ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แปดเทพอสูรวังฟ้า

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 เรื่องใหญ่? วังเจ้า?

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 56


    สายลมพัดเอื่อยเฉื่อย สองบัณฑิตนั่งจิบน้ำชาอย่างเกียจคร้านอยู่บ้าง ร้านน้ำชาในยามบ่าย แม้มิคึกคัก แต่ก็ไม่เงียบเหงา พอจะมีแขกอยู่บ้าง กงจื้อสองท่าน นั่งจิบชาอยู่บนระเบียงชั้นสองชมเรื่องคึกคักของถนนเบื้องล่าง บุรุษทางซ้ายแต่งชุดนักศึกษาสีขาวสะอ้าน เกล้าผมเป็นมวยประณีตจิบชาในถ้วยไปครึ่งคำก่อนเอ่ย

     

    “เรื่องนี้ ท่านเจ้ามอบหมายหน้าที่ให้ผู้น้อง มิต้องรบกวน เฮ็กเฮีย (พี่ชายแซ่เอ็ก ,เอ็กเป็นแซ่/นามสกุล ,แปลว่าดำ จะแปลว่าพี่ชุดดำ หรือ พี่ชายแซ่เอ็กก็ได้) ต้องเดือดร้อนติดตามมา”

     

    ท่านเจ้าของวังใด?

    เรื่องใดที่ได้รับมอบหมาย!

    เหล่าชาวยุทธที่อยู่ในระยะได้ยินต่างเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ

     

    ในเวลาไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ เกิดเรื่องราวบ้างอย่างในยุทธภพ หากจะนับเรื่องไม่ใหญ่ไม่เล็กมีเพียงสองเรื่อง

     

    หย่งหวาวา ธิดาคนเล็กของหย่งอ๋องที่ได้มายามชราจากชายาสาวคราวลูก ร้องไห้กลางตลาดต่อหน้าผู้คน ทำให้บรรดาพี่ชายทั้งสาม พี่สาวทั้งสาม รวมถึงพี่เขยพี่สะใภ้ต่างแตกตื่นวุ่นวายหาสาเหตุกันอลหม่าน

     

    อีกเรื่องเจ้าขโมยไม่ใหญ่ไม่เล็ก กุงป้อ (แซ่กุง นามป้อ แปลว่า ตัววิเศษตระกูลกุง) เดินทางออกนอกเมืองหลวงไปแล้ว

    ที่เรียกว่าขโมยไม่ใหญ่ไม่เล็ก เพราะกุงป้อเจ้าเด็กไร้ที่มา หากเป็นที่รู้จักของชาวเมืองเพราะต่างเห็นเจ้านี่มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ชอบก่อกวนโดยการบอกให้ผู้คนแตกตื่นว่าจะขโมยอะไรของใคร หากพอขโมยได้ เจ้าเด็กแสบกลับเอาไปคืนเสียได้

    ผู้คนที่ได้ยินคำประกาศแรกๆ ก็พนันกันว่าจะขโมยได้หรือไม่ได้ แต่เมื่อขโมยไม่เคยพลาด ผู้เคยพลาดเสียเงินไป จึงได้คิด การเดิมพันเลยเปลี่ยนมากำหนดระยะเวลาในการขโมยสำเร็จแทน กุงป้อจึงถือเป็นผู้กว้างขวางของเหล่านักเลงพนันในเมืองหลวง เป็นเช่นนี้ตั้งแต่เด็กจนโตเป็นหนุ่มรูปงามจนบรรดาสาวๆ ต่างอยากให้มันประกาศขโมยตัวพวกนางยิ่งนัก

     

    หากจะนับเรื่องใหญ่โต

    การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของหนึ่งในเจ้าสำนักใหญ่พอจะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่ ใครๆ ต่างเสียชีวิตกะทันหันได้ ไยเจ้าสำนักใหญ่จึงมิอาจ

     

    แต่ที่สะเทือนเลื่อนลั่นกระทบกระเทือนไปถึงเหล่าชาวบ้านร้านตลาดเศรษฐีมีทรัพย์ไม่เว้นเหล่าผู้กล้าในยุทธจักร โจรขโมยในตรอกซอกซอย นั้นคือการปิดร้านหนึ่งตำลึงทองทั้งสิบสองสาขาอย่างไม่มีกำหนด

