คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : รวมตัว
บทที่ 10 : รวมตัว
ฉันถอนใจพลางมองเจ้าองค์ชายรัชทายาทตัวดีที่ชอบทำอะไรไม่บอกไม่กล่าว แถมยังทำกับฉันเหมือนตัวอะไรอีกต่างหาก
อ้อ! ก็ใช่สิ ฉันนะมันเป็นหนี้ชีวิตเขานี่ เขาจะทำอะไรก็ไม่ผิดอยู่แล้ว แต่ฝากไว้ก่อนเถอะ ถึงตาฉันเมื่อไหร่ละก็....น่าดูแน่
ก็ตอนนี้นะ ฉันมีฟินิกซ์สีรุ้งเป็นพวกแล้วนะ คอยดูฉันให้ดีเถอะ
...........................
ซาเนียย่ากระโดดขึ้นไปดูต้นทางบนกำแพงวังก่อนกระโดดลงไปเปิดประตูจากทางด้านนอกให้มาริเอะพาดราฟที่แบกซาคานออกมาจากวัง แล้วจึงพาเดินเลียบกำแพงไปโผล่ที่หน้าโรงเตี๊ยมที่ทั้งเล็กและโทรมแห่งหนึ่ง โชคดีหน่อยที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก ผู้คนเลยไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าที่ควร
“อ่า...ถึงแล้ว ที่นี่แหละที่พวกข้าชอบมาพักนะ” หญิงสาวนักฆ่าร้องบอกพร้อมกับลากมาริเอะให้เดินเข้าไปด้วยกัน แต่ทว่าดราฟกลับชะงักเท้าไม่ยอมเข้าไป
“เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมจะไม่คาบข่าวไปบอกโพธิ์ดำหรือใคร”
คนถูกถามกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย นี่เขาเห็นเธอเป็นพวกทำอะไรไม่คิดหรืออย่างไรนะ
“มันไม่ไปบอกใครแน่ ถ้าท่านมีเงินมากพอจะอุดปากมันนะ”
เอ่ยยังไม่ทันจบดี เสียงฝีเท้าดังตึกตักก็ดังขึ้นก่อนที่ชายวัยกลางคนหน้ากลมๆ หัวล้านแต่งตัวสกปรกเหมือนหมูก็ยื่นออกมาจากหลังประตูไม้สีซีด
“ยังเช้าๆ อยู่มาทำอะไรเอะอะอยู่หน้าร้านข้า” เจ้าของร้านตวาดเสียงกร้าว ยิ่งเมื่อหันไปเห็นซาเนียย่าที่ยืนยิ้มระรื่นอยู่ข้างๆ มาริเอะด้วยแล้วยิ่งเหมือนจะโมโหเข้าไปใหญ่ หน้าของเขาแดงแปร๊ดขึ้นทันที “กลับมาทำไมอีกนังตัวดี คราวที่แล้วเจ้าเกือบจะพังร้านข้าไปแล้วนะ แถมค่าอาหาร...”
“อะแฮ่ม” ซาเนียย่าโยนถุงเงินเล่นไปมาอย่างสบายอารมณ์ เพราะรู้ดีแล้วว่าเจ้าคนนี้นะเห็นเงินยิ่งกว่าพระเจ้าเสียอีก “โธ่ ข้ากะว่าจะเอาเงินนี้มาใช้ค่าเสียหายให้เจ้า แต่ดูท่าเจ้าจะไม่ค่อยอยากรับมันสักเท่าไหร่ หึ! ว่าไงเจ้าเฟหน้าหมู”
“อะ...ใครบอกเจ้าละ เอาเงินของข้ามานี่นะ” เฟรีบคว้าถุงเงินไปจากมือซาเนียย่าทันที เธอได้แต่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะเดินเอามือล้วงกระเป๋าเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างวางมาด โดยที่เฟรีบวิ่งเข้าไปจัดการหาที่หาทางให้นั่งอย่างดิบดีแต่ว่าเธอกลับปฏิเสธ
“นั่นมันเงินของข้านะ” ดราฟเดินแบกซาคานเข้ามากระซิบที่ข้างหูอย่างอาฆาตก่อนเดินผ่านไปแต่เธอกลับหัวเราะออกมาอย่างขบขันก่อนหันไปตีหน้าจริงจังใส่เฟ
“เฟ ข้าต้องการกุญแจ” ซาเนียย่าชะโงกหน้าข้ามเคาเตอร์ไปกระซิบเสียงเบาๆ เฟเบิกตากว้างทำท่าจะร้องออกมาแต่ทว่ามาริเอะที่ยืนอยู่ด้านหลังก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้จึงชักมีดออกมาจ่อที่คอของเขาจนเป็นรอยแดง
“ทำตามที่ซาเนียบอกซะ” มาริเอะถลึงตามองพร้อมกับออกแรงกดใบมีดเข้าไปอีกเป็นการกดดันอีกฝ่ายซึ่งมันก็ได้ผลกับคนที่กลัวตายอยู่แล้ว
