คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ผิดแผน
บทที่ 14 : ผิดแผน
บางครั้ง สิ่งที่เราเฝ้ารอมาทั้งชีวิต ไม่ว่าจะรออีกสักเท่าไหร่ก็ไม่มาหาเราสักที
แต่บางครั้ง...มันก็มาหาเราโดยไม่ตั้งใจ
เพียงแค่เรา...เดินไปตามทางที่มันถูกขีดไว้เท่านั้น
...........................
บ้านต้นไม้ของนักฆ่าสาวกลุ่มกุหลาบดำ ปัจจุบัน
ซาเนียย่าสะดุ้งตื่นกลางดึก เหงื่อแตกเต็มหน้า นี่เธอสลบไปงั้นหรอ...แล้วทำไมถึงเห็นอดีตของของดราฟกับซาคานละ เธอยังจำได้ดีถึงภาพเปลวไฟที่ร้อนระอุนั่น
“น่ากลัวชะมัด บรื้อออ...!!”
เธอพึมพำมองไปรอบห้องถึงได้เห็นว่ามาริเอะนอนฟุบหน้ากับเตียง ดราฟนั่งกอดเข่าอยู่ริมหน้าต่าง ส่วนซาคานนอนแผ่อยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆ กัน
...สงสัยหลับ
“อิๆ เสร็จข้าแน่” เธอพึมพำกับตนเองด้วยรอยยิ้มซุกซน นิ้วเล็กๆ จิ้มลงที่ต้นแขนขององค์ชายหนุ่มเพื่อตรวจสอบว่าเขาหลับสนิทจริงๆ
....
ดราฟไม่ไหวติง หญิงสาวได้ทีเลยจิ้มใหญ่เลย แต่จู่ๆ มือที่กอดเข่าอยู่ก็ตะปบหมับเข้าที่มือของเธอแล้วกระชากอย่างแรงจนทั้งคู่ตกลงไปด้วยกัน
“เหวออ...!!”
ซาเนียย่าร้อง เมื่อเธอหล่นลงไปทับดราฟเต็มๆ แต่ชายหนุ่มยังคงนิ่ง...เหมือนหลับ ทว่าถึงอย่างงั้นตอนนี้ใบหน้าของเขากับเธอก็ห่างกันเพียงคืบ มันใกล้...จนได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน
เธอพยายามที่จะลุกขึ้นจากตัวของเขา แต่มือข้างนั้นก็จับมือเธอแน่นจนหนีไปไหนไม่ได้
“หึๆ” ดราฟที่คิดว่าหลับกำลังลืมตาขึ้นช้าๆ เรียวปากเผยรอยยิ้มขำขัน “จะลอบทำร้ายข้าตอนหลับหรือไง แม่นักฆ่า”
“ชิ อย่าสำคัญตนผิด”
ซาเนียย่าเงื้อมืออีกข้างขึ้นสูงเหมือนจะตบ แต่เขากลับพลิกตัวจนเธอเป็นฝ่ายลงไปอยู่ใต้ล่างแล้วเขาขึ้นมาคร่อมเธอแทน
“เจ้าจะทำอะไรข้าอีกเล่า” ดราฟเอ่ยเหมือนยั่ว แต่ซาเนียย่าก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ ใช้สันมือสับไปที่ต้นคอจนเขาล้มลงไปเธอถึงได้รีบลุกขึ้นยืน
“เจ้าบ้าเอ๊ย!!” ซาเนียย่าร้องเบาๆ
“ใครบ้า”
เสียงทุ้มเรียบคุ้นหูร้องถามขึ้นที่ด้านหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นใคร???
“แหะๆๆ ไม่มีใครบ้าจ้ะ”
ซาเนียย่าเอ่ยเบาๆ เมื่อหันหลังกลับไปเจอซาคานกำลังก้าวมาหา เธอก็ถอยหนีเขาเช่นกัน แต่เพราะลืมไปว่าดราฟยืนอยู่ด้านหลังเลยไปชนเขาเข้าอย่างจัง
“เจ้าเห็นมันแล้วสินะ” เสียงดราฟดังขึ้นที่หลังหู มันเบาเหมือนกระซิบ แต่กลับทำเอาซาเนียย่าสะดุ้ง...นี่เขารู้แล้วหรอว่าเธอเห็นอะไร แบบนี้ซาคานก็ต้องรู้ด้วยสิ
“เอ่อ...คือข้า”
“พวกเจ้าไปทำอะไรกันตรงนั้นนะ!!”
