คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : สุราลัย
บทที่ 1 สุราลัย
ชีวิตคนเรานั้นยาวนานทีเดียวนะ แต่บางคนอาจจะคิดว่าสั้น ทำไม? ไม่ลองหวนมองกลับมาดูละ แล้วท่านคงคิดได้ว่ามันยาวนานเพียงใด
ชีวิตไม่เคยกำหนดให้ใครมากหรือน้อยไป แต่มันอยู่ที่ตนเองจะรู้สึกเช่นไร
“น่าเบื่อ” เสียงใสๆ เปรย
เจ้าของเสียงหน้าตาคมคาย ตาเรียวดำ บอกแววฉลาด คิ้วเข้ม โค้งสวยรับกับดวงตา ปากได้รูปสวยแดงอย่างสุขภาพดี ผิวค่อนข้างคล้ำแบบเด็กที่ชอบใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้ง
“น่าเบื่ออะไร” กุลปราณีถามน้องสาวเล็ก
เธอนั่งถักไหมพรมอยู่ที่เก้าอี้หวาย สาวเจ้าคนนี้ขาวกว่า เครื่องหน้าละม้ายคล้ายกัน แต่ผู้สูงวัยกว่า ดูจะอ่อนหวานกว่าผู้น้อง เธอยังมีไฝแดงเม็ดเล็กๆ ที่ขมับ ที่เจ้าตัวบอกใครต่อใครว่าเป็นที่เสียบกุญแจไขสมอง ก็เธอเป็นเด็กเรียนเก่งมาตลอด และจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เดินทางไปเรียนปริญญาโท-เอก ก็สอบได้ทุนอีกนั่นล่ะ ทุนที่ผูกพันที่ต้องกลับมามาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ
“ดูหนังสือ”
สุราลัยตอบ แถมยกหนังสือเล่มโตให้ดู เธอนอนอยู่ในเปลที่ผูกอยู่ระหว่างเสาสองต้น
บ้านสร้างแบบบ้านโบราณเรือนไม้เสาสิบหกต้น นับว่าเป็นเรือนระดับเศรษฐี พ่อว่าอย่างนั้น บ้านเราเป็นเรือนใต้ถุนสูง ข้างล่างเดิมโล่งๆ มีเสาอยู่สิบหกต้น ต่อมากั้นเป็นห้องนั่งเล่น ห้องเก็บสมบัติ ห้องครัว ก็เลยเหลือเสา ไม่กี่ต้น ไว้สำหรับผูกเปลนอนเล่น
มีบันไดหน้า ที่ขึ้นไปแล้ว ผ่านประตูที่ปิดได้ จะมีชานรับแขกอย่างมีลูกกรงไม้โปร่งๆ ถัดไปก็เป็นห้องๆ ของเจ้าของบ้าน ที่คนนอกห้ามเข้า เราจะรับแขกผู้ใหญ่กันที่ชานเรือนนอกนี่ล่ะ
กับมีบันไดหลัง ที่ขึ้นอีกทาง เป็นที่แอบขึ้นบ้านของหนุ่มๆ ยามดึก เป็นที่สิงสถิตของสุนัขยามปากเปราะเฝ้าบ้านทั้งหลายด้วย
“แล้วอ่านทำไมละ ยายน้อย” กุลปราณีถามน้องสาว
“ก็มันไม่มีอะไรทำดีกว่านี้แล้วนี่” สุราลัยตอบ
“เรื่องอื่นมีออกเยอะแยะ ไม่หามาอ่าน” กุลปราณีบอก ไม่ค่อยเข้าใจน้องสาวคนนี้เท่าไรเลย ทำอะไรแปลกๆ ชอบอะไรแปลกๆ ก็อย่างว่าล่ะ เป็นลูกเล็ก ลูกหลง พ่อแม่หวง ตามใจ
