความปั่นป่วนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
    วิลเลี่ยมตะโกน อัศวินหนุ่มแทบจะระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่
     
    “ข้าไม่ได้สร้างนะ”
    อัปสรขึ้นเสียงดังบ้าง ลูกหมาน้อยที่นอนหมอบหลับอยู่แทบเท้าสะดุ้งตื่น เห่าเสียงดังทันที
     
    “เงียบ”
    วิลเลี่ยมดุ เจ้าตัวขนยุ่งกระดิกหางตัวสั่นอย่างดีใจ ชายหนุ่มรีบถอยหนีก่อนที่มันจะมาทิ้งก้นหนักๆ ลงบนหลังเท้าของเขา พอเห็นแววตาสลดก็อดใจอ่อนไม่ได้ แต่ต่อหน้าเลดี้แอน เขาจะไม่ยอมใจอ่อนให้นางเห็น
     
    “ข้าเห็นว่าเราควรจะทดสอบดู วิลเลี่ยม”
    เซอร์อดัมออกความเห็น เขาหันไปหรี่ตามองตามจุดต่างๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดซุ่มยิง
     
    ไมเคิลกวาดตามองรอบๆ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
    “เอาเถอะน่า วิลเลี่ยม จะได้เป็นอะไรแก้เบื่อของทหารด้วยไงล่ะ อะไรคือของรางวัลล่ะคุณหญิง”
     
    เพราะนึกโกรธที่เป็นแค่ของแก้เบื่อ อัปสรเลยชี้ไปทางผ้าที่ผูกปลิวไสวนั่น ก่อนเกาะแขนเซอร์อดัมเดินล่วงหน้าไปก่อนโดยมีสองสามีภรรยาเจ้าของร้านเดินตามไป เจ้าหมาน้อย มองวิลเลี่ยมตาละห้อย ก่อนวิ่งตามนายสาวไปเมื่อถูกเรียกชื่ออีกครั้ง
     
    “ข้าว่าลองดูก็ดี เราจะได้รู้ฝีมือของมือธนูด้วยอย่างไรเล่า ผ้างามๆ ผืนนี้ข้าอยากได้ไปฝาก แซมมี่ที่ลอนดอน ข้าจะเข้าแข่งด้วย”
     
    วิลเลี่ยมมองผ้าผืนงาม อีกฝ่ายอยากได้ไปฝากนางบำเรอ หากเขาอยากได้เพื่อแก้มือที่นางยึดเสื้อคลุมสุนัขป่าสีขาวเอาไว้ หากนางอยากได้คืนก็ให้นางเอาเสื้อคลุมมาคืนเขา วิลเลี่ยมตัดสินใจเข้าร่วมด้วย
     
    กติกาง่ายๆ คนที่ยิงมาได้จากระยะไกลที่สุดคือผู้ชนะ
     
    ทั้งๆ ที่เป็นการริเริ่มจากความคิดของเธอ แต่พอเห็นห่าธนูที่ยิงขึ้นไปบนเนินก็อดสยองไม่ได้ พอกระซิบถามเซอร์อดัมที่ยืนข้างๆ เขาก็พยักหน้าให้ดูคนร่วมแข่งขันที่ยืนประจำในระยะต่างๆ พวกที่มั่นใจในฝีมือตนเองก็จะเลือกระยะที่ตัวเองแน่ใจ ส่วนพวกที่ไม่ค่อยแน่ใจก็เริ่มจากระยะใกล้ก่อน
     
    หลังจากห่าธนูถูกยิงขึ้นไป ตรงเป้าหมายบ้างไม่ตรงบ้าง อัปสรหน้าเสียเมื่อบางดอกยิงไปทะลุถูกเต็นท์ขายของบางเต็นท์ เธอลอบมองผ่านแพขนตาไปยังเจ้าของร้าน เห็นหน้าเสียอยู่เหมือนกัน
     
    “ฉันจะขอเงินท่านพ่อมาจ่ายค่าเสียหายให้”
    อัปสรกระซิบบอกเซอร์อดัม ที่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดของเธอก่อนจะถ่ายทอดไปสู่เจ้าของร้าน
     
    เจนที่ได้ยินคำกระซิบนั้น สบตากับมาร์คัส หากนางมีจิตใจที่อ่อนโยนเช่นนี้ การที่นางถูกกักตัวไว้ที่นี่จะสมควรอยู่หรือ มาร์คัสยิ้มปลอบโยนให้ ยังไง นางก็จะได้กลับไปสู่บ้านของนาง
     
    อัปสรถอยไปตามจุดยิงที่ไกลขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนคนที่เข้าร่วมแข่งได้ก็มีน้อยลงเช่นกัน ระหว่างรอให้เด็กรับใช้วิ่งไปเก็บธนูที่ปักอยู่บนถังเบียร์กลับมา ธนูแต่ละดอกจะมีสัญลักษณ์ของผู้ยิง ทำให้รู้ได้ว่าใครที่ผ่านเข้ารอบบ้าง ถ้าหากเธอเป็นคนเข้าแข่ง ฝีมือห่วยแต่อยากเข้ารอบในเมื่อผ้าคลุมไหล่ที่เธอปลดไปเป็นของรางวัลดูท่าจะมีราคาไม่น้อย เธอจะเอาธนูไปแอบเปลี่ยนกับคนฝีมือดีๆ เธออดกระซิบถามเซอร์อดัมไม่ได้
     
    “ด้วยเกียรติของอัศวิน จะไม่มีใครทำเรื่องเช่นนั้น”
    เซอร์อดัมบอกด้วยเสียงก้องกังวาน อัศวินที่ผ่านมาถึงรอบนี้ต่างพยักหน้าส่งเสียงยืนยันหนักแน่น ดวงตาบางคู่มองนางอย่างไม่ชอบใจนักโดยเฉพาะเซอร์วิลเลี่ยม
     
    “อย่างตัดสินคนอื่นจากนิสัยเจ้าเล่ห์ของท่านคุณหญิง”
     
    “ฉันเพียงแต่คิดถึงความเป็นไปได้ เซอร็วิลเลี่ยม”
    เด็กสาวตอบอย่างอ่อนหวาน เจ้าตัวเอานิ้วจิ้มขมับตัวเอง ก่อนจะเหน็บกลับเรื่องที่เขาไปเอาเจ้าโปโป้ยามเธอเผลอตัว
    “เคยได้ยินไหม ทหารไม่เบื่อหน่ายการใช้กลอุบาย ใช้หัวคิด ไม่ต้องเปลืองแรง ท่านก็เคยใช้ไม่ใช่หรือ”
     
    วิลเลี่ยมคอแข็ง เซอร์อดัม ส่ายหน้า นางช่างเหมือนพ่อของนางจริงๆ กัดไม่ปล่อย ไมเคิล มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ เอียงตัวไปกระซิบข้างหูเพื่อน
    “แผนการนางดีไม่น้อย เจ้าฝีมือดีกว่าข้า อยากจะยืมลูกธนูของข้าลองยิงสักดอกก่อนหรือไม่”
     
    เด็กสาวกลั้นหัวเราะจนไหล่เขย่า เมื่อได้ยินคำถามนั้นคงมีแต่มาร์ควีสหนุ่มหล่อผู้นี้ที่กล้าถามเซอร์วิลเลี่ยมเช่นนั้น
     
     เซอร์อดัมรับดอกธนูมากจากเด็กรับใช้ ก่อนจะประกาศชื่อผู้ที่ผ่านการทดสอบ และแล้ว ห่าธนูก็พุ่งขึ้นฟ้าก่อนจะตกลงอีกครั้ง อัปสรคอย่น หลับตาปี๋ เมื่อเห็นธนูพลาดเป้าหมายมากกว่าเดิม ท่านพ่อจะว่าอย่างไรบ้างกับค่าเสียหายที่ต้องจ่าย เพราะความอยากรู้ของเธอ
     
    ยิ่งห่างจากเต็นท์สีขาวโดดเด่นด้วยผ้าสีทองอร่ามที่ปลิวไสวผืนนั้น จำนวนคนก็น้อยลงเรื่อยๆ นอกจากเธอ เซอร์อดัมที่เป็นกรรมการ สองสามีภรรยามาร์คัสและเจนเจ้าของร้านที่เธอมองสบตาพวกเขาด้วยความสำนึกผิด จะยังมีอะไรที่ไม่ได้เสียหายหลงเหลืออยู่บ้างนะหลังจากการประลองเสร็จสิ้นลงหญิงสาวคิดในใจ 
     
    ผู้แข่งขันที่ผ่านมาได้ถึงจุดนี้ แน่นอนเซอร์วิลเลี่ยมไม่ได้ทำให้เสียชื่อเสียงอัศวินขี้เก็ก ว่าข้าเก่ง มาร์ควีสรูปหล่อที่นอกจากหล่อแล้วยังเก่งอีกด้วย กับอัศวินอีกสามคนที่ผ่านมาได้ ทั้งหมดกำลังรอเด็กรับใช้ที่วิ่งไปเก็บลูกธนูอยู่
     
    มาร์ควีสแห่งวอลเดลเดินออกจากห้องทำงาน ออกไปยืนหน้าปราสาท เกิดอะไรขึ้น ถึงมีเสียงโห่ร้องเชียร์เสียงดัง มีอัศวินคนใดที่ลุกขึ้นท้าทายกันก่อนงานประลองหรือ ทุกคนรู้กฎกันดีอยู่แล้ว ห้ามมีเรื่องกันเอง มิฉะนั้นทั้งคู่จะถูกตัดสิทธิ์จากการเข้าร่วมการประลอง ทหารที่อยู่ยามบนกำแพงชะโงกมองอะไรด้านนอก
     
    “เกิดอะไรขึ้น” ท่านมาร์ควีสหันไปถามพ่อบ้านที่วิ่งกระหือกระหอบเข้ามา
     
    “มีการประลองยิงธนูกันขอรับนายท่าน”
    พ่อบ้านตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ่งทำให้มาร์ควีสเฒ่าขมวดคิ้วแน่นเข้าไปอีก
     
    “ประลองชิงผ้าคลุมไหล่ผืนงามของคุณหญิงแอนนายท่าน”
     
    “ผ้าคลุมไหล่ของลูกข้า”
    มาร์ควีสถามอย่างไม่เข้าใจ แสดงว่านี่เป็นศึกหน้านางเช่นนั้นหรอกหรือ หากเสียงเชียร์และเสียงธนูหลุดจากแหล่ง ไม่น่าจะมีเพียงสองคน
    “มีคนเข้าร่วมเท่าไร”
     
    “มือธนูทั้งหมดที่มาถึงขอรับ” ใบหน้าพ่อบ้าน แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
     
    มาร์ควีสส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ เร่งเท้าขึ้นไปบนกำแพง พ่อบ้านรีบวิ่งตามเจ้านายขึ้นไป มาร์ควีสมองเหตุการณ์อีกฟากของสะพานอย่างแปลกใจ บริเวณที่ตั้งเต็นท์ขายของ มีถังซ้อนสูงปักไม้แขวนธงสีทองปลิวไสวธนูหลายสิบดอกถูกยิงขึ้นมา มีกว่าครึ่งที่ผิดเป้าหมาย เจ้าของปราสาทมองความเสียหายจากธนูที่พลาดเป้า ครางเบาๆ ค่าเสียหายของเต็นท์ผู้ใดจะชดใช้ ด้วยแรงสังหรณ์ใจว่าจะเป็นฝีมือของบุตรสาวคนงามยอดดวงใจ เงินที่เก็บได้จากค่าเช่าที่ออกร้าน จะคุ้มกับความเสียหายที่จะต้องจ่ายหรือไม่
     
    หลังจากธนูถูกยิงขึ้นมาไม่นาน ก็เห็นร่างเล็กๆ ปีนป่ายขึ้นไปดึงธนูที่ปักตรึงอยู่บนถังบนสุดออกมา มาร์ควีสผู้เฒ่าลูบคาง ไม่นานธนูอีกกลุ่มหนึ่งก็ถูกยิงขึ้นมา
     
    ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าชรา แอนเจ้าฉลาดกว่าที่พ่อคิด จากการแข่งยิงธนูด้วยความสนุกสนานในวันนี้ จะมีอัศวินมากมายที่มีค่าตัวขึ้นกะทันหัน และที่ถูกลดค่าตัวด้วยเช่นกัน การแข่งด้วยความสนุกเช่นนี้ จะไม่มีการติดใจหากแพ้ แต่จะเป็นการแสดงความสามารถของอัศวินไร้สังกัดต่อขุนนางที่มาร่วมงาน
     
    “เมื่อการแข่งขันเสร็จสิ้น จัดม้าให้ข้า ข้าจะออกไปตกรางวัลผู้ที่ผ่านถึงรอบสุดท้ายด้วยตัวเอง เจ้าคิดว่า ใครจะอยู่ถึงรอบสุดท้ายบ้าง”
     
    แซมมวลพ่อบ้าน มองธงเล็กๆ ที่เนินสูงฝั่งโน้น
    “มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ และเซอร์วิลเลี่ยมยังไม่ได้ยิงขอรับ พวกเขาเป็นตัวเต็ง แต้มต่อที่ทั้งคู่จะชนะสูงถึง หนึ่งต่อร้อย”
     
