คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ซุส-Zeus คณะเทพวงศ์โอลิมเปียน
ซุสหรือที่ชาวโรมันเรียกว่า “จูปิเตอร์-Jupiter” เป็นราชาแห่งเหล่าทวยเทพและเป็นผู้ปกครองภูเขาโอลิมปัส หนึ่งในสามมหาเทพ บุตรองค์สุดท้องแห่งเทพไททันโคนอสและเทพีรีอา
ซุสเป็นเทพแห่งท้องฟ้าและสายฟ้า มีพี่น้องทั้งหมด 5 องค์ ได้แก่ เทพีดีมิเตอร์-เทพีแห่งเกษตรกรรม เทพีเฮรา-เทพีแห่งมารดา เทพีเฮสเทีย-เทพีแห่งเตาไฟ เทพโพไซดอน-เทพแห่งมหาสมุทร เทพฮาเดส-เทพแห่งนรกใต้พิภพ
ชื่อของมหาเทพซุสมีความหมายว่า “รุ่งอรุณแห่งฟากฟ้า” สัญลักษณ์ของพระองค์คือ สายฟ้า นกอินทรีและต้นโอ๊ค ชายาของพระองค์คือเทพีเฮรา (ถึงแม้ว่าจะมีหลายตำนานที่แสดงให้เห็นถึงความเจ้าชู้ของมหาเทพซุส แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าหากไม่มีความเจ้าชู้ของมหาเทพซุสแล้ว ผู้สืบเชื้อสายทั้งหลายของมหาเทพองค์นี้ เช่น เทพีอาธีนา เทพแอรีส เทพไดโอนีซุส เพอร์ซีอุส เฮอร์คิวลิส ก็คงไม่ได้เกิดขึ้นมาสร้างวีรกรรมหรอกครับ)
ตามตำนาน ในสงครามไททัน มหาเทพซุสเป็นผู้นำสงครามของฝ่ายเทพโอลิมเปียน ว่ากันว่าในตอนที่สงครามกำลังจะเริ่มต้นขึ้นนั้น มหาเทพซุสทรงคำนวณดูกำลังทัพของแต่ละฝ่าย แต่เท่าที่พระองค์คำนวณทัพของพระองค์เสียเปรียบด้านจำนาน พระองค์จึงเสด็จไปยังแดนนรกทาร์ทารัสด้วยตนเองเพื่อไปปลดปล่อยเหล่ายักษ์ ไซครอปส์-Cyclops ทั้งสามตนขึ้นมาจากแดนนรกทาร์ทารัส เหล่ายักษ์ไซครอปส์รู้สึกซาบซึ้งในน้ำพระทัยของมหาเทพเป็นอย่างมาก และเพื่อเป็นการตอบแทน
เหล่ายักษ์ไซครอปส์ก็ได้ช่วยกันสร้างมหาอาวุธทั้งสามชิ้นให้แก่มหาเทพทั้งสามองค์ นั่นคือ มอบสายฟ้าให้แก่ซุส (เชื่อกันว่าตั้งแต่นั้นมาสายฟ้านี้ได้กลายมาเป็นอาวุธคู่ใจและสัญลักษณ์ของมหาเทพซุส) หมวกล่องหน(แต่บางตำนานก็ว่าเป็นเป็นอาวุธสองง่าม)ให้ฮาเดส และสามง่ามหรือตรีศูลให้โพไซดอน
หลังจากได้มหาอาวุธแล้วมหาเทพซุสก็ได้รวบกำลังเทพโอลิมเปียนและเทพไททันบางองค์ที่ยอมเข้าร่วมกับพระองค์ให้เข้าสู่สงคราม การรบเป็นไปอย่างดุเดือด หลังผ่านไป 10 ปี ในที่สุดเหล่าเทพไททันก็เป็นฝ่ายแพ้และเทพไททันบางองค์ก็ถูกมหาเทพซุสก็ถูกขับออกจากสวรรค์และนำไปขังไว้ในขุมนรกทาร์ทารัส
แต่ก็มีเทพไททันบางองค์ เช่น โครนอสที่หนีจากการจับกุมไปได้
หลายปีผ่านมาเรื่องที่เหล่าเทพไททันพ่ายแพ้แก่เทพโอลิมเปียนก็ไปเข้าหูของพระแม่ธรณีไกอา
เรื่องนี้ทำให้พระนางโกรธซุสเป็นอย่างมาก ในที่สุดนางจึงเนรมิตอสุรกายที่น่ากลัวที่สุดในตำนานกรีก