เสียงดุๆ ร้องดังขึ้นจากบนบ้าน มาริเอะขมวดคิ้วหมุนเมื่อภาพที่เธอเห็นคือซาเนียย่ากำลังอยู่ท่ามกลางวงล้อมของดราฟกับซาคาน
“พวกท่านจะทำอะไรนาง?”
“เปล่านี่” ดราฟปฏิเสธแต่สายตาที่มองมายังซาเนียย่านั้นสั่นระริกไม่น่าไว้ใจ เขายักคิ้วให้เธอทีหนึ่งแล้วกระโดดวูบเดียวถึงบ้าน ตามไปด้วยซาคาน และเธอขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย
“เดี๋ยว”
มาริเอะยื่นมือกั้นซาเนียย่าเอาไว้ก่อนจะออกนอกห้อง เธอได้แต่ยิ้มแหะๆ กลับไปเพราะไม่รู้ว่าจะโดนถามอะไร
“เจ้าหายดีแล้วหรือ”
คำถามที่ถูกยิงมาพร้อมกับรอยยิ้มเป็นห่วงเป็นใยทำเอาซาเนียย่าถึงกับกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่...ไม่ว่าเวลาทำงานมาริเอะจะดูนิ่งหรือโหดอย่างไร แต่เวลาอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง เธอก็เป็นเพียงแค่พี่สาวที่แสนดีคนหนึ่งเท่านั้น
“โธ่พี่! ข้านะแข็งแรงยิ่งกว่าวัวกระทิงอีก”
“หึๆ” มาริเอะลูบหัวซาเนียย่าเบาๆ “แต่ข้าเห็นเจ้าล้มฟุบไปคนแรกเลยนะ”
“พี่ก็... แล้วการรักษามันสำเร็จไหมละ”
มาริเอะหน้าสลดลงทันที ทำเอาซาเนียย่าใจไม่ดีเร่งให้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ให้ฟัง ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเครียด
“ไม่ใช่ว่ามันไม่สำเร็จหรอกนะ แต่เรียกว่าไม่สมบูรณ์จะดีกว่า จริงอยู่ที่วิธีที่เจ้าบอกใช้ได้ผล แต่พอเจ้าสลบไป ข้ากับองค์ชายก็ไม่สามารถควบคุมพลังของไทม์กับไฟอาร์ได้ พลังเลยตีกลับไปหาซาคาน”
...ซาเนียย่านิ่งอึ้งไปทันที ไม่คิดว่าหลังจากที่เธอสลบไปทุกอย่างจะแย่ถึงขนาดนี้ แต่ทำไมเมื่อครู่ดราฟกับซาคานถึงไม่ยอมบอกเธอ แถมเจ้าตัวยังดูสบายดีเสียด้วยซ้ำ
“ตอนนี้อาการเจ้าองครักษ์นั่นเป็นไงบ้างพี่”
มาริเอะถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนตอบ “ปกติดี แต่ข้าไม่รู้ว่าจะดีไปจนถึงเมื่อไหร่นะสิ”
“หมายความว่าไง”
“การตีกลับของพลังทำให้พลังไฟอาร์ในตัวซาคานเพิ่มขึ้นแต่อยู่ในสภาวะหลับใหล แต่ข้าก็ไม่มั่นใจว่ามันจะหลับไปนานแค่ไหน อาจจะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเป็นสิบปีก็ได้”
ซาเนียย่าพยักหน้างึกๆ มือลูบหยกรูปหงส์ขาวของตัวเองไปพลางอย่างใช้ความคิด แต่ก็ไม่เห็นหนทางแก้ ทว่าภาพเหตุการณ์ในอดีตของดราฟกับซาคานย้ำเตือนให้เธอรีบหาทางป้องกัน
“ไฟอาร์น่ากลัวจริงๆ”
ทางอีกฝากหนึ่งของเมืองหลวงฟรอนดาโก้ ในราชวังอันสง่างาม แต่ค่ำคืนนี้กลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เสียงการต่อสู้และเสียงร้องดังระงมของเหล่าทหารและนางกำนัลทำให้บรรยากาศให้ห้องโถงส่วนตัวขององค์ชายแห่งอาณาจักรเต็มไปด้วยความตรึงเครียด เหล่าชนชั้นปกครองทั้งหกนั่งอยู่ล้อมรอบโต๊ะทรงกลม โดยมีองค์ชายน้อยแห่งอาณาจักรคอยนั่งเป็นหลักประกันอยู่หัวโต๊ะ
คนที่นั่งอยู่ใกล้สุดคือชายสองคน คนหนึ่งคือชายวัยกลางคนไว้เคราแพะ ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงบึกบึนในชุดเหล็กมีขวานเหน็บอยู่ที่เอวแบบนักรบ ผู้มีศักดิ์เป็นสมุหนายกและสมุหกลาโหมตามลำดับ
ถัดไปคือหญิงชายวัยหนุ่มสาวอีกสองคน ผู้ชายสวมชุดขาวคุมเท้าคล้ายพ่อมด หัวเกรียน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถือตำแหน่งเป็นตุลาการศาล ส่วนผู้หญิงนั้นสวมชุดสีเดียวกันแต่เป็นในแบบมิชชั่นนารีผู้ใจดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอหมอหลวง
และคนท้ายสุดนั่นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโยเซฟโดยตรงคือหญิงชราในชุดแดงขลิบทอง สวมผ้าโพกหัวสีเดียวกัน สวมกำไลข้อมือดังเสนาะหู และสวมแว่นตาหนาเตอะเหมือนพวกหนอนหนังสือ หน้าที่ของเธอคือเป็นผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์และดูแลกฎมณเฑียรบาล
“เอาละทุกท่านที่เคารพ ข้าคิดว่าเราคงไม่มีเวลามากนัก” โยเซฟพูดโดยมีเสียงดังอั๊กๆ เป็นเสียงประกอบจากด้านนอก “เรื่องนี้ต้องทำอย่างรวดเร็วและรัดกุมที่สุด”
ตุบ...อั๊กก...!!