    คิ้วชราของมาร์ควีสเลิกขึ้นนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงรายงานของพ่อบ้าน ท่านหันไปสนใจเด็กรับใช้ สองสามคนที่นั่งบนเนินสูง ยกธงเล็กๆ ไปมา
     
    “อ่า นอกจากอัศวินทั้งคู่แล้ว เอิร์นแห่ง ไรท์น่าก็ยังไม่ได้ยิง แล้วยังมี บารอนดาแกน แต่แต้มต่อที่สูงที่สุดคือเจ้าหนุ่มสไปเดอร์ บุตรชายของท่านมาร์ควีสแห่งโรธาร์ ที่ตอนนี้เป็นสไคว์ของแวลแซกซ์ว่าจะเข้ารอบไปต่อสู้กับเจ้านายหรือไม่ เจ้าหนุ่มนี้ แต้มต่อสูงถึง หนึ่งต่อพัน”
     
    “เหอะ ข้าบอก โรธาร์แล้ว ว่าอย่าเรียกลูกว่าสไปรซ์ ตั้งชื่อว่าสเปนเซอร์ก็ควรเรียกว่าสเปนเซอร์”
    ท่านมาร์ควีสบ่นเพื่อนขุนนางด้วยกัน
    “แล้วยังไงล่ะ โดนเรียกว่าสไปเดอร์ ข้าเอาด้วย ข้าลงไปหนึ่งพันกินี ว่าเจ้าหนุ่มนั่นเข้ารอบห้าคนสุดท้ายแน่ๆ และอีกสามพัน ข้าให้วิลเลี่ยมชนะ”
     
    “ขอรับ” แซมมวลควักสมุดออกมาจด ก่อนจะรู้สึกตัวว่าทำอะไร เงยหน้ามองเจ้านายช้าๆ
     
    มาร์ควีสที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว เลิกคิ้วน้อยๆ
    “ข้าเคยบอกแล้วใช่ไหม อย่ารับเล่นพนัน ใครเป็นนายทุนให้เจ้า”
     
    “เลดี้แมรี่ขอรับ นางวางเดิมพันเรื่องคุณหญิงแอนจะก่อเรื่องในแต่ละวันหรือไม่ วันล่ะกี่เรื่อง ส่วนเรื่องอื่นๆ มันตามมาเองขอรับ”
     
    “บอกนาง ข้าจะเก็บร้อยละสี่สิบจากเงินที่ได้หรือเสีย ในเมื่อเจ้าเป็นคนลงบัญชี กรุณาเขียนรายการมาให้ข้าด้วย”
    ท่านมาร์ควีสหมุนตัวกลับ
    “เมื่อการแข่งขันจบลง ไปตามข้า”
     
    แซมมวลได้แต่อ้าปากค้าง มองตามหลังเจ้านาย ข้าจะเหลืออะไร ท่านมาร์ควีสเรียกร้อยละสี่สิบ คุณหญิงแอน หนึ่งพันเหรียญทองต่อหนึ่งการก่อเรื่องที่นางทำให้เกิดขึ้น ค่าจ้างเด็กรายงานสถานการณ์ ข้าจะเหลืออะไร
     
     
    อัปสรถอนหายใจอย่างเสียดาย สไปเดอร์พ่อหนุ่มน้อยร่างสูงที่ทำให้เธอนึกถึงพี่โรมตกรอบไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงสามคน จากห้า เซอร์วิลเลียม มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ และบารอนดาแกน ด้วยรูปร่างสูงใหญ่แขนขายาว บารอนดาแกนจึงเป็นนักยิงธนูมือฉมัง
     
    เซอร์อดัม โบกมือเป็นสัญญาณหันหลังออกเดินห่างออกไปอีก เขาหยุดเมื่อนับก้าวได้สิบก้าว
     
    “ในเมื่อเหลือแค่เราสามคน ยิงอีกเพียงครั้งเดียวเป็นไง”
     บารอนดาแกนเสนอขึ้น เขามั่นใจว่าเขาต้องชนะแน่ๆ เขาจะเป็นมือหนึ่งแห่งการยิงธนู ผ้าคลุมไหล่พื้นงามนั้นเป็นเพียงของติดไม้ติดมือเล็กๆ น้อยๆ
     
    “ท่านว่าควรจะสักกี่ก้าวกันดี” ไมเคิลสบตาเพื่อนก่อนหันไปถาม
     
    “สามสิบ”
     
    เซอร์อดัมมองการพยักหน้าของคู่ต่อสูงอีกสองคน ก้าวนำออกไปพร้อมกับนับ คนอื่นๆ เริ่มเดินตามไป อัศวินทั้งสาม ต่างสะบัดแขนขา อุ่นร่างกายให้พร้อมสำหรับการยิงธนูนัดตัดสิน มาร์คัสที่เดินเคียงข้างกับอัปสร ก้มลงถามเบาๆ
     
    “ข้าว่าคุณหญิงกลับไปนั่งพักรวมกลุ่มกับพวกเราทางโน้นก่อนดีไหมขอรับ นี่ก็ไกลมากแล้ว เมื่อยิงเสร็จ ยังต้องเดินกลับอีก”
     
    “นั่นซิคุณหญิง ข้าจะเดินกลับไปเป็นเพื่อนท่าน”
    สไปเดอร์ที่ถึงจะตกรอบแล้วก็ยังเดินตามมาด้วย เสนอตัว
     
     “ไม่”
    อัปสรส่ายหน้าปฏิเสธ เธอชอบฟังเสียงดีดของสายธนู ในเมื่อเธอเป็นคนทำให้เกิดการแข่งขันนี้เธอควรจะอยู่ร่วมจนกว่าจะรู้ว่าใครคือผู้ชนะ แม้จะแขยงๆ อยู่บ้างเมื่อมองกลับไปที่บริเวณเต็นท์ที่ไกลลิบๆ นั้น
     
     
    มาร์คัสผิวปากเบาๆ ส่งกระแสจิตถึงเจน
    “ข้าจับกระแสชั่วร้ายได้”
     
    “เช่นกันที่รัก” เจนตอบกลับ
     
    “พวกเราต้องดูแลนาง”
     
    เจนสบตาสามีพยักหน้าน้อยๆ เดินเข้าประกบอีกข้างของเด็กสาวที่ข้ามมิติมาเพราะความซนของบุตรชายเธอ
     
     
    อัปสรส่งยิ้มให้เจนที่ก้าวเข้ามาชิด
    “เจน กลับไปก่อนไหม นี่เดินมาไกลมากแล้ว แล้ว”
    เสียงเด็กสาวเบาลงอย่างสำนึกผิด
    “ท่านยังต้องกลับไปเก็บกวาดร้านอีก ยังไงข้าจะส่งคนไปช่วยพวกท่าน”
     
    “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะคุณหญิง”
    เจนยิ้มแห้งๆ จะบอกได้ยังไงว่านางให้เวลาไม่ถึงนาทีในการร่ายเวทย์ซ่อมแซมตกแต่งร้านใหม่
    “พวกคุณพ่อจะช่วยข้าเอง” นางตบหลังมือปลอบใจสาวน้อย
    “กลับไปตอนนี้ข้าก็ยังทำอะไรไม่ได้ แล้วเราจะได้แต่งร้านใหม่ด้วย”
     
    ยิ่งเจนยิ้มไม่ต่อว่าอะไร อัปสรยิ่งรู้สึกผิด เด็กสาวหน้าจ๋อย ก้มหน้างุดๆ เดินอยู่ระหว่างเจนและมาร์คัส ขบวนที่เดินล่วงหน้าไปก่อน รอจนอัปสรมาถึง ถึงเริ่มตั้งแถวเตรียมยิง
     
    “ในเมื่อเหลือพวกท่านสามคน”
    เซอร์อดัมบอกยิ้มๆ
    “พร้อมเมื่อไรพวกท่านต่างยิงได้เลย เราจะให้ไอ้หนูนี่วิ่งไปดูผลหลังจากที่พวกท่านทั้งหมดยิงเรียบร้อยแล้ว”
    เขาตบไหล่หนุ่มน้อยสไปเดอร์ที่เดินตามมาและเด็กรับใช้ที่คอยวิ่งไปเก็บลูกธนู
     
    “ข้ายังยินดีให้ท่านใช้ธนูของข้านะ”
    ไมเคิล กระซิบยั่วเพื่อน วิลเลี่ยนใช้ไหล่กระแทกเพื่อนให้ออกห่าง ก่อนก้าวเข้าประจำที่ หรี่ตามองเป้าหมายที่แทบมองไม่เห็น ต้องสังเกตจากประกายของผ้าสีทองที่โบกสะบัดตามแรงลมเท่านั้น
     
    อัศวินทั้งสามจับมองเป้าหมาย สังเกตแรงลม ก่อนจะขึ้นธนู เหนี่ยวสายส่งลูกออกจากแหล่งไปแทบจะพร้อมๆ กัน อัปสรที่เพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้แทบจะส่งเสียงร้องเชียร์ออกมาด้วยความลุ้นสุดตัว ดีแต่ยกมือปิดปากไว้ได้ทัน เธอมองชายสามคนที่เข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยความนับถือ หากถามเธอ เธออยากจะให้พวกเขาชนะเท่าๆ กัน สมาธิ สายตาและการกะกระแสลมแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ตอนนี้ต้องแล้วแต่โชคแล้ว เด็กสาวหยีตามองว่ามีธนูดอกใดปักบนถังบนสุดบ้าง เสียงฮือฮาได้ยินมาถึงนี่ น่าจะมีใครยิงโดนบ้างล่ะ ดวงหน้างามแดงก่ำ ปากแย้มกว้างอย่างดีใจ
     
    “พวกท่านเก่งแทบไม่แตกต่างกันเลย”
    เด็กสาวบอกอย่างอ่อนหวานจริงใจ บารอนดาแกน ก้มศีรษะลงรับอย่างเคร่งขรึม มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ยิ้มตามเคยของเขา แม้แต่เซอร์วิลเลี่ยมยังยิ้มออกมา
     
    “เราต้องการเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคุณหญิง”
    เซอร์อดัมบอกอย่างเสียดาย อัศวินสูงวัย มองอัศวินหนุ่มทั้งสามอย่างชื่นชมในฝีมือ
     
    อัปสรเหลียวมองรอบๆ ตัว ก่อนจะสังเกตว่าสไปเดอร์และแจ็กเด็กเก็บธนูไม่ได้อยู่รวมกลุ่มกับพวกเรา นี่เธอตื่นเต้นจนไม่ได้สังเกตเลยหรือว่าสองคนนั้น วิ่งไปเก็บธนูแล้ว จากปลายเนินเธอเห็นร่างสูงของสไปเดอร์ ชูธนูขึ้นทั้งสามดอก อัศวินทั้งสามต่างยิ้มให้กัน พร้อมใจกันหันหลังเตรียมออกเดินขยับถอยออกไปอีก
     
    “โอ้”
    อัปสรร้องออกมาได้เท่านั้น เด็กสาวถอนหายใจเมื่อมองดูระยะทาง อีกกี่ก้าวละนี่ สิบ ยี่สิบ สามสิบ หันหลังเตรียมออกเดินตาม เจ้าลูกหมาน้อยตัวกลมที่วิ่งออกนำหน้า หยุดชะงักแยกเขี้ยวขู่คำราม อัศวินทั้งสี่ต่างกระชากดาบออกจากฝัก
     
    “เซอร์อดัม พาคุณหญิงแอนกับไปที่ปราสาท” วิลเลี่ยมร้องสั่ง
     
    ก่อนที่ใครจะทันได้ขยับตัว เสียงคุ้นหูของลูกธนูหลุดจากแหล่งก็ดังมาในระยะใกล้ อัปสรยืนตัวแข็ง สาบานว่าเธอจะไม่ไปไกลจากปราสาท ไม่ จะไม่อีกแล้ว พ่อแม่เลี้ยงเธอมาจนตัวเท่านี้ ไม่ใช่ให้เธอมาตายที่ดินแดนแสนจะล้าหลังนี้นะ ไม่
     
    มาร์คัสกับเจนตรงเข้าประกบสองข้าง หนุ่มผมทองโบกมือลมหอบใหญ่พัดมาอย่างกะทันหัน หอบเอาธนูตกห่างไปเพียงนิดเดียวไม่มีใครเป็นอันตราย ก่อนที่กลุ่มคนพร้อมอาวุธจะกรูกันเข้ามาล้อม ตัดทางหนี อัปสรตัดสินใจเข้าไปเบียดแทรกระหว่าง ไมเคิลและ วิลเลี่ยม พวกเขาต้องป้องกันเธอได้แน่ เจนมองหน้ามาร์คัสเมื่อเด็กสาววิ่งตรงเข้าไปแอบอยู่ด้านหลังของสองอัศวิน ทั้งคู่รีบตามไป อัศวินทั้งสี่ ต่างขยับหันหลังให้กันเป็นรูปสี่เหลี่ยมกันทั้งสามคนที่ไร้ทางสู้ไว้ตรงกลาง
     
    เสียงฮือฮาดังมาอีกครั้งจากบนเนิน เสียงฝีเท้าวิ่งกรูมา อัปสรหลับตาปี๋เมื่อคนที่ล้อมพวกเธอ ต่างกระโจนเข้าหาพร้อมอาวุธในมือ
     