“ก็น้อยอ่านจบหมดแล้วนี่นา” สาวน้อยบ่น เธออ่านหมดแล้วนะ กระทั่งกระดาษห่อถุงกล้วยปิ้งเมื่อเช้า
“ออกไปเที่ยวซะบ้างซิ” กุลปราณี แนะนำ
“ไม่รู้จะไปไหนนี่” สุราลัยทำหน้าเซียว
“โธ่เอ๊ย ดูหนัง ดูละคร เที่ยวบ้านเพื่อน ไปกินไอติม”
กุลปราณีชะงัก เมื่อเห็นตาแป๋วๆ มองตรงมา
“เฮ้ย” เธอถอนหายใจเสียงดัง เมื่อสุราลัยถาม
“เขาไปกันยังไง”
“เราไม่รู้ก็นอนเซ็งอยู่บ้านนี่ล่ะ” กุลปราณีบอก หมดอารมณ์จะอธิบาย
“เห็นไหมล่ะ พี่นิดก็แนะนำไม่ได้”
สุราลัยว่า วางหนังสือบนอก ถีบพื้นให้เปลแกว่งแล้วหลับไปง่ายๆ
กุลปราณียังนึกไม่ออกว่าบิดามารดาคิดผิดหรือไม่ที่ไม่ให้สุราลัยออกไปเที่ยวไหนเสียเลย กุลปราณีคิดว่าตัวเธอยังโชคดีมาก ที่ไปเรียนที่กรุงเทพฯตั้งแต่เด็ก จะว่าพ่อแม่ไม่ให้ไปก็ไม่ได้ สุราลัยสมัครใจที่จะติดบ้านเอง
“ฮัดเช้ย” สุราลัยจามเสียงดัง แล้วงัวเงียไปล้างหน้า
“ถักให้ใครฮะ” สุราลัยถาม ทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม น้ำเกาะพราวเต็มหน้า
“เช็ดหน้าเสียบ้างซิ ยายน้อย”
พี่สาวอ่อนใจ แม่เลี้ยงลูกสาวน้อยอย่างไม่รู้จักโต หรือปล่อยไว้กับพี่ชายจอมซนเกินไปนะ เจ้านนท์ยังสำอางกว่าแม่น้องน้อยนี่
“อย่างนี้เย็นดีแล้ว” สุราลัยตอบ คว้ากระดาษดินสอที่อยู่ใต้โต๊ะมาสเก็ตรูปเล่น
มองออกไปเห็นรั้วบ้าน ต้นไม้ผลต้นใหญ่ สีสดใสของโป๊ยเซียนร้อยแปดกระถางห้าร้อยพันธุ์ของแม่ ผ่านเสาสองต้น แล้วมาจับที่สาวสวยในผ้าซิ่นดำปะลายช้าง ที่ดังกรุ๊งกริ๊งเวลาเดิน พี่นิดใส่ผ้าซิ่นกับเสื้อเชิ้ตตัวตีบสีเขียวอ่อน เข้ากับผ้าปะผ้าซิ่น เมื่อเช้าพี่นิดไปวัดกับแม่นี่น่า ผมยาวๆ ขมวดง่ายๆ ไว้บนศีรษะ
สุราลัยมองเสี้ยวหน้าที่ก้มลงถักด้ายเหลือบสีรุ้งเป็นอะไรสักอย่าง เธอแอบมองแบบในหนังสือ ท่าทางมันจะเป็นกระโปรงถักนะ คิดทะลึ่งถึงกระโปรงถักที่ไม่มีซับใน แลลอดเห็นขาเรียวๆ อ้า เช็กซี่
น้องคนเล็กของบ้านยิ้มแยกเขี้ยว เห็นวิวเหมาะแล้ว เสี้ยวหน้าที่ก้มน้อยๆ เห็นหน้าผากนูน ขนตา ปลายจมูก กระจับปาก ปลายคางนิดๆ ปกเสื้อ มาถึงมือและเข็มควัก ได้การล่ะ
