คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : เพื่อสิ่งเดียวกัน
บทที่ 11 : เพื่อสิ่งเดียวกัน
ฉันมองแสงสีขาวและส้มแดงที่พุ่งเข้ารวมกันอยู่ห่างๆ แม้ว่าตัวเองจะไม่มีส่วนช่วย แต่แค่ขอดูอยู่ห่างๆ แค่นี้ก็พอแล้ว
บางครั้งก็เคยคิดนะ...คิดว่าอยากจะเก่งกว่านี้ ฉลาดกว่านี้ อดทนกว่านี้ ถ้าฉันทำได้แบบนั้นละก็...ฉันก็สามารถจะช่วยคนอื่นได้ ทำประโยชน์ให้คนอื่น ให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นมาบ้าง
...ก็ตอนนี้นะ แม้ว่าฉันจะมีพลังของฟินิกซ์สีรุ้งคอยช่วย แต่ทำไมยังรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าอยู่เลยละ
...........................
ค่ำแล้ว ทั้งๆ ที่ควรจะนอนเก็บแรงไว้ใช้ในวันต่อไป แต่ซาเนียย่ากลับมานอนหนุนตักมาริเอะอยู่บนหลังคาของบ้านต้นไม้ ปล่อยให้น้ำค้างและลมเย็นๆ ปะทะใบหน้า เสียงค้างคาวและสัตว์หากินกลางคืนส่งเสียงร้องดังระงมอยู่เป็นระยะๆ ดังที่เคยเป็นอยู่ประจำ มันทำให้รู้สึกว่าอย่างน้อยพวกเธอก็ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
“พี่มารี่” ซาเนียย่าเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตจ้องไปที่รุ่นพี่สาวนักฆ่า “พรุ่งนี้มันจะสำเร็จไหม”
“หึๆ” คนถูกถามหัวเราะเบาๆ พลางใช้นิ้วขยี้เบาๆ ที่ปลายจมูกของเด็กรุ่นน้อง “ต้องสำเร็จสิ ก็แผนของเจ้านะฟินิกซ์สีรุ้งเป็นคนคิดเองเลยไม่ใช่รึ”
“โธ่! เจ้านกนั่นเชื่อถือได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” ซาเนียย่าเอ่ยพลางลุกขึ้นนั่ง แต่ทันใดนั้น เสียงนกเจ้ากรรมก็ร้องดังขึ้นลั่นหัวจนหัวแทบแตก
‘ข้าได้ยินเจ้าว่าข้านะแม่หนูน้อย’
“ดูสิพี่ เจ้านกบ้านั่นมันว่าข้าอีกแล้ว แบบนี้ข้าจะทนได้นานเท่าไหร่กัน” เธอรีบฟ้องทันที แม้จะรู้ก็ตามว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินเสียงในหัวของเธอ
“ก็เจ้าไปว่าท่านก่อนทำไมละ”
ซาเนียย่าเบ้ปากพร้อมกับยกมือยอมแพ้ ทำให้บทสนทนาเงียบไป เธอเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวข้างแรมที่ถูกต้นไม้บังเสียจนเกือบมิด ก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป ถึงจะไม่จริงจังเท่าที่ควร แต่มันก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีกว่าคนพูดใส่ใจกับมันมากแค่ไหน
“มาริเอะ พี่คิดว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากช่วยซาคานเสร็จแล้ว จะช่วยพวกเขาต่อไป หรือจะไปตามทางของเรา”
...คราวนี้กลับเป็นมาริเอะเองที่นิ่งชะงักไป นัยน์ตาสีเงินสั่นวูบเล็กน้อยก่อนจะกลับมามั่นคงอีกครั้งพร้อมกับยื่นมือออกไปจับมือของรุ่นน้องมากำไว้
“นั่น...ก็ขึ้นอยู่กับเราสองคนนะซาเนีย ถ้าเจ้าต้องการจะอยู่หรือไปต่อ ข้าก็จะอยู่ด้วย เราเหลือกันแค่สองคนแล้วนะ”