    มาร์ควีสแห่งวอลเดลเงยหน้าขึ้นเมื่อแซมมวลพ่อบ้านเปิดประตูผางเข้ามาหน้าตาตื่นตกใจ
     
    “นายท่าน มีคนลอบสังหารคุณหนู”
     
    “อะไรนะ”
    มาร์ควีสผู้เฒ่าผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ ก่อนระงับกิริยาให้เป็นปกติ นางอยู่ท่ามกลางอัศวินผู้กล้ามากมาย คงไม่เกิดอันตรายขึ้นกับนางได้
    “จับคนร้ายได้หรือไม่ เป็นพวกไหน”
     
    “เออ ข้ายังไม่ทราบขอรับ เห็นอัศวินกรูลงจากเนิน เด็กของข้ารายงานว่ามีคนออกจากชายป่ามาล้อมคุณหญิงเอาไว้”
     
    “นางคงไม่ได้อยู่คนเดียว”
    มาร์ควีสพูดเริ่มจะร้อนใจ ก้าวเท้าออกไปหน้าปราสาท มีพ่อบ้านตามไปติดๆ ถึงจะรีบร้อนยังไง แต่แซมมวลก็สั่งเตรียมม้าพร้อมองครักษ์ให้เจ้านายเรียบร้อย ตัวเขาเตรียมจะกระโดดขึ้นม้าตามเจ้านาย แต่โดนสั่งห้ามเสียก่อน
     
    “เจ้าอยู่ที่นี่”
    สั่งเท่านั้นก็ชักม้าออกนอกปราสาท นายทวารตะโกนรายงานว่าคนปองร้ายถูกจับได้แล้ว เหลือรอดชีวิตอยู่เพียงสองคน มาร์ควีสพยักหน้า อย่างไรเขาก็อยากจะออกไปดูให้เห็นกับตาว่าลูกสาวปลอดภัย
     
    แอนดรูหัวหน้าหน่วยทหารของท่านมาร์ควีสขี่ม้าสวนเข้ามา
    “นายท่านไม่ควรจะออกนอกปราสาท”
     
    “แต่แอนลูกข้า”
     
    “คุณหญิงปลอดภัยดี นายท่าน นางอยู่ท่ามกลางอัศวินผู้กล้ามากมาย ข้ากลัวว่านี่จะเป็นการหลอกล่อท่านออกไป”
     
    “ไม่ ข้าจะออกไป”
     
    “เซอร์อดัมกำลังพิทักษ์นางเข้ามายังปราสาทพร้อมคนร้าย”
     
    มาร์ควีสมองข้ามไหล่แอนดรูไปเห็นขบวนม้ากำลังตรงมา เห็นชัดว่าหัวหน้านายทหารไม่ยอมปล่อยให้ออกไปแน่ๆ ท่านมาร์ควีสรีบวิ่งขึ้นไปบนกำแพงให้เห็นกับตาว่าบุตรสาวที่รักยังมีชีวิตอยู่
     
    อัปสรขี่ม้ากลับปราสาท ขนาบข้างด้วยเซอร์อดัมและเซอร์วิลเลี่ยม คนร้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ในมือของมาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์เธอนึกสงสารคนรอดชีวิตเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนหวานของมาร์ควีสหนุ่ม ถ้าเป็นไปได้ คงอยากตายให้จบๆ ไปเลยดีกว่า รอยยิ้มหวาน ดวงตาที่ฉายแววสนุก ทำให้เธอรู้สึกเย็นยะเยือก
     
    เธอรีบโบกมือให้ท่านมาร์ควีสเมื่อเห็นร่างสูงบนขอบกำแพงเบื้องบน เด็กสาวหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่านทำท่าขอบคุณพระเจ้า โบกมือแรงขึ้น วิลเลี่ยมมองคุณหญิงตัวยุ่งอย่างหมั่นไส้ รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ยังยิ้มได้สดชื่น ไม่เคยกลัวอะไรเลยหรืออย่างไร
     
    ท่านมาร์ควีสลงมารอรับร่างลูกสาวลงจากม้าด้วยตัวเอง กวาดตามองทั่วร่างบางๆ ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
    “อย่าออกไปนอกปราสาทอีกนะแอน พ่อเป็นห่วงเจ้าแค่ไหนรู้หรือไม่”
     
    “หนูคิดถึงท่านพ่อ”
    เด็กสาวกอดออดอ้อน ท่ามกลางผู้จู่โจมนับสิบ ฝ่ายเธอมีเพียงสี่ และเพียงกระพริบตาไม่กี่ที อัศวินทั้งสี่ก็ปราบเรียบ ก่อนที่เหล่าอัศวินบนเนินจะวิ่งลงมาสำรวจหาผู้บาดเจ็บ ทำให้การประลองสิ้นสุดลงโดยปริยาย น่าเสียดายจริงๆ
    “หนูปลอดภัยดี อยู่ท่ามกลางอัศวินฝีมือดีของอาณาจักร หนูจะเป็นอะไรไปได้คะ ท่านพ่อ”
     
    “คุณหญิงกล้าหาญมากขอรับ นายท่าน”
    เซอร์อดัมบอกอย่างภาคภูมิใจ ท่ามกลางศัตรูที่บาดเจ็บ คุณหญิงยังรักษาสติได้มั่งคง นอกจากหน้าที่ซีดลงและดวงตาที่เบิกโตอย่างตกใจแล้ว แทบจะไม่มีอะไรผิดปกติเลย นางยังคุมสติ วิ่งเข้าไปอยู่ระหว่าง ไมเคิล มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ และเซอร์วิลเลี่ยมให้คอยคุ้มครองนางได้ บุตรสาวของเจ้านายเขาไม่ธรรมดาจริงๆ นางเอาตัวรอดได้แน่ๆ
     
    มาร์ควีสแห่งวอลเดลรวบร่างลูกสาวมากอดแน่นๆ อีกครั้ง
    “กลับไปพักผ่อนในห้องของลูกก่อน ให้พ่อจัดการเรื่องต่างๆ ทางนี้เสร็จแล้ว ค่ำคืนนี้เราจะมีงานฉลองให้อัศวินผู้กล้า”
     
    บรรดาอัศวินต่างโห่ร้องกึกก้องกับคำประกาศนั้น ท่านมาร์ควีสส่งบุตรสาวให้หญิงพี่เลี้ยง หันกลับไปถามถึงตอนที่เกิดเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้น อัปสรฝืนร่างไม่ยอมไปตามการฉุดดึงของสองหญิงพี่เลี้ยง
     
    “ฉันอยากไปดูการสอบสวนเชลย”
     
    “ไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ” คราวนี้สองพี่เลี้ยงสาวไม่ยอมตามใจ
     
    “ทำไมล่ะ ฉันอยากรู้นี่ว่าใครอยากจะให้ฉันตาย หรือจริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ฉันก็ได้ใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่ใช่ฉัน ก็เป็นใครล่ะฉันจะได้ไม่ไปอยู่ใกล้ๆ คนนั้นไง นะ ให้ฉันไปดูหน่อย”
     
    “ไม่ได้เจ้าค่ะ”
    หนึ่งในพี่เลี้ยงกระซิบใกล้หู ชำเลืองมองอัศวินที่เดินตามมาคุ้มครองด้านหลัง
    “อันตรายเกินไปนะเจ้าคะ”
     
    “สอบสวนนี่นะ อันตราย”
    อัปสรขึ้นเสียงสูงอย่างแปลกใจ เรี่ยวแรงจากร่างบอบบางของเธอจะไปต้านทานแรงจากสองสาวร่างยักษ์ได้อย่างไรล่ะ
    “จะมีอันตรายได้ไง น่า นะ อยากไปดู พอเข้าห้องแล้วแอบออกมาก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก”
     
    สองพี่เลี้ยงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
    “ครั้งนี้คงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะคุณหนู รอท่านพ่ออนุญาตก่อนนะเจ้าคะ”
     
    สองหญิงยอบตัวให้เลดี้แมรี่ที่ยืนเด่นอยู่กลางห้องโถง
     
    “คุณหนูของพวกเจ้าทำอะไรเข้าอีกล่ะ”
     
    ท่านอาแมรี่ชอบทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน พูดข้ามหัวเธอไปมา ก็ได้ ในเมื่อท่านทำอย่างนั้นกับเธอ เด็กสาวยิ้มหวาน ตรงเข้ากอด โอบแขนรอบเอวบางๆ ด้วยการรัดด้วยคอร์เซ็ตออกแรงรัดเข้าไปอีกจนร่างสตรีสูงวัยสะดุ้งสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนที่จะเป็นลม อัปสรซุกหน้ากับอกอวบๆ ที่พองขึ้นกลั้นเสียงหัวเราะ
     
    “หนูโดนปองร้าย อาแมรี่” เด็กสาวทำเสียงคร่ำครวญขอคำปลอบใจ
     
    ท่ามกลางสายตาของอัศวินโดยเฉพาะเซอร์อดัม ไม่เหมาะที่นางจะผลักเด็กสาวออกไปให้ห่างตัว เคาว์เตสยกนิ้วพราวด้วยอัญมณีตบไหล่ ลูบผมพร้อมกับแอบคีบผมยาวสลวยกระตุกแรงๆ อัปสรตอบโต้ด้วยการกัดเข้าที่เนื้อขาวๆ ทันควัน เอาให้เกิดจ้ำแดงที่วันนี้อาแมรี่จะไม่กล้าทำนมหกเลยเชียว แมรี่เก็บเสียงก้องกรี๊ด ก่อนจะทำอะไรกลับคืน แม่เด็กตัวแสบก็ผละออกจากอกแล้ว เมื่ออัปสรมองเห็นรอยแดงที่เธอทำขึ้น เด็กสาวรีบผวาเข้าหา
     
    “หนูขอโทษ หนูไม่ได้ตั้งใจ”
    มือเรียว ที่ยังสวมถุงมือหนังอยู่ข้างหนึ่งกดขยี้ถูลงที่แผล อี๋ หวังว่าคงไม่เป็นบาดทะยักหรอกนะท่านอา แมรี่รีบผลักเด็กสาวออกห่าง อัปสรไม่ฝืนแรงต้านปล่อยตัวให้กระเด็นตามแรงผลักด้วยซ้ำไป ให้รู้ไปซิสาวใหญ่ยุคกลางกับสาวน้อยยุคไปโลกอังคารใครจะเหนือกว่ากัน
     
    นางเด็กนี่!!!  แมรี่กัดฟัน รีบก้มลงมองอกอวบ นอกจากจะมีรอยกัดยังเป็นรอยเปื้อนดำจากมือมอมๆ นั้นอีก
     
    เซอร์อดัมรีบเข้าประคองร่างอัปสรเมื่อถูกผลักกระเด็นออกมา อัศวินสูงวัยมองน้องสาวเจ้านายด้วยสายตาตำหนิอย่างเปิดเผย
     
    “ครั้งนี้ข้าจะไม่บอกนายท่าน เคาว์เตส ไปเถอะคุณหนู ข้าจะเดินไปส่งท่านที่ห้องเอง”
    ก้มศีรษะลงเพียงนิดเป็นเชิงขอตัวกับเลดี้แมรี่ ก่อนโอบประคองคุณหนูกลับไปที่ห้อง
     
    เซอร์อดัมมองดวงหน้าสลดและท่าทางห่อเหี่ยวของเลดี้แอนอย่างเห็นใจ นางคงต้องการการปลอบใจจากญาติมากกว่าจะคิดกลั่นแกล้ง ตามนิสัยซนจนเกิดเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน วันนี้นางผ่านเรื่องเสี่ยงตายมาจริงๆ ก็น่าที่นางจะอยากให้มีใครปลอบใจนางบ้าง
     
    “พักผ่อนให้สบายคุณหญิง ข้าจะจัดทหารอยู่หน้าห้อง จะไม่มีใครเข้ามาสังหารท่านถึงภายในปราสาทนี้ได้”
     
    อัปสรคว้ามือเซอร์อดัมเอาไว้
    “ฆ่าฉัน พวกเขาต้องการฆ่าฉันจริงๆ หรือ ทำไมล่ะ ฉันไปทำอะไรให้พวกเขา”
    เด็กสาวถามอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องฆ่าเธอล่ะ เธอมีความสำคัญอะไรอย่างนั้นหรือ
     
    “คุณหนูคือเพชรล้ำค่าของนายท่าน เพื่อคุณหนูแล้ว ท่านคงยอมจ่ายทุกสิ่งทุกอย่าง”
     
    ประโยคนี้ควรจะปลอบโยนและอธิบายเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ได้ดี แต่อัปสรไม่อยากจะยอมรับมัน เธอไม่ใช่ลูกสาวของท่านมาร์ควีส ไม่ใช่จนเมื่อไม่ถึงสองเดือนมานี้ ไม่ใช่เลย เธอไม่อยากถูกส่งมาตายในยุคนี้นะ การแพทย์จะดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เกิดเธอไม่ตายตัดสินว่าตายแล้วเอาเธอฝัง เด็กสาวหน้าซีดลงอย่างไม่ต้องเสแสร้ง ถ้าฉันกลับไปได้ ไอ้เจ้าพนักงานขายของวันนั้น นายเตรียมตัวได้เลย ฉันจะเอาคืน เอาให้ปางตายเลยเชียว
     
    เซอร์อดัมตบหลังมือปลอบใจ ส่งสายตากำชับให้สองพี่เลี้ยงสาวอยู่เป็นเพื่อนไม่ต้องออกไปไหน
     