“ดะ ได้จ้ะๆ” เฟเอ่ยเสียงสั่นรีบล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบกุญแจเก่าๆ ดอกหนึ่งขึ้นมายื่นให้ แต่ทว่าซาเนียย่ากลับไม่พอใจเพียงแค่นั้น เพราะถ้าเขากลัวจนยอมให้ทุกอย่างแก่พวกเธอ เขาก็มีสิทธิจะบอกทุกอย่างแก่พวกโพธิ์ดำเพื่อให้ตัวเองรอดตายเช่นกัน
“ถ้าใครรู้ว่าพวกข้าอยู่ที่นี่คงจะรู้นะว่าชีวิตเจ้ามันจะเป็นเช่นไร” ซาเนียย่าขู่ด้วยรอยยิ้มหวาน ก่อนจะผลักเฟจนล้มไปชนกับโต๊ะล้มระเนระนาด แต่ก่อนจะเดินจากไปก็ไม่ลืมโยนถุงเงินอีกทิ้งใส่หัวของเขาเป็นค่าปิดปาก
เมื่อซาเนียย่าเดินมาสมทบกับคนอื่นๆ ที่หน้าทางเดินเข้าห้องพัก ดราฟก็บอกว่าซาคานเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เขาได้แต่ลืมตาเท่านั้น เพราะร่างกายที่ได้รับพลังและถูกดูดพลังออกไปอย่างรวดเร็วไม่สามารถปรับตัวได้ทันทำให้เรี่ยวแรงพลอยหมดไปด้วย
“เจ้าได้ยินข้าไหม” มาริเอะก้มลงกระซิบเบาๆ แต่ก็ไม่มีอาการตอบสนอง พอจับชีพจรที่ข้อมือของเขาก็พบว่ามันเต้นเบามาก แต่จู่ๆ ก็กลับมาเต้นแรงเป็นแบบนี้สลับกันไปมา “ชีพจรแปรปรวน”
ซาเนียย่าสบตากับรุ่นพี่สาวเพียงครู่ก็รู้ทันทีเลยว่าตอนนี้อาการเขาไม่ได้กำลังดีขึ้น แต่มันกลับแย่ลงต่างหาก...
“เราต้องรีบพาเขาไป” มาริเอะเอ่ยเสียงเครียดท่ามกลางการจับตามองของดราฟ ซาเนียย่ารีบวิ่งนำทุกคนเข้าไปในห้องพักห้องในสุดซึ่งถ้าดูผิวเผินก็ไม่ต่างจากห้องที่ผ่านๆ มา แต่ทว่าตอนนี้เธอกำลังจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ไม่มีใครพบเห็น
ซาเนียย่าถลกผ้าคลุมเตียงขึ้นก่อนก้มลงที่ด้านข้างของเตียง ถ้าลองคลำๆ ดูก็จะพบว่ามีรูอยู่รูหนึ่ง แต่สำหรับคนที่ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นประจำอย่างเธอแล้วแม้กระทั่งหลับตาก็ยังหารูเจอเลย เธอหยิบกุญแจที่เอามาจากเฟเสียบลงไปที่รูนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนดูผลงานตนเอง
ครืน...
เสียงเหมือนกลไกฟันเฟืองเหล็กบางอย่างทำงานพร้อมกับที่ฐานของเตียงยกตัวขึ้นสูงโดยมีเหล็กแท่งใหญ่คอยค้ำยันเอาไว้ทั้งสี่ทิศจนสามารถเห็นบันไดที่ทอดตัวยาวลงไปในความมืดเบื้องล่าง
“แต่นแตนแต๊น...!!! เชิญลงไปสู่ฐานบัญชาการลับอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มนักฆ่ากุหลาบดำที่ทางการตามหามานานแส้นนน...นานได้เลยเจ้าค่า...”
“หึๆๆ ก็ข้านี่แหละทางการ” ดราฟพึมพำก่อนหัวเราะกับท่าทางดีใจจนออกนอกหน้าของนักฆ่าสาว แต่พอเห็นเจ้าตัวไม่ยอมลงไปสักทีเขาก็ถึงกับถีบลงไปทีเดียว
“อ๊าก ท่านนี่ถีบกันได้นะ” ซาเนียย่าร้องเสียงดังระหว่างลุกขึ้นจากพื้นก่อนเอ่ยเร่งให้มาริเอะกับดราฟลงมา แต่ด้วยความที่ว่ามันมืดมากทำให้การแบกผู้ชายตัวใหญ่ๆ ลงมาด้วยเป็นไปด้วยความยากลำบาก
“ทางไปฐานบัญชาการของเจ้านี่ดีจริงๆ นะ” ดราฟเอ่ยแกมประชด “ถ้าจะติดโคมไฟเสียหน่อยคงจะไม่เสียงบมากนัก... ไฟอาร์”
สิ้นเสียงขององค์ชายหนุ่มก็ปรากฏดวงไฟสีส้มแดงนับสิบๆ ดวงขึ้นล้อมรอบตัวเขา ก่อนที่มันจะลอยกระจายไปทั่วทั้งอุโมงค์ทำให้เห็นว่าภายในนี้เต็มไปด้วยไม้ขนาดต่างๆ ที่แปะติดอยู่เต็มผนังไปหมด มีตะไคร่น้ำขึ้นเป็นหย่อมๆ บางจุดก็มีน้ำไหลซึมลงมา
