คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ต่อสู้เพื่อพบเจอ
บทที่ 7 : ต่อสู้เพื่อพบเจอ
ฉันขมวดคิ้วยามได้ยินเสียงที่แสนคุ้นเคย เสียงที่ไม่ได้ยินมานาน มันช่างไพเราะนักในความรู้สึก...น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยนั่น...
น้ำเสียงของคนที่เธอต่อสู้และดิ้นรนจนมาถึงที่นี่...มาเพื่อพบเจอ คนที่สอนให้ต่อสู้เพื่ออยู่รอด
และตอนนี้เธอคนนั้นก็ยืนอยู่ด้านหลังเธอแล้ว เพียงแค่หันไปมอง...เพียงแค่นั้นจริง
...........................
หวีดดด....
เสียงอะไรบางอย่างที่ดังหวีดหวิวออกมาจากป่าต้นโอ๊ครอบข้างปลุกสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของซาเนียย่าให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง เธอลุกขึ้นยืนหลับตาทันที รับรู้ถึงสรรพเสียงรอบข้างที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามา...จากทิศข้างหลังเธอ
“มีอะไรบางอย่ากำลังมา ข้าว่าเราควรจะไปกันเถอะ”
หญิงสาวร้องอย่างร้อนรนหลังจากลืมตาขึ้นมา แต่ทว่าดราฟกลับยังคงมีท่าทีที่นิ่งเรียบเหมือนเดิมจนเธอยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่
“รอไปก่อนยังไม่ถึงเวลา”
“แต่ว่า...” พูดยังไม่ทันจบซาเนียย่าก็ต้องหุบปากลงเสียก่อนเพราะสายตาที่จ้องมองมา เธอจึงได้แต่นั่งมองซ้ายมองข้างและรอที่จะ ‘ถึงเวลา’ ของเขาเสียที
เธอพยายามที่จะใช้วิชาที่เล่าเรียนมาจากองค์กรนักฆ่าเพื่อประเมินว่าเสียงเหล่านี้คือตัวอะไร ทว่ามันกลับยากกว่าที่คิด...เพราะมันไม่ใช่ม้า ไม่ใช่ฝีเท้าของคน แต่มันคือเสียงหวีดที่ดังจนไปถึงขั้วหัวใจ
“ได้เวลาแล้ว”
จู่ๆ ดราฟก็เอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นเดินเข้าไปที่ป่าด้านหลังกระท่อม ทำให้ซาเนียย่าต้องเดินตามเข้าไปด้วยทั้งๆ ที่ยังงงอยู่
“อะไรของท่านกันนี่”
องค์ชายหนุ่มหันมายิ้มอย่างแฝงเลศนัยเมื่อพวกเธอเดินเข้ามาจนอยู่ในเงามืดของต้นไม้ นัยน์ตาสีมรตกพราวระริกเหมือนกับเด็กที่กำลังเล่นของเล่นที่ถูกใจชิ้นหนึ่ง
“เจ้าก็หันไปมองด้านหลังของเจ้าสิ”
ซาเนียย่าหันไปมองตามที่อีกฝ่ายเสนอทันทีเพราะความอยากรู้ และภาพที่เห็นก็คือเหล่ายมทูตดำห้าหกตนกำลังจูงสุนัขป่าหน้ายาวๆ ตัวผอมๆ เข้ามาที่บริเวณที่ๆ พวกเธอเคยนั่งอยู่ และเหมือนพวกมันจะรู้แล้วด้วยว่าตอนนี้พวกเธอมุ่งหน้ามาทางไหนเพราะว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้อย่างช้าๆ
หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว รู้สึกความกล้าหาญในตัวจะค่อยๆ ถูกบั่นทอนลงไปอย่างช้า ปากคอเริ่มแห้งผากยอมหันกลับมามองดราฟอีกครั้ง ทว่าเขาตอนนี้กลับเหมือนคนบ้าคลั่งที่ไม่สนอะไรแล้วทั้งนั้น นัยน์ตาของเขาจับจ้องไปที่ยมทูตดำอย่างไม่ลดละ
“รีบไปกันเถอะ เกมส์ล่าสังหารเริ่มต้นขึ้นแล้ว!!”