ร่างของทหารนายหนึ่งถูกกระแทกทะลุประตูเข้ามาในห้อง แต่ทุกคนก็ยังคนนั่งนิ่ง รอฟังคำสั่ง
“ท่านสมุหนายกคิม ท่านต้องคอยดูแลประชาชนอยู่ที่นี่ ข้าต้องการให้พวกเขาได้รับผลกระทบน้อยที่สุด”
สมุหนายกคิมโค้งศีรษะน้อมรับ “ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่พระองค์ประสงค์”
“ส่วนท่านทีซา” โยเซฟชี้ไปทางหญิงชรา “ข้าคิดว่าท่านคงจะอยากไปนั่งจิบน้ำชาอุ่นๆ อยู่ในห้องสมุดของท่าน”
“โอ้องค์ชาย!!” หญิงชราที่ชื่อทีซาทำหน้าละเมอ มือเหี่ยวยื่นออกมาเหมือนจะไขว่คว้า “ข้า...ข้าอยากจะช่วยท่าน พระเจ้าทรงมอบพลังให้แก่ข้าเพื่อช่วยท่าน”
“โอ้ พลังของเจ้ามีประโยชน์ในนรกต่อแน่”
ทุกคนหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อเห็นคนในชุดดำสามคนเดินเข้ามาให้ห้องอย่างไม่เกรงกลัว ในมือแม้จะไม่มีอาวุธแต่กลับโชกไปด้วยเลือด
“ทหารท่านไม่ค่อยได้ฝึกหรือไงองค์ชาย” เสียงหญิงสาวหนึ่งในสามเอ่ยขึ้นเหมือนเย้ยหยันพร้อมกับกระชากผ้าคลุมหน้าลง “เป็นไง...จำข้าได้หรือเปล่า”
โยเซฟฝืนยิ้มท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาของขุนนางชนชั้นปกครองทั้งหลาย
“จำได้สิ ลอ-ลิน-หน้า-โง่!!”
สิ้นเสียงก็ปรากฏลูกธนูขึ้นในมือ เขาปามันออกไปที่หน้าต่างพร้อมกับที่มันกลายร่างเป็นนกบินสูงหายเข้าไปในความมืดยามราตรี
“ตามมันไปซิวะ” ลอลินร้องสั่งลูกน้องด้วยโทสะพร้อมกับเดินเข้ามากระชากผมโยเซฟจนหน้าหงาย ขุนนางคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเข้ามาช่วย แต่ก็ถูกลูกน้องของเธอกันเอาไว้
“เจ้านี่มันร้ายไม่แพ้พี่ชายเลยจริงๆ”
“ฮ่าๆๆ ข้าจะถือว่านั่นเป็นคำชมนะแม่นางลอลิน” โยเซฟยักคิ้วให้ สีหน้าที่ไม่แสดงอาการเจ็บปวดยิ่งทำให้เงาสาวโกรธมากขึ้นไปอีก แต่เพราะเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอไม่กล้าที่จะฆ่าเขา
“หึ! เจ้านะมันโง่”
ลิอลินตวาดพร้อมกับฟันมือเข้าใส่ที่ท้ายทอยจนโยเซฟล้มฟุบไปท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจของเหล่าขุนนาง
ทว่าก่อนที่สติทั้งหมดจะหลุดหาย โยเซฟก็ได้เห็นนกตัวน้อยๆ ที่เขาปล่อยออกไปกำลังกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือนผ้าขี้ริ้วขาดๆ กำลังลอยไปไกลแสนไกลท่ามกลางความมืด
“ที่เหลือข้าฝากด้วยนะซากัว”
กลางห้องอาหารของบ้านต้นไม้ ข้าวของต่างๆ ที่จำเป็นถูกรื้อค้นออกมากองอยู่บนโต๊ะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้ง เสื้อผ้า หรืออาวุธต่างๆ ซาเนียย่าที่เพิ่งออกจากห้องมาเห็นถึงกับอาปากค้าง ดราฟ ซาคานกับมาริเอะกำลังช่วยกันยัดข้าวของบนโต๊ะลงในย่าม...นี่บ้านเธอมีของเยอะขนาดนี้เลยหรอเนี่ย?!!