“เฮ้ย...” ดราฟถอนใจออกมาเบาๆ พลางกรอกตากับสภาพอุโมงค์ที่ตนยืนอยู่ก่อนจะเดินตามนักฆ่าสองสาวไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ให้ตายเถอะน่า...” ซาเนียย่าร้องลั่นพลางกวาดมองไปทั่งทั้งห้องโถงที่ครั้งหนึ่งพวกเธอเคยใช้เป็นห้องประชุมสำหรับวางแผนการต่างๆ แต่ทว่าตอนนี้สภาพมันแถบจะไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แน่น้อย... โต๊ะไม้กลางห้องล้มคว่ำขาหัก กองเอกสารถูกเผา เปลที่พริมซ์เคยใช้นอนก็ถูกกรีดไม่เหลือชิ้นดี
“พวกโพธิ์ดำคงจะมาค้นที่นี่แล้ว เจ้าพ่อบ้านนั่นก็คงตายไปด้วย” มาริเอะเอ่ยเสียงเรียบ พยายามไม่แสดงความรู้สึกออกมาในน้ำเสียง แต่ทว่าสำหรับซาเนียย่ากลับต่างกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอโกรธแค่ไหน แต่ทว่าความเสียใจที่เห็นสิ่งของที่เก็บความทรงจำของพวกเขาถูกทำลายมันมีมากกว่า
“ข้าว่าเราไปหาที่อื่นเถอะ” ซาเนียย่าตั้งท่าจะเดินกลับแต่ดราฟกลับใช้มือเพียงข้างเดียวรั้งเธอเอาไว้ก่อนเอ่ยเตือนสติ
“ซาคานต้องการที่พัก เดี๋ยวนี้”
ซาเนียย่าชะงักไปนิดหนึ่งก่อนพยักหน้ารับ แล้วหันหลังเดินไปเปิดประตูบานหนึ่งที่จะนำพวกเธอไปสู่ที่พัก...ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงนัยน์ตาที่ว่างเปล่าคู่หนึ่ง แต่จู่ๆ เธอก็โยนถุงใส่เงินถุงหนึ่งให้ดราฟ
“นี่มันเงินข้านี่ แล้วเงินที่เจ้าให้เจ้าของโรงเตี๊ยมนั่นไป...” ดราฟเอ่ยยังไม่ทันจบก็ต้องชะงักไปทันทีที่ซาเนียย่าหันมามอง
“ถุงนั่นมีแต่ก้อนหินกับยาพิษเท่านั้นหละ”
‘ตอนนี้เจ้าปกป้องคนที่เหลือได้นะ’
เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นที่ข้างหู มันเบาเหมือนเสียงกระซิบ แต่กลับดังชัดในโสตประสาท และโดยไม่รู้ตัวซาเนียย่าก็ถามกลับไป
“อย่างไรละ”
“เจ้าว่าอะไรนะ” มาริเอะกระโดดเข้ามาถามพลางหรี่ตามองรุ่นน้องสาวราวกับจะจับผิด แต่พอโดนถามแบบนั้นซาเนียย่าก็รู้ทันทีว่าเมื่อกี้ไม่มีใครได้ยินเสียงเหมือนเธอเลยรีบตอบปฏิเสธไป
‘เกือบไม่รอดแนะ เรานี่ชักหูฝาดแล้วสิ’ ...หญิงสาวคิดขณะที่โผล่ขึ้นมาบนพื้นดินอีกครั้ง เบื้องหน้าเธอต้นไม้ต้นใหญ่
‘อ้าว! ก็ใครว่าเจ้าหูฝากละสาวน้อย’ เสียงปริศนาตอบกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เธอนึกออกทันทีว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของใคร
“ฟินิกซ์สีรุ้ง” ซาเนียย่าร้องลั่น จนทั้งมาริเอะและดราฟหันมามอง “เสียง...เสียงของฟินิกซ์สีรุ้งดังในหัวข้าอะ”
“ฮ่าๆๆ” มาริเอะหัวเราะออกมาก่อนเดินมาลูบหัวเธออย่างเอ็นดู “ก็เจ้าเป็นผู้ใช้พลังของฟินิกซ์สีรุ้งนี่ ถึงตัวเขาจะอยู่ในไข่แต่ถ้าเจ้าจะได้ยินเสียงเขาก็ไม่แปลก”
‘ใช่ๆ แม่สาวคนนี้พูดถูก’ เสียงฟินิกซ์สีรุ้งรีบร้องเข้าข้างมาริเอะทันที
ซาเนียย่าเบ้ปาก ถ้าแบบนี้ก็เท่ากับว่าไม่ว่าเธอจะคิดอะไรเจ้านกฟินิกซ์นี่ก็ต้องรู้ไปด้วย เธอไม่ชอบเลย
‘ข้าได้ยินนะว่าเจ้าบ่นอะไร’ ฟินิกซ์สีรุ้งบ่นกระปอดกระแปด แต่ว่าเธอไม่สน
ฝ่ายดราฟเองก็เฝ้ามองซาเนียย่าเหมือนพิจารณาความโชคดีที่ได้ครอบครองพลังของเธออย่างถี่ถ้วน ก่อนจะละสายตาไปมองต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าแทน
“เจ้าคงไม่ให้ข้าแบกซาคานปีนต้นไม้หรอกใช่ไหม”