นามว่า “ไทฟอน-Typhon” ไทฟอนคืออสุรกายที่มีร่ายกายใหญ่โต มีหัวถึงร้อยหัวถึง
100 หัว เวลาที่มันหายใจ ลมหายใจที่พ่นออกมาจะกลายเป็นไฟ
และน้ำตาของมันก็เต็มไปด้วยพิษร้าย และมันยังมีลาวาไหลออกมาจากปาก
มันมีปีกขนาดมหึมา และมีท่อนล่างเป็นงูใหญ่
การต่อสู้ระหว่างมหาเทพซุสกับอสุรกายไทฟอน
เมื่ออสุกายไทฟอนรับคำสั่งของเทพีธรณีไกอาแล้วมันก็ปรากฏตัวขึ้นที่เขาโอลิมปัส และเริ่มทำลายโอลิมปัสไปทีละส่วน เหล่าเทพที่ไม่ทันตั้งตัวก็พากันแตกตื่นหวาดกลัว แต่องค์ซุสก็พยายามสู้แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้เกิดความโกราหลครั้งใหญ่ขึ้น(ชาวกรีกเรียกสงครามนี้ว่า “ศึกไทฟอน” )ผลสุดท้ายคือซุสเสียท่าและบาดเจ็บอย่างหนัก
ในที่สุดเหล่าเทพก็พากันหนีออกจากเขาโอลิมปัสหนีไปยังประเทศต่างๆและด้วยความที่กลัวว่าอสูรไทฟอนจะตามทัน
เทพเหล่านั้นยังจำแลงองค์เป็นสัตว์นานาชนิดด้วยเพื่อมิให้อสูรร้ายไทฟอนจำได้ โดยซุสและเฮราแปลงเป็นแกะและนางโคหนีไปประเทศอียิปต์ ส่วนเทพอื่นๆก็แปลงกายหนีไปยังประเทศอื่นๆ
แต่ในที่สุดวันหนึ่งมหาเทพซุสได้นึกถึงศักดิ์ศรีของตนจึงกลับมาเพื่อสู้กับอสูรไทฟอ
มหาเทพซุสแห่งตำนานกรีกและมหาเทพราแห่งตำนานอียิปต์
ในศึกครั้งที่สองนี้องค์มหาเทพซุสได้รวบรวมกำลังเทพที่คิดจะสู้เคียงข้างพระองค์ ว่ากันว่าในศึกนี้มีเทพอีก5 องค์ที่ยอมเข้าร่วมกับมหาเทพซุสนั่นคือเทพโพไซดอน เทพฮาเดส เทพเฮอร์มิส และเทพีอาธีน่าเทพทั้งหกทรงต่อสู้กับไทฟอนเกิดเป็นศึกใหญ่อสูรไทฟอนได้โต้กลับด้วยการยกภูเขาทั้งลูกโยนใส่เหล่าเทพจนเกือบเสียหลัก
เรียกได้ว่าในยุคนั้นแทบไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลืออยู่ในรัศมีการต่อสู้เลย แต่ถึงแม้เทพทั้งหกจะรวมกำลังกันแต่ก็มิอาจทำอันตรายไทฟอนได้ การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด เป็นเวลายาวนาน 7 ปี 7 เดือน ในที่สุดก็มาถึงจุดสำคัญที่สุดของสงคราม
เมื่อไทฟอนยกภูเขาไฟเอทนาอันมหึมาขึ้นหวังจะปิดบัญชีเหล่าเทพเจ้าที่ต่อต้านให้หมดด้วยการโยนภูเขาลูกนี้เข้าใส่ แต่ซุสได้เห็นถึงโอกาสเพียงหนึ่งเดียวนี้ที่จะพิชิตอสูรไทฟอนลงได้ จึงเสกสายฟ้าขึ้นมาร้อยสายฟาดใส่ภูเขาไฟเอทนา ผลที่ออกมาคือภูเขาไฟลูกนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆและทับร่างของไทฟอนที่เสียหลักล้มลงจนมิดและไม่อาจขยับได้อีกต่อไป
แม้ไทฟอนจะยังไม่ตายและยังคงพ่นลาวาออกมาทางภูเขาไฟเอทนาอยู่เนืองๆ แต่มันก็ไม่อาจจะหนีไปจากที่คุมขังนี้ได้อีกต่อไป ชัยชนะจึงตกเป็นของเทพเจ้าอย่างเต็มภาคภูมิ