“นี่เราจะเดินทางกันนะ ไม่ใช่ไปเที่ยวน้ำตก” เธอแหวใส่ทันที
“เอาเถอะซาเนีย องค์ชายว่ามันจะมีประโยชน์ก็ทำไปเถอะ” มาริเอะถอนใจพลางยัดลิปสติกสีชมพูแปร๊ดของพริมซ์ใส่ย่าม
“อ่า...” ซาเนียย่าลากเสียงยาวพร้อมกับกลอกตาไปมา แต่ดันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่พุ่งหวือมาทางเธอ รูปร่างหน้าตาของมันนั้นแจ่มชัดในความทรงจำของเธอมากที่สุด
“เหวอออ...”/“เฮ้ย!!”
ปัก! ตุบ! แพละ!
สิ่งมีชีวิตคล้ายผ้าขี้ริ้วขาดๆ ร่อนถลาลงกลางโต๊ะ ข้าวของกระจายตกไปคนละทิศละทาง ทุกคนกระโดดหลบไปคนละมุมห้อง จนเมื่อทุกสิ่งกลับเข้าสู่ความปกติอีกครั้งก็ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกมามองทีละคน
“นั่นมันตัวบ้าอะไร” มาริเอะร้องถามอย่างไม่สบอารมณ์ที่เห็นข้าวของระจัดกระจายไร้ระเบียบ ยิ่งหันไปเห็นเจ้าผ้าขี้ริ้วมีชีวิตที่นอนพะงาบๆ อยู่บนโต๊ะที่มันร่อนลงจอดยิ่งไม่ชอบใจ
“ซากัว” ซาคานเอ่ยด้วยเสียงเหมือนไม่ไม่อะไรเกิดขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปคีบมันขึ้นมา “มันเป็นสัตว์สื่อสารของข้าเอง”
สิ้นเสียงขององครักษ์หนุ่มเจ้าซากัวก็เรืองแสงสีดำเหมือนพ่นสารพิษออกมา มันลงไปนอนกองอยู่กับโต๊ะ ลำตัวที่เป็นผ้าขี้ริ้วแผ่หลาเหมือนปลาหมึกตากแห้ง ทันใดนั้นแสงสีดำก็ลอยเป็นละอองขึ้นในอากาศ มันจับตัวกันก่อนจะกลายเป็นภาพฉายเหมือนหนังสั้นเรื่องหนึ่งที่ถูกฉายอย่างรวดเร็ว
กลุ่มคนหกคนเดินเข้ามาให้ห้องโถงเล็กๆ ซาเนียย่าจำได้ดีว่าพวกเขาคือพวกขุนนางที่มาที่นี่วันนั้นนั่นเอง ภาพตัดมาเป็นตอนที่พวกเขาคุยกันด้วยเสียงที่รัวเร็วจนฟังไม่ทันแต่ใบหน้าของเหล่าขุนนางบางคนฉายแววหวั่นวิตกอย่างเห็นได้ชัด ภาพตัดอีกทีมาเป็นตอนที่ลอลินและพวกบุกเข้ามาในห้อง เกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อยก่อนที่โยเซฟปาอะไรบางอย่างออกไปทางหน้าต่าง และภาพก็ดำมืดกลายเป็นละอองแสงสีดำกลับเข้าสู่ตัวของซากัวอีกครั้ง
“แค่นี้หรอ” ซาเนียย่าพึมพำ แต่สายตาที่ดราฟมองมานั้นราวกับจะตอบเธอว่า ‘แค่นี้ก็เกินพอแล้ว’
“เอาละ นี่มันอะไรกัน” มาริเอะร้องถามขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงไม่ได้คลายความหงุดหงิดลง “พวกเงาบุกเข้าวังงั้นหรือไง”
“อ่า...ข้าคิดว่าใช่เลย” ซาเนียย่าดีดนิ้วอย่างเซ็งๆ “และข้าคิดว่าเราคงต้องเปลี่ยนแผนไปช่วยพวกที่วังก่อน”
“ไม่” ดราฟปฏิเสธเสียงเด็ดขาด “เรายังคงแผนเดิม เดินทางไปหุบเขาไร้ตะวัน เดี๋ยวนี้!!”