     
    พี่เลี้ยงสองสาวเปิดประตูครั้งเดียวเพื่อรับตะกร้าใส่เจ้าลูกสุนัขตัวกลม ห่าธนูแรกแม้ไม่ได้ทำร้ายใคร นอกจากจะโดนขาเจ้าหมาน้อยถากๆ ไป เซอร์วิลเลี่ยมสั่งให้เด็กที่ดูแลเอาไปทำแผลก่อนจะเอามาส่งให้เจ้าของ
     
    มันอ้อน นอนหลับอยู่กับตักเจ้านาย เป็นครั้งแรกที่อัปสรรู้สึกกลัว เธอจะต้องอยู่ที่ภพนี้ยุคนี้ไปจนแก่ตายจริงๆ หรือ ที่นี่มีอะไรดีให้เธออยากอยู่ เครื่องอำนวยความสะดวกก็ไม่มี  ไม่มีห้างให้ไปเดินช้อบปิ้ง ไม่มีหนุ่มนักร้องบอยแบรนด์ให้ไปตามกรี๊ด ไม่มีภาพยนตร์ให้ดู ไม่มีพ่อแม่ เพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่มีอะไรเลย เด็กสาวนอนฟุบร้องไห้อย่างไม่เสแสร้างเป็นครั้งแรก
     
     
    แมรี่กำมือแน่น เด็กนั่นรอดชีวิตได้อย่างไร ด้วยนักรบรับจ้างหลายสิบคนที่นางจ้าง และอุปนิสัยชอบหาเรื่องของแอน ล่อจนนางออกไปห่างไกลจากอัศวินมีฝีมือ หากเหลือเพียงเซอร์อดัมและผู้ที่มีฝีมือด้านยิงธนูอีกไม่กี่คน นางสู้อุตสาห์วางแผน ยิงด้วยธนูก่อน ตามด้วยการล้อมกรอบสังหารให้หมดด้วยจำนวนคนที่มากกว่า แล้วผละหนีไปทำไมถึงพลาดได้
     
    เคาว์เตสสะบัดกระโปรงเชิดหน้า หลังจากใช้ผ้าชุบน้ำทำความสะอาดรอยเปื้อนบนหน้าอก นางอยากจะเอาฝีมือแม่หลานสาวตัวดีออกไปอวดพี่ชายของนาง หากแต่เมื่อคิดถึงอัศวินมากมายข้างนอก นางก็เปลี่ยนใจ
     
    นางจะออกไปดูสถานการณ์ภายนอกว่าเพราะเหตุใดแผนของนางจึงพลาด ยังมีใครเหลือรอดชีวิตมาหรือไม่ นางไม่ได้ไปว่าจ้างนักฆ่าเหล่านั้นเอง หวังว่า ตัวแทนของนางจะไม่ปากโป้งบอกอะไรออกไปให้ต้องยุ่งยากภายหลัง ดวงตาสีเขียวหรี่ลง หากไม่สำเร็จจริงๆ นางคงต้องทำตามคำแนะนำ ไปที่ six to six บ้านของเหล่านักบวชที่อยู่ระหว่างร้านเหล้า มีคนจำนวนน้อยนิดที่จะรู้ว่านอกจากที่นั่นจะมีของหายากจากทุกมุมโลกแล้ว ยังเป็นแหล่งซื้อสิ่งของผิดกฎหมายและการหานักฆ่าที่ดีที่สุดด้วย ขอเพียงท่านจ่ายเงินได้ตามที่เรียกร้อง งานจะสำเร็จอย่างขาวสะอาดหมดจด
     
    “อา แมรี่ เจ้าก็ได้ข่าวพวกพเนจรที่คิดจะมาจับหลานสาวเจ้าไปเรียกค่าไถ่หรือ”
    มาร์ควีสแห่งวอลเดลบอก เมื่อเห็นน้องสาว
     
    “จับหลานสาวของข้า แอนนะหรือ” เลดี้แมรี่ถามเสียงสูง
    “ข้าเพิ่งสวนกับนาง ท่าทางนางสบายดี”
     
    “นั่นต้องขอบคุณ มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์และ เซอร์อดัม และ บารอนดาแกนที่ช่วยปกป้องหลานสาวของเจ้า”
     
    เลดี้แม่รี่หันไปก้มศีรษะนิดๆ เป็นเชิงขอบคุณต่ออัศวินที่ถูกกล่าวชื่อ
    “มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์เล่า ท่านพี่”
    สายตานางสอดส่ายหาอัศวินที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้
     
    “กำลังสอบปากคำเชลยอยู่ ในอุ้งมือของเขาไม่มีใครปากแข็งได้นาน”
    ท่านมาร์ควีสเอ่ยอย่างชื่นชม
     
    เลดี้แมรี่รีบซ่อนความตกใจเอาไว้ ข้าคงต้องรีบลงมือ
    “น่ากลัวจริงๆ “นางยกพัดขึ้นป้องปากอย่างตกใจ
    “ตายล่ะ ข้าอยากเข้าไปซื้อของในหมู่บ้าน จะปลอดภัยพอหรือไม่”
     
    “ไม่มีอะไรจะทำร้ายเจ้าหรอกแมรี่ หรือหากจะมี เหล่าอัศวินที่มาร่วมตัวในที่นี้คงไม่ยอม”
     
    เลดี้แมรี่สะบัดพัดก้มศีรษะอีกครั้งก่อนจะผละไปสั่งคนให้จัดม้าให้
     
    นักบวชในชุดดำเปิดประตูรับเลดี้แมรี่ ไม่มีใครรู้ว่าเลดี้คนงามต้องการสินค้าใด แต่นางออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ครั้งนี้ คงไม่มีของใดถูกใจน้องสาวของท่านมาร์ควีสอีกเช่นเคย
     
     
    “อย่าเปิด”
    อัปสรตะโกนลั่นเมื่อมีเสียงเคาะประตูตอนที่เธอกำลังอาบน้ำ ถึงจะอยู่หลังฉากก็ตามเธอไม่ไม่สบายใจที่จะให้หนุ่มๆ ไม่ว่าจะเด็ก หรือชราแค่ไหนเข้ามาในห้อง บรรดาสาวๆ พากันหัวเราะ ล้อเลียนว่าหากมีแขกเกียรติยศมาเยือนปราสาทจริงๆ แล้วท่านมาร์ควีสให้เธอไปช่วยอาบน้ำให้แขก คุณหนูจะปฏิเสธท่านพ่อได้อย่างไร อัปสรตาโตกับคำถามนั้น ก่อนจะซักไซ้ไล่เลียงว่า นางจะต้องไปช่วยอาบน้ำจริงๆ หรือ หรือแค่พาไปที่ห้องอาบน้ำ ที่เธอไม่เคยรู้เหมือนกันว่าอยู่ที่ไหน เพราะเธออาบน้ำที่นี่ในห้องนอน ห้องแต่งตัว พร้อมเสร็จในห้องเดียว
     
    เธอเลยได้รู้เรื่องประเพณีประหลาดๆ นี้ ปกติจะส่งภรรยาหรือลูกสาวไปช่วยอาบน้ำให้แขกที่นับถือ ไปช่วยอาบน้ำ ไม่มีทางที่เธอจะไปช่วยใครอาบน้ำแน่ๆ แค่จะให้ใครมาช่วยเธออาบน้ำเธอยังไม่เอาเลยนี่
     
    เด็กสาวประหลาดใจเมื่อหนึ่งสาวที่ไปเปิดประตูเข้ามาบอกว่าเลดี้แมรี่มา และเธอไม่ควรจะปฏิเสธ ฮือ ไม่ควรปฏิเสธ
     
    “ถ้าท่านอามาคนเดียว ไม่มีหนุ่มๆ ก็ได้”
    อัปสรบอกอุบอิบ แต่งตัวเต็มยศเธอยังถูกกระตุกผมหายไปหลายเส้น นี่อาบน้ำตัวเปล่าเปลือย ไม่ระวังดีๆ ไม่ถูกหยิกเขียวเป็นจ้ำหรือยังไง แต่อย่าได้หวังว่าจะแกล้งเธอได้ฝ่ายเดียว คนอย่างอัปสรไม่เคยยอมเสียเปรียบใครอยู่แล้ว เด็กสาวยิ้มในห้องพวกเธอทั้งนั้น มาหาเรื่อง จะจับกดน้ำเสียเลย
     
    “ข้าเพิ่งรู้ข่าวร้ายที่เกิดกับเจ้า หลานสาว”
     
    ฟังแค่ประโยคแรก อัปสรก็กระพริบตาปริบๆ ท่านอาจะมาไม้ไหน ตอนบ่ายๆ ยังไม่ได้คิดแบบนี้
     
    “ข้าคิดว่าเจ้าแกล้ง เจ้าคงจะกลัวมาก”
     
    เมื่อผู้แก่กว่ายื่นไมตรีมา อัปสรก็ไม่อยากจะถูกหาว่าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เด็กสาวพยักหน้า ยิ้มตอบ
     
    “ตอนนั้น หนูไม่คิดอะไรเลยค่ะ เกาะเซอร์วิลเลี่ยมกับมาร์ควีสไว้อย่างเดียว”
     
    ถึงจะหมั่นไส้ แมรี่ก็อดชมตัวเลือกเพื่อความปลอดภัยของหลานสาวไม่ได้ นางรู้จักเลือกทางรอดของนางทีเดียว เมื่ออยู่กับสองอัศวินมือดีที่สุด
     
    แผนของนางพลาดเพราะนางไม่เคยคิดว่าเซอร์วิลเลี่ยมกับมาร์ควีสแวลแซกซ์จะเข้าร่วมการแข่งขันแบบเด็กๆ นี้ด้วย แต่นางลืมมองไปว่าหลานสาวผู้ลึกลับของนางคนนี้มีเสน่ห์เย้ายวนให้น่าปกป้องยิ่งนัก จะมีอัศวินผู้ใดบ้างบนแผ่นดินที่ไม่อยากอาสาเข้ามาปกป้องนาง
     
    “อาดีใจที่เจ้าปลอดภัย” แมรี่วางผ้าคลุมไหล่ในมือลงให้
     
    “พ่อค้าฝากผ้าผืนนี้มาคืนเจ้า หากข้าได้ฟังมาไม่ผิด ยังไม่มีใครได้เป็นเจ้าของผ้าผืนนี้”
    แล้วนางก็ได้เห็นรอยยิ้มซุกซนบนดวงหน้างดงามเหมือนตุ๊กตา
    “ผ้าผืนนี้ ลือกันว่าเป็นผ้าที่อดีตกษัตริย์ห่มให้ท่านย่าทวดของเจ้า”
     
    ห่มให้ ห่มผ้าให้ คราวนี้ตาของอัปสรโตยิ่งกว่าไข่ห่าน
     
    เลดี้แมรี่ยิ้มกว้างได้อย่างไม่ต้องฝืน
    “เจ้าจะได้ไม่เอาไปเป็นของรางวัลอีก”
     
    อัปสรหน้าม้าน ได้แต่ยิ้มแหยๆ
     
    “เอาล่ะ ข้าจะปล่อยให้เจ้าแต่งตัว”
    เลดี้แมรี่ลุกขึ้น นางลังเลเล็กน้อยก่อนหันมาบอกหลานสาว
    “ลูกสาวข้าเพิ่งแต่งงานไปไม่นาน หากเจ้าไม่ถือสาความเจ้าอารมณ์ของข้า เราน่าจะเข้ากันได้ดี”
     
    “แน่นอนค่ะอาแมรี่”
    อัปสรยิ้มหวาน เราเป็นสาวร้ายเหมือนกันค่ะ คุณอาคนใหม่
     
    เลดี้แมรี่ซ่อนยิ้มเมื่อออกจากห้อง คำแนะนำที่ดี
     
    หากท่านต้องการให้นางหายไป จงทำดีกับนางให้มาก เมื่อนางหายไปจริงๆ จะไม่มีใครมาเพ่งเล็งที่ท่านเลย
    คำแนะนำที่ดี จริงๆ
     
     
                “เจ้าเอาใจช่วยใคร”
    เลดี้แมรี่เอนตัวไปกระซิบกับหลานสาวในเมื่อเจ้าหล่อนให้ริบบิ้นกับทั้งสองฝ่าย เด็กสาวยิ้มแย้มแจ่มใส โบว์ที่ติดผมไว้หลายๆ เส้นถูกดึงออกผูกกับปลายอาวุธบ้าง ผูกกับแขนบ้างให้อัศวินที่มาคุกเข่าขอกำลังใจหลายนาย จนนางทายไม่ถูกว่าแม่หลานสาวชอบใครเป็นพิเศษหรือไม่
     
                “เชียร์ทุกคนเลย” อัปสรหันไปบอกยิ้มกว้าง
    “หนูไม่อยากลำเอียงอาแมรี่”
     
                “ระวังการประลองจะดุเดือดกว่าที่เจ้าคิด”
     
                อัปสรยิ้มหวาน
    “ทุกคนควรจะสู้กันเต็มฝีมือ”
    เด็กสาวอมยิ้มเอาพัดปิดปาก หันไปมองคู่ประลองที่กำลังจะเริ่ม
     