ซาเนียย่าถึงกับสะอึกกับประโยคสุดท้ายของรุ่นพี่สาว แต่พอรู้ตัวว่าหน้าของตัวเองกำลังหมองลงก็รีบหัวเราะออกมาทันทีเพื่อให้มาริเอะยิ้มได้อีกครั้ง
ทั้งคู่นั่งพูดนั่งคุยกันต่ออีกสักพัก ก่อนที่มาริเอะจะขอตัวเข้านอนก่อน แต่เพราะว่าตอนนี้มีซาคานกับดราฟเพิ่มเข้ามาอยู่ด้วยสองคนทำให้ห้องนอนของซาเนียย่าและพริมซ์ถูกสองหนุ่มยึดไปโดยปริยาย ซาเนียย่าเลยต้องย้ายตัวเองไปนอนอยู่ห้องเดียวกับมาริเอะ แต่ว่าระหว่างที่กำลังจะลงไปนอนนั้นเอง เธอก็มองผ่านช่องหน้าต่างไปเห็นดราฟกำลังนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่ในห้องอาหารทั้งๆ ที่เขาควรจะเป็นคนแรกที่เข้านอนแต่หัวค่ำ จึงกระโดดจากบนหลังคาลงไปหา
“นี่ ท่านยังไม่นอนอีกหรือไง”
เธอร้องถามเสียงร่าเริงพลางชะโงกหน้าก้มลงมองไข่ใบสีส้มลายเปลวเพลิงที่ตั้งอยู่ในกล่องรองด้วยผ้ากำมะหยี่อย่างดีก่อนจะเงยขึ้นมองหน้าองค์ชายคนสำคัญเป็นเชิงถาม แต่เขากลับไม่ตอบคำถาม มีเพียงนัยน์ตาสีมรกตที่ฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
‘ต้องเกี่ยวกับไข่ใบนี้แน่เลยแม่หนู’ เสียงเจ้าฟินิกซ์สีรุ้งดังขึ้นในหัวอย่างสอดรู้สอดเห็น
‘เงียบไปเลยนะเจ้านก’
ซาเนียย่าร้องตอบกลับไปในหัวก่อนจะหันไปยิ้มให้ดราฟอีกครั้ง “ท่านกำลังกังวลเรื่องพลังของไฟอาร์หรือ”
ดราฟพยักหน้ารับเล็กน้อย นัยน์ตาสีมรกตสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความร่าเริงไร้แววกังวล ไม่ใช่ว่าเธอไม่ทุกข์ร้อนกับเรื่องใดๆ เพียงแต่คิดว่าตอนนี้ทุกคนก็เครียดกันอยู่แล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องทำหน้าเครียดให้คนอื่นเขาเครียดเพิ่มขึ้นไปอีกก็เท่านั้น
“พลังของไฟอาร์คือการทำลายร้าง มันคือเปลวไฟที่ไม่ปรานีใคร ผู้ที่จะใช้มันได้ก็ต้องมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความแค้นและลุ่มหลง”
หญิงสาวเลิกคิ้วสูงกับประโยคแปลกๆ ของเขา ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเข้าใจความหมายที่เขากำลังจะสื่อ
“ท่านกำลังบอกว่ามันไม่ยอมรับใช้ท่านอย่างนั้นสิ... อย่าล้อเล่นน่า ท่านนะถึงจะเป็นลูกครึ่งแต่ก็มีพลังของไฟอาร์อยู่ตั้งครึ่งหนึ่งนะ แล้วท่านก็บอกเองด้วยว่ามันเอาทุกคนไม่เลือกหน้า”
“นั่นข้าหมายถึงตอนมันดูดกลืนชาวบ้านเขาต่างหากเล่า” ดราฟร้องแก้ ก่อนที่สีหน้าจะกลับมานิ่งเรียบอีกครั้ง นัยน์ตาทั้งสองว่างเปล่ายามเอ่ยต่อ
“ไม่ใช่ว่ามันไม่ยอมรับข้า เพียงแต่ข้าไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่ พลังของมันมีแต่ความโหดร้ายและป่าเถื่อน มันเผาพลาญทุกอย่างที่ขวางหน้า และถ้าข้าควบคุมมันไม่ได้...ทั้งซาคาน เจ้า และคนอื่นๆ ก็อาจจะต้องบาดเจ็บ”
