ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คู่มือตำนานเทพเจ้ากรีก-โรมัน

    ลำดับตอนที่ #48 : ไดโอนีซุส-Dionysus เทพแห่งเหล้าองุ่น

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.26K
      49
      17 ม.ค. 63




    ไดโอนีซุส เทพเจ้าแห่งไวน์และงานเลี้ยง พระองค์มีชื่อในภาษาโรมันมันว่า “แบคคัส-Bacchus” พระองค์เป็นบุตรแห่งซุสกับนางเซมิลี-เจ้าหญิงชาวมนุษย์แห่งเมืองธีบส์ 


    ว่ากันว่าหลังจากที่นางเซมิลีตั้งครรภ์ องค์ซุสก็ดีใจเป็นอย่างมาก มหาเทพกล่าวกับนางเซมิลีว่าหากนางขออะไรก็จะให้ตามความประสงค์  


    เรื่องนี้ดันไปเข้าถึงหูของเทพีเฮร่า พระนางจึงได้แปลงกายมาเป็นคนรับใช้ของนางซิมิลี่ มาหลอกล่อให้นางอยากเห็นรูปร่างที่แท้จริงของซุส 


    ดังนั้นนางเซมิลีจึงไปขอกับองค์เทพซุสว่าอยากเห็นร่างที่แท้จริงของพระองค์ เมื่อซุสได้ยินดังนั้นพระองค์ก็ตกใจเป็นอย่างมาก และพยามโน้มน้าวใจหญิงสาวให้ขอพรอื่น แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจนางได้ ซุสจึงต้องทำตามที่นางขอ  โดยซุสแปลงกลับเป็นร่างที่แท้จริง เมื่อนางเซมิลี่เห็นดังนั้น นางก็ไม่สามารถทนกับรัศมีเทพเจ้าได้ ไฟลุกท่วมตัวนางและตายคาที่


     แต่ซุสช่วยทารกในท้องไว้ได้ทัน ภายในพริบตาเดียวร่างกายของซิมิลี่กลายเป็นเถ้าถ่าน หลังจากที่นางซิมิลี่ตาย ซุสได้นำทารกน้อยฝั่งไว้ที่ต้นขาเพื่อให้เจริญเติบโตต่อไป  


    เมื่อคลอดออกมาเด็กน้อยองค์นี้ได้รับการตั้งชื่อว่าไดโอนีซุส แต่เมื่อไดโอนีซุสถือกำเนิดขึ้นมาพระนางเฮร่าก็ยังไม่เลิกตามรังควาน (โดยเฮร่าไม่รู้ได้ความคิดมาจากไหน)พระนางเรียกเทพไททันมาได้กลุ่มหนึ่ง 


    ว่ากันว่าไททันกลุ่มนี้จะยอมฟังทุกคำสั่งของเทพีเฮร่า ดังนั้นเฮร่าจึงสั่งให้พวกนี้ไปจัดกับไดโอนีซุสผู้ยังแบเบาะ หลังจากรับคำสั่งของราชินีแห่งสรวงสวรรค์เฮร่าแล้วพวกมันก็จับตัวไดโอนีซุสไปที่รังของพวกมันและพากันฉีกร่างของไดโอนีซุสเป็นชิ้นๆ 



    รูปปั้นเทพไดโอนีซุสแบบโรมันสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 2 ตามแบบเฮลเลนนิสติก


    เมื่อซุสรู้ข่าวว่าไดโอนีซุสโอรสของพระองค์ถูกฆ่าก็รีบตามมาช่วย ทว่าเมื่อมาถึงก็พบแต่ขนขาที่เหลืออยู่ของลูก ส่วนร่างกายถูกพวกไททันย่างกิน  เทพีอาธีนาพบหัวใจ  ส่วนพระแม่รีอาพบส่วนที่เหลือเท่าที่จะหาได้และได้ช่วยกันทำให้ไดโอนีซุสมีชีวิตเหมือนเดิม 


    คราวนี้ซุสหาทางคิดว่าจะทำยังไงให้ไดโอนีซุสปลอดภัยจากพระนางเฮร่า แล้วพระองค์ก็คิดออก พระองค์นำเทพไดโอนีซุสที่ยังเป็นเด็กไปฝากไว้ที่ภูเขาไนซา-Nisa มีเหล่านางนิมฟ์ไฮยาเดสคอยดูแล 


    ด้วยความที่ไดโอนีซุสน่ารักน่าชัง  พระองค์จึงถูกบรรดานางอัปสรไฮยาเดสเอาใจใส่และตามใจประหนึ่งเป็นเจ้าชายองค์น้อยๆแห่งภูเขาไนซาทีเดียว เวลาผ่านไปจนไดโอนีซุสเติบใหญ่ พระองค์เป็นเทพที่ชอบดื่มเครื่องดื่มต่างๆเป็นอย่างมาก 



    ไดโอนีซุสและแก้วไวน์ ภาพสีน้ำมันโดย Caravaggio (1571-1610)


