คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : เด็กชายจากเงามืด (1)
บทที่ 12 : เด็กชายจากเงามืด (1)
นาฬิกาเริ่มเดินทวนเข็มอีกครั้ง เพื่อกลับสู่จุดเริ่มต้นของความวิปริตของสายพันธุ์
เงา...ที่แปลกแยกจากคนอื่น
ก็เหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกถีบออกจากวงที่พร้อมจะแว้งกัดได้ทุกเมื่อ
...........................
6 ปีที่แล้ว ณ หุบเขาไร้ตะวัน
วิ้ว...เสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกันดังก้องกังวานไปทั่วป่าดงดิบที่ชื้นแฉะ ต้นไม้ที่ขึ้นรกทำให้แสงแดดไม่สามารส่องผ่านมาได้ เด็กหนุ่มต้องใช้กิ่งไม้ปัดเศษไม้ให้พ้นทาง มือข้างหนึ่งก็ถือตะเกียงไว้ส่องให้แสงสว่าง แต่เขากลับรู้สึกว่า ยิ่งเดินลึกมากขึ้นเท่าไหร่ ความมืดที่เข้าปกคลุมก็ยิ่งมากเท่านั้น แม้ว่าจะมีตะเกียงอยู่ในมือแต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เห็นอะไรในระยะเกินสองสามเมตรเลย
นัยน์ตาสีมรกตของเขากวาดมองไปรอบตัวอีกครั้ง ผ้าคาดศีรษะที่มีสัญลักษณ์ตระกูลสูงศักดิ์ส่องแสงแวบวับในความมืดกับหน้ากากรูปนกอินทรีย์ที่เป็นเอกลักษณ์ เขาก็คือ...ดราฟ ฟา เทอร์ริส ตอนอายุ 14 ปีนั่นเอง
...ควับ!!!
เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปมองยังต้นเสียงทันที แวบหนึ่งที่เหมือนมีอะไรวิ่งผ่านด้านหลังเขาไป มันเร็วมากเสียจนบอกไม่ได้เหมือนกันว่าคืออะไร ทำให้ความกดดันและระแวดระวังยิ่งเพิ่มขึ้นไปเท่าตัวเพราะสัญชาตญาณที่บอกว่ามันไม่ได้มาดี
ควับ...ควับ
อะไรบางอย่างวิ่งผ่านเขาไปอีกครั้ง แต่คราวนี้มันจู่โจมเขาถึงสองทางพร้อมกัน ทำให้แขนเสื้อทั้งสองข้างขาดวิ่นและมีเลือดไหลซิบๆ ออกมา
“บัดซบ”
ดราฟพึมพำเบาๆ ทิ้งกิ่งไม้ในมือลงแล้วชักดาบขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อม ตะเกียงในมือก็ถูกยกขึ้นสูงเช่นกัน
‘อย่าทิ้งแสงสว่างในมือ’
เสียงยานคางดังขึ้นในหัวทำให้เขาต้องรีบหันมองรอบตัวแต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืด และต้องยอมรับว่ามันสร้างความหวาดกลัวให้กับสิ่งที่เขาไม่รู้จัก แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องถอยเช่นกัน
“สัตว์ชั้นต่ำ” ดราฟร้องลั่นอย่างท้าทาย “ถ้าแน่จริงก็ออกมาสู้ให้เห็นตัวสิวะ”
ตุบ!!