เอ่ยจบดราฟก็ก้มหน้านิ่งลงไป มันเป็นภาพพจน์ที่เธอไม่เคยเห็นจากชายที่เก่งเสมอมาอย่างเขา ทั้งความอ่อนแอ และความกลัว แต่ซาเนียย่าก็ยังคงยิ้มให้ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นก็ตาม มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ ส่วนอีกข้างก็จับหน้าเขาให้เงยขึ้นมามองเธออีกครั้ง
“ข้าว่า...” ซาเนียย่าลากเสียงยาว “ไม่ใช่มันหรอกที่ไม่ยอมรับท่าน แต่เป็นท่านต่างหากที่หวาดกลัวมัน”
...ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบทันที มีเพียงเสียงหายใจของคนสองคนเท่านั้น แต่เธอก็ยังจ้องมองเขา...มองเข้าไปในนัยน์ตาสีมรกตที่ตอนนี้กำลังสั่นไหวอย่างรุ่นแรง แต่ทว่าจู่ๆ ดราฟก็สะบัดมือของเธอทิ้งก่อนจะลุกขึ้นยืนหันหลังให้ และเมื่อเขาหันมามองอีกครั้ง นัยน์ตาคู่นั้นก็เปลี่ยนไปเป็นความว่างเปล่าและยิ่งทะนงตน ริมฝีปากเหยียดขึ้นจนเป็นเส้นตรงก่อนจะสะบัดหน้าเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงคำพูดที่ทำเอาซาเนียย่าได้แต่ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“เจ้าก็แค่นักฆ่า ไม่เคยอยู่ในจุดที่ข้าเคยอยู่ แล้วเจ้าจะไปเข้าใจข้าได้อย่างไร”
“จุดที่ท่านเคยอยู่อย่างนั้นรึ” ซาเนียย่าพึมพำอย่างสงสัยก่อนจะหลับตาลงให้ตกลงไปในภวังค์จิตใจของตัวเอง
....
‘นี่เจ้านก’ เธอร้องเรียก ‘จุดที่ดราฟยืนอยู่นะมันเป็นอย่างไรหรอ’
‘หึๆๆ’ ฟินิกซ์สีรุ้งหัวเราะเบาๆ ร้องกับสายลมที่พัดปะทะใบหน้าอย่างอ่อนโยน ‘ก็จุดนี้นั่นแหละ จุดที่ชื่อว่าองค์ชายรัชทายาทอย่างไรเล่า แม้จะไม่ใช่จุดสูงศักดิ์เหมือนกับพระราชา แต่ก็เป็นจุดที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ พระองค์คงจะเคยผ่านความผิดพลาดมาแล้ว จึงไม่อยากที่จะผิดพลาดซ้ำสอง’
‘อืม...คงจะเป็นความผิดพลาดที่ไม่สามารถช่วยเหลือใครบางคนได้สินะ’ ซาเนียย่าคิดเหมือนรำพึงกับตนเองมากกว่า แต่ทันใดนั้น มือก็ปัดไปโดนของชิ้นหนึ่งที่เธอเหน็บไว้ข้างเอวเสมอ
‘เลวา จริงสินะ บางทีอาจจะเป็นเพราะดราฟไม่สามารถช่วยเลวากับพระนางเฟรย่าไว้ได้ก็ได้ แล้วแบบนี้พรุ่งนี้จะทำงานสำเร็จหรอ ในเมื่อตอนนี้ความมั่นใจแทบไม่เหลือแล้ว’
‘ไม่หรอกเด็กน้อย’ ฟินิกซ์สีรุ้งตอบเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ‘องค์ชายจะไม่ผิดพลาดในครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะความตั้งพระทัยของพระองค์ก็ไม่ต่างจากเจ้าแม้แต่น้อย’
“ความตั้งใจหรอ” เธอพึมพำเบาๆ พร้อมกับลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วจึงยิ้มออกมา
“จริงสินะ ถ้าซาคานคือเพื่อนของดราฟ หมอนั่นก็คงต้องการจะปกป้อง เหมือนกับที่เราต้องการปกป้องมาริเอะ อิๆ ที่แท้เราก็ทำเพื่อสิ่งเดียวกันแท้ๆ...”