โถงทางเดินทางไปห้องพักรับรองแขกของหอนางโลมกลางเมืองหลวงฟรอนเต้ว่างเปล่าไร้ผู้คน มีเพียงเสียงฝีเท้าของคนสองคนที่ก้องสะท้อนในความเงียบ
มาริเอะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อตามให้ทันซาคาน ใบหน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจ ทั้งที่ยังสวมชุดแพรบางๆ ของหอนางโลมอยู่แต่ว่าที่ข้อมือกลับมีเชือกป่านเส้นหนึ่งมัดเธอเอาไว้ติดกับองครักษ์จากเผด็จการที่เอาแต่สั่งเธอลูกเดียว
ห้ามขัดขืน ห้ามทำตัววุ่นวาย ห้ามหนี ห้ามเถียง ห้ามเรื่องมาก ฯลฯ สารพัดห้ามที่ซาคานสั่งไว้ทำให้เธอลอบมองเข้าด้วยสายตาไม่พอใจ แต่ก็ต้องยอมตามน้ำไปก่อนเพราะต้องการที่จะพบกับซาเนียย่าที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
“เจ้าจะพาข้าไปไหน” มาริเอะถามขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งทะนงตน
ซาคานนิ่งไปพักหนึ่ง ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีดำทะมึนทำให้ยากต่อการเดาว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร แต่ในที่สุดเขาก็ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“วัง”
มาริเอะหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ เพราะใช่ว่าคำพูดที่เขาพูดมาจะเชื่อได้ซะเมื่อไหร่ บางทีเขาอาจจะพาเธอไปฆ่าหมกป่าก็ได้ แต่ก่อนที่เธอจะถามอะไรต่อเพื่อเก็บข้อมูล ซาคานก็พาเธอเดินออกมาสู่ห้องโถงหน้าหอนางโลมที่เต็มไปด้วยสาวงามและลูกค้าที่มาใช้บริการกันอย่างล้นหลาม
องครักษ์ลึกลับหยุดเดินเพียงครู่ก่อนจะเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น ไม่สนสายตาที่มองมาด้วยความสงสัย มีสาวงามบางคนที่มองมาทางมาริเอะด้วยแววตาสมเพชที่เห็นเธอถูกมัดมือ แต่ทว่าหญิงสาวก็ยังคงเดินตามซาคานต่อไปโดยไม่คิดจะหันไปมองสายตาเหล่านั้นให้ช้ำใจเล่น
...ซาคานมัดมือเธอเพียงเพราะต้องการให้เธออับอาย
แต่ก่อนที่พวกเธอจะได้ก้าวย่างออกไปจากหอนางโลม เสียงๆ หนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของทั้งคู่ มันเป็นเสียงที่สุภาพและอ่อนโยน ทว่าแฝงไปด้วยความเฉียบคมและประสงค์ร้าย
“จะไปไหนกันหรือขอครับท่านชาย”
ซาคานยังคงนิ่งเงียบอยู่เหมือนเดิม ในขณะที่มาริเอะหันหลังกลับไปมองด้วยความฉงนที่เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มรับใช้คนเดิมที่เป็นคนพาเธอมาหาซาคาน
“ท่านยังไม่ได้จ่ายค่าตัวของนางเลยนะเจ้าคะ”
อีกเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูทางเข้าหอนางโลม มาริเอะหันไปมองเช่นเดิม แต่ทว่าคราวนี้กับเป็นลอลิน แม่เล้าที่จับเธอมาไว้ที่หอนางโลมแห่งนี้