เสียงอะไรบางอย่างหล่นลงมาทำให้เขาต้องหันไปมองข้างๆ ก็พบกับคนใช้ชุดคลุมสีดำทะมึนยื่นดาบมาจ่อที่หน้าเขา
‘การท้าทายสิ่งที่ยังมองไม่เห็นไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนักนะองค์ชาย’
เสียงเมื่อครู่ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง คราวนี้ไม่ผิดแน่ มันคือเสียงที่เปล่งออกมาจากคนลึกลับตรงหน้าจริงๆ แต่ทว่าวินาทีนั้นเอง ดาบที่จ่ออยู่ที่หน้าก็ถูกเหวี่ยงฟันออกไป ทว่าไม่ใช่เพื่อสังหารเขา แต่เป็นตัวอะไรบางอย่างที่ชอบวิ่งผ่านตัวเขาไปนั่นเอง
ดราฟหรี่นัยน์ตาลงไล่มองหยาดเลือดที่ไหลรินหยดลงมาจากปลายดาบของคนลึกลับไปสู่ร่างของเสือดำตัวใหญ่ที่นอนหายใจรวนรินอยู่ที่ปลายเท้าของเขา แต่พริบตานั้นเองที่ร่างของเสื้อดำก็กลายเป็นมนุษย์ผู้ชายที่จ้องเขม็งมายังเขาก่อนที่จะถูกคมดาบปักลงอีกครั้งจนสิ้นใจไป
“เจ้าเป็นใคร”
ดราฟถามเสียงห้วนโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะวางตะเกียงไว้ที่โคนต้นไม้ห่างออกไป
“เอาตัวรอดออกไปก่อนให้ได้ก่อนเถอะองค์ชาย”
สิ้นเสียงของคนลึกลับ ลมก็พัดดังอื้ออึงพร้อมกับต้นไม้รอบๆ ตัวเริ่มสั่นไหว แรงขึ้น...แรงขึ้น ปลุกให้ประสาทรับรู้ทำงานเต็มที่ เสียงฝีเท้าของตัวอะไรบางอย่างนับสิบตัววิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็วก่อนจะกระโจนเข้าหาพวกเขาที่รอตั้งรับอยู่แล้ว ปลายดาบทั้งสองเล่มของคนสองคนก็ถูกเหวี่ยงออกไปฟันร่างของพวกมันจนขาดออกเป็นสองท่อนกระจัดกระจายอยู่รอบตัว
“แฮกๆ” ดราฟหอบหายใจถี่พลางหันหลังชนกับคนลึกลับอย่างลืมตัว ทั้งสองใช้ดาบในมือกวัดแกว่งใส่เสือดำตัวแล้วตัวเล่าที่กระโจนเข้ามาจนอดคิดไม่ได้ว่าที่ๆ เขายืนอยู่นี่มันดงเสือหรือไงกัน
ฉึก
คนลึกลับปักดาบเข้าใส่เสือตัวหนึ่งที่กระโจนเข้ามาใส่ดราฟจากทางด้านหลัง แต่เขากลับถูกเสืออีกตัวตะปบเข้าที่ต้นแขนด้านนั้นจนต้องปล่อยมือออกจากดาบ ฝ่ายดราฟเองที่สู้มานานจนเริ่มเหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ แรงก็หดหายลง ดาบแต่ละดาบที่ฟันออกไปก็ไม่ต่างจากฟันอากาศ
ส่วนพวกเสือตอนนี้มันก็เริ่มวิวัฒนาการตัวเองแล้ว เมื่อสู้ในร่างของเสือไม่ได้ พวกมันก็หันกลับมาสู้ในร่างของมนุษย์แทน แต่ว่ายังเหลือใบหูและคมเล็บที่แหลมยาวไว้ดั่งเดิม
“ผู้บุกรุก”
มนุษย์เสือตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโจนลงมาจากต้นไม้สูง แต่ก็ยังไม่พุ่งเข้าทำร้ายพวกเขาทันทีเหมือนกับตัวอื่นๆ เป็นช่องว่างให้พวกเขาได้เตรียมตัวและพักเหนื่อย ดราฟกวาดสายตามองขึ้นไปบนต้นไม้รอบๆ จึงได้ตระหนักว่าพวกมันมีเยอะเพียงใด และถ้าให้เดา ตอนนี้เขาคงกำลังเจอกับตัวหัวหน้าเสียแล้ว
“ผู้บุกรุกตัวน้อยๆ” มนุษย์เสือตัวเดิมร้องซ้ำพร้อมกับทำท่าฟุดฟิดมาทางพวกเขาท่ามกลางเสียงคำรามหึ่มๆ ของลูกน้องทั้งฝูง “พวกเจ้าเป็นใคร”
ดราฟขมวดคิ้วก่อนตอบไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ข้าคือองค์ชายรัชทายาท ถ้าพวกเจ้ากล้าทำร้ายข้า ได้เจอดีแน่”