ซาเนียย่านอนพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ถึงจะพยายามข่มตาให้หลับอย่างไรแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะในหัวมีแต่เรื่องที่คิดมากมายจนสับสนวุ่นวายไปหมด
‘นี่เจ้านก เจ้ารู้จักท่านหญิงเลวาบ้างไหม’
‘อืม...’ เสียงตอบรับดังขึ้นในหัวพร้อมกับสายลมอ่อนที่พัดมาปะทะ ‘รู้จักสิ แต่เจ้าถามองค์ชายไปแล้วนิ ข้านะไม่รู้อะไรมากกว่าพระองค์หรอก’
‘แล้วนางในสายตาของเจ้าเป็นคนเช่นไรรึ’
‘ข้าไม่รู้หรอก แต่แววตาตอนที่ข้าพบนางนั้นข้ายังจำได้ดี’ ฟินิกซ์สีรุ้งตอบด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย ‘แววตาที่ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว หัวใจบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความปกป้อง และพรสวรรค์การใช้พลังของนาง...อืม...ช่างเป็นเด็กหญิงชาวไทม์คนแรกที่ถูกใจข้าจริงๆ’
คำพูดเยินยอจากเจ้านกทำเอาซาเนียย่าเผลอยิ้มออกมาจริงๆ ตอนนี้โลกแห่งการสนทนาในหัวเธอเป็นสีฟ้าอ่อนๆ มันเป็นการเชื่อมอารมณ์ระหว่างพวกเธอทั้งสองคน บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกดีเพียงใดที่ได้พูดถึงเรื่องนี้
‘นางเป็นไทม์ที่ดีขนาดนั้นเชียว... เจ้าแสดงให้ข้าดูได้ไหม ข้าอยากเห็นนางสักครั้ง’
‘อ่า....’ ฟินิกซ์สีรุ้งลากเสียงยาว เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่างที่ยากลำบาก ‘ข้าว่าคงไม่เป็นไรมั้ง ถ้าข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น วันที่ข้าได้พบกับนาง... ตั้งสติให้ดีๆ นะนังหนู’
....