“นางคงไม่มีค่าพอที่ข้าจะจ่ายอะไร”
ซาคานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบพลางชายตามามองหญิงสาวที่เขามัดติดกับตัวเองราวกับจะมองว่าเธอตายไปหรือยัง
“แหม...” ลอลินลากเสียงหวาน “แต่สำหรับพวกข้า นางคงมีค่ามากกว่าที่ท่านจะลากออกไปได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ และค่าตัวของนางก็แพงมาก...เสียจนท่านคงต้องทิ้งสิ่งมีค่าทีสุดไว้ที่นี่เสียแล้วกระมัง”
“หึๆๆ”
มาริเอะมองไปยังซาคานด้วยความสับสน นี่เขากำลังจะทำอะไรกับเธอกันแน่...แต่จู่องครักษ์ลึกลับก็ทำให้สิ่งที่เธอไม่คาดฟัน เขากำลังถึงดาบออกมาตัดเชือกที่มัดข้อมือเธอไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ต่อจากนี้คงต้องใช้ความสามารถของเจ้าออกเองแล้วละนะ...ถ้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่”
สิ้นเสียง เขาก็หันกลับไปพุ่งดาบในมือเข้าใส่ลอลินในทางขวางเต็มแรง ทว่าเธอกลับทำสะพานโค้งหลบได้อย่างสวยงาม ส่วนบรรดาคนที่อยู่ในร้านต่างก็รีบวิ่งออกนอกหอตั้งแต่ซาคานชักดาบออกมาแล้ว
“ใจร้อนจังเลยนะท่านชาย”
คราวนี้เป็นเด็กหนุ่มรับใช้เป็นคนพูด ทว่าน้ำเสียงของเขากลับหวานราวกับผู้หญิง ทำให้ทั้งสองรีบหันไปมองทันที
คนที่พวกเธอเคยคิดว่าเป็นเพียงเด็กหนุ่มรับใช้ธรรมดาตอนนี้กลับกำลังยิ้มหวาน ก่อนที่ใบหน้าอ่อนเยาว์เริ่มละลายเหนี่ยวหนืดไหลเยิ้ม เจ้าตัวปาดมันออกไปกองอยู่บนพื้นทำให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงที่เป็นผู้หญิง ก่อนที่เธอเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ ลอลินที่ยิ้มรับราวกับคนที่เพิ่งพบกัน
“แปลกใจมากขนาดนั้นเลยหรือจ๊ะนังหนู” คนที่เคยเป็นเด็กหนุ่มยิ้มเยาะ
“แหม...” ลอลินลากเสียงยาวใส่เพื่อนสาว “เจ้าก็ไม่ได้อายุมากไปกว่านางหรอกเรย์”
“หึ” หญิงสาวที่ชื่อเรย์ทำท่าเฉิดใส่ “ข้าหมายถึงฝีมือข้าแก่กล้ากว่านางต่างหากเล่า”
เอ่ยจบร่างของลอลินและเรย์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง เงามืดค่อยๆ เข้าครอบคลุมทั่วบริเวณทั้งสองก่อนที่ไอสีดำทำมึนหมุนวนเป็นเกลียวรอบตัวพวกเธอ จนกระทั่งเมื่อเงามืดหายไป ไอสีดำเหล่านั้นก็กลายตัวเองไปเป็นผ้าคลุมสีดำทะมึนผืนยาวกับเคียวด้ามยาวที่ปลายคมกริบ
“ย...ยมทูต”
มาริเอะเอ่ยด้วยเสียงตะกุกตะกัก ภาพของเหล่ายมทูตที่ฆ่าพวกเธอตายลงทีละคนในห้องทรงงานของดราฟที่พระราชวังยังคงจำฟังแน่นอยู่ในหัวจนยากที่จะลืมเลือนได้ กลิ่นคาวเลือดที่ปลายเคียวนั่นเธอก็ยังจำมันได้ดีว่าน่าขยะแขยงเพียงไหน