“โอ้!! สูงศักดิ์เสียเหลือเกินพ่อหนุ่มน้อย” มันร้อง “แต่เสียดายที่เกียรติยศและชื่อเสียงไม่จำเป็นต่อที่นี่”
“หึ” ดราฟเหยียดริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง “สัตว์ชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ต่อไป”
“โอหังนัก”
มันกรีดร้องลั่นพร้อมกับกางกรงเล็บเข้ามาทางพวกเขา แต่ทันใดนั้นลูกธนูสามลูกก็พุ่งเข้าปักร่างของมันจนกระตุกก่อนจะล้มลงไปกองแน่นิ่งกับพื้น และถ้ามองขึ้นไปตามทางที่มันพุ่งมาก็จะพบกับเด็กชายตัวน้อยที่ยืนง้างคันธนูอยู่ด้วยตัวที่สั่นเทา เรือนผมสีอัญชันลู่ไปตามสายลม
“เจ้าพี่”
โยเซฟในคราบเด็กน้อยวิ่งร้องไห้จ้าเข้ามาสวมกอดดราฟ ในมือยังกำคันธนูของตนไว้แน่น แต่คนเป็นพี่กลับผลักเขาล้มลงอย่างไม่ไยดี
“เจ้าบ้าเอ๊ย! ใครใช้ให้เจ้ายิงมัน”
ดราฟร้องกลับ เขาไม่ดีใจเลยสักนิดที่ได้มาเจอเจ้าน้องชายต่างมารดาตอนนี้ เพราะการที่ทำให้หัวหน้าของมนุษย์เสือดาวตายกำลังทำให้พวกมันตัวอื่นๆ กราดเกรี้ยว เสียงคำรามดังหึ่มๆ ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ
‘น้องท่านช่างฉลาดหาวิธีตายจริงๆ’ เสียงคนลึกลับดังเยาะเย้ยในหัว ทำให้ดราฟหันไปมองทันที แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือร่วมมือกันจัดการกับศัตรูเฉพาะหน้าไปก่อน
“ผู้บุกรุก ผู้บุกรุก ผู้บุกรุก...”
เสียงร้องของเหล่ามนุษย์เสือดาวดังกระหึ่มก้อง ทำให้โยเซฟตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า แต่ดราฟไม่สนใจ เขาจับน้องชายไปอยู่ด้านหลังส่วนตัวเองก็จรดปลายดาบไปด้านหลังเพื่อสร้างแรงเหวี่ยงให้รัศมีดาบกินเป็นวงกว้าง
“โยเซฟ เตรียมยิงขึ้นฟ้าให้ไกลที่สุด” ดราฟกระซิบเบาๆ พลางสร้างลูกไฟที่หัวลูกธนูระหว่างที่มนุษย์เสือค่อยๆ ก้าวใกล้เข้ามาทีละก้าว เขารอจังหวะจนถึงระยะที่คิดว่าพอเหมาะจึงร้องสั่ง
“ยิง”
ลูกไฟที่ถูกยิงขึ้นไปแตกกระจายออกเป็นรูปตราต้นไม้ต้นใหญ่ที่ส่องแสงไปทั่วทั้งฟ้า เป็นจังหวะเดียวกับที่มนุษย์เสือดำทั้งฝูงกระโจนเข้ามา ดราฟเหวี่ยงดาบเป็นวงกว้างตัดพวกมันจนขาดสองท่อนก่อนจะผลักโยเซฟไปให้คนลึกลับ และราวกับว่าทั้งสองเพียงแค่มองตาก็รู้ใจ เพราะต่างก็ทำงานประสานกันได้อย่างดีเยี่ยม
“มานี่เจ้าหนู” คนลึกลับปักดาบเข้าใส่กลางหน้าผากมนุษย์เสือดำตัวหนึ่งก่อนจะโยนโยเซฟขึ้นไปบนเนินหินแล้วตัวเองจึงกระโดดตามไป แต่องค์ชายน้อยกลับดื้อรันจะกลับไปหาดราฟให้ได้
“เจ้าพี่...” โยเซฟร้องไห้น้ำตาไหลนองหน้าอย่างไม่อาจทำอะไรได้ ปล่อยให้คนลึกลับลากตนไปเรื่อยๆ นัยน์ตาสีอัญชันเฝ้ามองคนเป็นพี่ที่กำลังถูกฝูงมนุษย์เสือดำรุมจนมองไม่เห็นเขา เห็นแต่เพียงดาบที่กวัดแกว่งไปมาเพื่อตัดร่างของพวกมัน
“เจ้าต้องคอยยิงพวกมันจากที่นี่”
เสียงของคนลึกลับดังขึ้นปลุกสติให้โยเซฟอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่สูงจากพื้นดินหลายสิบเมตร องค์ชายน้อยพยักหน้ารับทั้งคราบน้ำตาแต่มือก็ดึงลูกธนูออกมาจากขึ้นสายเตรียมไว้ แต่ว่าเป้าหมายของเขากลับไม่ได้อยู่นิ่งๆ บวกกับประสบการณ์ฝีมือที่อ่อนด้อยทำให้ลูกแรกพลาดเป้าไปอย่างน่าเสียดาย