“โตแล้วนะน้อย ไม่ออกไปดูชาวบ้านชาวเมืองเสียบ้าง เดี๋ยวถูกหลอกตาย”
กุลปราณีพยายามชักชวน
“น้อยไม่กลัวผีนี่ฮะ”
สุราลัยลากเส้นโครงหน้า อย่างมั่นใจ อาจารย์สอนว่าปรี๊ดเดียวเลย อย่าลากซ้ำ ภาพจะช้ำไม่สวย อา... ได้หน้าผากนูนสวยอย่างที่คิด ดินสอลากปราดๆ เก็บรายละเอียด
สมาธิกับภาพที่อยู่ตรงหน้าเลยใส่ใจกับสิ่งที่พี่สาวพูดแค่ครึ่งเดียว
ให้มันได้อย่างนี้ซิ เข้าใจไปคนล่ะทาง กุลปราณีนึกในใจ แล้วนั่นอีกอย่างล่ะที่กุลปราณีขัดหู ไอ้คำลงท้าย ฮะฮะ นี่นะ เธอพยายามใจเย็น เธอเรียนหนังสืออยู่กรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้กลับบ้าน จะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เธออยู่บ้านนานที่สุดก็ได้ มาหาข้อมูลสำหรับทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก
“บางอย่างก็น่ากลัวกว่าผี”
“เช่น.....” สุราลัยถามลากๆ อย่างล้อเลียน
มองภาพลายเส้นอย่างพอใจ จรดดินสอลงตรงมุมลากเป็นชื่อเธอเล่นหางอย่างสวยงาม ก่อนเลื่อนลงมานิดลงวันที่ เหลือบมองนาฬิกาที่ตอกแขวนไว้กับฝา เวลาถูกบันทึกลงในกระดาษ
“คน” กุลปราณีตอบ
“พี่นิดก็เป็นคน สวยน่ารักอย่างนี้ ไม่เห็นน่ากลัวเลย”
สุราลัยตอบ วางรูปที่สเก็ตเสร็จแล้วลงบนโต๊ะ
“น้อยไปล้างบ่อปลาดีกว่า”
สุราลัยบอก ดัดตัวจนกระดูกลั่น แล้วก้าวยาวๆ ไปทางหลังบ้าน
กุลปราณีอยากถอนหายใจเป็นครั้งที่สาม สุราลัยโตมากแล้ว อายุจะสิบห้าแล้ว แต่ไม่เคยรู้จักสมาคมเอาซะเลย ดูซิวันนี้ก็นุ่งกางเกงวอร์มปะขาด กับเสื้อเชิ้ตเก่าๆ ที่ชายลุยหมด แล้วกุลปราณีก็เลยผ่านไป เมื่อมีงานอยู่ตรงหน้า
“ทำอะไรจ๊ะ” เสียงทักเกือบทำให้สุราลัยตกบ่อเชียว
เรามีบ่อปลาอยู่หลายบ่อ เลี้ยงปลาสารพัด มันก็โตให้ลูกให้หลานดี แต่ต้องขยันล้างบ่อหน่อย สุราลัยแบ่งเวรกับพี่ชาย คนชอบเลี้ยง และขาย ล้างบ่อกันคนล่ะอาทิตย์
ได้รู้สัจจะธรรมหลายอย่าง อย่างน้ำร้อนปลาเป็นน้ำเย็นปลาตายนั้นไม่จริงเลย ปลาชอบน้ำเย็นๆ เพราะน้ำ(ร้อน)อุ่นๆ ที่ผ่านท่อมาตอนเที่ยงๆ ทำเอาปลาเดี้ยงไปเกือบหมดบ่อ สุราลัยต้องวิ่งไปแอบหลังมารดา ความผิดของพี่นนท์เองนะ ที่ถึงเวรแล้วไม่ยอมล้างบ่อปลาสักที