ท้องฟ้าสีเทา พื้นหญ้าสีเทา ต้นไม้สีเทา...ทุกๆ อย่างที่ปรากฏล้วนเป็นสีเทาไปหมด เบื้องหน้าเด็กหญิงหน้าตาน่ารักในชุดกระโปรงยาวกร่อมเท้าและเด็กชายสองคนในชุดกะทัดรัดกำลังแอบอยู่ในมุมเสาของอาหารหินที่เก่าคร่ำคร่า บางส่วนถูกรื้อทิ้งไปหมดแล้ว แต่ทว่าในส่วนในสุดยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ดีทุกอย่าง มันเป็นแท่งหินขนาดใหญ่ทั้งตั้งอยู่กลางห้องซึ่งมีทางออกหลายทาง ปูด้วยผ้ากำมะหยี่ผืนหน้าอย่างดีราวกับจะป้องป้องสิ่งที่อยู่บนนั้น
“เจ้าพี่ดราฟ ข้าว่าเราออกไปเถอะ ถ้าท่านพ่อรู้ต้องแย่แน่เลย เลวาก็จะพลอยแย่ไปด้วยนะ” เด็กชายคนตัวเล็กเอ่ย แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงฝีเท้าของคนนับสิบกำลังตรงมาทางนี้ จึงรีบร้องด้วยความตกใจ “ทหารกำลังมา เรารีบไปกันเถอะ”
“โยเซฟ ข้ามาถึงขนาดนี้แล้วไม่ถอยเด็ดขาด ถ้าข้าจะไปก็ต้องมีสิ่งนั้นไปกับข้าด้วย” เด็กชายที่ตัวโตกว่าเอ่ยขึ้น เขาคือดราฟนั่นเอง ส่วนเด็กชายอีกคนก็คือโยเซฟไม่ผิดแน่ องค์ชายน้อยหันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยที่มองตอบกลับมาด้วยแววตาที่เคารพและเทิดทูน
“เลวา เจ้าเข้าไปหยิบมันมาให้ข้า ข้าอยากเห็นไข่ของมังกรเพลิงกับฟินิกซ์สีรุ้ง”
“เพคะองค์ชาย” เลวาตอบรับอย่างว่าง่ายก่อนจะวิ่งตรงไปที่แท่งหินกลางห้อง เธอเขย่งปลายเท้าหยิบไข่ใบสีส้มลายเปลวเพลิงให้ดราฟ แต่พอจะหยิบไข่ของฟินิกซ์สีรุ้ง มันกลับอยู่ลึกเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมถึง
“โธ่...ท่านฟินิกซ์เจ้าคะ มาหาข้าหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยพึมพำเบาๆ แต่น่าเหลือเชื่อที่ราวกับว่าไข่ใบนั้นขยับเข้ามาหาจนเธอสามารถหยิบมันลงมาจากแท่นได้สำเร็จ เป็นจังหวะเดียวกับที่ทหารองครักษ์และนางกำนัลวิ่งกรูกันเข้ามาพอดี ทำให้เด็กน้อยทั้งสามตั้งเขยิบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ามาทำไม” ดราฟร้องถามเสียงดังพยายามทำให้ดูทรงอำนาจที่สุด แต่ทว่านางกำนัลคนหนึ่งกลับส่ายหน้าช้า ก่อนเอ่ยกลับไป
“โธ่องค์ชาย รู้ตัวไหมเพคะว่าทรงทำอะไรอยู่ วางไข่นั่นลงซะแล้วเสด็จกลับกับหม่อมฉันเถอะเพคะ”
“ไม่” ดราฟตอบกลับเสียงแข็ง ก่อนจะยื่นไข่ของไฟอาร์ที่ตนถืออยู่ออกไปข้างหน้าเป็นเชิงข่มขู่ “ถ้าเจ้ายังไม่เลิกตาม ข้าจะเผาเจ้าแน่”
“อุ๊ย! ตายแล้ว” นางกำนัลคนเดิมยกมือขึ้นจับอกแสดงความตกใจ โดยที่ไม่มีใครสักเกตเลยว่า พวกเขากำลังขยับหนีถอยห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้าทางออกซึ่งทอดยาวออกไปไกล พวกเขาก็รีบวิ่งกันชนิดไม่คิดชีวิตทีเดียว
“ตามไปเร็ว”
