ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    🐇 กระต่ายหมายจันทร์ 🌙 #WEREBEAST [BOY’S LOVE / WERE BEAST]

    ลำดับตอนที่ #4 : หมายจันทร์ ครั้งที่ 3 🐇 🌙

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 64


    ???? กระต่ายหมายจันทร์ ????

     

    หมายจันทร์ ครั้งที่ 3

    ???? ????

     

    ร้าน ศศินกุล ร้านอาหารสีขาวสไตล์นอร์ดิกตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับสวนสาธารณะ รั้วต้นไม้สีเขียวชอุ่ม สนามหญ้าบริเวณหน้าร้านยิ่งช่วยขับให้ตัวร้านดูเด่นแล้วก็น่ารักเพิ่มขึ้นไปอีก ภายในร้านก็ตกแต่งด้วยโทนสีขาว และไม้สีไวท์โอ๊ค ตัดด้วยเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นเป็นโทนสีเขียว รวมถึงตกแต่งด้วยต้นไม้ในหลาย ๆ จุด ทำให้บรรยากาศภายในร้านนั้นดูอบอุ่น น่ารัก เข้าถึงได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จึงไม่แปลกที่ร้านนี้จะเป็นที่นิยมในระแวกนี้ รวมถึงมีการบอกเล่าแบบปากต่อปาก และการรีวิวจากนักชิมต่าง ๆ

     

    “สวัสดีค่ะ ศศินกุลยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงของพนักงานดังขึ้นทำเอาคนที่กำลังเงยหน้ามองสำรวจร้านอยู่นั้นถึงกับสะดุ้ง ส่งยิ้มกลับไปให้ “กี่ท่านคะ”

     

    “เอ่อ... ค คนเดียวครับ แต่ว่ารับกลับ...” ลูนตอบกลับไป เขาส่งยิ้มให้พนักงานอีกรอบ

     

    “ได้เลยค่ะ ด้านนี้ค่ะ” พนักงานเชื่อเชิญให้อีกฝ่ายเดินไปนั่งที่โต๊ะกลมตัวเล็กสำหรับนั่งสองคนก่อนจะส่งเมนูอาหารให้

     

    ลูนรับมาเปิดดู ร้านนี้มีทั้งอาหารคาวและของหวานแต่ละอย่างก็ดูน่ากินไปหมดจนเลือกไม่ถูก คราวก่อนมาก็พยักหน้าเออออตามเพื่อน ๆ ไป ไม่ได้ไล่ดูเมนูจนครบแบบนี้

     

    เปิดย้อนกลับไปหน้าแรกที่ขึ้นว่าเป็นเมนูแนะนำ เขามองรูปข้าวแกงกะหรี่ด้วยความสนใจ

     

    “เมนูนี้คือ Curry of the moon ค่ะ เป็นข้าวแกงกะหรี่ที่ทำเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวห่อด้วยไข่นุ่มค่ะ ส่วนท็อปปิ้งก็สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นอะไร มีทั้งพวงทงคัตสึ เทมปุระ สเต็กค่ะ”

     

    เงยหน้าฟังพนักงานแนะนำเมนูตาวาว เขายิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเลือกเมนูต่อ ลูนสั่ง Curry of the moon ไปหนึ่งที่ เลือกท็อปปิ้งเป็นสเต็กไก่

     

    “รับขนมหวานเพิ่มด้วยไหมคะ เมนูนี้คือซิกเนอจร์จองร้านนะคะ The moon เป็นขนมไหว้พระจันทร์ค่ะ”

     

    “เอ๋… มีขายตลอดเลยเหรอครับ ไม่ได้มีเฉพาะช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์เหรอ” ลูนถามด้วยความสงสัย เขาเป็นคนที่ชอบขนมไหว้พระจันทร์ ส่วนร้านที่เขาชอบซื้อกินก็มักจะทำขายเวลามีเทศกาลเท่านั้น

     

    “มีขายตลอดค่ะ ทั้งขนมไหว้พระจันทร์แล้วก็เมนูที่คุณลูกค้าสั่งเป็นเมนูที่สื่อถึงร้านและเจ้าของร้านที่สุดค่ะ”

     

    “เอ๋… เหรอครับ ยังไงเหรอครับ พอจะบอกได้ไหม” ลูนถามต่อด้วยความกะตือรือร้น

     

    พนักงานสาวยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นดวงตาที่เป็นประกายสดใสของลูกค้าตรงหน้า พยักหน้ารับ “ได้ค่ะ ไม่ได้เป็นความลับอะไร ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ถามถึงค่ะ ชื่อร้านของเราคือ ศศินกุล จริง ๆ แล้วเป็นชื่อของเจ้าของร้านค่ะ แปลว่าผู้มีเชื้อสายของดวงจันทร์ คุณศิลป์เจ้าของร้านก็เลยทำเมนูที่เกี่ยวกับดวงจันทร์ขึ้นมาเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านค่ะ”

     

    “อ่อ… ขอบคุณครับ อย่างนั้นผมเอาขนมนี้ด้วยหนึ่งชิ้น” เจ้าตัวว่าพลางเลือกไส้ของขนมไหว้พระจันทร์ไป ยิ้มรับเมื่อพนักงานทวนเมนูและขอให้รอสักครู่

     

    “ได้ค่ะ รออาหารสักครู่นะคะ” พนักงานว่าก่อนจะเดินเข้าไปแจ้งออเดอร์ในครัวต่อ

     

    ลูนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น แต่ก็แอบสอดส่องสายตาไปรอบ ๆ ร้านเพื่อมองหาคุณเขา ที่อยู่ ๆ ก็มาโผล่ที่ร้านนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่วันที่มีเรียนก็เป็นเพราะอยากจะเห็นคุณเขาก็เท่านั้น แต่กลายเป็นว่าพอมาถึงร้านแล้วกลับไม่เจอเสียอย่างนั้น

     

    ถอนหายใจอย่างผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่เจอใครคนนั้น ลูนก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ของตัวเองในระหว่างที่รออาหาร เข้าไปตอบข้อความของเพื่อน ๆ บ้าง ของครอบครัวบ้าง ปากอิ่มยู่เข้าหากันเมื่อเห็นข้อความของเพื่อนสนิท

     

    “อาหารที่สั่งมาแล้วครับ”

     

    เงยหน้ามองทันทีที่ได้ยินเสียง ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครที่เดินถือถุงใส่อาหารมาให้ เขาเผลอมองคนตรงหน้าโดยไม่ได้ตอบรับอะไร อีกฝ่ายก็ไม่มีว่า แถมยังส่งรอยยิ้มใจดีมาให้อีก

     

    “คุณลูกค้าครับ”

     

    “อ่ะ! ค ครับ ๆ ขอบคุณนะครับ” ผิวแก้มขึ้นสีระเรื่อ ทั้งเขิน ทั้งอายที่เผลอปล่อยท่าทางเปิ่น ๆ ออกไปแบบนั้น นึกอยากจะยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ ก็คุณเขาเล่นยืนมองอยู่ตรงหน้า

     

    “ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะครับ คราวหน้าแวะมาอีกนะครับ”

     

    “ได้ครับ! แนะนอนครับ เอ่อ...” ลูนรับคำเสียงดังก่อนจะเบาเสียงลงเมื่อรู้ตัวว่าเขาเผลอใช้เสียงดังเกินไป โชคดีที่คนในร้านไม่เยอะเท่าไหร่ ไม่งั้นคงได้ขายหน้ามากกว่านี้แน่นอน “คือ... ขอบ ขอบคุณนะครับ”

     

    “ครับผม” คนตรงหน้ายิ้มอบอุ่นกลับมาให้

     

    เป็นรอยยิ้มที่คนมองอย่างลูนรู้สึกแกว่งไปทั้งใจเลยทีเดียว เจ้าตัวได้แต่ส่งยิ้มกลับไป ซึ่งมันคงเป็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดน่าดูเพราะเขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

     

    “โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ”

     

    “ค ครับ ๆ” ลูนพยักหน้ารับ เขาคว้าถุงอาหารมาถือก่อนจะรีบจ้ำเดินออกจากร้านไป

     

    เดินเลี้ยวเข้าไปในสวนสาธารณะ หยุดขาอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ลูนยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหญ้า ใบหูสองข้างแดงก่ำแถมหัวใจยังเต้นแรงเพียงแค่ได้คุยกับคุณเขาแค่ไม่กี่คำ แถมยังทำตัวเปิ่น ๆ ไปอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

     

    First impression ของคุณเขาที่มีต่อลูนคงจะติดลบไปแล้วแน่ ๆ เลย แล้วแบบนี้จะเดินหน้าจีบได้ยังไงกันล่ะเนี่ย!