แต่ก็มีบางตำนานที่กล่าวไว้ว่าเทพทั้งหกตกที่นั่งลำบากเพราะระหว่างที่สู้ก็ค่อยๆหมดแรงไปทีละนิด ในที่สุดเทพีอาธีนาก็คิดแผนออกว่าหากรวบเอา 3 มหาอาวุธของ 3 มหาเทพเข้าด้วยกันอาจกำเนิดสุดยอดอาวุธเทพที่มีพลังยิ่งใหญ่ที่อาจไม่มีอะไรเทียมเท่าก็ได้
เมื่อซุสได้ฟังแผนดังนั้นจึงให้เฮอร์มิสเทพแห่งการรักษา ใช้พลังที่เหลือทั้งหมดรักษาเฮฟเฟสตัส
เทพช่างนักประดิษฐ์ประจำเทือกเขาโอลิมปัสให้มีแรงลุกขึ้น และขอยืม “สองง่ามของฮาเดส” และ “ตรีศูลหรือสามง่ามของโพไซดอน”
มารวมกับ “สายฟ้าแห่งซุส” แล้วให้เฮฟเฟสตัส เร่งพลังไฟ ตีเชื่อมมหาอาวุธทั้ง
3 ชิ้นเข้าด้วยกัน จนก่อกำเนิดเป็น “Spear
of Triam” (หอกแห่งเทรียม)” อาวุธสุดยอดที่มีแค่ชิ้นเดียวในจักรวาล
เมื่ออาวุธเสร็จสมบูรณ์
มหาเทพซุสถือหอกแห่งเทรียม
มหาเทพซุสกับเทพอีก 5 องค์ ได้กลับมาสู่สนามรบ เมื่อเปิดฉากการต่อสู้มหาเทพซุสได้พุ่งหอกแห่งสามโลกใส่อสูรไทฟอน หอกพุ่งไปปักคาอก ปลายหอกทะลุหลังของไทฟ่อน พิษจากยมโลก น้ำทะเลเดือดจาก 7 มหาสมุทร รวมกับกระแสไฟฟ้าที่แรงที่สุด ทำให้ไทฟ่อนล้มลงและแน่นิ่งไป
หอกแห่งเทรียมได้ทำภารกิจของมันสำเร็จก็หมดพลังและแตกเป็นอาวุธประจำกาย พุ่งกลับเข้ามือ 3 มหาเทพดังเดิม จบเรื่องของอสุรกายไทฟอนแต่ยังไม่จบเรื่องของซุสนะครับ เพราะเทพไกอายังเนรมิตอสุรกายอีกตน นามว่าอีคิดนา-Echidna นางเป็นปีศาจที่ท่อนบนเป็นหญิงงามส่วนท่อนล่างเป็นงูใหญ่แต่มหาเทพซุสก็เอาชนะอีคิดนาจนได้แต่พระองค์กลับไม่ฆ่าเพราะหวังว่าในอนาคต เหล่าอสูรในท้องของอีคิดนาจะกลายเป็นบททดสอบของเหล่าผู้กล้า ว่
าคู่ควรกับการเป็นวีรบุรุษหรือไม่ ภายหลังเทพีไกอา ก็รู้ว่าไม่ว่าจะเสกอสุรกายร้ายกาจขนาดไหนก็ไม่อาจโค่นบัลลังก์ของซุสได้ อีกทั้งยังทำให้โลกอันสวยงามซึ่งเป็นร่างกายของพระนางโดนทำลายย่อยยับ สิ่งมีชีวิตล้มตายเกือบหมด นางซึ่งเป็นเทพีแห่งปฐพี จึงใช้พลังทั้งหมดของตนรักษาโลก และผนึกวิญญาณที่อ่อนล้าของตนไว้ในแผ่นดินและหลับไหลไปตลอดกาล
ทุกอย่างเหมือนกำลังจะดีขึ้น แต่ก็เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เกิดจากพี่น้องของตนเอง โดยมีมเหสีเฮร่าเป็นผู้นำกบฏเนื่องจากซุสขึ้นครองตำแหน่งจอมเทพตั้งแต่วัยหนุ่ม ด้วยนิสัยใจร้อน หุนหันพลันแล่น และเจ้าชู้เอาแต่ใจ เทพองค์อื่นๆ รู้สึกไม่พอใจจึงวางแผนโค่นอำนาจซุส แผนก่อการครั้งนี้นำโดยเทพีเฮร่าผู้เป็นมเหสี โพไซดอน เฮอร์มีส และเทพีอาธีนา โดยเทพีเฮร่านั้นคิดก่อการโค่นอำนาจซุสส่วนหนึ่งมาจากเพราะเบื่อกับความเจ้าชู้ของซุสด้วยเทพี เฮร่าลงมือมอมยาให้ซุสหลับ