เสียงตะโกนดังโหวกเหวกอยู่ข้างหลังสะท้อนไปทั่วทั้งอุโมงค์ทางเดินแต่ว่าไม่มีใครคนสนใจจะหันหลังกลับไปมอง จนในสุดที่โผล่ออกมายังหน้าอาคารหิน แต่สิ่งที่ผิดคาดไปคือเหล่านางกำนัลเมื่อครู่กลับมายืนรอดักทางพวกเขาอยู่แล้ว
“อ...องค์ชาย” เลวาร้องขึ้นเบาๆ เมื่อเหลือบไปเห็นว่าพี่เลี้ยงของตนก็ยืนอยู่ในเหล่านางกำนัลเหล่านั้นด้วย มือเล็กๆ ทั้งสองข้างโอบกอดไข่ของฟินิกซ์สีรุ้งไว้ขยับรัดแน่นเข้าไปอีก
“ไม่ต้องกลัวนะ” เสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนดังขึ้นจากโยเซฟ เด็กชายก้าวขึ้นมาบังร่างเล็กๆ ของเธอเอาไว้อย่างต้องการจะปกป้อง ผิดกับดราฟที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับทุกคนอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าเจ้าไม่เลิกตาม ข้าจะเผาพวกเจ้า”
ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือเปล่า แต่ทว่าทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ไข่ของมังกรเพลิงแห่งไฟอาร์ก็ตอบรับเสียงนั้นทันที...เปลวไฟลุกพรึบขึ้นล้อมรอบเหล่านางกำนัลทั้งหมด มันค่อยๆ ลุกสูงขึ้น...สูงขึ้น จนในที่สุดก็ล้อมทุกคนไว้จนเหมือนกับโดมเพลิงเลยดีเดียว
ดราฟผงะก้าวถอยหลังออกมาโดยไม่รู้ตัว สีหน้าดูตื่นตระหนกกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะเดียว ส่วนโยเซฟและเลวานั้นกลับวิ่งแจ้นไปตามทหารมาช่วยดับไฟทันที แต่ทว่าไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม เปลวไฟที่กำลังโหมไหม้ก็ไม่ได้อ่อนแรงลงเลย จนในที่สุด ทุกคนก็ได้แต่ยืนดีเท่านั้น
“ข้า...ข้ากลัว” เลวาเริ่มร้องไห้ออกมาในที่สุด มองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ แต่แล้วดราฟก็กลับยื่นมือที่ใหญ่กว่ามากุมมือเล็กๆ เอาไว้ นัยน์ตาที่มองลงมายังน้องน้อยแดงก่ำ แม้จะไม่มีน้ำตาสักหยดที่ไหลออกมาก็ตาม
“ข้าขอโทษ”
“ไม่! องค์ชายไม่ผิด” เด็กหญิงร้องแก้คำพูดของเขาทั้งน้ำตา มือข้างที่ถือไข่ของฟินิกซ์สีรุ้งกอดมันไว้แนบอกพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลลงกระทบไข่ใบนั้นจนมันเรืองแสงอ่อนๆ ออกมา
“ข้าอยากช่วยพวกเขา ข้าอยากช่วยยย...”
...เสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมกับลำแสงสีขาวนวลสว่างตาที่พุ่งแทรกเปลวไฟที่กำลังโหมไหม้อยู่เข้าคลุมร่างของนางกำนัลเหล่านั้นเอาหมดจนหมดก่อนที่เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำจะมอดลงไปในที่สิ้น ทิ้งไว้เพียงร่างไร้สติของนางกำนัลที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยไหม้จะเป็นจุด
เลวายิ้มทั้งน้ำตากับภาพที่เห็นก่อนจะร่างของเธอจะทรุดลงไปในอ้อมแขนของดราฟที่เข้ามาประครองเอาไว้ได้อย่างทันเวลา
....