“อืม...ความจำเยี่ยมเลยนังหนู” เสียงเรย์ที่ดังรอดออกมาจากใต้ผ้าคลุมเต็มไปด้วยความถูกใจ “แล้วยังจำได้ไหมว่าเคียวของข้าฆ่าเพื่อนคนไหนของเจ้าไปบ้าง ถ้ายังไม่รู้วันนี้ก็ไปถามกันเองในนรกละกันนะ”
สิ้นเสียงยมทูตร่างสูงกว่าตัวจริงก็พุ่งทะยานเข้าหามาริเอะทันที ด้วยสัญชาตญาณนักฆ่าเธอรีบหลบก่อนที่จะดึงกริชเล่มยาวออกมาจากต้นขาพร้อมกับกระโจนเข้าหาเรย์บ้าง
ส่วนซาคานก็ยังคงยืนจ้องมองยมทูตลอลินนิ่ง เธอโค้งให้เขาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นมาบนขั้นบันไดของหอนางโลมทีละขั้นอย่างช้าๆ แต่ทว่าทุกก้าวคือความกดดันสำหรับทั้งคู่
“ไม่คิดเลยนะเจ้าคะว่าต้องมาเจอท่านในที่แบบนี้” ลอลินเอ่ยเสียงหวาน เงยหน้าขึ้นมองซาคานที่ยืนอยู่สูงกว่า
“หึๆ” องครักษ์ลึกลับหัวเราะในลำคอ “แต่ข้ากลับนึกว่าน่าจะข้าเจ้าเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
“หรือเจ้าคะ” ยมทูตสาวถามเหมือนไม่แน่ใจ “แค่นั้นก็ถือเป็นความกรุณาอย่างสูงแล้ว”
“อืม...นั่นสินะ”
“เจ้าคะ” เธอตอบรับพร้อมกับค่อยยื่นเคียวชี้ปลายไปทางซาคานอย่างท้าทาย “แต่ต่อจากนี้คือคราวตัดสินแล้ว ข้าจะไม่ออมมือให้หรอกนะเจ้าคะ”
“ข้าก็เหมือนกัน”
ซาเนียย่ากลั้นหายใจนิ่งระหว่างที่ตนและดราฟนั่งยองๆ อยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่มีเหล่ายมทูตและสุนัขป่ากำลังเดินกันไปมาให้ขวักไขว่
“จะลงไปอย่างไร” เธอหันหลังไปถามชายหนุ่มด้วยเสียงที่เบาที่สุดที่จะเบาได้ “ข้าอยากจะไปหาพี่มารี่”
ดราฟไม่ตอบ แต่กลับสั่งไปอีกเรื่อง “ถอดเสื้อของเจ้าออกซะ”
...ซาเนียย่ารีบกอดเสื้อตัวเองไว้ทันที ตอนนี้เธอยังคงสวมเสื้อหนังสีดำตัวเดิมกับที่ใช้บุกไปห้องทรงงานของชายหนุ่ม และเธอก็ไม่ยอมถอดมันง่ายๆ แน่
“ข้าบอกให้เจ้าถอดมันออก” ดราฟเอ่ยซ้ำอย่างเอือมระอากับท่าทีหวงเนื้อหวงตัวแบบโง่ๆ ของเธอในเวลาแบบนี้ “ถ้าเจ้าไม่ถอดมันออกเจ้าก็จะต้องถูกพวกมันจับได้บนนี้”
ได้ผลตามที่เขาขาด เพราะซาเนียย่าค่อยๆ คลายกอดออกเล็กน้อย แต่แววตาก็ยังคงไม่คลายความหวาดระแวงลง
“แล้วท่านละ”
ดราฟเหยียดริมฝีปากขึ้นสูง “ข้าก็จำเป็นต้องถอด...ด้วยเช่นกัน”
เอ่ยเสร็จชาหนุ่มก็ถอดเสื้อที่ทำจากผ้าฝ้ายสีเขียวออกจนเห็นแผงอกล่ำสันที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจนซาเนียย่าอดจะเขินไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็เคยเห็นของแบบนี้มาหลายครั้งแล้วแท้ๆ
“กะ...ก็ได้” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อหลังของตัวเองออกยื่นให้ชายหนุ่มจนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวบางๆ เท่านั้น
“ท่านจะเอาไปทำอะไรหรอ”