ซาเนียย่าเลิกคิ้วสูงเหมือนเพิ่งนึกได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเงยขึ้นมองบ้านไม้หลังไม่ใหญ่มากบนต้นไม้สูงเกือบสิบเมตรก่อนจะหันไปมองดราฟอย่างชั่งใจ เพราะเมื่อก่อนพวกเธอนึกจะขึ้นเมื่อไหร่ก็แค่กระโดดขึ้นไปก็หมดเรื่อง
“ข้าบอกแล้วไงว่าที่นี่นะฐานบัญชาการของกุหลาบดำ เรื่องแค่นี้หายห่วง” ซาเนียย่าชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ที่บ้านตั้งอยู่ “ข้างในนั่นมีรอกซ่อนอยู่ มันสามารถพาคนขึ้นไปได้แค่สามคน พี่มารี่จะเป็นคนนำทาง ส่วนข้าจะขึ้นไปเอง”
เอ่ยจบมาริเอะก็พาดราฟไปทันที เธอยืนมองทั้งสองหายเข้าไปในรอกจนลับตาแล้วตัวเองจึงค่อยกระโดดขึ้นไปเจอทุกคนที่ด้านบนบ้านอีกครั้ง
หญิงสาวกวาดมองรอบบ้านอย่างพึงพอใจ ทุกอย่างยังคงอยู่ดีไม่มีชิ้นไหนหายหรือตกหล่น แสดงว่าโพธิ์ดำยังหาที่แห่งนี้ไม่เจอ เธอเดินไปเปิดประตูห้องนอนตัวเองให้ดราฟกับมาริเอะพาร่างของซาคานเข้าไปวางไว้บนเตียงของเธอ ส่วนไข่ทั้งสามใบก็ถูกนำไปเก็บไว้ในตู้อำพรางสายตาอย่างดี
“อาการเขายังไม่ดีขึ้นเลย” มาริเอะเอ่ย “เจ้าช่วยถอดเสื้อคลุมของเขาออกหน่อย คนป่วยต้องการอาการถ่ายเท”
“ได้เลยเจ้าค่ะคุณหมอ” ซาเนียย่าแซว แต่เพียงแค่ก้มลงมองซาคานใกล้ๆ เท่านั้นเธอก็ถูกอะไรบางอย่างดีดลอยกระเด็ดออกมา แต่โชคดีที่มาริเอะวิ่งเข้ามารับไว้เสียก่อน
“นั่นมันอะไรนะ”
“แค่อาการ...ของโรคพลังแปรปรวน” ดราฟตอบพลางเดินเข้าไปใกล้ๆ ซาคาน แต่ว่าเขากลับไม่ถูกดีดออกมาเหมือนเธอ “เห็นได้ชัดว่ายังมีพลังไฟอาร์อยู่ในร่างของเขา และมันก็ไม่ถูกกับพลังของฟินิกซ์สีรุ้งอย่างแรง”
ทุกคนพยักหน้ารับก่อนที่เขาจะสร้างลูกไฟขึ้นมาลูกหนึ่งแต่มันลอยนิ่งๆ อยู่ได้ไม่นานก็พุ่งเข้าหาซาคานเหมือนกับวัตถุที่ถูกแม่เหล็กดูด แต่ดราฟกลับยื่นมือออกมาบังคับลูกไฟของเขาให้ถอยห่างออกมาเสียก่อน
“และอีกประการคือมันดูดกลืนพลังของไฟอาร์มาไว้ในตัวเอง” มาริเอะเอ่ยเสริม
“ใช่” ดราฟดับไฟของตนลง “และบางทีอาจหมายถึงพลังของเงาด้วย”
“แล้วทำไมทีตอนท่านยังอุ้มซาคานได้เลยละ” ซาเนียย่าถามต่อด้วยความสงสัย
“ก็มันคืออาการพลังแปรปรวนไงละ...เจ้าเข้าใจคำว่าพลังแปรปรวนใช่ไหม”
“อืม...ยุ่งยากจังแหะ” เธอพึมพำเบาๆ
‘ใช่ ยุ่งยากน่าดู’ ฟินิกซ์สีรุ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับดึงสติของเธอลงมาอยู่ในภวังค์ที่มีเพียงแค่พวกเธอสองคน ‘แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการแก้ ในเมื่อต้องใช้พลังในการรักษาของแสงซึ่งแน่นอนว่าพลังของไฟอาร์ก็ต้องตีกลับเหมือนพลังของข้า แต่ถ้าใช้การผสมรวมระหว่างแสงกับไฟอาร์ก็ใช่ว่าจะไม่ได้’
‘อย่างไรละ’ ซาเนียย่าถามกลับ
‘ถ่ายถอดพลังจากไข่ของภูติแสงและมังกรเพลิงเข้าด้วยกัน แม้ว่ามันจะยากเสียหน่อยและผลที่ได้จะไม่เต็มร้อยแต่ก็ถือว่าดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ ภูติแสงจะช่วยทำให้เขากลับมาเป็นปกติมากที่สุด ส่วนไฟความร้อนของมังกรเพลิงจะเผาพลังของไฟอาร์ที่มีอยู่ในตัวเขาเอง’
“อืม...ใช้พลังจากไข่ของแสงกับไฟอาร์รวมกันรักษาซาคาน” ซาเนียย่าเอ่ยขึ้น แต่กลับทำให้อีกสองคนหันมามองทันทีจึงรีบเอ่ยเสริม “คือว่าฟินิกซ์สีรุ้งบอกข้านะ”