พี่นนท์เขาโกรธง่ายหายเร็ว เห็นไหม แล้วเขาก็หาปลามาได้เต็มทุกบ่ออีกเหมือนเดิม
“อ้าว” เมื่อเห็นผู้ทักสุราลัยก็ร้อง
“มาทำไม”
“อ้าว” อีกฝ่ายร้องบ้าง แล้วหัวเราะเมื่อเห็นสุราลัยทำหน้าชอบกล เมื่อถูกล้อเลียน
“มากับพี่นนท์นะ”
“จะไปไหนหรือ” สุราลัยถาม วางมือจากการขัดบ่อ
คนนี้เพื่อนพี่ชายหน้าตาหล่อเหลาเป็นนักกีฬาบาสฯ ที่สาวๆ กรี๊ดกันตรึม แต่สุราลัยรู้จักเขามาตั้งแต่ซี่โครงบานๆ ก็เลยเฉยๆ ที่จริงเขาเป็นรุ่นน้องปีหนึ่งนะ เขาอยู่ ม.6 ขณะที่พี่นนท์เป็นเด็กใหม่ปีหนึ่งแล้ว บ้านเขาก็อยู่แถวๆ นี้ล่ะ
“ไปเล่นสะเก็ต ไปไหมล่ะ”
สุพจน์ชวน เจ้ารุ่นน้องแถวบ้านคนนี้เป็นตัวดัมมี่ ไม่ว่าขาดอะไรมาตามไปเล่นได้ด้วยหมด ฝีมือก็พอใช้ได้ เพราะต้องเป็นคู่มือให้อานนท์ที่เล่นกีฬาเก่ง แล้วตัวก็ไม่เล็กจนพี่ๆ ไม่กล้าแสดงฝีมือเพราะกลัวจะแกล้งน้องสาวเข้า
“ไม่ล่ะ” สุราลัยสั่นหน้า
“ล้างบ่อปลายังไม่เสร็จ”
“เล่นเป็นหรือเปล่า” สุพจน์ถาม สะเก็ตกีฬาฮิตของเมืองเรา เพิ่งเข้ามาสดๆ ร้อนๆ
“ไม่เป็น”
สุราลัยตอบหน้าตาเฉย ขี้เกลียดเล่น พี่นนท์ไปเรียนกรุงเทพฯเป็นช่วงที่มีความสุขชะมัด ไม่ต้องโดนเขาควักตัวออกจากที่นอนไปเป็นเพื่อนเล่นกีฬา ที่บ้างทีเป็นแค่คนนับคะแนน โธ่เอ๊ย!
แต่เขาก็กลับบ้านบ่อยมาก จนไม่รู้สึกว่าเขาไปเรียนเลย
“สอนให้ไหม” สุพจน์อาสา
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจ” สุราลัยตอบ โยนแปรงขัดบ่อเล่น
“ป้อล่ะ ไปถึงไหนแล้ว” สุราลัยถามบ้าง
ถามถึงแฟน สาวสวยดรัมเมเยอร์ ท๊อบภาษาอังกฤษรุ่นพี่ของเธอ สาวชั้นเดียวกับเขา แต่ต่างโรงเรียน
“เลิกกันแล้ว” สุพจน์ตอบง่ายๆ
เดินเรื่อยเฉื่อยมาดูปลา บ้านนี้เย็นเลี้ยงปลาออกลูกเยอะ อย่างบ้านเขา เลี้ยงเท่าไร ตายหมด ต้องเอาเงินมาให้พี่นนท์บ่อยๆ เป็นค่าปลา แต่ปีหน้าจะไปเรียนกรุงเทพฯแล้ว คงต้องเลิกเลี้ยง
“แหม ทีตอนจีบ เห็นเทียวไปเทียวมา”
สุราลัยต่อว่า ก็เขาไหว้วานให้ส่งจดหมายจนเธอเกือบโดนอาจารย์ทำโทษเสียแล้ว
“นั่นมันคนละเรื่อง” สุพจน์ยักคิ้วตอบอย่างกวนๆ ที่หมายใหม่ไปหาเอาข้างหน้า สาวปีหนึ่ง สวยๆ น่ารักๆ ทั้งนั้น