     

    นึกแล้วก็ได้แต่ตีอกชกหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ นี่ถ้าดิ้นได้เขาก็คงทำไปแล้วเหมือนกัน

     

    ถอนหายใจออกมาแรง ๆ ปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาคงที่ วันนี้ล่มไม่เป็นท่าก็ไม่เป็นไร ครั้งหน้าค่อยเริ่มใหม่ก็ได้

     

    คิดอย่างมาดมั่น พยักหน้าเพื่อให้กำลังใจและเรียกแรงฮึดกลับมา ลูนยันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกจากสวนสาธารณะเพื่อไปเรียกรถกลับคอนโด

     

    โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าทุกการกระทำนั้น คุณเขา เห็นทุกการกระทำ

     

    ก็สวนสาธารณะที่ลูนเดินเข้าไปก็อยู่ข้างร้านเขานี่เอง แถมผนังร้านฝั่งสวนก็เป็นกระจกใสทั้งหมดเพื่อที่ลูกค้าจะได้สามารถมองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน

     

    ศิลป์ยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของคนอายุน้อยกว่า นึกเอ็นดูในกับท่าทางนั้น รวมไปถึงใบหน้าแดง ๆ ตอนที่เจ้าตัวนึกเขินอายตอนเผลอแสดงท่าทางเปิ่น ๆ ออกมา ไหนจะอาการขี้ตกใจเหมือนกับกระต่ายที่เขาชอบอีก

     

    รวม ๆ แล้วก็เป็นเด็กที่น่าเอ็นดูนั่นแหละนะ

     

     

     

    ???? ???? ???? ????

     

     

     

    ศิลป์ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างหลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายที่เหนื่อยล้าของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาถอนหายใจและปล่อยให้ความคิดล่องลอย รู้สึกเหงานิดหน่อยกับการต้องอยู่คนเดียวหลังจากผ่านการทำงานมาในแต่ละวัน ไม่มีคนคอยส่งยิ้มให้ หรือถามด้วยความเป็นห่วงว่าเหนื่อยมากไหม ไม่มีอ้อมกอดที่คอยกอดให้กำลังใจและอ่อนล้า

     

    เขาใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมาหลายปี หลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุไปเมื่อราว ๆ แปดปีตอน ตอนที่เขาอายุครบยี่สิบปี แรก ๆ มันก็ยากที่จะทำใจให้ยอมรับ ยังโชคดีที่ฐานะทางของครอบครัวของเขาไม่เรียกว่าลำบาก เขาจึงสามารถส่งตัวเองเรียนจนจบได้ และยังพอมีเงินลงทุนในการทำร้านอาหารที่ตัวเขาเองวาดฝันกับคนเป็นแม่เอาไว้ว่าจะเปิดหลังจากเรียนจบ

     

    ร้านนี้เป็นความตั้งใจของเขากับแม่ที่อยากจะเปิดมันขึ้นมา แม้ว่าแม่จะจากไปแล้ว แต่เขาก็อยากที่จะเปิดร้านนี้ให้ได้ เพื่อให้ความตั้งใจของแม่เป็นจริง แรก ๆ มันก็ยาก ทั้งเหนื่อย ทั้งลำบาก ขาดทุนบ้าง ได้กำไรบ้าง พอถูไถ กว่าจะตั้งตัวได้ก็ใช้เวลาเป็นปี แม้จะเหนื่อยแต่ความสำเร็จในตอนนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า

     

    เพียงแค่การอยู่คนเดียวแบบนี้... มันก็ทำให้เหงาไม่ใช่เล่น

     

    วาดมือไปบนที่นอนเพื่อหาโทรศัพท์มือถือของตน ศิลป์หันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาโทรศัพท์แต่ก็ไม่เจอ คิ้วขมวดเข้าหากันพลางนึกว่าตัวเขานั้นเอาโทรศัพท์ไปวางไว้ที่ไหน ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อคิดได้ว่าคงเผลอวางทิ้งไว้ที่ด้านล่าง ถึงได้ยันตัวลุกขึ้นเพื่อลงไปหยิบ