            การไม่มีอาหารอร่อยให้เสพ ถือเป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง เรื่องปากเรื่องเรื่องท้องผู้ใดว่ามิสำคัญ ยิ่งเป็นอาหารจากร้านหนึ่งตำลึงทองที่ว่ากันว่าคำละหนึ่งตำลึงยังถูกเกินไปด้วยแล้ว

           

    หรือวังเจ้าท่านใดเกี่ยวข้องกับร้านหนึ่งตำลึงทอง ท่านเจ้าคิดจะจัดงานจองอาหารไปเลี้ยงแขกเรื่อย  หากแต่หนึ่งตำลึงทองถูกทางการปิด เมื่อร้านปิด พนักงานในร้านย่อมว่างงาน คนว่างงานย่อมไม่มีกิน เมื่อไม่มีกิน งานใดเข้ามาต้องรีบรับ

    จะมีปัญหาใดเล่า วังเจ้าแต่ละวังเงินทองเหลือคณาจ้างพ่อครัวสักสาขา หรือเหมารวมสิบสองสาขาก็มิมีปัญหาใด

           

    หรือจะเป็นท่านเจ้า หย่งอ๋อง จัดส่งคุณชายชุดขาวมาสืบเรื่องที่ทำให้องค์หญิงหย่งหวาวาร้องไห้ในที่สาธารณะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูง หากให้บรรดาองค์หญิงองค์ชายออกมาเอง คงสร้างความตื่นตระหนก หาความจริงอะไรมิได้ ไก่ตื่นจนมิได้ไข่กลับไปสักใบ สู้ให้คนรูปงามมาปลอบจับไก่ ย่อมดีกว่า

     

            “ข้ามิได้เดือดร้อน” ชายหนุ่มทางขวาสวมชุดยาวสีดำ ปล่อยผมยาวสยาย เพียงใช้ไหมขาวเส้นหนึ่งผูกปลายผมเอาไว้ หันมาตอบ ก่อนยกถ้วยชาจ่อริมจมูก สูดกลิ่นหอมของชา ก่อนจะเท้าคางกับฝ่ามือเบือนหน้าออกไปนอกระเบียง ทอดสายตาไกล

     

     

    ร้านชาหอม แม้ไม่ติดอันดับร้านที่มีอาหารรสเลิศหรือชารสเยี่ยม หากขาประจำมีมิน้อย แต่ก็มิมากจนเซี่ยวเอ่อแทบจะอุ้มลูกค้าที่รับประทานอาหารเสร็จออกไปในทันทีที่วางตะเกียบ เถ้าแก่เจ้าของร้านได้แต่โทษสถานที่ตั้งมิดีนัก

    มิใช่ว่าเป็นที่ตั้งที่มิมีใครผ่าน ถนนเส้นนี้คึกคัก คนผ่านเช้าสายบ่ายเย็นมิเว้นค่ำคืนดึกดื่น หากไม่เกรงใจพนักงานจะล้มลงขาดใจตาย เจ้ากล้าเปิดร้าน ลูกค้าย่อมกล้าเข้า

    มิใช่มิมีทิวทัศน์งดงาม ชั้นล่างออกจะจอแจไปบ้าง หากชั้นสองฝั่งซ้ายเห็นสวนนางฟ้า ไทเฮา(แม่ของกษัตริย์)ในรัชกาลก่อน ทรงสั่งให้แกะสลักรูปเทพธิดาแปดนางและปลูกต้นไม้งดงามตามที่ทรงฝันเอาไว้  ฝั่งขวาเห็นแม่น้ำและเรือแจวยังมีกลิ่นบัวตะวันหอมกำซาบลอยมาในยามเช้ามืดและยามเย็น

    แต่มารดามันเถอะ ก่อนพวกเราตั้งร้านไยมันไม่มา ให้พวกเราลงรากปักฐาน ใช้จ่ายทรัพย์ไปกับร้านจนเกลี้ยงเกลา พวกมันจึงเผยอหน้ามาตั้งร้านบ้าง

     