น้องสาวเพื่อนคนนี้ สุพจน์ก็สนใจล่ะ ก็สุราลัย มีแนวโน้มว่าจะสวย หุ่นดี เสียแต่ว่าตรงเหลือเกินแล้วปากจัดชนิดไม่อ้อมค้อมเสียด้วย
“พจน์ ไปเถอะ” อานนท์เรียกพลาง วิ่งลงบันไดหลังมา
“ไปล่ะนะวันหลังจะมาช่วย”
“ให้จริงเถอะ” สุราลัยมองเพื่อนพี่ชายที่สำอางอยู่เสมอ
“เที่ยวเผื่อนะ” สุราลัยตะโกนตามหลัง แล้วลงมือขัดบ่อปลาต่อ แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นจนได้ เหมือนรู้สึกว่าถูกจ้องมอง
สุราลัยเงยหน้าขึ้นเป็นครั้งที่สาม จึงพบกับสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกผวากับการรู้สึกว่ามีคนจ้อง
โธ่ทำไมสุราลัยจะไม่ผวาละ ก็หลังบ้านเธอมันชนกับคุกเด็กๆ ที่เขาเรียกกันว่าสถานพินิจให้มันเพราะหน่อย มีคนแอบปีนข้ามมาก็เยอะ ไอ้ที่เอาก้อนหินขว้างด้วยความอิจฉาบ้าง แก้เซ็งบ้างก็แเยะ สุราลัยก็อยากขว้างตอบเหมือนกันล่ะ แต่กลัวโดนหัวคนทีไม่รู้จักเข้า สุราลัยจะบาปเอาซะเปล่าๆ
“ทำอะไรจ๊ะ” คนถามทำตายิ้มๆ ให้
สุราลัยยิ้มตอบอย่างกว้างขวาง ด้วยความรู้สึกและความขำที่ถูกคนสองคนทักทายด้วยคำถามเดียวกัน แถมยังหล่อพอฟัดพอเหวี่ยงกันอีกต่างหาก หนุ่มหล่อคนนี้ เป็นดรัมเมเยอร์ เป็นนักร้อง และเป็นนักเรียนดีเด่น สมัยที่เขาเรียน ตอนนี้เป็นนักศึกษากฎหมายที่ตั้งใจจะเป็นผู้พิพากษา
“ก็เห็นอยู่นี่ มาหานนท์หรือฮะ”
“ก็ด้วย” วัฒน์ตอบ ออมเสียง
“ให้ช่วยไหม” วัฒน์ถามอย่างมีน้ำใจ
“อย่าเลย” สุราลัยตอบ กระโดดออกจากบ่อปลา แล้วเปิดน้ำล้าง ก่อนปล่อยน้ำลงบ่อทิ้งไว้
“น้อยทำเสร็จแล้วล่ะ ว่าแต่พี่นนท์รู้ไหมฮะว่าจะมาหา”
สุราลัยถาม คนนี้เพื่อนซี้พี่เขา เข้านอกออกใน กินอยู่หลับนอนเหมือนคนในครอบครัว
“ไม่ได้บอกไว้นี่ ไม่อยู่หรือ”
“ไม่อยู่ฮะ ออกไปกับพจน์เมื่อกี๊ วัฒน์มายืนนานแล้วหรือฮะ”
สุราลัยตัดสินใจถามให้หายข้องใจ ถ้าเป็นวัฒน์จะได้โล่งอก
“นานแล้ว”
“ทำไมน้อยไม่เห็น” เธอยังไม่วายกังขา
“ก็นั่นนะซิ” วัฒน์ล้อเลียน
ก็เห็นเหมือนกันว่าน้องสาวเพื่อนเหลียวซ้ายแลขวาเป็นระยะๆ ยามปากมอมทั้งหลายนอนหมอบเงียบไม่มีผิดปกติ พวกมันชินกับเขาจนไม่งี๊ดหง๊าดเรียกร้องความสนใจเลย