                โลกนี้ก็ไม่แย่เสียทีเดียว ในเมื่อเธอเป็นถึงธิดาของมาร์ควีส มีแต่ใครๆ มาเอาใจ และในเมื่ออาแมรี่ที่เขม่นไม่ถูกชะตามาเอาใจเธอด้วยแล้ว โลกนี้ก็เหมือนจะโสภาขึ้นทันควัน ยกเว้นเรื่อง ห้องน้ำสำหรับการทำธุระส่วนตัวแล้วนะ เธอสามารถอยู่ที่โลกนี้ได้อย่างสบายๆ เลย
     
                อัปสรยกพัดปิดหน้า แต่แอบมองรอดระหว่างลายพัดว่ามีใครตกจากหลังม้าหรือเปล่า เมื่อวานนี้ ฝ่ายหนึ่งตกจากหลังม้าหลังจากปะทะกันครั้งแรกแบบนี้ล่ะ แขนหักห้อยเลย แต่ยังกัดฟันแข่งต่อจนชนะได้ เธอไม่รู้ว่าจะคุ้มกันไหม กับการชนะแล้วอาจจะเหลือแขนข้างเดียว ในยุคนี้ ศักดิ์ศรี เกียรติมีค่ามากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
     
                เลดี้แมรี่ชำเลืองมองหลานสาวที่นั่งอยู่ข้างตัว ตาฝาดไปหรืออย่างไร หรือจะเพราะแสงจัดจ้า ที่เหมือนจะมองผ่านทะลุร่างบอบบางนั้นไปได้
     
                อัปสรตบมือเมื่อการต่อสู้ยุติลง ก่อนจะหันมากระซิบกับเลดี้แมรี่
    “เก่งทั้งสองฝ่ายเลยนะคะ หนูได้ข่าวว่า สไปเดอร์ได้สิทธิเข้าแข่งด้วย หากเขาสามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ เขาจะได้เป็นอัศวิน”
     
                เลดี้แมรี่ทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่เป็นสุภาพสตรี
    “เจ้าเด็กคนนั้นเป็นความขายหน้าของตระกูล”
     
    “ท่านอาทราบไหมคะว่าสไปเดอร์ต้องจับคู่กับใคร”
    อัปสรกระซิบถาม ในหลายวันนี้ เขาเป็นเพื่อนซนกับเธอ ไม่ใช่หลงใหลในความสวยงาม อาจจะเป็นเพราะเขาเพียงอยากจะมีเพื่อนต่างเพศที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
     
    “จะมีใคร ถ้าไม่ใช่เจ้านายของเขาเอง”
     
    “มาร์ควีสแวลแซกซ์เหรอ”
     
    วาว!!! นายตายแน่สไปเดอร์ เดี๋ยวนี้เธอรู้แล้วว่า ไมเคิลคือชื่อ ถ้าจะเรียกยศต้องคู่กับตำแหน่ง มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ และเธอไม่อยากสนิทสนมกับคนเลือดเย็นจนถึงขนาดเรียกเขาด้วยชื่อตรงๆ ได้ เชลยที่รอดตายในวันนั้น ยังมีชีวิตอยู่แต่หวาดผวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงผู้ชาย มาร์ควีสถือโอกาสเอาเชลยทั้งสองคนมาเป็นทาสส่วนตัว ถ้าเป็นเธอถ้าต้องโดนให้เลือกระหว่างเป็นทาสของแวลแซกซ์กับตาย เลือกตายดีกว่า ขนาดเธอว่าตัวเองแน่แล้วยังขอห่างมาร์ควีสคนนี้ไม่เข้าใกล้ไม่แตะต้องเด็ดขาด
     
    มาร์ควีสแห่งวอลเดลชำเลืองมองสองสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นน้องสาวคนเดียวและบุตรสาวที่เพิ่งพบหน้าไม่นานสนิทสนมกลมเกลียวกัน ทำให้โล่งใจไปได้มาก ข่าวที่แวลแซกซ์รีดมาได้ เลดี้สูงศักดิ์คนหนึ่งต้องการให้เลดี้แอนสิ้นชีวิตลง
     
                แอนไปสร้างความเจ็บแค้นให้กับเลดี้นางใด เขาให้คนไปสืบถึงสำนักชีที่เลี้ยงดูบุตรสาวมา นางไม่เคยสร้างความแค้นให้กับใคร รู้จักสุภาพสตรีนอกสำนักชีสักคนยังไม่เคย เพราะเหล่านางชีไม่เคยให้นางได้ออกไปติดต่อกับโลกภายนอกเลย
     
                บุตรสาวผู้แสนบริสุทธิ์ของเขาไปสร้างความเจ็บแค้นไว้กับใครได้อย่างไร หรืออาจจะเนื่องมาจากตัวเขาเอง ใครที่อยากให้ทายาทของเขาตายเพื่อจะได้ผลประโยชน์ จะมีใครนอกจากแมรี่ หลังจากที่นางหายตกใจ นางก็ต้อนรับบุตรสาวของเขาอย่างดี จะเป็นนางไปได้อย่างไร
     
                อัปสรหันไปทางท่านมาร์ควีสเห็นมองมาทางเธออยู่ เด็กสาวเลยส่งยิ้มกว้างให้ ท่านผงกศีรษะนิดๆ ยิ้มตอบเธอ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งตัว เธอจับได้ว่าท่านลอบมองมาทางเธอบ่อยๆ ความห่วงใยที่ท่านมีให้กับลูกหลงมาอย่างเธอ มากกว่าความห่วงใยที่เธอได้รับจากพ่อแม่แท้ๆ เสียอีก หากท่านเป็นพ่อแท้ๆ ของเธอจะดีขนาดไหนนะ
     
                เสียงกระแอมดึงความสนใจของเธอกลับมาเด็กสาวส่งยิ้มให้เพื่อนคนใหม่ของเธอ สไปเดอร์
     
                “ลงแข่งวันนี้เหรอ”
     
    “ใช่ ข้าจะสู้เพื่อ...ตำแหน่งอัศวิน”
    สไปเดอร์ทิ้งช่วงคำตามอย่างเพื่อนสาวตัวน้อย เล่นคำแปลกๆ อย่างนาง เขาว่ามันสนุกกว่า ข้าจะสู้เพื่อเจ้า เพราะหากจะถามเขาจริงๆ แล้ว เขาต้องการตำแหน่งอัศวิน มากกว่าจะอุทิศชัยชนะครั้งนี้เพื่อนาง คำพูดของเขาคงจะผ่าเหล่า ผ่ากฎของอัศวินทั้งปวง แต่มันทำให้เขาฮึกเหิม แม้คู่ต่อสู้ในวันนี้จะน่ากลัวมากก็ตาม
     
    “ฉันขอให้เธอได้เป็นอัศวินสมใจ”
    อัปสรดึงริบบิ้นอีกเส้นออกจากผม ตอนนี้ผมเธอเริ่มปลิวตามลมแล้ว พอช่วงพักเธอต้องกลับไปให้บรรดาพี่เลี้ยงผูกริบบิ้นให้ใหม่อีกแล้ว เรียนรู้จากประสบการณ์สองสามวันนี้เลย ยังดีที่พี่เลี้ยงสาวผูกให้มากพอ จนไม่ต้องถึงขั้นถูกทึ้งแขนเสื้อ ชายกระโปรงเหมือนเลดี้สาวๆ บางคน
     
    สไปเดอร์ลงจากม้ามาคุกเข่าข้างหนึ่งเบี่ยงตัวให้เธอผูกผ้าไว้ที่ต้นแขนของเขา
     
    “ทำไมต้องตรงนี้ล่ะ” เด็กสาวถามอย่างสงสัย
     
    “มันไม่เกะกะเวลาเราใช้อาวุธไง”
     
    “งั้นผูกแน่นๆ ที่ข้อมือดีไหม ฉันเคยเห็นเขาพันผ้ารอบข้อมือแน่นๆ เวลาชู้ตบอล”
     
    สไปเดอร์ฟังเพื่อนสาวพูด ไม่เข้าใจที่เจ้าหล่อนพูดเสียครึ่ง แต่ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรถ้าจะลอง เด็กหนุ่มถอดถุงมือออกให้เด็กสาวที่เปลี่ยนใจดึงผ้าเช็ดหน้าผืนงามมาพันรอบข้อมือให้ ก่อนสวมถุงมือกลับตามเดิม
     
    “เพื่อการได้เป็นอัศวินของเธอนะ สไปเดอร์”
    อัปสรอวยพรทั้งๆที่ไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ในวันนี้ได้ สู้กับไมเคิล มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์น่ะนะ ฆ่าตัวตายชัดๆ
     
    “เพื่อการเป็นอัศวิน”
    หนุ่มน้อยยิ้ม ก่อนจะกระโดดขึ้นม้า รับหมวกจากเด็กรับใช้มาสวม
     
     
    ไมเคิลมองหนุ่มน้อยที่เข้าไปขอผ้ากำลังใจจากธิดาสาวของท่านมาร์ควีสเจ้าของบ้าน ก่อนจะชำเลืองมองอัศวินที่ยืนม้านิ่งอยู่
     
    “รู้ไหม วิล นายเป็นคนเดียวที่ไม่มีของให้กำลังใจจากเลดี้แอน เจ้าภาพสาวผู้น่ารักของเรา”
     
    “ข้าไม่ต้องการกำลังใจ”
     
    มาร์ควีสหนุ่มหัวเราะเสียงตอบห้วนๆ ของเพื่อน ตบมือกับต้นแขนที่ผูกไหมสีเหลืองที่เขาได้ในวันแรก เห็นหน้าเจ้าหล่อนแล้ว อยากจะแกล้งเข้าไปขออีกหลายๆ เส้น ถ้าไม่มีสายตามองปรามมาจากบิดาของเจ้าหล่อนเสียก่อน ชายหนุ่มมองเพื่อนสนิทที่กำลังหงุดหงิดอีกครั้ง กับคนอื่นๆ นางช่างแสนจะใจดีมีมารยาท หากแต่กับเขาและเซอร์วิลเลี่ยมนี้แล้วเหมือนเธออยากจะอยู่ให้ห่างไกล ต้องโทษวิลเลี่ยมแล้วที่นางไม่ชอบเขาไปด้วย เขาไม่เคยทำอะไรให้นางไม่พอใจ ไม่เหมือนเพื่อนของเขาผู้นี้
     
    ไมเคิลตบต้นขาเพื่อนเบาๆ
    “เบามือกับสไปเดอร์หน่อย ข้าฝึกเขามากับมือก็จริง แต่ยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก”
     
    “เจ้าถึงให้ข้าทดสอบเขาหรือ”
     
    “แลกกัน” ไมเคิลยิ้ม
    “ข้าจะทดสอบสไควซ์มือใหม่ให้เจ้าเอง ด้วยความเต็มใจ เต็มฝีมือ”
     
    วิลเลี่ยมไม่ตอบ นึกสงสารสไควซ์ของตนเองอยู่ในใจ หนีบต้นขาเตือนม้าคู่กายให้เคลื่อนที่ อัศวินฝ่ายโน้นเข้าประจำที่เช่นกัน แหลนไม้พร้อมระวังอยู่ในมือ พุ่งด้านแหลมตรงมาหมายระดับอก วิลเลี่ยม รับอาวุธยาวมาจากสไควซ์
     
    “ตีเจ้าสไปเดอร์ให้ตกจากม้าเลยขอรับ”
    สไควซ์หนุ่มยุเจ้านาย ด้วยความอิจฉาที่สไควซ์รุ่นเดียวกันจะได้ทดสอบผ่านไปเป็นอัศวิน วิลเลี่ยมก้มลงกระซิบ
     
    “มาร์ควีสเพิ่งรับอาสาจะทดสอบสไควซ์ให้ข้า หากข้าตีสไปเดอร์หนักไป เจ้าอยากจะเจอกับเขาไหมล่ะ”
     
    โดยไม่ฟังคำตอบ วิลเลี่ยมกระตุ้นม้าให้ไปที่จุดเริ่มต้น ค้อมตัวลงต่ำ ตาจับที่ธงสัญญาณ
     
     
    อัปสรชะโงกไปข้างหน้าเมื่อธงสัญญาณบอกให้เริ่มต่อสู้ได้ถูกลดลง จับตามองม้าสีดำของสไปเดอร์ที่ออกควบเต็มฝีเท้า อีกข้างหนึ่งม้าสีน้ำตาลเข้มตัวใหญ่พุ่งทะยานออกมา ม้าของเซอร์วิลเลี่ยมนี่  ไหนอาแมรี่ว่าคู่ต่อสู้ของพ่อหนุ่มเพื่อนเธอคือมาร์ควีสแวลแซกซ์ยังไงล่ะหรือว่าจะยืมม้าของเซอร์วิลเลี่ยม แต่...ไม่ว่าจะเจอกับใคร อนาคตการเป็นอัศวินของเพื่อนเธอก็ชักจะไม่สดใสเสียแล้ว เด็กสาวประสานมืออธิษฐานช่วยเพื่อนเต็มที่
     
    การปะทะกันรอบแรกยังไม่มีฝ่ายไหนเพลี่ยงพล้ำ วิลเลี่ยมชักม้ากลับไปเปลี่ยนอาวุธ อัศวินหนุ่มชำเลืองมองนิดเดียวเมื่อเห็นว่าผู้ช่วยไม่ใช่สไควซ์แต่เป็นไมเคิล
     