“ล่อมัน” ดราฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางชี้นิ้วลงไปยังยมทูตตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ “พวกนี้คือเงาที่เหมือนจะโง่กว่าที่ข้าคิดเอาไว้เยอะ”
ซาเนียย่าพยักหน้ารับทันที ที่แท้ดราฟก็ต้องการที่จะใช้เสื้อที่มีกลิ่นของพวกเธอติดอยู่เพื่อล่อให้พวกมันออกไปไกลๆ แล้วจึงค่อยหนีไปอีกทางหนึ่ง ด้วยความเร็วระดับพวกเธอแล้วการจะหนีตอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“เดี๋ยวเรื่องนี้ข้าจัดการเอง” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเต็มที แต่พอเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาด้วยสายตาแปลกใจก็เลยเอ่ยเสริม “ท่านช่วยชีวิตข้าไว้แล้ว ทีนี้ก็ต้องถึงตาข้าออกโรงบ้างดิ...เชื่อฝีมือได้เลย”
เอ่ยจบก็กระชากเสื้อสองตัวจากมือขององค์ชายหนุ่มก่อนจะกระโจนไปยังต้นไม้ต้นข้างๆ อย่างเงียบกริบ เธอฉีกเสื้อทั้งสองตัวออกเป็นเศษๆ ก่อนจะโปรยลงบนพื้นเบื้องล่าง บ้างก็ปักไว้ที่กิ่งไม้
หญิงสาวหันกลับไปส่งสายตาให้ดราฟที่ยังคงนั่งอยู่บนกิ่งไม้กิ่งเดิมให้เริ่มหนีได้ ก่อนจะก้มลงมองเหล่ายมทูตที่เริ่มจะหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะเดินไปตรงไหนดี เพราะตอนนี้กลิ่นของพวกเธอแทบจะคลุ้งไปทั่วไปป่าแล้ว และเด็กสาวก็เพิ่มความสนจริงด้วยเลือดที่กรีดสดๆ จากข้อมือป้ายไปตามต้นไม้ต้นต่างๆ ก่อนจะจัดการมัดแผลตัวเองให้แน่นหนาที่สุดก่อนที่จะกระโจนพุ่งตรงตามหาชายหนุ่มไป
“ฝีมือไม่เลวนี่” ดราฟเอ่ยชมเมื่อทั้งสองมาพบกันอีกครั้งที่ชายป่า ถัดไปเป็นกอหญ้าที่ขึ้นสูงรกชัน แต่ก็มีทางที่แหวกไว้เป็นเส้นทางให้คนเดิน
ซาเนียย่ากวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อดูให้มั่นใจว่าไม่มียมทูตตัวไหนมาแอบอยู่แถวนี้ ก่อนจะเอ่ยถาม
“เรากำลังจะไปไหน”
“วัง”
หญิงสาวเบ้หน้าทันที รู้สึกหวิวๆ เมื่อนึกว่าตนเองต้องกลับไปยังฟรอนเต้อีกครั้ง ต้องกลับไปยังสถานที่ๆ พวกตนเคยอาศัยอยู่ก่อนที่ทุกคนจะตายจากไป
“แล้วที่นี่ที่ไหน
คราวนี้ดราฟเลิกคิ้วสูงก่อนเอ่ยตอบ “ชายแดนอาณาจักรฟรอนดาโก้ทิศตะวันตก ชายป่าที่อยู่ของเงา”
ซาเนียย่าหัวเราะแหะๆ “มิน่าละพวกเงาถึงได้ยั้วเยี้ยขนาดนี้”
“แฮกๆ” มาริเอะหอบหายใจถี่ ตอนนี้ในมือคือไม้ด้ามยาวที่คว้ามาจากหลังเคาท์เตอร์บริการ เนื้อตัวถลอกไปหมด ชุดผ้าแพรที่สวมอยู่ก็รุ่งริ่งไม่เหลือชิ้นดี “อึดจริงๆ แหะ”
“แต่เจ้านี่ทำให้ข้าสนุกได้เสมอเลยนะนังหนู” เรย์ยิ้มเยาะขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งยันด้ามเคียวเอาไว้เพื่อยืนขึ้น ที่แขนขวามีรอยเลือดไหลเป็นทางยาว เธอเงื้อมด้ามเคียวขึ้นเตรียมสู้อีกครั้ง แต่ทว่า...