คนลึกลับส่ายหน้าไปมาอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ถอดใจเช่นกัน “ตั้งสติไว้เจ้าหนู ชีวิตของพี่เจ้าอยู่ในของเจ้าเอง”
สิ้นเสียง เขาก็ทิ้งตัวดิ่งพสุธา สองมือแนบศีรษะกุมดาบยื่นลงไปเบื้องล่าง พยายามทำให้ตัวเองต้านลมน้อยที่สุด โดยมีลูกธนูพุ่งผ่านเข้าไปสังหารมนุษย์เสือที่อยู่ด้านล่างล้มลงเหมือนกับป้อมปราการที่ปกป้องเขาจากพวกมัน จนเมื่ออยู่ในระยะที่เหมาะสมก็พลิกตัวเอาเท้าแตะพื้นแล้วฟันดาบออกไปเป็นวงรอบตัวตัดร่างของมนุษย์หมาป่าที่กำลังรุมดราฟอยู่ขาดเป็นท่อนๆ เลือดสาดกระเด็นย้อมชุดของชายหนุ่มทั้งสองจนเป็นเป็นสีแดง
ดราฟยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้โยเซฟหยุดยิงและลงมาหาเขา นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ฝูงสัตว์ร้ายไม่คลาดสายตา
“โฮกก...”
มนุษย์เสือที่เหลืออยู่คำรามก้องเหมือนข่มขู่ แต่เท้าทั้งก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ แววตาเต็มไปด้วยความก้าวร้าวและหวาดกลัว
“บ้าบิ่นไม่เบาเลยนี่” ดราฟเอ่ยขึ้นให้ได้ยินเพียงสองคนโดยไม่หันไปมองหน้า แต่กลับยื่นดาบก้าวตามมนุษย์หมาเหล่านั้นไป
‘ท่านก็อึดไม่เบา’
คนลึกลับร้องตอบกลับในหัว ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็หายเข้าไปในเงาของตัวเองรวมกับเงาอื่นๆ ที่เคลื่อนมารวมกันก่อนจะดาหน้าเข้าไปหามนุษย์เสือราวกับมัจจุราช มันพุ่งเข้ากลืนกินมนุษย์เสือให้เข้าไปอยู่ในเงามืดของมันทีละตัว...ทีละตัว โดยที่ดราฟหรือโยเซฟไม่คิดจะเข้าไปห้าม แต่ก่อนที่พวกสัตว์ร้ายจะหมดป่าไป จู่ๆ ลูกไฟก้อนมหึมาก็ถูกโยนลงไปใจกลางเงามืดจนแตกออกและกลับมารวมกันเป็นคนลึกลับอีกครั้งในสภาพที่สะบักสบอมไม่ต่างจากดราฟ
“ชั่วช้านัก”
เสียงหวานก้องกังวานแต่ดังสะท้านไปด้วยโทสะจนมนุษย์เสือยังต้องถอยร่นไป แต่สำหรับดราฟและซาคานแล้วมันกลับเป็นเสียงที่คุ้นหูยิ่งนัก และเมื่อหันไปมองก็พบกับคนที่เขาคิดไว้อยู่แล้ว นั่นก็คือพระสนมยาติสที่ถูกขนาบข้างด้วยนางกำนัล ผู้เฒ่าและชาวเผ่าเงานั่นเอง
“ท่านแม่”
โยเซฟผละจากดราฟเข้าไปหาผู้เป็นมารดา แต่ดราฟกับคนลึกลับยังคงยืนอยู่ที่เดิมและมองไปยังผู้มาใหม่ที่จ้องพวกตนไม่ลดละเช่นกัน ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่ดราฟสามารถสัมผัสได้ นั่นคือสายตาของทุกคนที่มองมายังคนลึกลับนั้นช่างเต็มไปด้วยความสมเพชและดูถูกเหยียดหยาม แต่พอมองให้ชัดๆ กว่านั้นก็จะเห็นถึงความหวาดที่มีต่อชายผู้นี้อยู่ไม่น้อย แต่ถึงเป็นแบบนั้นก็ยังมีคนกล้าลองดี
“ท่านกล้ามากนะซาคาน คิดจะปองร้ายองค์ชายเลยรึ” หญิงสาวชาวเงาคนหนึ่งตะโกนถามอย่างไม่เกรงกลัว ชี้นิ้วมาทางคนลึกลับอย่างหยาบคาย “เจ้าเป็นถึงหลานชาวของผู้เฒ่าแต่เหตุใดชอบทำตัวแปลกแยกนัก”