ดราฟหรี่ตาลองเล็กน้อย นัยน์ตาสีมรกตเต็มไปด้วยความหนักใจ “นั่นอาจเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง แต่ตอนนี้เราต้องรอคนของภาคีก่อน เราต้องวางแผนก่อนที่จะลงมือทำอะไร”
“ภาคี” สองสาวร้องขึ้นทันที มาริเอะลุกขึ้นชักกริชออกมาชี้ไปทางชายหนุ่มอย่างไม่เกรงกลัว “เจ้ามีอะไรที่ไม่ได้บอกพวกเรา”
ดราฟเอียงคอเพียงเล็กน้อยใบมีดของกริชที่อยู่ในมือของมาริเอะก็ถึงกับละลายทันที “ไม่มีความจำเป็นที่ต้องบอกพวกเจ้า รู้ไว้เพียงว่าคนของข้ากำลังมาที่นี่”
ซาเนียย่าถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วง มือก็กดไหล่ของรุ่นพี่นักฆ่าสาวให้นั่งลงก่อนที่จะมีใครสักคนในห้องนี้ตาย ไม่ใช่ว่าเธอไม่โมโหที่เขาแสดงกิริยาแบบนี้กับเธอ เพียงแต่รู้ว่าความโมโหไม่อาจเอาชนะชายตรงหน้านี้ได้ต่างหาก
“ท่านไม่มีเหตุผล เพราะไม่ว่าท่านจะอ้างอะไรก็ตาม อย่างน้อยพวกข้าก็มีส่วนในการช่วยพวกท่าน ที่ๆ ท่านอยู่ตรงนี้ก็บ้านของข้า...ห้องของข้า ตามกฎแล้วข้ามีสิทธิ์จะรู้ว่าท่านกำลังจะทำอะไรกับที่ของข้า จริงไหมองค์ชาย...หรือว่าคนตั้งกฎจะเป็นคนแหกกฎเสียเองละ”
ได้ผลเกินคาด หน้าของดราฟแดงแปร๊ดเหมือนกำลังจะระเบิดออกมาเลยทีเดียว
“แน่นอนว่าเจ้าอาจจะมีสิทธิ์ คนที่จะมาคือคนของภาคีต่อต้านเงาที่ข้าตั้งขึ้นอย่างลับๆ พวกเรากำลังดำเนินแผนในการกำลังพวกโพธิ์ดำและพวกที่คิดจะล้มล้างราชบัลลังก์ ซึ่งเมื่อก่อนพวกเจ้าก็เคยเป็นหนึ่งในบัญชีดำที่พวกข้าต้องกำจัด”
“โอ๊ะโอ...แย่จังแหะ” ซาเนียย่าแสร้งร้องด้วยสีหน้ากวนๆ “แล้วตอนนี้พวกท่านคงจะไม่คิดจับข้าขึ้นแดนประหารหรอกนะ”
“หึๆๆ” ดราฟร้องในลำคอ “ข้าทำแน่ถ้าเจ้าเล่นตุกติก”
เธอกรอกตาไปมาอย่างเอือมระอา นี่เธอกับเขาร่วมหัวจมท้ายกันมาถึงตอนนี้แล้วยังอุตสาห์คิดว่าพวกเธอยังจะหักหลังอีกหรือ
“ถ้าข้าคิดจะทำอย่างนั้นท่านไม่อยู่มาจนถึงตอนนี้หรอก”
แสงแดดยามบ่ายที่ร้อนชนิดทอดไข่สุกส่องลงมายังพื้นโลกอย่างที่ไม่ปรานีใคร แต่กระนั้นดราฟก็ยังสั่งให้ซาเนียย่าลงมาคอยดูต้นเพื่อว่าจะมีใครมา แต่นั่งรอนอนรอจนเที่ยงแล้วก็ยังไม่มีใครมากสักคน น้ำสักหยด ข้าวสักคำก็ไม่ตกถึงท้อง จะดีหน่อยที่มีเงาไม้ไว้หลบแดดกับมีเสียงคุยตลอดเวลาของเจ้าฟินิกซ์สีรุ้งที่คุยเก่งยิ่งกว่าเธอเสียอีก
‘เจ้ามีตัวตนมีรูปร่างหรือเปล่า’ หญิงสาวถามขึ้นในจิตใจ มือก็เล่นหักกิ่งไม้ไปเรื่อยๆ ตอนนี้เธออยู่ชุดหนังสีดำเหมือนที่เคยใส่แต่คราวนี้มีฮูดติดอยู่ด้วย
‘มีสิ ก็ข้าเป็นฟินิกซ์ไงเล่า’ เสียงตอบกลับมาดังก้องขึ้นในหัว มันเป็นเสียงที่เธอเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเสียงของเพศผู้หรือเพศเมีย
‘ไม่ใช่ๆ ข้าหมายถึงร่างมนุษย์นะ เจ้าไม่มีรูปร่างที่เป็นมนุษย์มั้งเลยหรอ’ ซาเนียย่าแก้คำถามใหม่พลางเอยหลังพึงต้นไม้อย่างสบายอารมณ์
‘มีสิ อะฮ่า...เจ้าอยากจะเห็นข้าใช่ไหมละ เสียใจด้วยนะแม่หนู พลังเจ้านะเพียงไม่พอที่จะทำให้ข้าปรากฏตัวได้หรอก
หญิงสาวเบ้หน้าทันที ‘นี่ท่านกำลังแอบว่าข้าไม่มีความสามารถละสิ ชิ! แล้วแบบนี้ท่านจะมาเลือกข้าเป็นผู้ใช้พลังทำไมละ สู้ไปเลือกคนที่มีพลังแก่กล้าไม่ดีกว่าหรืออย่างไร’
‘โอ๋ๆ อย่างอนสิสาวน้อย’ ฟินิกซ์สีรุ้งเอ่ยพร้อมกับสายลมที่พัดมาปะทะแก้มเบาๆ “เรื่องการเลือกผู้ใช้พลังนะมันอยู่ที่โชคชะตาส่วนหนึ่ง ส่วนอีกส่วนหนึ่งก็คือหัวใจแห่งการปกป้องของเจ้าต่างหากนะ”