    “ไอ้หนูนั่นฝีมือดีไม่เบา” วิลเลี่ยมชม ไมเคิลแยกเขี้ยวให้เพื่อน
     
    “ระวัง เจ้าจะแพ้แรงเด็ก ตาแก่”
     
    มาร์ควีสหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ดีดตัวหนีทางม้าของเพื่อน ครั้งที่สองสไปเดอร์ถูกกระแทกแต่ยังเกาะม้าเหนียวแน่น ครั้งที่สามเขาสามารถกระแทกแหลนในมือถูกคู่ต่อสู้แม้ท้ายที่สุดจะโดนวิลเลี่ยมที่ทิ้งแหลนเบียดเข้าใกล้แล้วจับโยนลงจากหลังม้าก่อนที่เขาจะทันได้ป้องกันตัว
     
    การต่อสู้ด้วยดาบบนพื้นดุเดือดกว่านั้นจนเลดี้หลายๆ นางต้องแอบมองลอดลายพัด แต่อัปสรมั่นใจว่าเพื่อนเธอจะไม่เป็นอะไร นอกจากจะลุ้นสุดตัวให้ชนะตาเซอร์ขี้เก๊กบ้างก็เท่านั่น
     
    ในที่สุดสไปเดอร์ก็ได้รับสเปอร์เป็นอัศวินโดยที่เจ็บตัวน้อยกว่าที่คิด มีแผลแตกถูกกระแทกที่โหนกแก้ม และรอยช้ำอีกไม่กี่แห่ง เขาจะมาเป็นทหารอยู่กับวิลเลี่ยมอีกสองปีเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนที่จะกลับบ้าน นั่นคือการที่วิลเลี่ยมเป็นผู้ทดสอบเขา
     
    เธอมองการสลับคนของวิลเลี่ยมและไมเคิล จะมีคนสงสัยอย่างเธอไหม ทั้งคู่สลับเด็กรับใช้ สไควซ์ ตลอดจนอัศวิน มาร์ควีสจอมโหดและอัศวินนักรบอันดับหนึ่ง หากทั้งคู่ผนึกกำลังกัน กองกำลังของทั้งคู่จะกลืนเป็นกองเดียวกันได้ในทันที มีใครคิดถึงจุดนี้หรือไม่ เด็กสาวอดชำเลืองมองท่านพ่อไม่ได้ ดวงตาชราหากมากประสบการณ์มองกลุ่มทหารตรงมุมด้านไกลอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันมาสบตาเธอ ท่านระแวงเช่นเดียวกับเธอ
     
     
    ตกดึกอัปสรต้องปิดปากหาว งานฉลองดึกดื่นจนเกือบเข้าวันใหม่ การประลองเริ่มตั้งแต่ก่อนเที่ยงไปจนหมดแสงตะวัน แล้วเริ่มงานฉลอง ตอนนี้เธอนอนในอ่างให้บรรดาพี่เลี้ยงอาบน้ำให้ หมดแรงจะทำอะไรแล้ว แค่ยิ้มเฉยๆ ยังตึงหน้าไปหมด
     
    “เต้นรำกับข้า”
    สไปเดอร์ก้มตัวโค้งอยู่ตรงหน้า อัปสรกระพือขนตาที่ถ่วงหนัก
    “ฉันง่วง ขอตัว”
     
    สไปเดอร์ตกตะลึงกับแพขนตาที่ปรือน้อยๆ กับรอยยิ้มชวนเชิญ เหล้าหลายจอกที่อัศวินรุ่นพี่ส่งให้ทำให้สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว นางชอบข้า ชวนเชิญข้าหรือ
     
    “ออกไปเดินเล่นรับลมเย็นๆ ดีหรือไม่”
     
    หากเป็นคนอื่นเธอคงไม่กล้าออกไป นี่เป็นสไปเดอร์เพื่อนของเธอ อัปสรขยับกระโปรงแตะแขนที่ยื่นออกมา
     
    “เฮ้ยค่อยยังชั่ว”
    อัปสรสะบัดแขนขึ้นสูงเหนือหัว บิดตัวแก้เมื่อย ถึงวันนี้จะไม่ใช่จันทร์เพ็ญ แต่แสงจากพระจันทร์ครึ่งดวงก็ส่องสว่าง ลมเย็นๆ ดีกว่าการแออัดอยู่ในห้องโถงยักษ์ของท่านพ่อ ตอนแรกคิดว่ามันกว้าง แต่เมื่อบรรจุเหล่าทหาร อัศวิน และเลดี้สาวๆ เข้าไป แค่หาที่ยืนก็ยากแล้ว พอมีเพลงเต้นรำขึ้น คนก็ถอยเว้นที่สำหรับเต้นรำ เบียดกันแสนร้อน ดีแต่เธอมีที่นั่งข้างท่านพ่อ และ ขุนนางสูงศักดิ์อีกหลายคน และเธอไม่ชอบเต้นรำ ที่จริงต้องบอกว่าเต้นไม่เป็นมากกว่า
     
    “แอน”
    เสียงเรียกพร้อมเงาสูงของเพื่อนที่เข้ามาใกล้ทำให้เด็กสาวตื่นตัว เธอก้าวถอยห่างออกไป
     
    “เราเป็นเพื่อนกันนะ สไปเดอร์”
    เด็กสาวบอกเสียงแหลมอย่างตกใจ หน้าอัศวินคนใหม่สลดลง
     
    “ทำไมท่านตามข้าออกมา” น้ำเสียงเขาผิดหวัง
     
    “เพราะฉันร้อน และเธอชวนฉันออกมา สไปเดอร์”
    อัปสรทอดเสียงหวานอย่างปลอบโยน ตายล่ะ เธอเพิ่งจะรู้ว่าเพื่อนเธอเมา จะเมารู้เรื่องหรือเมาไม่รู้เรื่องกันแน่นะ
    “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
     
    สไปเดอร์พยักหน้าหงอยๆ อัปสรกล้าที่จะขยับเข้าไปใกล้เขา จับแขนหมุนตัวให้ตามเธอไป
     
    “เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
     
    การเคลื่อนที่ของเธอทำให้สไปเดอร์เคลื่อนเข้ามาบังร่าง รับลูกธนูที่ถูกยิงมา เด็กสาวทรุดตัวลงภายใต้น้ำหนักของเพื่อน
     
    “สไปเดอร์”
    เด็กสาวตะโกนเรียกสติของเพื่อน พยายามจะผลักเพื่อนออก เขาจะลวนลามเธอหรือยังไง ฮึ่ม หากพูดไม่รู้เรื่อง คงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด
     
    “ข้าถูกยิง อย่าลุกขึ้นมาแอน”
    ถึงจะเจ็บอัศวินหนุ่มก็ใช้น้ำหนักกดร่างบอบบางเอาไว้ เอาร่างตนเองกำบังนาง
     
    “สไปเดอร์”
    อัปสรร้องอย่างตกใจ ห่วงทั้งเพื่อนทั้งตัวเอง เสียงร้องโห่ศึกของเสียงคุ้นหูเรียกความโล่งใจมาให้เธอได้ เซอร์วิลเลี่ยม
     
    “ข้าไม่เป็นไร”
    สไปเดอร์เค้นเสียงตอบเมื่อ วิลเลี่ยมคุกเข่าลงข้างๆ อัศวินหนุ่มพยักหน้ารับรู้ ก่อนวิ่งไล่ไปทางทิศของลูกธนูเขา ทหารที่ได้ยินเสียงตะโกนต่างจุดคบไฟสว่างไสว เริ่มมีเสียงแตกตื่นมาจากห้องโถง คงมีคนเข้าไปรายงานท่านพ่อ แต่ความกังวลของเธออยู่ที่เพื่อนของเธอ
     
    “หักธนูให้ข้า”
    สไปเดอร์กระซิบเสียงเบา ก้านยาวของธนูทำให้เขาขยับตัวลำบาก ร่างบอบบางใต้ร่างขยับจนออกมาพ้น น้ำตาไหลนองหน้า มือบางเอื้อมไปยังก้านธนู เธอจะต้องช่วยเขา ช่วยเขาให้ได้ ทันทีที่มือแตะก้านธนูร่างของเธอก็ถูกกระชากลอย
     
    “สไปเดอร์”
     
    เสียงกรี๊ดร้องสุดท้ายที่อัศวินหนุ่มได้ยิน
     
     
     
     “สไปเดอร์”
     
    เสียงกรี๊ดร้องเหมือนจะเพิ่งหลุดออกจากลำคอ เมื่อเธอทรุดลงให้อ้อมแขนของพ่อค้าผมทองแขกของบ้าน six to six ไฟถนนส่องสะท้อนเข้าตา มาร์คัสมาทำอะไรที่นี่ บ้านของพวกเขาอยู่นอกกำแพงนี่
     
    “การค้าของเราเสร็จสิ้นแล้ว”
    เจ้าของร้าน six to six สาขาลอนดอนประคองลูกค้าพิเศษที่เขาไปรับตัวกลับมาเองลง
    “นั่นโรงแรมที่คุณหนูเคยพัก เข้าไปขอความช่วยเหลือจากที่นั่น คุณพ่อคุณแม่ของคุณ ท่านคิดถึงและห่วงใยคุณหนูเสมอ
     
    เหมือนความฝัน สองสามีภรรยาเดินเข้าร้านขายของสีแดงแจ่มจ้า ก่อนที่ทั้งร้านจะหายไปเหมือนที่ตรงนี้ไม่มีร้านขายของอยู่อีก
     
    อัปสรกระพริบตา สูดลมหายใจขัดๆ เหมือนออกซิเจนไม่พอ มือบางๆ ค่อยๆ ยกขึ้นมาให้เห็นในระดับสายตา เสื้อคลุมตัวเก่าของเธอก่อนที่จะข้ามไปสู่ยุดโบราณ น้ำใสๆ ไหลคลอตาไม่รู้ว่าเธอดีใจที่ได้กลับมา หรือเสียใจที่ได้กลับมา แม้จะไปอยู่ที่โลกโน้นไม่นาน หากความผูกพันมากมีได้ก่อเกิด สไปเดอร์เพื่อนของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง ท่านพ่อ มาร์ควีสแห่งวอลเดลที่รักตามใจเธอยิ่ง สองพี่เลี้ยงที่ตามใจดูแลเธออย่างดี กระทั่งเจ้าตัวกลมลูกหมาตัวน้อยที่ตัวโตขึ้นทุกวัน มันจะคิดถึงเธอไหม
     
    พนักงานเปิดประตูตกตะลึงเมื่อเด็กสาวที่เดินร้องไห้ผ่านมานั้นเหมือนเด็กสาวเสียจริต ทั้งๆที่เครื่องแต่งกายบ่งบอกถึงความมีฐานะของเธอ และ เธอคือแขกที่หายสาบสูญไป หลังจากที่ประคองเด็กสาวลงนั่งที่เก้าอี้เขารีบเผ่นไปรายงานผู้จัดการโรงแรมทันที แขกที่สาบสูญกลับมาแล้ว ไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนของพ่อเธอได้มาถึง จัดการพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย แต่ไม่ก่อนที่จะให้เธอได้โทรคุยกับพ่อแม่
     
    “หนูรักพ่อกับแม่ค่ะ”
    อัปสรพูดได้เท่านั้น ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง ฟังเสียงข้ามประเทศที่ระรัวเร็วอย่างร้อนใจ น้ำเสียงห่วงใยเธออย่างแท้จริง หนูคิดถึงพ่อกับแม่จริงๆ นะ
     
    เพื่อนของคุณพ่อรับเธอไปอยู่ด้วยเพราะเธออายุยังน้อยเกินกว่าที่จะอยู่โรงแรมเพียงลำพัง นอกจากเวลารับประทานอาหาร และออกจากบ้านเพื่อซื้อของใช้จำเป็นแล้ว อัปสรจะเก็บตัวอยู่ในห้องสมุด ชื่อชมกับภาพบรรพบุรุษที่สืบทอดต่อกันมา เธอจะรู้จักใครในภาพไหม เธอได้กลับไปในช่วงเวลานั้นจริงๆ หรือไม่ มันจะเป็นช่วงเวลาไหน ใครเป็นกษัตริย์เธอก็ยังไม่รู้ แล้วเธอจะค้นหาได้อย่างไรว่าหลังจากเธอกลับมาเกิดอะไรขึ้น สไปเดอร์จะตายไหม จับคนที่คิดจะฆ่าเธอได้หรือไม่ ท่านพ่อล่ะ เซอร์วิลเลี่ยมจะเอาเจ้าโปโป้คืนไปใช่ไหม มันเป็นหมาของเธอนะ อัปสรกรีดร้องในใจ ...เธอจะไม่มีวันรู้เลยใช่ไหม
     
    พ่อกับแม่มารับเธอทันทีที่หาเที่ยวบินได้ เด็กสาวกอดพ่อแม่ร้องไห้จนตาบวม เธอไม่สนใจแล้วว่าจะสวยหรือไม่สวย ขอให้พ่อแม่รักเธอก็พอแล้ว จะไม่ทำอะไรโง่ๆ ให้ต้องห่างกันอีกแล้ว และเธอเบื่อกับการตอบคำถามว่าเธอไปที่ไหน จำไม่ได้ เธอตอบได้แค่นั้น หนูไม่รู้ว่าที่ไหน มารู้สึกตัวอีกที ก็ที่หน้าโรงแรมแล้ว แล้วเธอก็เพิ่งจะรู้ว่าเธอหายไปหนึ่งปีกับอีกสามเดือน นานพอที่จะทำให้พ่อกับแม่เลิกหวังว่าเธอจะมีชีวิตอยู่
     