“พอเถอะลอลิน” ผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น ทำให้หญิงสาวที่พูดอยู่เมื่อครู่เงียบลงทันที เขาอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิทยาวระพื้นดูน่าเกรงขาม สายตาสบเข้ากับคนที่มีศักดิ์เป็นหลานชายในสายเลือด...แววตาที่มองมาช่างว่างเปล่ายิ่งนัก ชายชรามองตอบกลับไปด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กคนนี้ทำ แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนมาคือรอยยิ้มเหยียดอย่างเย้ยหยันก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันหลังเดินไปไม่สนใจใคร
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” ผู้เฒ่าร้องตะโกนก้องพร้อมกับเงาสีดำที่พุ่งเข้ากั้นคนลึกลับที่ชื่อซาคานเอาไว้ ทำให้เขาต้องหันกลับมาอีกครั้ง แต่สิ่งที่เอ่ยออกมาจากปากของเขากลับผิดคาด
“คิดว่าแค่นี้จะหยุดข้าได้หรือไง”
เอ่ยจบเขาก็หันหลังเดินชนกับเงาสีดำจนมันแตกกระจายออกเหมือนกับกระจกทำเอาทุกคนได้แต่ยืนอ้าปากค้างไม่นึกว่าเขาจะกล้าถึงขนาดนี้ แต่ก่อนที่ซาคานจะหายลับเข้าไปในป่าก็เอ่ยประโยคสุดท้ายทิ้งเอาไว้และปล่อยให้มันลอยตามลมมาหาทุกคน
“ข้ารู้ว่าโทษที่ข้าควรรับมันคืออะไร”
วิ้วว...!!
.... ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ปล่อยให้สายลมอ่อนๆ พัดผ่านไป พวกมนุษย์เสือดาวไปแล้ว แต่ดราฟยังยืนมองซาคานจนชายผ้าคลุมหายเข้าไปในเงามืดแล้วจึงเดินกลับหมู่บ้านโดยไม่สนใจคนอื่น
“ท่านลุงจะไม่ทำอะไรซาคานใช่ไหมครับ” ...เสียงของโยเซฟที่ร้องถามผู้เฒ่าฉุดให้ดราฟต้องชะงักเท้าอีกครั้งเพื่อรอฟังคำตอบ “เขา...เขาช่วยข้ากับเจ้าพี่เอาไว้”
...เสียงเงียบไปชั่วอึดใจก่อนที่ผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านหุบเขาไร้ตะวันจะตอบกลับ
“ไม่หรอกองค์ชาย ข้าแค่จะลงโทษเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง”
สิ้นเสียงของชายชรา ดราฟก็อมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินต่อไปตามทางที่เต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้เกลื่อนกลาด ปล่อยให้เสียงพูดคุยและเสียงเรียกของผู้คนที่ยืนอยู่ข้างหลังลอยผ่านไปอย่างไม่สนใจ
หมู่บ้านหุบเขาไร้ตะวันตั้งอยู่ที่ในเขตเงาภูเขา ไร้การติดต่อจากโลกภายนอก และไร้แสงตะวันตามชื่อหมู่บ้าน เพราะไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่ต่างกันมากนัก นอกเสียงจากว่าตอนกลางวันจะมีแสงสลัวๆ ที่สะท้อนมาจากอีกฝากหนึ่งของหุบเขา พื้นที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นป่าดงดิบ กระทั่งบ้านของชาวเผ่าที่นี่ก็สร้างอยู่บนต้นไม้
แม้หมู่บ้านแห่งนี้จะถือเป็นหมู่บ้านศักดิ์หนึ่งในสี่ของอาณาจักรฟรอนดาโก้ แต่ก็ถือเป็นสถานที่สุดท้ายที่คนเลือกจะมากัน แต่มันกลับเป็นที่ๆ อยู่แล้วสงบที่สุด...ไม่มีคนคอยกวนเพราะคนที่นี่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้มีชาวบ้านมาคอยล้อมหน้าล้อมหลังเพราะที่นี่ไม่มีคำว่ายศศักดิ์ ช่างเป็นสถานที่ที่น่าอยู่สำหรับคนที่ต้องการปลีกวิเวกอย่างเขาเสียจริงๆ