ภาพเหตุการณ์ที่ซาเนียย่าได้เห็นจบลงเพียงเท่านั้นทำให้เธอสะดุ้งขึ้นจากภวังค์ในอดีตที่ฟินิกซ์สีรุ้งถ่ายทอดให้เธอผ่านทางความคิด
“นั่นข้า...มองทุกสิ่งผ่านดวงตาของเจ้าหรอ เจ้านก” เธอพึมพำเบาๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะหยกสีขาวที่เหน็บอยู่ข้างเอว นัยน์ตาสีน้ำตาลอย่างช้าๆ และเข้าไปในห้วงนิทราในที่สุด
เช้าตรู่ของวันเริ่มการรักษาซาคานในที่สุดก็เกิดเหตุให้ตกใจเล่นกันถ้วนหน้า เมื่อจู่ๆ ซาคานก็เกิดลุกคิ้วมาเดินได้ปรือเหมือนคนปกติ แถมยังมาปลุกสองสาวนักฆ่าถึงห้องนอนอีกต่างหาก แต่พอผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเขาก็ต้องกลับไปนอนทรมอยู่บนเตียงอีกครั้งจนได้
“นี่แหละนะ โรคพลังแปรปรวน” มาริเอะบ่นขึ้นเบาๆ ระหว่างที่นั่งลงตรวจชีพจรของเขาอีกครั้ง “ตอนนี้ร่างกายของซาคานกำลังอยู่ในช่วงปกติเหมือนคนไม่สบายธรรมดา ไม่มีอาการต่อต้านพลังใดๆ ทั้งสิ้น ข้าว่าถ้าจะรักษาเขา เราก็ควรจะเริ่มกันเสียแต่ตอนนี้เห็นจะดี”
ซาเนียย่าที่ยืนฟังอยู่ด้วยก็พยักหน้ารับเออออห่อหมกตามเขาไปด้วย ก่อนจะเดินไปหยิบไข่ทั้งสามใบออกมาจากตู้เก็บ ใบสีใสยื่นให้มาริเอะ ใบสีส้มลายเปลวเพลิงยื่นให้ดราฟ และใบสุดท้ายซึ่งเป็นสีขาวนวลนั้นเธอเป็นคนถือไว้เอง แม้ว่าการรักษาคราวนี้จะไม่จำเป็นต้องใช้พลังของภูติแสง แต่การกันไว้ก่อนก็เป็นการดีที่สุด
มาริเอะและดราฟสบตากันเล็กน้อยก่อนจะก้าวไปยืนอยู่ทั้งสองข้างของเตียงพร้อมกับยื่นไข่มาข้างหน้า ทันใดนั้น แสงสีขาวและแดงก็พุ่งออกมาจากไข่ทั้งสองใบเข้าชนกัน
ซ่า...!! ซาเนียย่าสะดุ้งเล็กน้อยยามแสงทั้งสองสีพุ่งเข้าชนกัน มันก็เหมือนน้ำกับไฟที่ต่างก็ไม่มีใครยอมใคร แต่แล้วทุกอย่างมันก็ค่อยๆ ดีขึ้น การต่อต้านระหว่างสองพลังค่อยๆ ลดน้อยลง...จากที่ผลักดันกัน กลายเป็นดูดกัน จนในที่สุดมันก็มันก็กระหวัดพันเกี่ยวจนกลายเป็นสีส้มอ่อนไปในที่สุด
“ได้จริงๆ สินะ” เธอพึมพำเบาๆ ยามเฝ้ามองลำแสงที่พุ่งเข้าครอบร่างของซาคานเอาไว้จนกลายเป็นครอบแก้ว แต่ตอนนั้นเองที่เธอเริ่มตระหนักว่าแม้พลังจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่คนใช้ก็มีขีดจำกัน เพราะตอนนี้ใบหน้าของมาริเอะกำลังซีดเผือด เหงื่อออกเต็มหน้าไปหมด ดูทีเดียวก็รู้ว่ากำลังถูกพลังของไฟอาร์ดูดพลังอยู่
‘ทำไมนะ’
‘เป็นอย่างที่องค์ชายตรัส’ ฟินิกซ์สีรุ้งเอ่ยขึ้นในหัวด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก ‘ไฟอาร์ช่างเป็นพลังที่ป่าเถื่อนจริงๆ มันดูดพลังทุกคนที่สัมผัสกับตัวมัน ดีหน่อยที่พระองค์ทรงมีสายเลือดของไฟอาร์อยู่ถึงครึ่ง การดูดพลังจึงไม่มากเท่าคนปกติ’