“พี่นนท์ไม่อยู่ วัฒน์จะกลับเลยไหมฮะ”
“ถ้าน้อยไม่อยากให้อยู่ ก็กลับ”
วัฒน์เดินมานั่งที่ขอนไม้จำลอง คุยเป็นเพื่อน หมาตัวที่โปรดวัฒน์คลานเข้าไปใกล้ทิ้งหัวลงกับเท้าเขา
“น้อย” สุราลัยยกไหล่ “เฉยๆ”
เฉยมากกับคำหวานๆ พวกนี้ เพื่อนๆ พี่นนท์มาซ้อมฝีปาก เพื่อเอาไปจีบสาวบ่อยๆ มาถามว่าหวานไหม เขาจะพอใจไหม แต่ห้ามพี่นนท์ได้ยินล่ะ ได้ถูกไล่เตะ
“น้องสาววัฒน์จะเข้าโรงเรียนเดียวกับน้อย ช่วยติวให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ”
วัฒน์ถามประจบ จุดประสงค์ที่มาวันนี้ ไม่ได้อยากมาหาเพื่อนเลย มาหาน้องสาวคนเก่งของเพื่อน
สุราลัยหัวเราะเสียงดัง
“โอ๊ย เรื่องขำในรอบปี” สุราลัยร้อง
“ขำเรื่องอะไร วัฒน์พูดจริงๆ นะ” วัฒน์อดยิ้มตามคนตรงหน้าไม่ได้
“โอ๊ย อย่าพูดต่อเลย วัฒน์นะเรียนเก่งจะตายทำไมสอนน้องเองไม่ได้”
“ตั้งหลายปีมาแล้ว ช่วยหน่อยซิ” วัฒน์บอก
“ก็ได้ ก็ได้ ว่างแล้วจะสอนให้”
สุราลัยไม่อยากเถียง ว่าหลายปีของเขานะ ไม่กี่ปีเอง ก็เขาเพิ่งเป็น freshly น้องเขาจะเข้า ม.1 เอ...ห่างกันเหมือนกันแฮะ
“ว่างวันไหนละจ๊ะ” วัฒน์ทำหน้าชื่น แปดกลีบเชียว
คนหล่อนี่ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด สุราลัยคิดขำขำ คนขาวๆ ตัวสูงเพรียว ยิ่งตาตำๆ คิ้วเข้มๆ แต้มปากแดง อีกหน่อย ขวัญใจเกย์ชัดๆ สุราลัยยิ้มได้กว้างขวาง
“น้องวัฒน์ว่างวันไหนล่ะ น้อยจะได้รู้ว่าตรงกัน”
“ทุกวันเลย น้อยจะให้มาเรียนเมื่อไรเวลาไหนล่ะ”
“ก็ได้ทุกวันล่ะ แต่จะให้น้อยไปสอนหรือจะมาเรียนกับน้อยล่ะ” สุราลัยถามกลับ
“แล้วแต่น้อยสะดวก แต่ไปสอนที่บ้านก็ได้นี่ วัฒน์จะรับส่งเอง”
“รบกวนแย่” สุราลัยตีหน้าซื่อ
“ไม่เป็นไร วัฒน์เต็มใจ”
คราวนี่สุราลัยหัวเราะไม่มีเบรค จนวัฒน์งง
“ขำอะไรนักจ๊ะ”
“ส้ม ๆ ๆ ๆ ๆ “
สุราลัยร้อง แล้วยิ่งหัวเราะเมื่อวัฒน์ตีหน้าบอกไม่ถูก ก็สาวส้มนะวัฒน์จีบอยู่นี่น่า แล้วยังมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับน้องเพื่อน
“อีกสองวันน้อยจะไปสอนที่บ้านให้”