ดราฟมองออกมาจากหน้าต่างบนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ รอบๆ มีแต่ความเงียบสงัดทำให้มีเวลาใช้ความคิดกับตัวเอง...เขาเผลอเข้าไปในเขตของมนุษย์เสือ และถูกคนลึกลับที่ชื่อซาคานช่วยเอาไว้ แต่เขาคนนี้คือใครกัน ทำไมทุกคนถึงมองชายคนนั้นด้วยสายตาแปลกๆ
“ทรงคิดอะไรอยู่หรือองค์ชายน้อย”
เสียงร้องทักเบาๆ ดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็เห็นท่านผู้เฒ่ามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นัยน์ตาของทั้งสองคนสบกันเพียงครู่ก่อนที่ผู้มาใหม่จะเอ่ยต่อ
“น่าแปลกนะพระองค์ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางเรื่องก็สามารถทำให้คนเราเก็บมาคิดได้”
ดราฟหรี่ตามองชายชราทันที
“แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางเรื่อง เราก็ไม่สามารถมองข้ามมันไปได้”
“เหอะๆๆ” ผู้เฒ่าพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ “ข้าเข้าใจ พวกเด็กรุ่นใหม่ก็หัวไวไฟแรงกันแบบนี้แหละ เหอะๆ แต่ถ้าองค์ชายไม่รังเกียจ ห้องขังชั้นในสุดคงจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้พระองค์ได้ค้นหาเยอะแยะทีเดียว”
เอ่ยจบก็หันหลังเดินออกจากห้องไปจนลับสายตา แต่พอกลับมามองที่ๆ ผู้เฒ่าเคยยืนอยู่ก็พบกับกุญแจเก่าๆ สีทองห้อยเป็นพวงวางทิ้งไว้ ดราฟหยิบมันขึ้นมาเพ่งดูก่อนเก็บมันไว้ในอกเสื้อ แล้วเดินออกไปจากห้องทันที
ทางที่ดราฟเดินมานั้นเต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้เกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่เพียงต้นไม้ ต้นไม้ และต้นไม้ ทุกฝีก้าวที่เดินไปก็คือสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนว่ายิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งออกห่างจากหมู่บ้านและหุบเขาไร้ตะวันมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งเดินมาถึงตีนเขาที่เป็นเขตเงาฝนก็เริ่มแห้งแล้ง ต้นไม้น้อยลงทันตาเห็น แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่แปลกตาออกไป
ต้นไม้ตายยืนต้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ติดกับก้อนหินยักษ์ มันไม่มีใบ และที่ลำต้นยังรอยสีดำพาดไปพาดมาเหมือนลายสัก
ดราฟยื่นมือออกไปสัมผัสมันอย่างหลงใหล แต่ทันใดนั้นรอยสีดำก็พุ่งเป็นไอออกมาปะทะร่างเขาจนล้มเซลงไปพร้อมกับที่มันกลายร่างเป็นตัวอะไรบางอย่างที่อยู่ในผ้าคลุมขาดวิ่นเหมือนเศษผ้าเก่าๆ ลอยได้
“ไฟอาร์ ไฟอาร์ ผู้บุกรุก” มันกรีดร้องเสียงแสงแก้วหู พร้อมกับบินวนไปรอบๆ ดราฟลุกขึ้นจะคว้ามัน แต่มือกลับผ่านมันไปราวกับอากาศ แถมมันยังหันกลับมาแลบลิ้นใส่เขาอีกต่างหาก
“โง่ๆ เจ้าพวกโง่”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าตุ๊กตาไล่ฝน” ดราฟร้องว่าอย่างมีน้ำโหที่ถูกตัวอะไรก็ไม่รู้มาบินร้องบ่นเสียงแสบแก้วหูอยู่อย่างนี้ แต่พอเห็นมันยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ ก็ถึงทีเขาใช้วิธีรุนแรงกลับคืนบ้าง
พรึบ!!