จากนั้นเทพกบฏก็เข้ามาจับซุสมัดไว้กับรถม้าด้วยเชือกหนัง และยึดสายฟ้าอาวุธของซุสไว้ด้วย เมื่อซุสได้สติก็ไม่สามารถแก้มัดเชือกหนังนั้นได้เพราะเทพกบฏผูกปมไว้ถึง 100 ปม ระหว่างที่เหล่าเทพหารือกันว่าจะให้ใครขึ้นเป็นจอมเทพแทนซุส ธีมิสเทพีไททันผู้เป็นชายาองค์หนึ่งของซุสก็ได้เรียกเบรียรูสยักษ์ 50 หัว ให้มาช่วยซุส เบรียรูสใช้มือ 100 มือแก้ปมเชือกทั้ง 100 ปมออกได้อย่างรวดเร็ว พอซุสเป็นอิสระก็สามารถแย่งสายฟ้ากลับคืนมาได้เมื่ออาวุธสายฟ้าอันทรงอานุภาพกลับมาอยู่ในมือซุส เหล่าเทพกบฏต่างก็คุกเข่าขออภัยโทษต่อมหาเทพซุสให้โพไซดอนและเฮอร์มีสสาบานว่าจะไม่คิดคดทรยศอีก จากนั้นก็ลงโทษสถานเบาให้ลงไปช่วยงานมนุษย์เป็นเวลา 1 ปี
สำหรับเทพีอาธีนานั้น ซุสไม่ได้ลงโทษ ด้วยเทพีอาธีนานั้นไม่ได้เต็มใจจะเข้ากับกลุ่มกบฏ ส่วนมเหสีเฮร่าในฐานะผู้นำกบฏถูกลงโทษหนักโดยจอมเทพจับมัดด้วยสายเงินที่ข้อเท้า แขวนนางไว้กับขื่อสวรรค์ และเอาทั่งเหล็กมาถ่วงไว้ด้วย เฮเฟสตัสพระโอรสพยายามเข้าช่วยเหลือพระมารดา จึงถูกซุสจับโยนตกลงมาจากสวรรค์ทำให้ขาหักกลายเป็นเทพพิการไป การลงโทษโดยการแขวนนี้เจ็บปวดทรมานมากจนพระนางเฮร่าทนไม่ไหวร้องไห้คร่ำครวญตลอดทิวาและราตรีแต่ไม่มีเทพองค์ใดกล้าช่วยเหลือ
แต่ผ่านพ้นไปเพียงแค่ 4 วัน มหาเทพไม่ได้หลับได้นอนเพราะเสียงร้องคร่ำครวญของมเหสี พระองค์จึงบอกให้นางสาบานว่าต่อไปจะไม่คิดโค่นบัลลังก์ของพระองค์อีก พระนางเฮร่าไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นจึงยอมสาบาน มหาเทพจึงยุติการลงโทษนางและรับกลับเป็นมเหสีเช่นเดิม
วันเวลาผ่านไป เมื่อซุสเติบใหญ่ขึ้นนิสัยมุทะลุวู่วาม เอาแต่ใจก็ลดน้อยลง กลายเป็นมหาเทพที่ฉลาดและสามารถปกครองสามโลกได้อย่างเที่ยงธรรม ดูเหมือนเรื่องราวต่างๆจะจบลงได้ด้วยดี สรวงสวรรค์โอลิมปัสกำลังจะเข้าสู่ช่วงสุขสงบเมื่อผ่านเรื่องราวต่างๆมากมาย
แต่ในที่สุดก็เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง เมื่อมหาเทพซุสได้มีมีบัญชาให้โพรเมธัส-Prometheus และเอพิเมธัส-Epimetheus สร้างมนุษย์และสรรพสัตว์ขึ้นมา โดยผู้ที่อาสาสร้างสรรพสัตว์ขึ้นมาให้มีชีวิตคือเอพิเมธัส โดยเอพิเมธัสได้จัดแจงสร้างสัตว์ต่างๆและให้พรในสิ่งดีๆนั่นคือ ให้นกบินได้ ให้ม้ามีสี่ขาเพื่อที่จะวิ่งได้รวดเร็ว ให้ปลาหายใจในน้ำได้ และยังมีพรอื่นๆอีกมากมายี่ได้ให้สรรพสัตว์ พอมาถึงตอนที่เอพิเมธัสจะสร้างมนุษย์ เขาก็ไม่เหลือพรอะไรที่จะให้มนุษย์ได้อีกเพราะยกพรอื่นๆให้สัตว์ไปแทบจะสิ้นแล้ว เมื่อเป็นดังนั้นเอพิเมธัสจึงไปปรึกษากับโพรเมธัสผู้เป็นพี่ ฝ่ายโพรเมธัสก็ตกปากรับคำว่าจะช่วย