ซาเนียย่าพยักหน้ารับช้าๆ ‘ข้าจะต้องช่วย’
และเร็วเท่าความคิด ไข่ของฟินิกซ์สีรุ้งก็ถูกยื่นออกมาตรงหน้าพร้อมกับก้อนพลังที่กลั่นออกมาจนเป็นลำแสงสีขาวนวลตาพุ่งเข้าแทรกซึมลงไปในร่างของดราฟและมาริเอะราวกับเกราะภูมิต้านทานที่คอยกันไม่ให้พลังของไฟอาร์ดูดพลังของแต่ละคนไปมากกว่านี้ แต่ทว่าผลที่ออกมาคือเธอกำลังถูกดูดพลังไปแทน แถมยังเป็นจำนวนมากเท่ากับของการที่ทั้งสองถูกดูดรวมกันเสียอีก
ดราฟหันมามองด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าซาเนียย่ากำลังแย่ แต่เธอก็ยังยิ้มตอบกลับไปแม้จะฝืนสังขารตัวเองมากแค่ไหนก็ตามเพราะรู้ดีว่าตอนนี้การรักษาดำเนินมาจนถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็หยุดไม่ได้
‘ข้าไม่มีแรง’ เธอเอ่ยขึ้นในหัวพร้อมกับทรุดลงนั่งกองกับพื้น แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีแรงแม้กระทั่งจะพูด แต่มือทั้งสองข้างก็ยังถือไข่ไว้แน่น ไม่ให้มันตกพื้นได้เป็นอันขาด ‘ฟินิกซ์...’
‘เจ้าต้องปล่อยมือจากข้าซะ เดี๋ยวนี้’ ฟินิกซ์สีรุ้งเอ่ยเสียงกร้าว แต่ซาเนียย่าก็ยังคงดื้อรันไม่เชื่อฟัง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองตรงไปยังครอบแก้วที่เริ่มมีรอยร้าวเพราะพลังของฟินิกซ์สีรุ้งที่ถ่ายทอดจากเธอกำลังอ่อนแอลง ทำให้พลังของไฟอาร์หวนกลับไปเล่นงานดราฟและมาริเอะอีกครั้ง
‘ถ้าเป็นพี่ พี่ก็ต้องไม่ปล่อยมือใช่ไหมคะ พี่มารี่’
เธอร้องขึ้นในหัวพร้อมกับฮึดสู้ขึ้นอีกเป็นครั้งสุดท้าย ลำแสงสีขาวนวลที่พุ่งของจากไข่ของฟินิกซ์สีรุ้งเปล่งแสงเรืองจ้าและใหญ่กว่าทุกครั้ง ก่อนที่มันจะหดลงอย่างรวดเร็วและตกลงพื้นเพราะการใช้พลังเป็นเวลานานแถมยังเป็นจำนวนมากอีก ทำให้ร่างกายที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาอ่อนล้า และความอ่อนล้านั่นเองคือฉนวนที่ทำให้สมดุลพลังทั้งสามสิ้นสุดลง
...ครอบแก้วแตกกระจาย...เกลียวพลังของภูติแสงและไฟอาร์แยกออกจากกันก่อนจะพุ่งสะท้อนเข้าหาตัวผู้ใช้... ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกับสติของซาเนียย่าที่เริ่มเลือนรางเต็มทน ในหัวได้ยินแต่เสียงร้องของดราฟและมาริเอะ เสียงพลังที่แตกส่าน เสียงฟินิกซ์สีรุ้งที่กำลังร้องว่า และสัมผัสอบอุ่นยามมือไปแตะโดนสิ่งบางสิ่งที่เธอเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา
หยกรูปหงส์สีขาว...เลวา
‘หากเจ้าได้ยิน ช่วยข้าหน่อยได้ไหม ข้าอยากเก่งขึ้นกว่านี้ อดทนกว่านี้ ฉลาดกว่านี้ เพื่อคนที่เจ้ารัก และเพื่อคนที่ข้ารัก... เพื่อสิ่งๆ เดียวกัน’
ความคิดเห็น