‘หึ ไม่ต้องมายอข้าหาจังหวะนอกเรื่องเลยนะ’ เธอดุใส่ แต่จังหวะนั้นเองลางสังหรณ์บางอย่างก็บอกเธอว่ามีคนกำลังมา พอชะโงกหน้าลงไปก็พบคนกลุ่มหนึ่งที่สวมผ้าคลุมปิดหน้าปิดตามิดชิดจำนวนห้าหกคนยืนมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาทางไป แต่บางคนก็ส่งเสียงซุบซิบบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์
“เห็นทีเรามีแขกมาเยือนแล้วสิ” ซาเนียย่าพึมพำกับตัวเองพลางดึงฮูดสีดำขึ้นมาปิดหน้าก่อนจะดิ่งทิ้งตัวลงไปเบื้องหน้าผู้มาใหม่ทั้งหลายด้วยรอยยิ้มที่เหยียดจนเป็นเส้นตรง นัยน์ตาสีน้ำตาลส่องประกายแวววับและถ้าเป็นคนที่รู้จักกันดีก็จะรู้เลยว่า...นักฆ่ากลับมาแล้ว
“ว้าย!!” คนในชุดคลุมคนหนึ่งถึงกับร้องออกมาเลยดีเดียว บางคนก็สะดุ้งโหยง ดูก็รู้เลยว่าคนพวกนี้บางคนสู้ไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ
“พวกท่านเป็นใคร” นักฆ่าสาวถามเสียงเรียบ มือจับอยู่ที่ด้ามมีดยาวที่เหน็บอยู่ที่เอวด้านหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาลภายใต้ฮูดพยายามมองไล่แขกผู้มาเยือนทีละคน
“ข้ามาหาองค์ชาย”
คนในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มร่างสูงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับก้าวออกมาข้างหน้าราวกับจะแสดงตนว่าคือหัวหน้าอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นรึ” ซาเนียย่าถามเสียงสูงพร้อมกับปามีดออกไปเฉียวหัวของเขาจนผ้าคลุมหน้าขาดวิ่นและปลิวกระเด็นไปจนเผยให้เห็นใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาอย่างหนุ่มเจ้าสำอาง เรือนผมสีอัญชันยาวถึงกลางหลังพลิ้วไสวตามสายลม นัยน์ตาสีเดียวกันมองตรงมาที่เธอไม่มีวี่แววโกรธเคืองแม้แต่น้อย
“องค์ชายโยเซฟ” หญิงสาวในผ้าคลุมที่ร้องว้ายรีบวิ่งเข้ามาชายหนุ่มทันทีก่อนจะเปลี่ยนทิศทางมามองซาเนียย่าอย่างมุ่งร้าย แต่ทว่าเพียงแค่สบตากันเธอกับถึงกับนิ่งไปทันที
ซาเนียย่าไล่มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ผิดคนแน่ก่อนจะพาพวกเขาไปยังบ้านต้นไม้ที่ตอนนี้ถูกดราฟแปรสภาพเป็นเป็นศูนย์บัญชาการขนาดย่อมไปเสียแล้ว เธอจัดการส่งพวกเขาขึ้นรอกจนหมดแล้วตัวเองจึงค่อยกระโดดตามขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย แต่ก็ไม่ลืมดูลาดเลาว่าไม่มีใครตามมาอีก
เมื่อหญิงสาวขึ้นมาถึงบ้านก็พบห้องทานข้าวของเธอถูกเปลี่ยนไปเป็นโต๊ะประชุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โยเซฟและผู้มาใหม่ทุกคนถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้วกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับดราฟด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ว่าเธอกลับไม่เห็นมาริเอะอยู่ในห้องนี้จึงคิดว่าเธอน่าจะอยู่เฝ้าซาคานเลยคิดที่จะเข้าไปหา แต่ว่าชายคนหนึ่งกลับร้องทักขึ้นเสียก่อน
“เจ้าไม่คิดจะถอดฮูดนั่นออกหน่อยหรือแม่นาง”
ซาเนียย่าหันไปมองทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘แม่นาง’ และน้ำเสียงสุภาพนั่น เป็นโยเซฟนั่นเอง ใบหน้าของเขายิ้มแย้มต่างจากดราฟที่เป็นพี่ชายต่างมารดามากนัก