ซาเนียย่าขมวดคิ้วหมุน แววตาที่มองไปยังเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “นั่นมันน้องชายกับขุนนางที่ภักดีกับท่านนะ ท่านจะทิ้งให้เขาตายหรือไง ข้านึกว่าท่านจะเป็นองค์ชายที่ดีกว่านี้นะ”
“หรอ” ดราฟมองค้อนเธอกลับมาเหมือนเด็กๆ มือก็ยัดไข่พลังทั้งสามใบใส่ย่ามของตน “งั้นข้าคงต้องแสดงว่าความเสียใจด้วยที่ข้าไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่เจ้าคิด แต่สิ่งที่ข้าต้องทำคือช่วยคนทั้งอาณาจักรไม่ใช่ช่วยแค่คนหกคน”
ซาเนียย่าแม้มปากแน่น “แม้แต่น้องชายตัวเองงั้นหรอ”
ดราฟไม่ตอบแต่กลับเก็บย่ามและสัมภาระเดินทาง ส่วนซาคานก็ร่ายมนต์บางอย่างจนทำให้ซากัวกลายเป็นนกตัวน้อยๆ บินออกไปทางหน้าต่าง พวกเขาทำเป็นไม่สนใจเธอกับมาริเอะราวกับไม่เห็นความสำคัญ
ทว่าซาเนียย่าไม่ได้คิดโกรธอะไร (แค่น้อยใจ) แม้เวลาที่อยู่กับดราฟและซาคานจะแค่ไม่กี่วัน แต่เธอก็ได้เรียนรู้ว่าภายใต้หน้ากากอันนิ่งเรียบและหยิ่งยโสนั้นยังมีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ปล่อยไว้ไม่ได้
“ดราฟ” เธอเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่มันมั่นใจ “ข้าจะไปช่วยองค์ชายโยเซฟเอง ท่านไปที่หุบเขาไร้ตะวันตามแผนเถอะ”
มาริเอะเบิกตากว้าง “ไม่ได้นะ เราต้องใช้พลังของฟินิกซ์สีรุ้งเพื่อช่วยในการต่อกรกับเงา”
“ไม่หรอกพี่” ซาเนียย่ายกมือขึ้นห้าม “พลังแสงในตัวท่านอย่างเดียวก็เพียงพอ ที่สำคัญ...ยังมีดราฟกับซาคานอีกด้วยนะ”
หญิงสาวขยิบตาให้ชายหนุ่มทั้งสองทีหนึ่งอย่างรู้กัน พร้อมกับปีนไปอยู่บนหน้าต่างเตรียมจะกระโดดลงไปข้างล่าง
“เดี๋ยว”
จู่ๆ ดราฟก็ร้องขึ้น เมื่อซาเนียย่าหันกลับไป กิ๊ฟติดผมสีชมพูของพริมซ์ก็ถูกปักมาที่หัวเธออย่างรวดเร็วจนห้ามไม่ทัน
“อะไรนะ”
“รับไว้เถอะ ของๆ ข้ามีประโยชน์แน่” องค์ชายหนุ่มเอ่ยเหมือนสั่งเสียมากกว่า
ซาเนียย่าถอนใจหน่ายๆ กับการชอบสั่งนู้นสั่งนี่ แต่ก็ยิ้มอย่างชอบใจ
“แล้วเจอกัน”
เอ่ยจบซาเนียย่าก็ทิ้งดิ่งลงข้างล่าง แต่จู่ๆ เงาตัวหนึ่งโผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ก็พุ่งจากด้านข้างโฉบจับเธอไปต่อหน้าต่อตาทุกคน มาริเอะไล่ตามไปแต่ก็ไม่ทัน มันโปะยาสลบซาเนียย่าแล้วกระโดดวูบเดียวก็หายเงียบออกไปจากป่าเสียแล้ว
“บ้าจริง” มาริเอะสบถลั่น ปามีดออกไปเพื่อระบายอารมณ์ แต่พอหันไปมองดราฟกับซาคานถึงได้พบว่าพวกเขายังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับแม้แต่น้อย
“พวกท่านไม่ห่วงนางบ้างหรือไง”
ซาคานเลิกคิ้วสูง “นักฆ่าอย่างพวกเจ้ามีอะไรต้องห่วงด้วยหรือ”
