แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป - แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป นิยาย แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป : Dek-D.com - Writer

    แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป

    ฟังกานไว้นะ

    ผู้เข้าชมรวม

    366

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    366

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 พ.ย. 49 / 16:03 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81
      ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ

      ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่าสวดสามวันแล้วเผาไม่ต้องบอกใครให้
      วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้
      เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง
      สวดสามวันเผา

      งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คนคือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้
      และผมซึ่งเป็นคนนอก
      เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
      วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน
      สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็นคนหนึ่ง
      เป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
      เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง
      และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น

      ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
      เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
      หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
      พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก

      จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์
      ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
      แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์
      อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน -
      แม้กระทั่งวันตาย

      ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบ ไม้
      เมืองเดิม ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
      เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้
      พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา
      การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆ
      มาใช้ในการดำรงชีวิต

      วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท
      เขาปลอบใจผมว่า "ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
      แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ
      จะได้ไม่ทุกข์"

      เขามีวิธีคิด "เท่ๆ" แบบผมคิดไม่ได้มากมาย

      เป็นต้นว่า "สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา
      อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร"
      คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
      ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ ความดัน เกาต์
      และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น
      แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลาเนื
      ่องจากไตไม่ทำงานปัสสาวะเองไม่ได้

      6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป
      เวลาลูกหลานหรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
      เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10
      นาทีที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนานเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไปเยี่ยมไข้ทุกคนพูดตรงกันว่า
      "คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม"

      พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขาตอบว่า
      "ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก"

      เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่

      บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้วแต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุยไม่จบเรื่องแล้วจ่ายเงิน
      ตามมิเตอร์ !

      4เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นจนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำใ
      ห้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน

      แต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน

      หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
      "ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง
      คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
      เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน"

      หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
      แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

      1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมดเคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือ
      กะพริบตา แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
      เวลาลูกเมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า "ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที"
      เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง !

      เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย

      เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง

      สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า "พ่อสู้นะ"

      เขาไม่กะพริบตาซะแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า "สู้"

      เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า "คุณลุงแกสู้จริงๆ"


      ตอนที่วางดอกไม้จันทน์
      ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
      "โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×