ฉึก...!!!~
จู่ๆ มีดเล่นหนึ่งก็พุ่งเข้าปักที่กลางหลังของยมทูตสาว ทำให้ด้ามเคียวที่ง้าวอยู่หลุดจากมือเพราะน้ำหนักของมันเองพร้อมกับร่างของคนเป็นเจ้าของที่ค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้า...เพราะมีดเล่มนั้นอาบยาพิษ
มาริเอะยิ้มอย่างสะใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองซาคานที่เดินมาเก็บมีดของตนออกจากกลางหลังของเรย์ ห่างไปที่หน้าประตู ร่างที่หายใจรวนรินของลอลินกำลังนอนพะงาบๆ มองเพื่อนยมทูตด้วยแววตาที่เจ็บแค้น
“หมดเวลาเล่นสนุกของเจ้าแล้ว”
ซาคานเอ่ยเสียงเรียบปกติ แถมเนื้อตัวก็ยังปกติดีไม่เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการต่อสู้มาแม้แต่น้อย เขาสะบัดมือรอบตัวของมาริเอะทีหนึ่ง ทันใดนั้นผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ก็ลอยลงมาคลุมตัวของเธอเอาไว้
“ขอบใจ” มาริเอะเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบขี้หน้าองครักษ์คนนี้สักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเขาก็ช่วยเธอเอาไว้
“ถ้าไม่เต็มใจไม่ต้องก็ได้”
ซาคานเอ่ยก่อนหันหลังกลับเดินออกไปจากหอนางโลมที่ตอนนี้ร้างผู้คน ทิ้งไว้เพียงร่างที่รวนรินสองร่างที่มองตามไปอย่างเจ็บแค้น ก่อนทีสีผมและตาของพวกเธอเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทอันเป็นสัญลักษณ์ของเงา และหายเข้าไปในความมืดที่เข้าปกคลุม
ซาเนียย่ามองดราฟที่เป็นคนนำทางอย่างเซ็งๆ เพราะหลังจากเข้ามาในเมืองฟรอนเต้ได้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะพาเธอหลงอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งที่เดินกันมาแล้วไม่น้อยกว่าสามรอบ
“เฮ้ย! ข้าว่าข้าเป็นคนนำทางเองดีกว่า ในเมืองหลวงนะข้าก็ชำนาญไม่แพ้ใครๆ หรอกนะ”
ดราฟเหลียวกลับมามองเล็กน้อย ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่ในที่สุดก็ยอมพยักหน้ารับความช่วยเหลือจากเธอจนได้ ซาเนียย่าจึงออกเดินนำไป
เธอพาองค์ชายหนุ่มเดินลดเลี้ยวเข้าซอยนู้นออกซอยนี้อย่างชำนิชำนาญตามที่บอกเอาไว้ จนในที่สุดก็มาโผล่ออกจากซอกเล็กๆ มาอยู่ที่ประตูหน้าพระราชวัง หญิงสาวจึงค่อยผ่อนฝีเท้าลงและหันกลับมาหาดราฟอีกครั้ง
“ทีนี้ก็ถึงตาท่านแล้วนะ ข้าคงไม่สามารถใช้สิทธิ์นักฆ่าเข้าวังได้หรอก”
ซาเนียย่าเอ่ยติดตลก แต่ทว่าดราฟกลับไม่ได้ขำไปด้วย เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนมุ่งตรงไปยังประตูวังที่ปิดอยู่ แต่ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งร้องเรียกขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน มันเป็นเสียงที่สะกดให้หญิงสาวหยุดนิ่งอยู่กับที่