ร่างอันไร้สติของนักฆ่าสาวถูกพาตัวมายังพระราชวังที่ตอนนี้ร้างโดยสมบูรณ์แบบเสียแล้ว ไม่มีทหารคอยเฝ้ายาม ไม่มีนางกำนัลเดินขบวนไปมาเหมือนที่เคยเป็นเช่นทุกวัน แม้แต่มดสักตัวก็ไม่มีให้เห็น เพราะทุกคนถูกขังอยู่ในห้องต่างๆ ของพระราชวัง รวมถึงซาเนียย่าด้วยก็เช่นกัน เธอถูกจับมารวมไว้กับโยเซฟและขุนนางชนชั้นปกครองอีกห้าคน
“แม่นาง... แม่นางซาเนียย่า เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงเรียกแผ่วเบาเหมือนดังมาจากที่ๆ แสนจะห่างไกล สัมผัสอุ่นๆ ที่ได้รับปลุกให้สติที่เลือนรางกลับมาอีกครั้ง เปลือกตาสีอ่อนค่อยๆ ลืมขึ้นมองสำรวจมองรอบตัวก็พบกับโยเซฟที่ยิ้มอย่างอบอุ่นมาให้เหมือนอย่างเคย นอกจากนี้ยังมีบรรดาขุนนางชนชั้นปกครองทั้งห้าที่เธอเคยเจอมาแล้วอีกด้วย
“อ...องค์ชาย” ซาเนียย่าเรียกด้วยเสียงอันแผ่วเบาเหมือนไม่มีแรง สะบัดหน้าไปมาเพราะมึนๆ “นี่ข้าอยู่ไหนนะ”
โยเซฟลอบถอนหายใจทีหนึ่ง “ห้องทรงงานของข้าเอง เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
ซาเนียย่าส่ายหน้าปฏิเสธ นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองรอบห้องแต่ก็ไม่พบเงาสักตัว เธอลุกขึ้นยืนแต่กลับสะดุดอะไรบางอย่างจนล้มลงไปนั่งแหมะกับพื้นอีกครั้ง
“ระวังหน่อยสิแม่นาง” ชายไว้เคราแพะปรี่เข้ามาช่วยพยุง ตอนนั้นเองเธอถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกเปลี่ยนมาอยู่ในชุดกระโปรงยาวกร่อมพื้นสีชมพูอ่อนเหมือนสาวชาววังเสียแล้ว แถมเจ้าหยกรูปหงส์สุดรักสุดหวงยังเหน็บอยู่ที่เอวอีกต่างหาก
แต่มาคิดดูอีกที การที่พวกเงาจับเธอมาไว้ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาเอง แถมไม่ต้องมานั่งหาห้องที่พวกมันจับโยเซฟขังอีกต่างหาก ดูๆ ไปแล้วกลายเป็นโชคสองชั้นเลยนะเนี่ย!!
“นี่พวกท่าน” ซาเนียย่าร้องเรียกทุกคนให้หันมามอง “เจอกันหมดงี้ก็ดีเลย ข้าจะได้ช่วยออกไปพร้อมกัน”
“ตายแล้ว!!” หญิงสาวในชุดมิชชั่นนารีทำท่าตกใจมือทาบอก “นี่เจ้าฟั่นเฟืองไปแล้วหรือไร เจ้ากำลังจะทำให้พวกข้าตายกันหมดนะ”
ซาเนียย่าถอนใจอย่างเบื่อหน่าย นี่ขนาดเธอมาช่วยแล้วยังจะเรื่องมากอีกหรือไง “ถ้าท่านไม่ไปก็ไม่เป็นไร ข้ามาช่วยแค่คนที่เต็มใจให้ข้าช่วยเท่านั้น”
‘จะไหวหรือ’ ฟินิกซ์สีรุ้งร้องเสียงสูงอยู่ในหัว
หญิงสาวขยับรอยยิ้มเล็กน้อยแทนคำตอบ แล้ววิ่งตรงไปกะจะถีบกระตูให้หลุดกระเด็น แต่กลับกลายเป็นเธอที่กระเด็ดไปไกลจนกระแทกเข้ากับพนังอีกฝากก่อนจะไหลลงมาแหมะอยู่บนพื้น
“เป็นไรไหมแม่นาง”
พวกโยเซฟรีบเข้ามาพยุงเธอทันที ซาเนียย่าได้แต่ยิ้มขอบคุณกลับไป แม้ว่าหน้าตอนนี้จะแตกยับเพราะความอายไปแล้วก็ตาม
‘ข้าบอกแล้ว’ ฟินิกซ์สีรุ้งเอ่ยอย่างเซ็งๆ
‘ไม่ช่วยก็เงียบไปเลยเจ้านก’ ซาเนียย่าตอบกลับในหัวด้วยเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่หน้าก็ยังยิ้มร่าอยู่