     

    “อยู่นี่เอง” เขาเจอมันวางอยู่ตรงเคาน์เตอร์แคชเชียร์ วันนี้คงจะวุ่นวายจนเกินไปเขาถึงได้เผลอวางทิ้งเอาไว้แบบนี้ อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนติดโทรศัพท์มือถือด้วยเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่นักว่ามันอยู่กับตัวหรือไม่ ปกติเขาจะหยิบมาเล่นก็ตอนพักกินข้าว หรือไม่ก็ตอนก่อนจะนอนเท่านั้น

     

    ศิลป์เดินสำรวจประตู หน้าต่างอีกรอบเพื่อความเรียบร้อย ก่อนที่จะเตรียมกลับขึ้นไปบนห้อง

     

    เสียงดังกุกกักมาจากทางประตูด้านข้างของร้านตรงที่สามารถออกไปยังสวนที่ติดกับสวนสาธารณะได้ สายตาของศิลป์หันไปมอง เขาขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย แถบนี้ไม่ค่อยมีข่าวโจรกรรม หรือข่าวอาชญากรรม จริง ๆ ต้องบอกว่าในยุคสมัยนี้เรื่องพวกนี้แทบจะหมดไปแล้วด้วยซ้ำ และเขาก็อาศัยอยู่ที่ดินตรงนี้มาหลายปีก็ไม่เคยเจอ

     

    แต่เสียงปริศนาที่ยังดังอยู่ก็ทำให้เขาไม่วางใจ กวาดสายตามองรอบห้องว่าพอจะมีอะไรมาใช้เป็นอาวุธได้บ้าง คว้าร่มที่อยู่แถว ๆ นั้นมาถือ รวมทั้งหยิบเอาคัตเตอร์มาถือเอาไว้อีกอย่างให้อุ่นใจ ค่อย ๆ ย่องไปที่ประตูที่มีม่านแบบมู่ลี่ปิดเอาไว้ แอบส่องไปด้านนอกตามรอยแยกของมูลี่

     

    ไม่ว่าจะเพ่งมองยังไงก็มองไม่เห็นสิ่งผิดปกติเลยสักนิด ไม่มีใคร หรืออะไรอยู่ด้านนอก เขาจึงวางใจและคิดว่าคงเป็นเสียงของลมหรืออะไรที่พัดปลิวมา

     

    ในจังหวะที่ลดอาวุธในมือลง เตรียมหันกลับเพื่อขึ้นไปชั้นสองเสียงที่ว่านั้นก็ดังขึ้นอีก เขาตั้งใจฟัง กดสายตาลงต่ำเมื่อรับรู้ว่าที่มาของเสียงนั้นอยู่ที่พื้น

     

    และเขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่าง...

     

    พรึบ!

     

    ศิลป์แทบจะกระชากม่านให้เปิดออก พร้อมกับสิ่งมีชีวิตนั้นสะดุ้งสุดตัว ดวงตากลมโตของเจ้าสิ่งนั้นเงยขึ้นมาเขาในทันที

     

    เลื่อนประตูให้เปิดออก เอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นขึ้นมาก่อนจะพากลับเข้ามาในร้าน

     

    “มาอยู่ตรงนั้นได้ยังไงหือ ขึ้นมายังไงน่ะเรา” ยกเจ้าสิ่งมีชีวิตนั้นขึ้นมามอง “ใช่เจ้าตัวนุ่มนิ่มหรือเปล่านะ… ไหนบอกสิว่ามาทำอะไรแถวนี้ เจ้ากระต่ายน้อย”

     

    แน่นอนว่าไม่มีคำตอบจากเจ้ากระต่ายตัวน้อยตรงหน้านอกจากใบหน้าเล็ก ๆ ที่เอียงคอมอง พร้อมกับจมูกที่ขยับดุ๊กดิ๊กน่ารัก ศิลป์ใช้นิ้วเกลี่ยไปที่ขนนุ่ม ๆ นั้นอย่างเพลินมือ เขาเล่นกับเจ้าตัวน้อยต่ออีกสักพักก่อนจะพาเจ้าตัวน้อยออกไปส่งที่ด้านนอก

     