โดยเขาสร้างมนุษย์เพศชายก่อน เขาให้มีรูปร่างเหมือนกับพระเจ้าและยังใส่สมองเพื่อให้มนุษย์มีความฉลาดเฉลียวอีกด้วย เมื่อสร้างมนุษย์คนแรกเสร็จ โพรเมธัสก็ได้ขโมยไฟจากเฮสเทีย-เทพีแห่งเตาไฟ ลงไปให้มนุษย์ จึงทำให้มนุษย์รู้จักใช้ไฟในการหุงหาอาหารและใช้เพื่อแสงสว่างจนสามารถสร้างอารยะธรรมต่างๆได้
มหาเทพซุสทรงพอพระทัยกับผลงานที่พระองค์มอบให้เทพโพรเมธัสทำ พระองค์จึงกล่าวกับเทพโพรเมธัสว่า มนุษย์ควรทำการถวายเครื่องสักการะแก่เทพเจ้าด้วย เทพโพรเมธัสยอมรับพระราชโองการ จึงจัดการล้มวัวตัวหนึ่งและแร่เอาเครื่องใน เนื้อ และกระดูกมาออกแบ่งเป็น 2 กอง โดยเอาเนื้อและเครื่องในห่อไว้ในผ้าขี้ริ้วอย่างน่าเกลียด และอีกกองห่อโครงกระดูกแต่เอาไขมันของวัวปิดไว้และห่อด้วยผ้าเนื้อดีห่อไว้อย่างสวยงาม
มหาเทพซุสลงมารับเครื่องสักการะพรองค์เลือกห่อไขมันที่ห่อไว้ด้วยผ้าที่ดูสวยงามโดยไม่รู้ว่าเป็นแผนของเทพโพรเมธัส มหาเทพซุสทรงทำพันธสัญญากับมนุษย์ว่าตั้งแต่นี้ไปเนื้อและเครื่องในนั้นมนุษย์สามารถนำไปกินได้ ส่วนไขมันนั้นใช้บูชาเทพเจ้า เทพซุสทรงกริ้วมากเมื่อเปิดห่อมาเห็นแต่โคลงกระดูก
องค์เทพซุสคิดว่านี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เทพโพรเมธัสทำให่พระองค์เจ็บใจ(ครั้งแรกคือตอนที่เทพโพรเมธัสแอบขโมยไฟไปให้มนุษย์ เพื่อแก้แค้น มหาเทพซุสจึงใช้ลมพัดให้ไฟของมนุษย์ดับ
แต่เทพโพรเมธัสก็มีความมานะ พระองค์ก็แอบขึ้นไปขโมยไฟสวรรค์ที่มิอาจจะมีสิ่งใดดับมันได้
มามอบให้แก่มนุษย์ มหาเทพซุสกริ้วเป็นทวีคูณจึงจับเทพโพรเมธัสตรึงไว้กับเขาคอเคซัส
และมีอินทรียักษ์ที่ชื่อคอเคเซียสมาจิกกินตับของเทพโพรเมธัสทุกวันโดยที่เทพโพรเมธัสไม่ตาย
และทุกคืนตับของเทพโพรเมธัสจะงอกใหม่เพื่อให้อินทรียักษ์คอเคเซียสมาจิกกินในวันรุ่งขึ้น
โพรเมธัสถูกอินทรียักษ์คอเคเซียสจิกกินตับ
ต่อมามหาเทพซุสได้บันดาลให้มีฤดูกาลต่างๆ ทำให้มนุษย์ต้องผจญกับความแปรปรวน จึงจำเป็นต้องอยู่ในที่กำบังอย่างในถ้ำ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เคยขึ้นได้เองก็หยุดงอก
มนุษย์จึงต้องเพาะปลูกจึงจะมีอาหารกิน เมื่อมนุษย์ผจญกับความยากลำบากต่างๆ ทำให้เริ่มไม่ใส่ใจต่อการบวงสรวงบูชาเทพเจ้า และเกิดปัญหาพิพาทระหว่างทวยเทพกับมนุษย์ เพื่อเป็นการลงโทษมนุษย์ มหาเทพซุสจึงให้ทวยเทพช่วยกันเนรมิตมนุษย์ผู้หญิงมาคนหนึ่ง นามว่านางแพนโดรา