“ข้าขอโทษด้วย” โยเซฟเอ่ยอย่างสลด “ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าประตูลงอาคมเงากันไม่ให้พวกเราออกไป”
“ไม่เป็นไรๆ” ซาเนียย่าตอบกลับแม้ว่าในใจจะนึกบ่นอุบอิบว่ามาบอกอะไรเอาตอนนี้ “ข้าว่าเจ้าอาคมนั่นคงจะเป็นการดีดกลับทุกสิ่งที่สัมผัสมันสินะ”
โยเซฟพยักหน้ารับก่อนจะหันไปสั่งให้สมุหกลาโหมเหวี่ยงขวานไปที่ประตู ทันใดนั้นเจ้าขวานก็ถูกดีดกลับไปปักอยู่บนเพดานไม่ต่างจากเธอมากนัก
“ก็อย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ”
ซาเนียย่าพยักหน้ารับว่าเข้าใจ มองขวานกับบานประตูลงอาคมสลับไปมา แต่พอมองขวานที่ปักเพดานอีกทีก็นึกอะไรบางอย่างออกขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มซุกซน
“นี่องค์ชาย บนเพดานนั่นเป็นอะไรหรอ”
“ก็พื้นเปล่าๆ นะสิ เจ้ามีอะไรหรอ” โยเซฟถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย แต่เธอไม่สนใจ
“แล้วอาคมเนี่ยลงไว้แค่ประตูใช่มะ”
โยเซฟพยักหน้ารับว่าใช่อีกครั้ง คราวซาเนียย่ายิ้มร่ากระโดดกอดเขาท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของเหล่าขุนนางที่รีบวิ่งเข้ามาแยกร่างพวกเธอสองคนออก จนเห็นหน้าแดงเป็นลูกตำลึงขององค์ชายหนุ่มน้อย แต่เจ้าสาวต้นเรื่องกลับหัวเราะอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
“โทษที ข้าเพิ่งคิดแผนออกนะ” ซาเนียย่าเว้นจังหวะนิดหนึ่ง พอเห็นทุกคนมองมาด้วยสายตาสงสัยจึงเอ่ยต่อ “ก็ถ้าเราออกทางประตูไม่ได้ เราก็ออกทางเพดานมันไปเลย”
“โสโครก” ความคิดเห็นแรกร้องแปร๊นขึ้น เธอเห็นไปมองแม่หมอมิชชั่นนารีสาวอย่างเอื่อมๆ “นี่เจ้าจะให้ข้าไปเกลือกกลั้วกับฝุ่นสกปรกหรอ อี๊! ไม่เอานะเพคะองค์ชาย ผิดหลักอนามัยที่สุด”
“นั่นมันเรื่องของเจ้า”
ซาเนียย่าเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะกระโดดไปขับด้ามขวานที่ห้อยอยู่และใช้น้ำหนักตัวขย่มมันจะบนเพดานหลุดลงมาด้วย แล้วจึงเอาโต๊ะกับเก้าอี้มาต่อกันเป็นชั้นๆ จนสามารถปีนขึ้นไปบนเพดานได้
“เชิญเลยเจ้าค่า...” หญิงสาวผายมือเชื้อเชิญ “ทัวร์เชื้อโรคเรากำลังจะเริ่มขึ้น ผู้โดยสารคนใดปรารถนาจะไปกับเราเชิญเลยเจ้าค่า”
โยเซฟอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นไปเป็นคนแรก ตามด้วยสมุหนายก สมุหกลาโหม ตุลาการศาล และหญิงชราที่เอาแต่พร่ำคำว่า “พระเจ้า” และ “พลัง” จนในที่สุดก็เหลือเพียงซาเนียย่ากับหญิงสาวมิชชั่นนารีผู้เป็นหมอเพียงสองคน เธอเหลือบมองหมอสาวด้วยหางตาก่อนเอ่ย
“แล้วตกลงเจ้าจะไปไหม หรือจะรอให้มันมาฆ่า”
หมอสาวสะบัดหน้าอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็กระทืบเท้าปีนขึ้นไปบนเพดานจนได้ ก่อนที่ซาเนียย่าจะปีนตามขึ้นไป และเสียงแรกที่เธอได้ยินก็คือ...