“ขอบพระทัยองค์ชาย” เธอตอบเสียงหวานพร้อมกับถอดฮูดออกตามคำขอ ทำให้ทุกคนเห็นใบหน้ารูปไข่ที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลยาวถึงไหล่กับนัยน์ตาสีเดียวกัน แต่วินาทีนั้นเองเสียงอุทานหนึ่งก็ดังขึ้นจากจากวัยกลางคนที่ไว้เคราแพะทำให้รู้ว่าทำไมโยเซฟถึงอยากจะให้เธอถอดฮูดออก
“โอ้ นี่นะรึหญิงสาวที่ฟินิกซ์สีรุ้งเลือก”
“หึๆๆ” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังจากขึ้นจากดราฟทำให้ซาเนียย่าหันไปมองทันที ยิ่งเห็นนัยน์ตาสีมรกตหลังหน้ากากนกอินทรีย์นั่นด้วยแล้วยิ่งเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีเลยว่าเขาแกล้งเธอ...เขาทำให้เธอกลายเป็นจำอวดต่อหน้าสายตาของคนอื่นๆ
หญิงสาวริมฝีปากบางเหยียดยิ้มเล็กน้อยทั้งที่สายตายังจ้องอยู่ที่องค์ชายรัทยาทคนสำคัญ
“พวกท่านคงให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว ข้าก็แค่...นักฆ่าคนหนึ่งเท่านั้น”
ตอนบ่ายของวันนั้นหลังจากที่ทุกคนทางอาหารเสร็จเรียบร้อย การประชุมเกี่ยวกับเรื่องเงาและซาคานก็เกิดขึ้นโดยมีดราฟและโยเซฟเป็นตัวตั้งตัวตี แน่นอนว่ามาริเอะต้องเข้าร่วมด้วยแน่ในฐานะคนที่จะเป็นคนรักษาซาคาน ส่วนซาเนียย่านั้นถึงจะไม่อยากเข้าสักแค่ไหนแต่ผลสุดท้ายก็โดนลากเข้าไปนั่งฟังด้วยอยู่ดี
‘พวกชาววังนี่ชอบทำอะไรน่าเบื่อจริง’
หญิงสาวบ่นใส่เจ้านกฟินิกซ์สีรุ้ง ปล่อยให้เสียงการถกเถียงของคนอื่นๆ ผ่านหูไปโดยไม่คิดจะใส่ใจฟัง เพราะไม่ว่าจะในหัวข้ออะไรคนอื่นจะมีความคิดเห็นอะไรแต่ผลสุดท้ายความคิดของดราฟก็ต้องถูกอยู่ดี แล้วแบบนี้มันจะประชุมกันทำไม
‘เจ้าไม่เข้าใจหรือไงสาวน้อย’ เสียงฟินิกซ์สีรุ้งดังตอบกลับมา ‘นี่คือภาคี และภาคีจะเดินหน้าไปได้ต้องได้รับเสียงเห็นพ้องจากสมาชิก จริงๆ แล้วองค์ชายนะคิดทุกอย่างไว้หมดแล้ว แต่ที่ยังคงนำเรื่องพวกนี้เข้าที่ประชุมก็แค่อยากเห็นความคิดของคนอื่นๆ ก็เท่านั้น จะได้ไม่ดูว่าเผด็จการเกินไปอย่างไรละ’
‘แบบนั้นเองหรอ’ ซาเนียย่าคิด พยายามไม่แสดงสีหน้าหรืออะไรที่ผิดปกติออกมา ‘หมอนี่ชอบทำอะไรเข้าใจยากอยู่เรื่อย’
“แม่นางซาเนียย่า”
เสียงร้องดังขึ้นทำเอาคนกำลังตกอยู่ในโลกส่วนตัวสะดุ้งโหยงขึ้นนั่งตัวตรงทันที เรียกเสียงหัวเราะขบขันไปทั่วทั้งโต๊ะ
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” โยเซฟที่นั่งข้างๆ ชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง เรือนผมสีอัญชันของเขาระลงมาที่ใบหน้าของเธอ
“มะ ไม่เป็นอะไร” ซาเนียย่าเอ่ยเสียงตะกุกตะกักพลางผลักอกของเขาให้ออกไปห่างๆ แต่พอตั้งสติได้ก็ถามกลับไปใหม่ “เรียกข้ามีอะไรหรือเพคะ”
คราวนี้ทุกคนหันกลับไปมององค์ชายรัชทายาทผู้สูงศักดิ์เป็นตาเดียวทำให้ซาเนียย่าต้องหันไปมองด้วย ดราฟถอนใจเฮือกใหญ่เอนหลังพิงพนังเก้าอี้ มือทั้งสองประสานกันอยู่บนโต๊ะ
“ในฐานะที่เจ้าถือเป็นตัวแทนของฟินิกซ์สีรุ้ง เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับแผนการที่จะดำเนินต่อไป”
ซาเนียย่าเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางพึมพำเบาๆ เหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน “แผนการ”