    “บ้านอยู่ไหน กลับบ้านนอนได้แล้วนะมันดึกแล้ว” นั่งยอง ๆ พลางวางเจ้ากระต่ายน้อยลงกับพื้น

     

    แต่ทันทีที่ขาของเจ้ากระต่ายสัมผัสพื้น มันก็กระโดดมาเกาะขาของเขาอีก เป็นแบบนั้นหลายต่อหลายครั้ง แถมดวงตากลมโตนั้นก็คล้ายจะออดอ้อนกันจนคนที่ไม่สามารถต้านทานต่อสิ่งมีชีวิตที่น่ารักได้อย่างศิลป์ต้องยกมือยอมแพ้

     

    “จะว่าไปคืนนี้ก็อากาศหนาวเนอะ อย่างนั้นเราก็นอนที่นี่แล้วกันนะ จะได้ไม่ป่วยไปซะก่อน” อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาในอ้อมแขน เดินกลับเข้าร้าน ไม่ลืมที่จะปิดล็อคประตูให้เรียบร้อย

     

    “นอนในตะกร้าไหม หรือจะนอนตรงนี้ดี” วางเจ้าตัวน้อยบนเตียง เขาเตรียมผละไปจัดเตรียมที่นอนให้เจ้ากระต่ายในตะกร้าที่เคยใช้ แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหนเจ้าตัวน้อยก็เดินเตาะแตะไปที่หมอน เดินวนอยู่สองสามรอบก็ฟุบตัวลงนอน ก่อนจะหันมามองเจ้าของห้อง

     

    ศิลป์หัวเราะ เขาลุกไปหยิบผ้าขนหนูผืนนุ่มมาเพิ่ม พับแล้วใช้เป็นที่รองเพิ่มความนุ่มสบายให้กับเจ้ากระต่ายน้อยอีกชั้นหนึ่ง

     

    “ว่าแต่เราใช่เจ้าตัวนุ่มนิ่มไหมนะ ดูเหมือนกันจังเลย คงไม่ได้หนีออกจากบ้านมาอีกใช่ไหมหือ...” พูดไปกับลูบขนนุ่ม ๆ ของกระต่ายตัวน้อยไปด้วย “หรือว่าจะเป็นเจ้าตัวน้อยนักเดินทาง ที่แวะหาที่พักในแต่ละคืนไปเรื่อย ๆ กัน”

     

    แน่นอนว่า ไม่ว่าศิลป์จะถามอะไรไปก็ไม่มีคำตอบอะไรกลับมา นอกจากบางครั้งที่เจ้ากระต่ายจะส่งเสียงออกมาบ้าง หรือไม่ก็เดินเข้ามาไถตัวออดอ้อนจนเขาใจเหลวเป็นน้ำ

     

    เนิ่นนานที่ศิลป์นอนเล่นกับกระต่ายตัวน้อย จนสุดท้ายเจ้าตัวน้อยก็หมดแรงแล้วหลับไปในที่สุด ศิลป์ค่อย ๆ อุ้มกระต่ายไปนอนบนหมอนอีกใบที่เขาเอาผ้ารองปูเอาไว้ให้ ไม่ลืมที่จะใช้ผ้าผืนเล็กอีกผืนห่มให้ด้วยเพราะกลัวว่าเจ้าตัวน้อยจะหนาว หลังจากดูที่นอนของเจ้าตัวน้อยจนเรียบร้อยดีแล้วก็ถึงคราวของตัวเขาเองบ้าง

     

    ดึกป่านนี้แล้ว... เห็นที่ว่าเขาเองก็ควรจะเข้านอนได้แล้ว

     

    และก็เป็นคืนที่เขาหลับไปด้วยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า

     

     

     

    ???? ???? ???? ????