    วันหนึ่ง  ไดโอนีซุสลองคิดค้นเครื่องดื่มใหม่ๆโดยเอาผลไม้ต่างๆมาหมักฆ่าเวลาเล่นด้วยคิดว่าไหนๆก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว  ทดลองไปทดลองมาก็ปรากฏว่าองุ่นนี่ แหล่ะน่าจะดีที่สุด ผลของความซุกซนของพระองนี่เอง ทำให้เกิดเครื่องดื่มขึ้นมาอย่างหนึ่ง 


    เครื่องดื่มที่ไม่ทีใครรู้จักมาก่อน (เอแต่ผมว่าผมรู้ว่ามันคืออะไร มันคือไวน์ไงครับ) พระองก็ดื่มเครื่องดื่มที่เพิ่งทดลองนั้นทันที   ดื่มไปดื่มมาก็ได้เรื่องสิครับเหอ..เหอ ท้าวเธอก็เริ่มเมาและอาละวาดเดี๋ยวก็โวยวาย  เดี๋ยวก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี  เดี๋ยวก็พูดจากับตัวเองเหมือนคนเสียสติไม่มีผิด 


    จนพวกไฮยาเดสคิดว่าท้าวไดโอนีซุสเสียสติ จนในที่สุดหลังจากเครื่องดื่มหมดฤทธิ์ท้าวเธอก็หลับไปในที่สุด เมื่อพระองค์ตื่นขึ้นมาก็เกิดอาการเมาค้าง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองและไม่รู้จะแก้ไขยังไง ท้าวไดโอนีซุสจึงออกเดินทางไปยังวิหารเดลฟี


    เพื่อหาสาเหตุว่าอาการที่เกิดจากเครื่องดื่มที่พระองค์สร้างขึ้นเองคืออะไรกันแน่ เมื่อไปถึงเดลฟีพระองค์ก็รีบเข้าไปภายในวิหารเพื่อรับฟังคำกล่าวของของนางพยากรณ์ 


    เมื่อถึงจุดนี้นางพยากรณ์มองหน้าไดโอนีซุสด้วยความสมเพชปนสะใจ แล้วบอกว่านี่คือโทษทัณฑ์ของการทำอะไรโดยไม่คิด เมื่อนางกล่าวจบท้าวไดโอนีซุสก็โกรธมากเพราะนอกจากไม่ช่วยแล้วยังมาว่าซ้ำอีก ท้าวเธอลุกขึ้นและประกาศว่า แม้ว่าสิ่งที่พระองค์คิดค้นลงทุนสร้างขึ้นมาจะนำโทษมาให้  แต่เมื่อแลกรสชาติอันล้ำเลิศและความสุขยามที่ได้ดื่มมันย่อมเป็นสิ่งที่คุ้มค่าเกินพอ 


    ไดโอนีซุสเริ่มผลิตเครื่องดื่มที่พระองค์คิดเองอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่เมื่อดื่มไปได้สักพักท้าวเธอก็เริ่มรู้สึกว่าเหงาขึ้นมา จึงเริ่มชวนสมัครพรรคพวกมาร่วมวงดื่มกัน 


    พวกแรกที่ยอมมาร่วมวงด้วยก็คือพวกนางไฮยาเดสนี่แหละ จากนั้นก็เริ่มขยายวงไปเรื่อยๆ พวกนี้จะร่วมดื่มร่วมเมาหัวทิ่มพื้นกับไดโอนีซุสและเดินทางไปเรื่อยๆแบบไปไหนไปกันเป็นโขยง ส่งเสียงเอะอะโวยวายและเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน 


     เรียกได้ว่าพวกนี้ไปถึงที่ไหนทั้งคนทั้งสัตว์มีอันได้แตกตื่น แต่จะว่าไปไดโอนีซุสนี่เป็นเทพที่ใช้ชีวิตล้มลุกคลุกดินจริงๆ  และยังคลุกคลีกับมนุษย์มากกว่าเทพเจ้าองค์ใดๆอีกด้วย 


    ในที่สุดท้าวเธอก็ตั้งชื่อเครื่องดื่มที่ผลิตมาให้ชื่อว่า “ไวน์-Wine” และประกาศการค้นพบไวน์ไปในหมู่มนุษย์ แต่สิ่งที่ท้าวเธอกระทำนั้นกลายเป็นโทษมากกว่าคุณ โดยเล่าว่าตอนที่ไดโอนีซุสเสด็จมาที่โลกมนุษย์เพื่อสอนให้กษัตริย์อิคาไรอัสรู้จักวิธีหมักไวน์ 



    ชัยชนะของแบคคัส(ไดโอนีซุส) ภาพโดย Diego Velázquez, c. 1629


    ผลที่ได้ก็คือ กษัตริย์อิคาไรอัสนำไวน์ที่พระองค์หมักเองตามสูตรที่เทพไดโอนีซุสบอกไปแจกแก่คนในวังตอนมีงานเลี้ยงพอดี ปรากฏว่าพวกที่ดื่มไวน์เข้าไปก็เกิดอาการเมาและอาละวาดจนทำให้งานเลี้ยงเละเทะไม่เป็นท่า  แถมเมื่อพวกคนในงานเลี้ยงสร่างเมาก็กลับโทษว่ากษัตริย์อิคาไรอัสเป็นต้นเหตุให้งานเลี้ยงพัง และร่วมแรงร่วมใจกันฆ่ากษัตริย์อิคาไรอัสผู้น่าสงสารทิ้ง 


    และยังมีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่า ครั้งหนึ่งเทพไดโอนีซุสกำลังดื่มไวน์อยู่ที่โขดหินแห่งหนึ่งและเผลอหลับไป เมื่อพระองค์ตื่นมาก็พบตนเองถูกมัดตรึงไว้กับเสากระโดงเรือ 


    ซึ่งเรือลำนี้เป็นของพวกโจรสลัด พระองค์ตกใจอย่างมาก เลยบอกว่าตนเป็นเทพเจ้า เหล่าโจรสลัดหาว่าไดโอนีซุสเป็นบ้า(ผมไม่ได้ว่าพระองค์นะครับ แต่ก็อย่างว่าละครับ แม้แต่พวกนางพรายก็ยังไม่มาหมดสติจนถูกจับมัดง่ายๆอย่างนี้หรอก)  



    เทพไดโอนีซุสบนเรือโจรสลัด


    เมื่อไดโอนีซุสได้ยินคำสบประมาทหาว่าพระองค์บ้าเช่นนั้นก็เริ่มโกรธขึ้นมา จึงร่ายเวทย์ให้น้ำทะเลรอบๆกลายเป็นไวน์องุ่นชั้นเลิศและสาปให้พวกลูกเรือทั้งหลายกลายเป็นปลาโลมากระโดดลงไปแหวกว่ายในทะเลที่เป็นไวน์  


    จากนั้นจึงแก้เชือกที่มัดพระองไว้ จากนั้นพระองค์ก็กระโดดลงขี่หลังปลาโลมาและให้มันแหวกว่ายในทะเลไวน์องุ่นอย่างสนุกสนาน ซึ่งปลาโลมานี้ก็กลายเป็นสัตว์ประจำตัวของพระองค์ไปโดยปริยาย 


    เรื่องความรักของเทพองค์นี้ก็พอมีบ้างครับ โดยเล่าว่าเจ้าหญิงแอรีแอดเน่แห่งเกาะครีต ได้ครองรักกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อเธสสิอุส โดยเล่าว่าเธสสิอุสนั้นเป็นวีรบุรุษผู้สังหารอสุรกายนามมิโนทอร์ สัตว์ประหลาดตัวนี้อาศัยอยู่ในเขาวงกต 


    เรื่องที่เกิดขึ้นก็คือเจ้าหญิงแอรีแอดเน่ได้บังเอิญกับเจอเธสสิอุส และได้หลงรักตั้งแต่แรกเห็น และเมื่อรู้ว่าเธสสิอุสจะเข้าไปปราบอสูรร้ายมิโนทอร์ในเขาวงกต 


    นางแอรีแอดเน่จึงยื่นข้อเสนอแก่เธสสิอุสว่า หากนางสามารถช่วยเธสสิอุสทำภารกิจฆ่ามิโนทอร์ได้สำเร็จ เธสสิอุสจะต้องสัญญาว่าจะต้องแต่งงานกับนางและต้องพานางหนีไปจากเกาะครีตด้วย 


    เมื่อเธสสิอุสตอบตกลง นางจึงยื่นด้ายหลายม้วนให้แก่เธสสิอุส พอเธสสิอุสจะเข้าไปในเขาวงกต เขาก็ใช้ด้ายที่นางแอรีแอดเน่ให้มาทิ้งไว้ตามทางเพื่อให้จำทางออกได้ตอนเวลาจะออก เมื่อเธสสิอุสจัดการกับมิโนทอร์เสร็จแล้วก็ตามรอยด้ายที่ตนทิ้งไว้จนออกจากเขาวงกตได้ และนางแอรีแอดเน่ก็ทวงสัญญาทันที 


    เธสสิอุสหนีจากเกาะครีตไปกับนางแอรีแอดเน่ตามสัญญาก็จริงอยู่ แต่นางกลับถูกเธสสิอุสทิ้งไว้บนเกาะแนกซอส(ทั้งๆที่แอรีแอดเน่ช่วยเธสสิอุสแท้ๆ)   


    เมื่อไดโอนีซุสผ่านมาพบนางแอรีแอดเน่เข้าก็เกิดความสงสารจากความสงสารก็กลายเป็นรักแท้อันลึกซึ้ง  พระองค์ทำให้นางลืมความปวดร้าวที่ผ่านมาและขอนางให้เป็นชายาของตน จากนั้นก็พาเธอไปเกาะแลมนอส  ซึ่งทั้งสองก็มีความสุขตลอดกาลแถมยังมีบุตรด้วยกันหกคน



    เทพไดโอนีซุสและนางแอรีแอดเน่ ภาพโดย Eugene Delacroix (2399-2406)



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×