    ด้านซ้ายเป็นร้านหนึ่งตำลึงทองที่เพิ่งเปิดมาได้เพียงสามปี แต่ขยายร้านไปถึงสิบสองสาขา คิวจองโต๊ะเต็มล่วงหน้าไปสามปีแล้ว โดยเฉพาะวันที่สิบห้าค่ำเดือนหนึ่ง ที่พ่อครัวใหญ่จะสำแดงฝีมือล้ำเลิศผู้ลิ้มชิมรสต่างละเมอหา แต่ในวันอื่นที่พ่อครัวใหญ่มิได้ลงมือเอง พ่อครัวรองก็มิได้ทำให้ผู้เฝ้ารอผิดหวัง มารดามันเถอะ สวรรค์สาปแช่งให้ทางการปิดร้านมันไป ด้วยฝีมือเช่นนี้ไปตั้งร้านข้างห้องสุขา พวกมันก็ยังค้าขายได้ ไยต้องมาตั้งข้างร้านข้า

     

    ด้านขวา คือร้านหอมเจ็ดชั้น จัดจำหน่ายเพียงชารสเลิศ ผู้ใดต้องการขนมหวานแกล้มชา ต่างต้องพกพามาเองทั้งสิ้น รับเฉพาะลูกค้าที่มีรสนิยมสูงส่ง ดังนั้นถึงลูกค้ามีมิมาก แต่รายได้ดียิ่ง แม้ขณะนี้มิได้ถูกทางการเข้าควบคุมเช่นร้านหนึ่งตำลึงทอง หอมเจ็ดชั้นกลับปิดตัวเองเงียบๆ อ้างว่าเถ้าแก่ไว้ทุกข์ให้ท่านย่าน้อย

     

    ท่านย่าน้อยมารดามันซิ ข้าหาเคยได้เห็นตัวเถ้าแก่มันไม่ ทั่วทั้งร้านชามี หญิงสาวงามแฉล้มเจ็ดนาง ประจำแต่ละห้องของร้าน บริการเพียงชงชา ขายฝีมือมิได้ขายร่างกาย เพียงถาม ท่านต้องการชาใด ชงชา รินชา จากนั้น เคาะระฆัง ท่านชำระเงิน นางส่งแขก ข้ายังคิดว่าพวกนางเป็นชาวต่างชาติหัดพูดภาษาเราได้เพียงประโยคเดียวเสียอีกหากมิเคยเห็นพวกนางมาสั่งอาหารรับประทานที่ร้านข้าเวลาเงินเดือนออกอยู่บ้าง ว่ารูปร่างหน้าตาพวกนางก็ออกจะหมดจรดเกลี้ยงเกลา จะว่างาม ยังสู้แม่นางที่กำลังจะปลดประจำการของหอโคมเขียวตรงข้ามไม่ได้ หากว่ามิงามก็มิใช่ เพียงไม่ว่ามองนางใด ต่างคล้ายมองอีกนางหนึ่งไปได้ ข้ามิเคยเชื่อว่าจะมีแฝดเจ็ด

    หากเหมือนกันเพียงนางสองนางข้ายังจะพอเข้าใจ แต่นี่ แม่นางทั้งเจ็ดเข้ามานั่งพร้อมกัน ยกตะเกียบพร้อมกัน เคี้ยวพร้อมกัน ออกจะพาให้ข้าขนลุกอยู่บ้าง...เล็กน้อย

     

    ตรงข้ามร้านของข้า มีสถานเริงรมย์เก่าแก่ เปิดมาก่อนร้านข้า และเป็นลูกค้าชั้นดี ยามกลางคืน พวกนางเปิดร้าน พ่อครัวมักแอบมาสั่งพ่อครัวร้านข้าทำอาหาร ซื้อไปสิบ นำไปขายร้อย มารดามันเถอะ ช่างกำไรนัก

    ยามกลางวัน นางฟ้าราตรีแปลงร่างเป็นยายแก่ ทั้งหน้าเหี่ยว ผิวย่น เดินลากแตะมาสั่งบะหมี่เนื้อตุ๋นร้านข้ายังชีพในยามบ่ายก่อนจะกลับไปแต่งองค์ทรงเครื่องเตรียมรับแขก

     

    การสั่งปิดร้านหนึ่งตำลึงทอง น่าจะเป็นผลดีต่อร้านข้า เถ้าแก่ร้านชาหอมทอดถอนใจ มันดีขึ้นเล็กน้อย หากเป็นไปได้ ข้ามิอยากให้ปิด ข้าเสพติดความคึกคัก กลิ่นอาหารลอยลม