    เด็กสาวกำมือมือแน่น ความเคยชินอีกอย่างของเด็กหลงทางเธอรีบปล่อยเมื่อรู้สึกตัว อัจฉราเป็นฝ่ายกุมมือลูกสาวแทน พอลูกห่างจากข้างกายเธอจะรีบมองหา กลัวจะหายไปอีก
     
    “อยู่กับแม่นะลูกอย่าไปไหน มีอะไรบอกแม่ อยากได้อะไรบอก วันนั้น คืนนั้นเกิดอะไรขึ้น”
     
    ความระอายแผ่ซ่านไปทั่วตัว เพราะกิเลศตัณหาของเธอที่ทำให้เธอทิ้งลูกไว้ที่โรงแรม เมื่อกลับมาไม่พบสอบถามคนเปิดประตูที่บอกเพียงว่าบุตรสาวของเธอเดินออกไปประมาณเที่ยงคืน ลูกรู้ไหม ใจแม่หายไปทั้งดวง กลัวใครจะจับลูกไป มันจะทำอะไรกับลูกบ้าง แต่ลูกสาวที่กลับมาวันนี้ ร่างกายยังเปล่งปลั่งงดงามสมบูรณ์แบบ ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และขี้แยติดพ่อแม่เหมือนเด็กๆ คุณหมอที่ตรวจสอบยืนยันว่าอัปสรไม่ได้รับการทรมานใดๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การที่เธอติดพ่อแม่ช่วงนี้ อาจจะเพราะห่างกันไปนานกลัวจะไม่ได้พบอีก เป็นอาการหวงนั่นเอง อย่าว่าแต่เป็นเด็กเลย เธอเองยังไม่กล้าให้ลูกห่างสายตา ถ้าทำได้ไม่กลัวลูกอึดอัดจะกอดเอาไว้ จะได้ไม่หายไปอีก
     
    “ไม่มีอะไร หนูเดินออกไปซื้อของที่ร้านหัวมุม ออกจากร้านก็ไม่รู้แล้วค่ะ” อัปสรตอบคำถามเดิมๆ ด้วยคำพูดเดิมๆ
     
    มองมือบางๆ ของแม่ที่ทับอยู่บนมือเธอ แม่ไม่มีแหวนแพรวพราวอีกแล้ว บนข้อมือมีเพียงนาฬิกาเพียงเรือนเดียว
     
    “เด็กๆ ของแม่หายไปไหนคะ” อัปสรเงยหน้าถามอย่างสงสัย
     
    “อะไรเด็กๆ ของแม่” อัจฉราก้มลงถามอย่างสงสัย รู้สึกถึงนิ้วมือนิ่มๆ ที่ลูบหลังมือของเธอ เป็นครั้งแรกที่เธอหัวเราะได้เต็มเสียงอย่างไม่ต้องเสแสร้ง โอบตัวลูกสาวมากอด
    “หนูเป็นเด็กคนเดียวที่แม่อยากเอาไว้ใกล้ตัวนะคะ”
     
    ศิลป์ชัย หันมาเมื่อได้ยินอดีตภรรยาหัวเราะ การหายตัวไปของบุตรสาวคนเดียวเปลี่ยนชีวิตของเขาและเธอ จะหาเงินมามากมายทำไม ในเมื่อไร้จุดหมาย เขาหาเงินมาเพื่อเมียและลูกจะได้อยู่สบาย มีทุกอย่างที่ต้องการ การหาลูกอย่างบ้าคลั่ง ตั้งรางวัลสูง ไม่สามารถนำไปสู่ตัวเธอได้เลย เหมือน เธอเดินออกจากโรงแรมแล้วหายไปเฉยๆ ทั้งคู่โทษกัน ทำไมเธอไม่ดูลูก ทำไมคุณไม่ให้เวลากับลูกกับฉัน แล้วมันก็ถึงจุดสิ้นสุด แยกทางกัน อัจฉราเงยหน้าขึ้น ตาสองคู่มองสบกัน ก่อนฝ่ายหญิงจะเบือนหน้าหลบ
     
    เป็นความผิดของเธอมากกว่าเขา เธอควรจะดูลูก เธอทิ้งลูกเพื่อความสุขส่วนตัว แต่เขา ไม่ได้ดูแลลูกเพื่อหาเงินทองมาให้เธอและลูก เป็นความผิดของเธอ เขาควรจะได้คนที่ดีกว่าเธอมาเคียงข้าง
     
    “แม่ลูกพร้อมหรือยัง”
    เขาถามเบาๆ เพื่อนขอตัวไปเอาของก่อนจะพาทั้งหมดไปส่งที่สนามบิน สองแม่ลูกลุกขึ้นเตรียมพร้อม ไปลาฝ่ายเจ้าของบ้านอีกครั้ง
     
    “เกือบลืมไปเลย”
    จอห์น ร้องบอกอย่างร่าเริง เขาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้ามา โบกมือให้เพื่อนช่วยยกวางบนโต๊ะ
    “นี่เป็นของที่ส่งต่อๆ กันมา ตอนแรกมันเป็นหีบใบหนึ่งกับกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่ง รื้อเก็บกันหลายที จนมาเป็นเจ้ากระเป๋าใบนี้”
    จอห์นปลดสลักเตรียมเปิดกระเป๋า ตามองเด็กสาวที่หายไปปีกว่าๆ ยิ้มๆ
    “ฉันคิดว่ามันเป็นของหนูนะ อัปป้า” เขายื่นสมุดที่ทำด้วยแผ่นหนังให้เธอ
     
    เด็กสาวน้ำตากลบตา ยามอยู่ในยุคกลางที่เธอไม่รู้ว่าเธอจะได้กลับมาหรือไม่ เธอเขียนบันทึกเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ มันเป็นคำสาปแช่งเจ้าคนขายของที่ส่งเธอข้ามมิติมากกว่า มีกล่องเหล็กใบเล็กที่ช่างในหมู่บ้านทำให้เธอ เขาตีทองแดงสลักลายสวยงามแต่งกล่องให้เธอด้วย เธอขอให้เขาแกะสลักคำ ส่งให้ อัปสร เมธากุล ในวันที่เธอกลับมา ด้วยความหวังว่าเธอจะกลับไปสู่โลกปัจจุบันได้ หรือถ้าไม่ได้ ใครสักคนน่าจะพบบันทึกนี้ เธอตั้งความหวังอย่างลมๆ แล้งๆ เลย มันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เธออยากจะมีความหวัง และต่อๆ มาเธอเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ที่ชื่นชอบเอาไว้ เมื่อเธอปรับตัวเข้ากับที่นั่นได้แล้ว
     
    ศิลป์ชัย แตะหน้ากล่องเหล็ก สลักภาษาไทย
     
    “ส่งให้ อัปสร เมธากุล ในวันที่เธอกลับมา”
     
    ก่อนเงยหน้ามองลูกสาว
     
    “ของหนู”
    อัปสรร้อง ชะโงกเข้าไปมองในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ รูบี้ โปโป้ เธอคว้าหัวหมาทั้งสองมากอดแน่น ในนั้นยังมีข้าวของกระจุกกระจิกมากมาย
     
    “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ” อัปสรโผไปกอดจอห์นแน่น
     
    “ขอโทษทีที่ฉันไม่ได้ให้เธอตั้งแต่แรก ฉันเพิ่งจะรู้ว่านางฟ้าตัวน้อยของฉันคืออัปสร เมธากุล ตอนที่พาศิลป์ไปทำหลักฐานให้เธอนี่เอง เขาเผลอตัวเขียนชื่อเธอเหมือนกับบนกล่อง”
     
    จอห์นตบไหล่เด็กสาวที่เขารู้จักมาตั้งแต่ยังเล็ก ขยิบตาให้
    “หวังว่าครั้งหน้าที่มา หนูจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฉันฟังนะ”
     
    อัปสรหัวเราะ ทั้งหมดลาเจ้าของบ้านที่แสนดีอีกครั้ง
     
     
     
    นั่งเครื่อง ต่อเครื่องกันอีกหลายชั่วโมงกว่าเธอจะกลับถึงบ้าน เจ้ากระเป๋าใบใหม่ที่พ่อกลัวว่าจะสร้างปัญหากลับผ่านมาได้อย่างปาฏิหาริย์ กว่าจะมาถึงบ้าน อัปสรก็พร้อมจะหลับเสียแล้ว เด็กสาวง่วงงุนอยู่ภายใต้การจูงของหญิงแม่บ้าน ที่ทั้งร้องไห้ ทั้งต่อว่าไม่ให้เธอทำตัวเด็กๆ หนีไปแบบนี้อีก
     
    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ อัจจะมาหาลูก”
     
    แม่ว่าอะไร เธอไม่เข้าใจ
     
    ศิลป์ชัยชำเลืองมองลูกสาวที่ชะงักยืนนิ่ง
     
    “นอนที่นี่สักคืนก่อน ห้องคุณผมยังเก็บไว้เหมือนเดิม”
     
    อัจฉรามองตามสายตาเขาก่อนจะพยักหน้า หันไปถามลูกสาว
     
    “ให้แม่พาเข้านอนนะคะ”
     
    อัปสรส่ายหน้า เดินโซเซกลับมาจูบราตรีสวัสดิ์พ่อกับแม่ก่อนเดินกลับไปหาแม่บ้าน
     
    “หนูนอนกับโปโป้กะรูบี้ได้ค่ะ”
     
    ระหว่างการเดินทางที่แสนนาน ทั้งสองฟังลูกสาวเล่าเรื่องตื่นเต้นที่เธอไปพบมา อยากจะคิดว่าเป็นเรื่องฝันเฝื่อง ถ้าไม่มีหลักฐานสิ่งของในกระเป๋าเดินทางใบนั้น
     
     
    หลังจากนอนหลับยาวนาน อัปสรสะดุ้งตื่น ดีดตัวขึ้นนั่งอย่างตกใจ เมื่อลืมตามองเห็นขนสีขาว เธอกลับไปยุคกลางอีกแล้วเหรอ ตาโตกวาดมองไปรอบๆ อย่างระแวง ห้องของเธอ ห้องของเธอที่เมืองไทยเด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก  หวังว่า ว่า..อาไม่อยากจะคิด ถ้าโดนส่งไปอดีตจากที่เมืองไทย เธอจะไปตกปุ๊ที่สมัยไหน อยุธยา พ่อขุนราม หรือเก่าแก่กว่านั้น ไม่นะ ไม่ เธออยากอยู่โลกปัจจุบันของเธอที่สุด ไม่เอาแล้ว
     
    หันไปมองนาฬิกาที่ตัวเตียง เพิ่งจะตีสาม เมื่อคืนนอกจากดึงโปโป้กับรูบี้ออกจากกระเป๋าเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก ดีนะ ที่เธอนอนห้องแอร์ไม่อย่างนั้น เจ้าหมาสองตัวนั่น คงทำให้เธอเหงื่อท่วมตาย นิ้วมือเรียวๆ ลูบไปบนปลอกคอ เรื่อยไปจิ้มลูกกะตาอย่างที่เธอชอบทำ สมัยนั้น เพชรเม็ดยักษ์เอามาทำตาคงไม่แปลก แต่สมัยนี้ เด็กสาวห่อไหล่อย่างสยอง กอดมันตัวละที ก่อนจะก้าวลงจากเตียง ลากประเป๋าออกมาเปิด สำรวจดูของข้างใน เธออยากรู้ข่าวท่านพ่อ สไปเดอร์ และคนอื่นๆ ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
     
    หลังจากเธอหายไปไม่นาน ท่านพ่อก็เสียชีวิต สมบัติส่วนตัวของเธอ เป็นเซอร์วิลเลี่ยมเก็บไป พร้อมๆ กับเสื้อคลุมพระราชทานของเขา เด็กสาวฮึ่มฮัม มันเป็นของเธอต่างหาก เจ้าโปโป้มันเป็นของเธอนะ เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง วิลเลี่ยมได้ตำแหน่งมาร์ควีสแห่งวอลเดลที่ว่างลง
     
    เขาฝากหีบสมบัติใบหนึ่งไว้ที่โรงแรมที่พักกลางทาง โรงแรม six to six อัศวินที่เคยรู้จักเลดี้แอน จะไปฝากของเพื่อระลึกถึงเธอที่นั่น
     
    ต๊าย ฉันกลายเป็นอะไรไปแล้วนี่ ตาเซอร์วิลเลี่ยมนี่ไม่น่าคบจริงๆ
     
    คำกลอน ดอกไม้แห้งๆ ที่ป่นเป็นผงไปเรียบร้อยแล้วมั๊ง กระทั่ง ไมเคิล มาร์ควีสแห่งแวลแซกซ์ยังฝากของให้เธอ เขาเป็นคนที่ส่งข่าวได้รู้เรื่องที่สุด ฉายาเลดี้แอนบ้า กับกลุ่มอัศวินบ้าๆ ที่ยังมาทิ้งขอความถึงเลดี้สาวสวยที่จากไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม ตานี่ มาเรียกเธอว่าเลดี้แอนบ้า ได้ยังไงกัน
     