“ซาเนีย”
...มันช่างเป็นเสียงที่แสนจะคุ้นเคยกับซาเนียย่าเป็นอย่างดี น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยที่เธอไม่มีวันลืมเลือน...นักฆ่าสาวที่เปรียบเสมือนพี่สาวคนหนึ่งของเธอ
“พี่มารี่” หญิงสาวพึมพำเบาๆ พร้อมกับหันหลังกลับไปมองอย่างช้าๆ ตอนนี้ในหัวของเธอว่างเปล่า ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าของรุ่นพี่นักฆ่าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดที่แห้งกรัง เสื้อผ้าบางๆ ที่ขาดรุ่งริ่งยิ่งพาลให้น้ำตาจะไหลเอาง่ายๆ
มาริเอะกับซาเนียย่าโผเข้ากอดกันราวกับคนที่จากกันไปนานแสนนาน ท่ามกลางการจ้องมองของดราฟและซาคาน ไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างทั้งสอง มีเพียงสบตากันเพียงครู่ก่อนที่คนเป็นองค์ชายจะเอ่ยเร่ง
“ถ้าพวกเจ้าไม่รีบเข้า ความพยายามของพวกเจ้าก็จะสูญเปล่า”
มาริเอะมองหน้าดราฟอย่างไม่พอใจที่มาขัดจังหวะของเธอ แต่ก็ยอมเดินตามเขาไปยังหน้าประตูวังที่ปิดสนิท
ตอนนี้ทั้งสี่กำลังยืนคอตั้งบ่ามองประตูพระราชวังที่สูงใหญ่สีขาวสลักไปด้วยลวดลายของต้นไม้ต้นใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้อง ทว่าสภาพของแต่ละคนแทบจะไม่มีใครครบถ้วนสมบูรณ์สักคน (ยกเว้นซาคาน) ซาเนียย่าและดราฟไม่ได้ใส่เสื้อตัวนอก ในขณะที่ชุดกระโปรงยาวบางๆ ของมาริเอะก็เหมือนจะหลุดออกมาเป็นชิ้น
ดราฟค่อยๆ มองไปบานบานประตูสีขาวที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี มือลูบลงไปบนรูปต้นไม้ที่สลักนูนออกมาพร้อมกับเอ่ยเบาๆ ทว่ากลับเต็มไปด้วยพลังที่ก้องกังวาน
“โอเพนา เกทามี”
ครืน...บานประตูศักดิ์สิทธิ์ที่ยามปกติต้องใช้คนร่วมสิบคนในการเปิดกำลังสั่นน้อยๆ ก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้น มันเลื่อนเปิดไปด้านหลัง อาคารต่างๆ ภายในพระราชวังที่สวยสะดุดตาคนธรรมดา
ซาเนียย่าเผลอจ้องมองดราฟด้วยแววตาชื่นชมยามที่เขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป เขาทั้งเก่งและสุขุมเยือกเย็นอย่างน่าชื่นชม ความชาญฉลาดที่สามารถแก้ไขปัญหามาได้หลายครั้ง แม้ว่าบางทีจะชอบเอาแต่ใจก็ตามที
“ถ้าเข้ามาในนี้ พลังของพวกเงาจะลดลงถึงครึ่ง” ซาคานเอ่ยพร้อมกับก้ามตามองค์ชายหนุ่มเข้าไปเป็นคนที่สอง
มาริเอะหันไปยิ้มให้ซาเนียย่าเป็นทำนองว่าให้เธอก้าวข้ามไปก่อน แต่ทันใดนั้น ด้วยสัญชาตญาณแห่งนักฆ่าที่ถูกลับจนคมกริบก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา และมันก็กำลังพุ่งตรงไปยังซาคานอีกด้วย
“หลบไป”
เฟี้ยวววว....ฉึก!!!