    และลูกค้าร้านหนึ่งตำลึงทองเมื่อมิอาจได้โต๊ะจะแวะมาดื่มด่ำกลิ่นอาหารที่ลอยมาแกล้มเนื้อตุ๋นร้านข้าพอกล้อมแกล้มหายอยากไปได้สักครึ่ง  นักศึกษาคร่ำครึ มิมีเงินเข้าร้านหอมเจ็ดชั้น แวะมาจิบชาหอมร้านข้า เหม่อมองสวนของร้านหอมเจ็ดชั้น ใยมิใช่เช่นเดียวกันแต่เสียทรัพย์น้อยกว่า

     

    เสียงกลองตีสัญญาณเวลาดังกระหึ่มได้ยินไปทั่วทั้งเมืองหลวง

    “เถ้าแก่” บัณฑิตชุดขาวโบกมือเรียก

    “เที่ยงแล้ว เอาบะหมี่ขาวเนื้อตุ๋นมีชื่อของร้านท่านมาสองชามใหญ่”

     

    “ท่านจะรับน้ำชาเพิ่มหรือไม่” เถ้าแก่ออกไปรับคำสั่งเอง กงจื้อทั้งคู่แม้มาไม่บ่อย แต่เขาพอจะดูโหงวเฮงคนออกว่ามิใช้บัณฑิตที่มิมีเรี่ยวแรงจะฆ่าไก่ มิใช่คนหยาบกร้านดีแต่มีพละกำลังในวงนักเลง

     

    “เอาเหล้ามาสองกา ท่านมีห้องว่างหรือไม่ ข้ากับน้องชายจะค้างที่นี่สักคืน” กงจื้อชุดดำพูดขึ้นเบาๆ กังวานเสียงใสกระจ่าง ได้ยินอย่างชัดเจน

     

    “”ว่าง ว่าง” เถ้าแก่ยิ้มตาหยี “ห้องด้านหลังทางซ้าย หลังอาหารข้าจะให้เซี่ยวเอ่อ(เด็กรับใช้)พาพวกท่านไป”

     

    “มิว่างสองห้องรึ” บัณฑิตชุดขาวขมวดคิ้วเรียวงามถาม

     

    “เป็นไร นอนห้องเดียวกับข้ามิได้” บัณฑิตชุดดำขมวดคิ้ว

     

    “ได้นั้นได้ หากข้าต้องตาสาวงามใดในคืนนี้ ท่านหรือข้าจะได้ครองห้องเล่า”

     

    ท่านพี่ชุดดำพ่นลมออกทางจมูก เบือนหน้ามาสั่ง “เอาสองห้อง ห่างไกลกัน มันอยู่สุดทางซ้าย ข้าจะเอาห้องสุดทางขวา”

     

    ไม่รอให้เถ้าแก่ พูดอะไรก็ล้วงทองแท่งใหญ่เหวี่ยงลงบนโต๊ะ

    ต่อให้ท่านย่าท่านทวด ผีปิศาจใดอยู่ห้องขวา ข้าก็ต้องเชิญออกไป เชิญไม่ได้ก็ต้องไล่

     

    เพราะทองแท่งใหญ่นอกจากบะหมี่เนื้อและเหล้าแล้ว เถ้าแก่ยังสั่งพ่อครัวปรุงไก่ผัดขิงสำหรับแกล้มเหล้ายกออกมาด้วย

     

    หลังอาหารเที่ยง เซี่ยวเอ่อพาบัณฑิตทั้งสองไปห้องพักแล้ว ล้างหน้าล้างมือกันแล้ว ทั้งคู่ก็ต่างชวนกันออกไปเดินชมเมือง เพียงแวะบอกเถ้าแก่ให้ยามค่ำมืดเข้าไปจุดตะเกียงในห้องไว้ให้ด้วย พวกเขาอาจจะกลับมาก่อนค่ำ หรืออาจจะกลับมาดึกทีเดียวยังไม่สามารถบอกได้

     

    “เราจะไปทางใดดี” กงจื้อชุดขาวดึงพัดจีบสีดำมาโบกสะบัดไล่ลมร้อน บนหน้าขาวละเอียดยิ่งกว่าดรุณีในห้องหอ เริ่มมีสีแดงจากแดดแผดเผา

     

    “เดินรอบเมืองสักรอบ หาถั่วต้มเนื้อย่าง เหล้าสักไห แล้วไปนั่งชมบัว รอคอยกลิ่นหอมยามมันลาตะวันดีหรือไม่” ถ้อยคำเอาใจราวพี่ชายใหญ่กับน้องน้อย หากดวงหน้าเรียบเฉย หาได้มีรอยยิ้มไม่