สุราลัยบอก ปิดน้ำ เพราะมันเต็มบ่อแล้ว เดินขึ้นบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลิ่นเขียวๆ ของตะใคร่อย่างไม่ห่วงใคร ก็วัฒน์มากินอยู่หลับนอน ประมาณว่าเป็นบ้านเขา แล้วจะห่วงทำไม ไม่เข้าใจเลย
“วัฒน์มากินแตงโมปั่น”
กุลปราณีเรียกเธอเห็นแวบๆ ตอนที่มา เดาว่าคงไปหลังบ้านหานนท์เพื่อนของเขา เธอเห็นน้องชายตอนวิ่งลงจากบ้าน ตอนออกประตูหน้าบ้าน มองไม่เห็น
“ขอบคุณครับพี่นิด” วัฒน์ตอบเดินมานั่งโดยดี
“ยายน้อยน่าตีจริงไม่รับรองพี่เชื้อเลย” กุลปราณีบ่น
“คงไม่ชอบหน้าผมมั๊งครับ”
วัฒน์ตอบยิ้มๆ ถ้าพี่นิดรู้ว่าเขาทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับสุราลัย พี่นิดจะพูดอย่างนี้ไหมนะ สิบเอาหนึ่งไม่มีทาง
“ไม่ใช่หรอกมั๊งเป็นคนอย่างนั้นเองล่ะ เด็กจริงๆ เจอนนท์ไหม” กุลปราณีบ่น
“ไม่อยู่ครับ น้อยบอกว่าออกไปกับพจน์”
พี่สาวเพื่อนเขาพยักหน้ารับรู้
“ถ้าไม่รีบไปไหน รอชิมฝีมือก๋วยเตี๋ยวหลอดน้อยก่อนนะ” กุลปราณีบอก
“ครับ” วัฒน์รับคำ ก็กะว่ามาหากินมื้อว่างแถวนี้ล่ะ ไม่ว่าเพื่อนเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม
คุณ
วัฒน์หยิบรูปสเก็ตบนโต๊ะมาจะช่วยเก็บโต๊ะให้ เอ๊ะ คุ้นๆ เลยหยิบมาพินิจพิจารณาใหม่ ใช้เวลาไม่นานเลย
“รูปพี่นิดนี่ครับ” เขาหันรูปให้ดู
“ใช่ ยายน้อยวาดน่ะ” กุลปราณีตอบ ยิ้มอย่างภูมิใจในฝีมือน้องสาว
“เหมือนพี่นิดนะครับ ไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือน้อย”
“อะแอ้ม” สุราลัยกระแอมให้รู้ว่าเธอยังอยู่แถวนั้นนะ
“ชมจากใจจริงนะ” วัฒน์บอกเสียงดังขึ้น
“ก็ใครว่าอะไรล่ะ” เสียงสุราลัยตอบลอยมา แล้วเจ้าตัวก็โพล่มาพร้อมของทำอาหารว่าง
“สะเก็ต รูปวัฒน์ให้ใบซิ” วัฒน์ชวนคุย
มองสองพี่น้องช่วยกันเตรียมอาหาร ภาพที่ตัดกันฉับ พี่นิดเป็นสาวเอวบางร่างน้อย ตัวนิดๆ สมชื่อ ส่วนน้อย น้อยแค่เป็นลูกคนเล็กเท่านั้นล่ะ ตัวสูงเพรียว เหมือนพี่ชาย นี่เพิ่งอายุสิบห้า ยังโตได้อีกเยอะ
“ไม่เอา ไม่เห็นจะมีอะไรให้น่าเขียน” สุราลัยตอบทันที
“น้อย” กุลปราณีปราม สุราลัยยกไหล่
“พรุ่งนี้สองโมงน้อยจะไป” สุราลัยบอกเมื่อวัฒน์ลากลับ
ความคิดเห็น