     

     

     

    สัมผัสเปียกชื้นสัมผัสไปตามใบหน้าปลุกให้ศิลป์ที่กำลังนอนหลับอยู่รู้สึกตัว เขาหันหน้าหนีสัมผัสนั้นแต่ไม่นานก็รู้สึกถึงมันอีก จากตอนแรกที่ตั้งใจจะนอนต่อก็ต้องลืมตาขึ้นมา ศิลป์หรี่ตาขึ้นมองก่อนจะเจ้ากับเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่ปีนมาอยู่บนอกของเขาและกำลังใช้ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองมา

     

    “นาฬิกาปลุกยังไม่แจ้งเตือนเลย” ศิลป์พูดด้วยเสียงงัวเงีย เขาหลับตาลงอีกครั้งเพราะยังรู้สึกง่วงอยู่

     

    เจ้าขนปุยส่งเสียงแผ่วเบาก่อนจะใช้จมูกของตนดุนไปตามใบหน้าของศิลป์ ซุกตัวไปตามซอกคอ ขยับตัวไปมาคล้ายต้องการปลุกให้เจ้าของร่างนี้ตื่นขึ้นมาสนใจกัน

     

    “ทำไมดื้อจังหืม...” ยกมือขึ้นลูบขนนุ่มของเจ้าตัวน้อยก่อนจะอุ้มขึ้นมามองหน้า เขาอมยิ้มตอนที่เจ้ากระต่ายน้อยเอียงคอมอง น่าเอ็นดูจนต้องจุ๊บแก้มไปหนึ่งที “โอเค ตื่นแล้วก็ได้ เป็นเด็กดีอยู่ตรงนี้ก่อนรู้ไหม ขอไปอาบน้ำก่อนแล้วจะหาอะไรให้กินนะ”

     

    ศิลป์มองเจ้าตัวน้อยที่ใช้อุ้งเท้าถูแก้มตัวเอง ไม่รู้ว่าทำแบบนั้นเพราะอะไร เพราะรู้สึกคัน หรือเพราะอยากจะเช็ดแก้มที่โดนเขาจุ๊บไปกันแน่ เพราะมันเป็นตำแหน่งเดียวกันเลย เขาหัวเราะเมื่อคิดอะไรบ้าบอออกมา ขยับตัวลงจากเตียงแล้วตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

     

    เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาก็เดินพันผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำ เขาทันเห็นเจ้ากระต่ายน้อยสะดุ้งโหยงก่อนจะมุดหน้าไปกับที่นอน ท่าทางประหลาดจนต้องหลุดหัวเราะ นึกมันเขี้ยวปนเอ็นดูเลยเดินเข้าไปอุ้มขึ้นมากอดมาหอมอีกครั้ง คราวนี้เจ้าตัวน้อยออกอาการดื้อดึงไม่ยอมให้เขากอดเสียอย่างนั้น แถมพอวางลงบนเตียงก็ทำเป็นมองตาขวางใส่แล้วมุดหนีไปอีก

     

    “อยู่ ๆ ก็หวงตัว แปลกจริงนะเราน่ะ” ยื่นมือไปเคาะหัวเจ้าตัวน้อยเบา ๆ หนึ่งทีแล้วจึงผละไปแต่งตัวจนเรียบร้อย

     

    ศิลป์ส่งเสียงเรียกเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่นอนมุดอยู่ตรงหมอนให้มาหากัน เจ้าตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเดินเตาะแตะมาใกล้ ๆ เขา ให้ศิลป์อุ้มขึ้นมาแล้วพาเดินลงมาข้างล่างด้วยกัน อาหารกระต่ายที่เขาเคยซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็ยกให้กับคุณจันทร์เจ้าของกระต่ายที่เขาบังเอิญได้เจอไปแล้ว ตอนนี้เลยไม่มีเหลืออยู่ แต่คิดว่าผักในครัวก็คงจะมีสักอย่างที่ให้เจ้าตัวน้อยกินได้

     

    วางเจ้าขนปุยบนโซฟา เอ่ยสั่งเบา ๆ ให้รออยู่ตรงนี้ส่วนตัวเขาก็เดินหายเข้าไปในครัวเพื่อเลือกดูว่ามีผักอะไรบ้างที่จะให้เจ้าตัวน้อยกินได้ เขาหยิบเบบี้แครอทมาหนึ่งลูก แล้วก็ผลไม้อย่างสตรอว์เบอร์รี่หนึ่งลูก มาล้างทำความสะอาด หั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วจัดใส่จานใบเล็กแล้วถือไปให้เจ้าตัวน้อยที่นั่งรออย่างรู้งาน

     

    อุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาวางบนโต๊ะ ส่วนตัวเขาเองก็นั่งบนโซฟาแทนที่ หยิบเบบี้แครอทที่หั่นเอาไว้มาป้อนให้กับเจ้าขนปุย

     