     

    หากจะเพ่งมองกันจริงจังแล้ว กงจื้อชุดขาวออกจะยิ้มมากไป สำอางไปบ้าง ดวงตากลมโตกลอกกลิ้งอย่างซุกซนไปบ้าง ต้องโทษเพราะมันอยู่เคียงข้างกงจื้อชุดดำดวงหน้าขาวเคร่งขรึมของมันยิ่งขับเน้นความบอบบางของอีกฝ่าย การไม่ยิ้มของมันยิ่งเน้นการยิ้มเกินไปของอีกฝ่าย ดวงตาดำมองนิ่งแน่วแน่ ยิ่งเน้นความซุกซนของอีกฝ่าย

     

    “อันใด ถั่วต้ม ข้าพอพาท่านไปหาร้านอร่อยได้ เจ้าเด็กแซ่ซุนตรอกท้ายตลาดพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง หากแต่ท่านมาอยากเอาปานนี้ มันยังจะเหลือถั่วก้นกระบะให้ท่าน ข้าก็แปลกใจยิ่งแล้ว หากนับเนื้อย่าง ร้านชาหอมที่เราเพิ่งลิ้มชิมมาก็ไม่เลวร้ายนัก แต่สุราดื่มแกล้มกลิ่นบัวชมตะวันนั้นหายากยิ่ง ข้าถวิลหาเมรัย...”

    กงจื้อชุดขาวหลับตาดั่งจะดื่มด่ำกับสุราในความคิดของมัน

    “ช่างน่าเสียดาย” เสียงมันทอดถอนใจ

    “หากท่านยังมิออกจากบ้าน ข้ายังจะพอส่งข่าวให้ท่านหยิบ เมรัยใจพิสุทธิ์ติดมือมาฝากข้าสักไหสองไหน้อยๆ”

     

    ผู้ที่ได้ยินชื่อสุรา ต่างเบิกกว้างหากมิใช่คอสุราแท้ เมรัยใดชื่อใจพิสุทธิ์ ลิ้มเมรัยมิมีใครใจพิสุทธิ์ได้ ยิ่งกินลงไปใจยิ่งมิพิสุทธิ์ หากผู้ชำนาญเชี่ยวชาญเชิงสุราต่างแตกตื่น บ้านกงจื้อชุดดำมีเมรัยใจพิสุทธิ์

     

    เมรัยที่ว่ากันว่ากลั่นยากเย็นยิ่ง ต้องรองน้ำค้างบริสุทธิ์บนยอดชาขาวและน้ำค้างจากบุปผานานาพันธุ์ร้อยแปดชนิด ที่ยากยิ่งกว่านั้นคือหลังจากเก็บไม่เกินกึ่งชั่วยามต้องนำมาผสมหมักลงไห มิฉะนั้นกลิ่นบุปผาที่ติดมากับน้ำจะมลายหายสิ้น หลังจากนั้นร้อยแปดวัน เติมผลไม้ร้อยแปดชนิดในสัดส่วนที่เป็นความลับลงไป รออีกร้อยแปดวันค่อยกรองน้ำ หากได้ แปดจอกหยก เท่ากับสำเร็จไปครึ่งทาง แม้เพียงครึ่งทางยังลำบากเพียงนี้ไม่ต้องพักกล่าวถึงอีกครึ่งทางที่เหลือ

     

    กล่าวกันว่าเมรัยใจพิสุทธิ์มีสีแดงสดดังดวงตะวัน ยามลิ้มมิมีกลิ่นรสใด อมอยู่ในปากชั่วลมหายใจ รสจะซาบซ่านทั่วปากกลิ่นจรุงทั่วโพรงจมูก แต่...เหตุใดจึงชื่อใจพิสุทธิ์ทั้งที่หอมหวานยวนกิเลสเช่นนั้น นักเลงสุราต่างสนใจใคร่หาคำตอบ

     

    “ยามนี้มิมีใจพิสุทธิ์ หากกงจื้อท่านมีเพียงร้อยตำลึงทอง ข้าน้อยพอจะหาเมรัยวานรมาให้ท่านเมากลิ้งลงแหวกว่ายในทะเลสาบกลางดอกบัวงามได้” เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ยดังไม่ไกลนัก

     

    เมรัยวานรที่เป็นเหล้าผลไม้รสแรง แม้เป็นสุราชั้นเลิศแต่เรียกหนึ่งร้อยตำลึงทองออกจะขูดเลือดขูดเนื้อเกินไป