    ไมเคิลได้รับสืบต่อตำแหน่งดยุกจากพ่อของเขา เขาเล่าถึงลูกๆ ลูกสาวคนหนึ่งตั้งชื่อว่าแอน และนางคือภรรยาของวิลเลี่ยม อ่านถึงตอนนี้อกใจทำไมระทึกได้
     
    สไปเดอร์รอดชีวิต หากเขาเลือกใช้ชีวิตหลังจากนั้น ด้วยการเป็นนักบวชที่ six to six อัปสรคิดถึงชะตากรรมเพื่อนที่เข้าไปยุ่งกับกลุ่มคนอันตรายก็ได้แต่นึกห่วง เขาคงไม่เป็นอะไรหรอกน่า ก็ เขาเป็นคนที่อายุยืนยาวที่สุดที่ยังมาส่งของถึงเธอ ทุกครั้งที่เขาได้ของแปลกๆ เขาจะแบ่งมาให้เธอ เขายังจำโลกที่เธอเล่าให้เขาฟังได้ และเล่าให้เธอฟังว่าเขาไปพบอะไรบ้าง แล้วบ่นว่า ทำไมเขาไม่เคยเจอกับโลกของเธอ
     
    ตาบ้า จะไปเจอได้อย่างไรเล่า ก็โลกของเธออยู่หลังจากยุคของเขาเป็นร้อยๆ ปีเชียวนะ นายได้เกิดตาย เกิดไปอีกหลายๆ รอบ กว่าจะได้มาเจอกับฉัน
     
    เด็กสาวแยกของเป็นประเภท ก่อนจะเจอใบเรียกเก็บเงิน วิลเลี่ยมให้การคุ้มครองที่พักระหว่างทางแห่งนี้ มาตลอดช่วงชีวิตของเขา และทายาทอีกหลายๆ คนต่อมา มาขาดช่วงประมาณห้าสิบปีที่ไม่ได้มีการจ่ายค่าตอบแทนในการดูแลหีบของเธอ มันเลยถูกส่งคืนให้ทายาทของเขา ซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของจอห์น แต่ช่วงห้าสิบปีนี้ ค่าเก็บรักษาที่เธอเห็น ความลับของ six to six ชะ ยังจะมาคิดปิดปากเธออีกเหรอ ทำชีวิตเธอยุ่งเหยิงยังไม่พอใช่ไหม เด็กสาวฮึ่มฮั่ม ได้เลย หาร้านที่ทำเธอหลงยุคไม่ได้ เธอจะไปต่อว่า ร้านใกล้โรงเรียนเธอก็ได้ หวังว่าจะไม่ปิดร้านหนีเธอไปอีกนะ เหลือบมองนาฬิกา ยังไม่สว่างเลย เธอยังหลับได้อีกสักตื่น เด็กสาวปีนขึ้นเตียง ซุกอยู่ระหว่างเสื้อคลุมสุนัขป่าทั้งสองตัว หลับไปอย่างรวดเร็ว
     
     
    อัปสรทำตาโตอย่างตกใจเมื่อลงมาพบว่าทั้งพ่อและแม่ยังไม่ไปไหน แม้พ่อจะแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนพร้อมจะออกจากบ้าน
     
    “ขอโทษค่ะ หนูตื่นสายไปหน่อย”
     
    “ไม่เป็นไรจ้ะ”
     
    อัปสรมองแม่ที่ดึงมืออกจากการเกาะกุมของพ่อ อ้าแขนออก เธอเดินเข้าไปกอดแม่อย่างคิดถึง เกิดอะไรขึ้น เธอไม่เคยเห็นพ่อกับแม่กุมมือกันมานานแสนนานแล้ว
     
    อัปสรรับประทานอาหารเช้าขณะเดียวกันเธอก็ลอบมองพ่อกับแม่ที่ไปจับมือกันอีก เกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่เธอกัน
     
    “พ่อจะไปทำงานล่ะนะ”
     
    ศิลป์ชัย กระแอมบอกเบาๆ เขาเห็นสายตาลอบมองอย่างพิศวงของบุตรสาว เมื่อคืนเขาปรับความเข้าใจกับอดีตภรรยาได้ ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง การหายไปของลูกสาวทำให้ทั้งคู่เริ่มพิจารณาตัวเองในการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเมื่อครั้งก่อน เขาทำงานหาเงินเพื่อให้เธอไม่ต้องน้อยหน้าพี่น้อง โดยทิ้งให้เธออ้างว้าง
     
    “ค่ะ”
    อัจฉรารับจูบจากอดีตสามี ก่อนที่เขาจะเดินเลยไปจุ๊บลงกลางกระหม่อมลูกสาว
     
    “แล้วพ่อจะรีบกลับนะลูก”
     
    “ฮือม์ เหนื่อยไหมจ๊ะยายหนู ถ้าไม่เหนื่อย เราจะไปติดต่อที่โรงเรียน ไปหาคุณตาคุณยาย แล้วไปรับคุณพ่อกลับบ้านดีไหมคะ”
     
    พอพูดถึง พ่อตาแม่ยาย ศิลป์ชัยก็หน้าขรึมลง
     
    “ผมควรจะเรียนท่านด้วยตัวเอง ยังไงรอที่บ้านผมจะไปรับ”
     
    อัปสรมองไปทางพ่อทีแม่ทีอย่างไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เธอไม่อยู่บ้าน เกิดอะไรขึ้น
     
    “ก็ได้ค่ะ”
     
    แม่ลูกเดินออกไปส่งคุณพ่อบ้านหน้าตึก นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ทำอย่างนี้ อัปสรนึกไม่ออก เด็กสาวโบกมือจนรถลับออกนอกประตูไป
     
    “เราจะไปโรงเรียนหรือคะ”
    เธอก้มลงมองชุดของตัวเองกระโปรงสีน้ำตาลอ่อน กับเสื้อขาวปักลายดอกไม้
    “หนูไปเปลี่ยนชุดนักเรียนก่อนนะคะ”
     
    อัจฉราพยักหน้า อัปสรขาดเรียนไปถึง ปีครึ่งเธอบอกว่าลูกสาวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ การที่จะกลับเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเดิมไม่น่าจะมีปัญหา โดยเฉพาะการเรียนที่โดดเด่นของลูกสาวเธอ และยอดเงินบริจาคจำนวนหนึ่ง
     
    เธอเดินตามบุตรสาวขึ้นไปชั้นบน อดผวาไม่ได้ว่าถ้าไม่ดูบ่อยๆ อัปสรจะหายไปอีก เมื่อคืนทุกครั้งที่ลืมตาเธอจะแวะไปที่ห้องลูกสาว เทพธิดาน้อยๆ ของแม่นอนหลับสนิทอยู่ระหว่างองครักษ์ทั้งคู่ เธอไม่รู้ว่าอัปสรไปได้ เสื้อคลุมหมาป่าสีขาวมาจากไหนถึงสองตัว ถ้ามองไม่ผิด ตาตัวหนึ่งทำด้วยเพชร ตัวหนึ่งไพลินน้ำดี ลูกสาวเธอไปได้ของกำนัลจากยุคโบราณมาได้อย่างไร หรือว่าสิ่งที่เธอเล่าคือเรื่องจริง เธอหลงไปอยู่ในสมัยนั้น ในฐานะลูกสาวของมาร์ควีสที่มีอำนาจคนหนึ่ง เรื่องที่ไปเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ
     
    อัปสรเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ไม่ลืมเก็บใบเรียกค่าบริการของร้าน six to six ไปด้วย หวังว่าร้านข้างโรงเรียนของเธอจะยังไม่หายไปเหมือนร้านที่ลอนดอนนะ เด็กสาวยิ้มให้คุณแม่ที่เข้ามานั่งรอเธออยู่บนเตียง
     
    “หนูเสร็จแล้วค่ะ”
    อัปสรบอกอย่างเขินๆ ตอนที่พ่อแม่ไม่สนใจเธอก็อยากให้ท่านสนใจ มาตอนนี้พวกท่านจับตามองแทบไม่คลาดสายตาเธอกลับไปชอบเสียอย่างนั้น มันก็ค่อนข้างอึดอัดอยู่เหมือนกันนะ
     
     
    การเจรจาเรื่องการเรียนของเธอใช้เวลาไม่นาน อาทิตย์หน้า เธอต้องมาสอบวัดผลช่วงที่ไม่ได้มาเรียน ถ้าผ่าน เทอมหน้าเธอก็สามารถมาเข้าเรียนพร้อมเพื่อนๆ ได้เหมือนเดิม
     
    เธอขอให้จอดรถหน้าร้านสะดวกซื้อ six to six อ้อนคุณแม่ว่าที่นี่มีขนมอร่อยของโปรดของเธอ ใช้เวลาซื้อของแป๊บเดียว ทำให้แม่ยอมปล่อยให้เธอเข้าไปที่ร้านได้คนเดียว
     
    อัปสรผลักประตูเดินเข้าไปในร้านอย่างมุ่งมั่น
     
    Six to six หกโมงเช้าถึงหกโมงเช้า หรือจะหกโมงเย็นถึงหกโมงเย็น แล้วแต่ท่านจะคิดว่าเวลาไหนจะเป็นเวลาเปิดบริการของเรา
     
    ระบบบริการอัตโนมัติ สิ่งที่ท่านนำเข้ามา ท่านนำออกไปได้ สิ่งที่ท่านจะนำออกไปกรุณาชำระเงิน ระบบจะทอนเงินให้ท่านโดย อัตโนมัติ หากไม่สะดวกชำระเป็นเงินสด เรายินดีรับชำระเป็นอย่างอื่นไม่ว่าบัตรเครดิต บัตรเงินสด เวลาของท่าน หรืออะไรก็ตามที่ท่านมี Six to six ยินดีให้บริการ
     
    ระบบอัตโนมัติส่งเสียงเจื้อยแจ้ว อัปสรกวาดตามองไปรอบๆ ร้าน ว่าง!  ดี!  เหมาะ! เด็กสาวเดินหาผนังว่างๆ ที่หนึ่งที่บังสายตาคนจากภายนอกได้ ดึงใบเรียกเก็บเงินออกมากระแทกปังบนผนัง
     
    คุณลูกค้า ต้องการชำระค่าบริการข้ามสาขาหรือ
     
    “ความผิดของคุณนะที่ฉันต้องข้ามไปอยู่โลกเก่าๆ นั่นตั้งหลายเดือน แล้ว ทำไมพอของฉันส่งมาถึงฉันแล้วมาเก็บค่าบริการที่ฉันล่ะ ทำไมไม่ไปตามเก็บกับเซอร์วิลเลี่ยม”
     
    การขนส่งใช้เวลานานกว่าที่คิด ท่านมาร์ควีสสั่งให้เก็บรักษาของไว้แลกกับการคุ้มครอง เขาไม่ได้บอกให้ส่งถึงท่าน แต่เมื่อของนี้ส่งถึงมือท่าน ค่าบริการที่ขาดไป ท่านย่อมต้องเป็นผู้ชำระไม่ใช่หรือ
     
    “อะไร เก็บเป็นความลับ คิดว่า ฉันบอกไปจะมีใครเชื่อล่ะ”
     
    มาร์กาเร็ตมองเด็กสาวที่หัวเสียอยู่ในร้าน เด็กสาวที่รอดชีวิตกลับมาได้ เด็กสาวที่เจคหลานชายของนางส่งข้ามมิติไป
     
    หากท่านรับรองเช่นนั้น
     
    มาร์กาเร็ตยอมตามใจไปเสีย ความจริงค่าเก็บรักษาของ คิดจากการสูญสลายไปของของแต่ละชิ้น ที่ให้เก็บรักษาชื่อร้าน six to six เป็นความลับนั้น เป็นเพียงคำขู่หลอกๆ
     
    “แน่นอนล่ะ แล้ว ฉันอยากได้ ชื่อที่อยู่ ของคนที่ส่งฉันไปลำบากลำบน”
     
    เจ้าของร้านแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ นางไปเป็นถึงลูกสาวมาร์ควีสที่มีอำนาจยิ่ง ยังจะว่าไปลำบากอีกหรือ
     
    ท่านพร้อมจะจ่ายสำหรับข่าวสารนี้หรือไม่
     
    “ราคาคืออะไร” อัปสรเริ่มระวังตัว เธอจะไม่ยอมถูกส่งไปไหนๆ อีกแล้วนะ
     
    มาร์กาเร็ตได้แต่ส่ายหน้า หากนางไม่ถาม เปิดเทอมนางต้องพบกับเจคอยู่แล้ว แต่นั่นจะทำให้นางรู้ไหมว่าเขาคือคนที่ส่งนางไป
     
    อัปสรมองตัวอักษรที่วิ่งตามมากันเป็นแถว ก่อนจะยิ้มกว้าง
     
    “ตกลง”
     
    การค้าขายของ Six to six ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว
     
    อัปสรยิ้มหมายมาด เดินออกจากร้านสีเขียวพร้อมถุงใส่ขนมหวานเย็นสำหรับคุณแม่และ นายเจิมศักดิ์คนขับรถ เด็กสาวหันกลับไปมองร้านสีเขียวอื๋อสะท้อนแสงแดดยามเที่ยง รอยยิ้มหวานปรากฏบนริมฝีปาก
     
    “ฉันกลับมาแล้ว”
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×