เสี้ยววินาทีสุดท้ายแห่งความเป็นความตาย มาริเอะพุ่งตัวเข้าผลักซาคานให้หลบไปจากวิธีของเคียวด้ามยาวปลายคมกริบที่พุ่งแหวกอากาศมา แต่นั่นกลับเป็นว่าเธอกำลังเข้าไปรับความเจ็บปวดนั้นแทน
ซาเนียย่าสะบัดมือตบด้ามจับเคียวยาวเพื่อหวังให้มันเปลี่ยนทิศทาง แต่ทว่าด้วยความหนักและยาว กลับทำให้ปลายเคียวที่คมกริบกรีดเนื้อที่กลางหลังของมาริเอะจนแผลยาวก่อนที่มันจะร่วงลงพื้นเพราะฤทธิ์ของเขตศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองอาณาบริเวณพระราชวังทำให้พลังของเงาลดลงไปครึ่งหนึ่ง
“ยัยบ้าเอ๊ย!!” ซาคานร้องพร้อมกับรีบรับร่างของมาริเอะที่ทรุดลงกับพื้นขึ้นมาอุ้มไว้ เสียงหายใจแผ่วเบาทว่าถี่รัวของเธอทำให้ใครคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปถึงกับยิ้มเยาะ
นัยน์ตาสีน้ำตาลของซาเนียย่าจ้องมองร่างสูงในชุดคลุมยมทูตเขม็งด้วยสายตาอาฆาต ใบหน้าของหญิงสาวที่โผล่พ้นผ้าคลุมยมทูตออกมาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะทั้งๆ ที่สภาพร่างกายของตัวเองก็ไม่ได้ดีกว่าไปอีกฝ่ายมากนัก
“เรย์”
ซาเนียย่าหันขวับไปมองซาคานที่พึมพำชื่อของยมทูตที่ยืนห่างออกไป ก่อนจะถามเสียงดัง
“นางเป็นใคร”
ซาคานไม่ตอบ...ไม่แม้กระทั่งจะมองหน้าเธอ ส่วนเรย์ก็กำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดเธอก็หยุดอยู่ที่ตีนบันไดหน้าประตูพระราชวัง
“ข้าเป็นใครนะหรอนังหนู” เรย์ร้อง “ข้าก็คือยมทูตที่องครักษ์ของพวกเจ้าเกือบจะฆ่าไงละ แต่เหมือนว่าเจ้าจะประมาทข้าไปหน่อยนะซาคาน อย่าลืมสิ...พิษนะใช้กับเงาไม่ได้หรอกนะ โดยเฉพาะเงาที่เป็นยมทูตอย่าง...กรี๊ดดด....”
เอ่ยยังไม่ทันจบ ร่างของเรย์ก็ลุกเป็นไฟ ผ้าคลุมยมทูตสีดำที่คลุมอยู่ก็รัดและกัดกร่อนร่างของยมทูตสาวให้เน่าเฟะลงเรื่อย มันกัดเนื้อจนยุ่ยไปถึงกระดูกราวกับคนที่โดนน้ำกรดขนานแรงราดเข้าใส่...
“ข้าขอ...ข้าขอโอกาสอีกครั้ง โปรดเมตตาข้าด้วย โปรดเมตตาข้าด้วยยยย....!!!”
เรย์ร้องลั่นด้วยสัญชาตญาณแห่งการเอาชีวิตรอด เธอดิ้นพล่านไปถั่วเหมือนกับต้อนการจะให้ผ้าคลุมยมทูตหลุดออกไปจากร่างของตน แต่ทว่ายิ่งดิ้นมันก็ยิ่งรัดแน่น จนในที่สุดก็เหลือเพียงผ้าคลุมสีดำเพียงผืนเดียวที่กองอยู่บนพื้นถนนโดยไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต
“นั่น...อะไรนะ” ดราฟถามเสียงเบา หากแต่นัยน์ตาสีมรกตไม่ได้มีแววแห่งความปราณีสงสารอยู่แม้แต่น้อย
ซาเนียย่ายิ้มกว้างอย่างสมเพช เธอหันหลังเดินกลับเข้าไปในวัง ก่อนจะเอ่ย
“นี่ก็คือผลสถานเดียวของนักฆ่าที่ทำงานไม่สำเร็จอย่างไรเล่า”
ใช่แล้ว...นี่คือกฎเหล็กเพียงข้อเดียวขององค์กรนักฆ่าคิงโพธิ์ดำ นั่นคือถ้าใครทำงานไม่สำเร็จ ก็ต้องโดนลงโทษทัณฑ์เพียงสถานเดียวนั่นคือก็...
ความตายอย่างทรมานท่ามกลางเปลวไฟแห่งไฟอาร์
ความคิดเห็น