     

    “เอียเท้า (อีหนู/แม่หนู) เจ้าอยากตายยิ่งนักหรือ จึงกล้าเรียกราคาเหล้าลิงกับ เล่าเอี้ย (ยกตัวเป็นเจ้านาย) หนักถึงเพียงนั้น” กงจื้อชุดขาวหันไปด่าอย่างยิ้มแย้ม เห็นดรุณีน้อยในชุดชนบทสีเขียวถักผมเปียใหญ่สองข้าง หิ้วตะกร้ามีผ้าปิดอยู่ใบหนึ่ง

     

    “เห็นแก่เล่าเอี้ยอยากสุรา หากดีจริง ท่านพี่ดำท่านนี้จะจ่ายเจ้าสักห้าสิบเป็นไร”

     

    ด่าคนอยู่หยกๆ ยังมิพอ หั่นราคายิ่งกว่าหักคอเสียอีก แต่ดรุณีน้อยชุดเขียวหาโมโหไม่ ยังต่อปากต่อคำอย่างยิ้มแย้ม สมกับเป็นคนค้าขายนัก

     

    “เล่าเอี้ย (นายท่าน) สุราของข้าน้อยนี้ดียิ่ง เป็นข้าไปขโมยเหล้าวานรในเทือกเขามาจริงๆ ขอเล่าเอี้ยเมตตาโปรดขึ้นราคาให้ผู้น้อยสักนิดเป็นไร” ดวงตายิบหยีเวลายิ้มราวเดือนเสี้ยวประดับฟ้า น่าใจอ่อนนัก แต่หาใช่กงจื้อชุดขาว

     

    “ยี่สิบห้า”

     

    ฝ่ายหนึ่งขอขึ้นอีกฝ่ายลดลง เมื่อไรการค้านี้จะตกลงกันได้ ดีแต่กงจื้อชุดดำมือเติบนัก ล้วงกระเป๋าโยนทองแท่งใหญ่ให้ไป ดรุณน้อยชุดเขียวโห่ร้องยินดี กระโดดรับทองแท่งไว้ เหวี่ยงตะกร้ามาทางกงจื้อทั้งสอง ตัวนางตีลังกาลอยหายไปในกลุ่มคน

     

    ผู้คนต่างส่งเสียงร้องกันวุ่นวาย เมื่อในตะกร้าที่ควรมีเพียงไหเหล้ากลับมีอสรพิษตัวลายพร้อยดีดออกมาหลายตัว พุ่งเหยียดเข้าใส่กงจื้อทั้งคู่

     

    “เอี้ยเท้าปิศาจ ทางดีเจ้าไม่เดิน คิดลงนรกหรือ” ปากด่า มือหนึ่งวาดพัดจีบอีกมือคว้าตะกร้า จับซ้ายย้ายขวาก็เทอสรพิษสิบกว่าตัวนั้นลงไปอยู่ในตะกร้าคืน มิรู้ว่ากงจื้อท่าทางอ่อนแอใช้วิชาใด แม้งูยังชูคอสลอนแต่ไม่อาจดีดตัวออกจากตะกร้ามาได้อีก

     

    ข้างกายกงจื้อชุดขาวกลับไร้ร่างกงจื้อชุดดำเสียแล้ว

     

    “มารดามันเถอะ ทางสวรรค์เจ้าไม่เดิน คิดลงนรกจับยมบาลจริงๆ หรือไร”

    กงจื้อชุดขาวสบถออกมาเบาๆ เมื่อเห็นท่านพี่ดำไม่ได้อยู่แล้ว เหวี่ยงตะกร้าที่มีอสรพิษให้คนพรรคกระยาจกที่เพิ่งมาถึง

     

    แม้คนพรรคนี้จะมิเยี่ยมยุทธแต่เรื่องจับงูถือเป็นของตาย ไม้ตายก้นหีบ ลูกเล็กเด็กแดงต่างจับงูถลกปิ้งย่างเป็นทั้งสิ้น วันนี้โชคดีของพวกมันให้ได้ลิ้มรสงูห้าสีของหายากเสียเลย

    “ให้พวกเจ้า” ก่อนใช้วิชาตัวเบาไล่ตามกงจื้อชุดดำและดรุณีน้อยเจ้าของอสรพิษไป

     

    ...โปรดติดตามตอนต่อไป...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×