มหาเทพซุสได้มอบหีบใบหนึ่งให้แก่นาง พร้อมกับกำชับว่าห้ามเปิดเด็ดขาด ด้วยทรงรู้ว่ามนุษย์ผู้หญิงมีความอยากรู้อยากเห็น แล้วให้เฮอร์มีสพานางไปโลกมนุษย์และพานางแพนโดราให้ไปเป็นชายาของเทพเอพิเมธัส ทั้งสองอยู่ด้วยกันจนมีลูกชาย หญิงบ้าง และมีหลานสืบต่อมา มนุษย์ผู้หญิงจึงเกิดขึ้นประดับโลกด้วยเหตุนี้ อยู่ต่อมานางแพนโดราเกิดอยากรู้ว่า หีบที่มหาเทพซุสให้มานั้นมีอะไร จึงเปิดหีบออกดู ความชั่วร้ายต่างๆ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความตาย ความเกลียดชังความแค้น ต่างโบยบินจากหีบไปในอากาศ
นางแพนโดราตกใจอย่างมากจึงรีบจะปิดกล่องแต่ในตอนเองก็มีสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมาจากก้นกล่อง สิ่งนั้นเริ่มเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมันเองค่อยๆเปลี่ยนเป็นแสงอันอบอุ่นลอยออกมาและม้วนวงล้อมรอบนางแพนโดรา สิ่งนั้นคือความหวัง-Hope และแสงแห่งความหวังก็ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างเป็นเทพธิดาแห่งความหวัง เทพธิดาค่อยๆปลอบนางแพนโดราว่าแม้จะมีอุปสรรคเพียงใดสุดท้ายก็มักจะมีทางออกเสมอด้วยคำพูดของเทพธิดาทำให้นางแพนโดรามีความหวังขึ้นมา
แต่ทว่าต่อมามนุษย์มีจิตใจและการกระทำเลวทรามจากความชั่วร้ายที่เล็ดรอดออกมาจากหีบมากเกินไป จนเหล่าทวยเทพที่เคยลงมาอยู่ในโลกมนุษย์ทนไม่ได้ ต้องพากันหลีกลี้หนีไปทีละองค์
มหาเทพซุสเห็นมนุษย์ประพฤติตัวเลวทราม ทำบาปหยาบช้า ก็พิโรธยิ่ง ตั้งใจจะลงโทษมนุษย์ให้หมดสิ้น จึงเรียกประชุมสภาเทพโดยมีแผนการทำให้น้ำท่วมโลก น้ำได้ท่วมทุกที่ยกเว้นแต่ยอดเขาพาร์นาซัส บนยอดเขานี้ มีสามีภรรยาคู่หนึ่งหนีขึ้นไป สามีชื่อ ดิวเคเลียน เป็นบุตรของโพรเมธัสส่วนภรรยาชื่อ ไพราห์ เป็นธิดาของเทพเอพิเมธัสกับนางแพนโดรา ทั้งสองเป็นคนดีมีศีลธรรม มหาเทพซุสทรงเห็นความดีของทั้งสองจึงไว้ชีวิต
พอน้ำลดทั้งสองก็ลงจากเขาเห็นทุกอย่างเหลือแต่ซาก ทั้งสองจึงชวนกันไปเสี่ยงทายคำแนะนำจากเทพเจ้าที่วิหารพยากรณ์เดลฟี ซึ่งเป็นที่เดียวที่ไม่ถูกโค่นล้ม เทพเจ้าก็ให้คำแนะนำว่าให้ใช้ก้อนหินโยนลงจากภูเขา ทั้งสองจึงทำตาม โดยเก็บก้อนหินโยนไปข้าหลัง ก้อนหินที่ดิวเคเลียนโยนลงไปได้กลายเป็นมนุษย์ผู้ชาย ส่วนก้อนหินที่นางไพราห์โยน ก็กลายเป็นมนุษย์ผู้หญิง มนุษย์จึงได้เกิดขึ้นมาใหม่ หลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางทั้งก็มีบุตรด้วยกันคนหนึ่ง ชื่อว่า เฮเลน-Helen ซึ่งต่อมาเป็นต้นตระกูลของชาวกรีกทั้งหลาย
ความคิดเห็น