ไฟลุกขึ้นที่ปลายนิ้วชี้ก่อนจะพุ่งออกไปพันที่ชิ้นส่วนของเจ้าเศษผ้าลอยได้กระแทกเข้ากับก้อนหินก่อนที่ดราฟจะตามเข้าไปใช้นิ้วคีบมันขึ้นมาใกล้ๆ
“ห้องขังชั้นในสุดอยู่ไหน” องค์ชายหนุ่มถามเสียงแข็ง แต่มันกลับส่งเสียงกระซิกๆ ใส่เขาแทน “ตอบข้ามานะ”
“แงงง... เจ้ารังแกข้า ฮือๆ รังแกสาวน้อยอาภัพอย่างข้าได้อย่างไร เจ้ามันคนผีทะเลใจร้าย แงงง...”
ดราฟก้มลงหลับตาเพื่อข่มอารมณ์ไม่ให้เหวี่ยงเจ้าผ้าขี้ริ้วนี้อีกที
“เจ้าเป็นใคร” เขาถามใหม่อีกครั้ง
“ข้า...ข้านะหรือ ก็สาวน้อยอาภัพนามซากัวไงละ” เจ้าผ้าขี้ริ้วน้อยตอบด้วยเสียงที่คิดว่าน่าสงสารที่สุด พร้อมกับที่เศษผ้าเก่าส่วนบนปรากฏรูปใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา
ดราฟมองผ้าขี้ริ้วมีชีวิตตรงหน้าใหม่อีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะเชื่อได้สักแค่ไหน...แต่ลองเชื่อสักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร
“ซากัว ซาคานอยู่ไหน”
‘ข้าก็อยู่ในนี้แหละ’
เสียงลึกลับเป็นคำตอบดังขึ้นในหัว และโดยไม่ต้องคิดก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นเสียงของใคร
“ท่านซาคาน...” ซากัวรีบร้องทันทีพร้อมกับสะบัดผ้าตัวที่เป็นผ้าขี้ริ้วไปมาเพื่อให้หลุดจากมือของดราฟ แต่เขากลับจับมันแน่นขึ้นไปอีก “แงงง... ท่านซาคานช่วยซากัวด้วย ฮือๆ”
“หยุดร้องนะ ไม่งั้นข้าเผาเจ้าทิ้งแน่”
ได้ผล ซากัวหยุดร้องทันที ดราฟยื่นมือไปที่ต้นไม้ที่ตอนนี้ไร้รอยสักใดๆ แล้ว แต่ทว่ามือของเขากลับทะลุผ่านเข้าไปในต้นไม้ องค์ชายหนุ่มเผลอยิ้มออกมาก่อนจะเดินทะลุเข้าไปทั้งตัวทั้งที่ยังจับเจ้าซากัวเข้ามาด้วย
ภายในนั้นมืดสนิทดูๆ ไปแล้วเหมือนอุโมงค์อะสักอย่างที่อับชื้นและเหม็นเขียวอย่างแรง ดราฟดีดนิ้วเรียกไฟขึ้นมาไว้ในมือทำให้พอเห็นทางเดินได้บ้าง
‘ระวังนะองค์ชาย’ เสียงซาคานร้องเตือนอีกครั้ง ‘ในนี้นอกจากมืดแล้ว...ผียังดุอีกต่างหาก’
สิ้นเสียง ดวงตาแดงๆ นับสิบก็ผุดขึ้นที่ผนังอุโมงค์ราวกับดอกเห็ด ก่อนที่ตัวอะไรบางอย่างที่เป็นเศษผ้าขี้ริ้วเหมือนกับซากัวจะตรงดิ่งลงมาห้อมล้อมเขาเอาไว้ นัยน์ตาสีแดงสดจ้องมองมายังเขาอย่างมุ่งร้าย
“โฮก”
มันคำรามเสียงก้อง แล้วจึงพุ่งเข้าใส่ดราฟด้วยกรงเล็บที่แหลมคม โดยมีเสียงร้องวี๊ดๆ ของซากัวที่ทำให้เขายังรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
ความคิดเห็น