ดราฟพยักหน้ารับก่อนชะโงกหน้าเข้ามารอฟังคำตอบจากเธอ
“คือ....” ซาเนียย่ายืนตัวขึ้นสูง พยายามทำตัวให้ตัวเองดูภูมิฐาน แต่ว่าในใจตอนนี้ร้องเรียกเจ้าฟินิกซ์จ้าละหวั่น
‘เจ้าว่าไงเจ้านก’
‘พูดๆ ไปเถอะ’ เจ้านกตอบสั้นๆ ก่อนจะหายเงียบไปอีก เธอจึงได้แต่กัดฟันกรอดกับเจ้านกที่ถึงเวลาไม่เคยช่วยอะไรได้เลย แต่ยิ่งเห็นสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เธออย่างมีความหวังว่าจะได้ยินอะไรดีๆ จากปากของเธอก็ทำให้เธออยากจะเอาหัวโขกโต๊ะตายไปเลย
“ข้าคิดว่าแผนการของท่านก็ดีอยู่แล้วนะดราฟ”
“แผนการรึแม่นาง” คราวนี้เป็นชายวัยกลางคนที่ไว้เคราแพะเอ่ยขึ้นด้วยความฉงน “คือเรายังคิดแผนการไม่ออก”
“อ้อ หรอ” ซาเนียย่าลากเสียงสูง เธอหลับตาลงเล็กน้อยเพื่อตั้งสมาธิเค้นหัวคิดหาอะไรดีๆ มาพูดไม่ให้ตัวเองหน้าแตก ซึ่งดูเหมือนมาริเอะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะรู้ดีแต่ก็ไม่คิดจะพูดอะไรนอกจากนั่งดูอยู่เฉยๆ
“ข้าคิดว่าพวกท่านควรจะกลับวังให้เร็วที่สุด” เพียงแค่เอ่ยประโยคแรกก็เกิดเสียงพูดคุยอื้ออึงไปทั่ว “การที่บุคคลสำคัญๆ หายออกไปจากวังจะทำให้พวกเงาสงสัยได้ อีกอย่างพวกท่านจะได้คอยเป็นหูเป็นตาและส่งข่าวอะไรให้องค์ชายได้ด้วย ส่วนพวกข้าก่อนอื่นก็ต้องจัดการรักษาดราฟให้หายเสียก่อน”
‘ใช้พลังของภูติแสงและมังกรเพลิง’ ฟินิกซ์สีรุ้งเอ่ยเสริมขึ้นในหัว
“ใช่ เราจะต้องใช้พลังจากไข่ของภูติแสงและมังกรเพลิงในการรักษาซาคาน พลังของภูติแสงจะทำให้เขาหายเป็นปกติมากที่สุด ส่วนพลังของมังกรเพลิงจะเผาผลาญพลังส่วนเกินในร่างของเขา หลังจากนั้น...”
‘นำไข่ทุกใบกลับไปไว้ที่เตาพลังงาน แต่ต้องใช้พลังๆ ของคนแต่ละชนเผ่าที่กล้าแข็ง’
“หลังจากนั้น” ซาเนียย่าหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิอีกครั้งก่อนจะลืมตาขึ้นก็พบว่าสายตาทุกคู่กำลังจ้องมองมายังตนด้วยแววตาที่แปลกไป “เราจะต้องแย่งชิงไข่ของโหงพรายดำแห่งหุบเขาไร้ตะวันกลับมาให้ได้ วิธีที่จะทำให้สมดุลพลังกลับมาอีกครั้งมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น คือเราต้องให้ผู้มีพลังอำนาจแก่กล้าของแต่ละเผ่าเป็นผู้นำไข่แต่ใบไปเก็บไว้ที่เตาพลังงานเช่นเดิม”
....!!
เงียบ แม้ว่าซาเนียย่าจะเอ่ยจบแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไร ทุกสายตาจับจ้องมายังเธอเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่เสียงตบมือดังเปาะแปะจะดังขึ้นจากดราฟ ต่อมาก็เป็นมาริเอะ โยเซฟ และในที่สุดทุกคนก็ตบมืออย่างยอมรับเธอ... ไม่ใช่การยอมรับในฐานะที่เธอคือผู้ใช้พลังของฟินิกซ์สีรุ้ง แต่เป็นการยอมรับในฐานะคนๆ หนึ่ง...นักฆ่าคนหนึ่งเท่านั้น
ดราฟลุกขึ้นยกมือเป็นเชิงหยุดพร้อมกับเสียงตบมือที่เงียบลง เขารอจนมั่นใจว่าทุกคนกำลังมองอยู่ที่เขาแล้วจึงเอ่ย “เราจะดำเนินแผนตามของซาเนีย ข้าคิดว่าคงไม่มีใครคัดค้านนะ”
เขาเงียบลงเพียงครู่เพื่อรอว่าจะมีใครว่าอะไรหรือไม่ แต่เมื่อไม่มีใครพูดอะไรเขาก็เอ่ยต่อ “แล้วพรุ่งนี้ข้าจะส่งทุกคนกลับ”
“ไม่ต้องหรอกท่านพี่” โยเซฟเอ่ยขัดขึ้น เขาปรายสายตามองคนที่มากับตนรอบหนึ่ง “พวกข้าจะกลับคืนนี้”
ความคิดเห็น