“อี๊!! สกปรก โสโครก เชื้อโรคชัดๆ”
ไม่ต้องบอกเธอก็รู้ว่าเป็นเสียงของใคร แต่ในท่ามกลางความมืดนี้จู่ๆ ดวงไฟก็สว่างวาบขึ้นบนปลายนิ้วของโยเซฟ มันทำให้เธอเห็นว่าจริงๆ แล้วบนเพดานแห่งนี้ก็ไม่ต่างกับห้องใต้หลังคาเตี้ยๆ ที่ออกจะรกไปด้วยฝุ่นเท่านั้นเอง
“โอเค” หญิงสาวเอ่ยกับตัวเอง “เท่าที่ข้าจะได้ตึกขององค์ชายเชื่อมกับตึกของพระสนมยาติสด้วยใช่ไหม ทีนี้ถ้าเราต้องหาทางออกที่ใกล้ประตูวังที่สุดก็ต้อง...ก็ต้องไปทางซ้าย”
“เดี๋ยว” ชายร่างบึกบึนผู้เป็นสมุหกลาโหมเอ่ยขึ้น “นั่นมันประตูหน้าวังนะ ตามหลังกลยุทธ์แล้วประตูนั้นน่าจะมีเงาเฝ้ายามอยู่มากโข”
“นี่มันตอนกลางวันนะท่าน เงามันกลัวแสง” ซาเนียย่าตอบกลับ แม้จะลืมเสริมคำว่า ‘ยกเว้นว่ามันจะเป็นเงากลายพันธุ์’ ก็ตาม
ทั้งหมดเดินไปตามทางที่ซาเนียย่าพาไปอย่างชำนาญเพราะว่าเมื่อก่อนเคยศึกษาเส้นทางต่างๆ ภายในวังมาบ้างแล้ว จนแม้แต่โยเซฟยังอดชื่นชมในความสามารถการคำนวณของเธอ แต่จู่ๆ เมื่อพวกเธอเดินผ่านเพดานห้องๆ หนึ่ง แสงไฟที่ปลายนิ้วขององค์ชายก็เริ่มติดๆ ดับๆ แถมบรรยากาศยังดูแปลกๆ เสียด้วยซ้ำ
“เจ้าต้องพาพวกข้ามาตายแน่” หมอสาวเริ่มร้องอีกครั้งจนซาเนียย่าต้องหันไปปรามด้วยสายตา ก่อนจะหันไปหาโยเซฟ
“ข้าว่ามันไม่ค่อยดีแล้วละ” แม้ว่าเธอจะพูดแบบนั้น แต่อันที่จริงแล้วเธอสัมผัสได้ถึงพลังของเงาต่างหากเล่า แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรให้แม่หมอสาวต้องมาคราญครางให้ปวดหู
“อืม...ใครมีอาวุธหรืออะไรแหลมๆ บ้างไหม”
ทุกคนส่ายหน้า แต่หญิงชรากลับยกมือกระโดดเหยงๆ เหมือนเด็ก เธอดึงปิ่นปักผมที่ทำจากอลูมิเนียมอย่างดีให้หญิงสาวอย่างว่าง่าย
“พลังของพระเจ้าจะอยู่กับเจ้า”
ซาเนียย่าหัวเราะแหะๆ กับคำอวยพรแปลกประหลาดนั่นก่อนจะใช้ปิ่นกรีดเพดานจนเป็นรูพอให้มองลอดไปได้อย่างสบายๆ
ภายในห้องเบื้องล่างไม่มีเงาแม้แต่ตัวเดียว อันที่จริงต้องพูดว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในห้องเสียด้วยซ้ำ มีเพียงกล่องไม้ไม่ปิดฝาใบหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะปูรองด้วยผ้าศักราชอย่างดี
ทว่าสิ่งที่สะกดสายตาของหญิงสาวไม่ใช่อะไรที่ไหน แต่เป็นลูกแก้วกลมๆ ใสๆ ที่ภายในมีควันสีดำลอยวนเป็นเกลียวคลื่น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วทั้งหัวยามจ้องมองมัน และพลังที่เธอสัมผัสได้มีคำตอบเพียงหนึ่งเดียว
...โหงพรายดำ
ไม่คิดว่าสิ่งที่พวกเธอกำลังตามหามาหลายวันกลับมาอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ดราฟกลับกำลังมุ่งหน้าไปที่หุบเขาไร้ตะวัน ทั้งๆ ที่มันอยู่ที่นี่ ตอนนี้!!
แต่มันยังไม่สาย... ไม่สายถ้าเธอจะเป็นคนนำมันไปให้ดราฟ และทุกอย่างก็จะจบ หนี้ชีวิตระหว่างเขากับเธอทั้งหมดจะหายไป...
“ข้าจะต้องเอามันมา”
ความคิดเห็น