    ศิลป์มองอุ้งมือน้อย ๆ ที่ยกขึ้นแตะมือของเขา มองปากเล็ก ๆ ที่ขยับเคี้ยวหนุบหนับไปหมดด้วยความเอ็นดู ไม่รู้ว่าเป็นกระต่ายกินเร็วอยู่แล้วหรือเพราะว่าหิวกันแน่ ไม่นานเท่าไหร่แครอทในมือเขาก็หมด จนต้องหยิบอีกชิ้นขึ้นมาป้อนให้อย่างต่อเนื่อง

     

    “ค่อย ๆ กิน เดี๋ยวก็สำลักหรอก” ไม่รู้หรอกว่ากระต่ายสำลักอาหารได้ไหม แต่กินเร็วแบบนี้ก็เป็นห่วงเหมือนกัน

     

    แครรอทที่หั่นเป็นชิ้นมาหมดเกลี้ยในเวลาไม่ถึงสิบนาที แต่สายตาเจ้าตัวน้อยก็ยังจับจ้องอยู่ที่สตรอว์เบอร์รี่ลูกแดงแบบไม่วางตาจนศิลป์ต้องหัวเราะออกมา

     

    “กินเก่งนะเรา กินเก่งแบบนี้เดียวก็อ้วนเอาหรอก” แต่จะพูดจาหยอกเย้า แต่เขาก็หยิบสตรอว์เบอร์รี่ขึ้นมาป้อนให้ในทันที

     

    ไม่นานสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตก็หมดเกลี้ย เขาจึงหันไปหยิบน้ำมาป้อนให้ต่อ โดยปกติแล้วคนเลี้ยงกระต่ายมักจะเอาน้ำใส่ขวดสำหรับสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำในถ้วยหรือจานเข้าจมูกได้ แต่เขาไม่มีเลยต้องป้อนเอาจากหลอดแทน คิดว่าคงพอจะแก้ขัดกันได้บ้าง

     

    หลังจากป้อนข้าวป้อนน้ำเจ้าตัวน้อยเสร็จ ศิลป์ก็ลุกไปหามื้อเช้าให้ตัวเองบ้าง เป็นขนมปังปิ้งทาแยมสตรอว์เบอร์รี่ และชาไทยร้อนหนึ่งแก้ว

     

    แค่เช้านี้เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองหัวเราะกี่ครั้งแล้ว และในตอนนี้เขาก็กำลังหัวเราะอีกรอบเมื่อเดินออกมาเห็นเจ้ากระต่ายตัวน้อยนอนหงายพึ่งพุงกลม ๆ อยู่กลางโต๊ะ กินอิ่มก็นอน อีกไม่นานคงได้ตัวกลมกลิ้งได้แล้ว

     

    “ว่ายังไงเรา กินอิ่มก็นอนเลยนะ เดี๋ยวก็อ้วนเอาหรอก” เจ้าตัวน้อยนอกจากชำเลืองมองก็ไม่ได้สนใจกันอีก

     

    “ว่าแต่ว่าเรานี่มีเจ้าของหรือเปล่า ไม่ได้หนีออกจากบ้านมาหรอกนะ ใช่ไหม...”

     

    ศิลป์นึกแปลกใจที่ช่วงนี้เขาดูพบเจอกระต่ายพัดหลง คราวก่อนก็หลุดออกมาจากบ้าน เจอแมวจรไล่กรวดมาจนถึงหน้าร้านของเขา เลยได้พาไปหาหมอและรับดูแลอยู่สองสามวันก่อนจะส่งตัวคืนเจ้าของเขาไป ผ่านมาไม่กี่สัปดาห์เขาก็เจอกับกระต่ายอีกแล้ว คราวนี้ไม่ได้มานอนหมอบอยู่หน้าร้าน แต่เป็นมาก่อกวนกันถึงประตูร้านเลยทีเดียว

     

    นั่งจัดการมื้อเช้าไปก็ดูเจ้าตัวน้อยนอนเล่นไปด้วย จนใกล้ได้เวลาเริ่มงานเขาจึงลุกขึ้นยืน พอดีกับเจ้าตัวน้อยเองก็ลุกขึ้นด้วยเช่นกัน ศิลป์มืองเจ้ากระต่ายกระโดดลงจากโต๊ะมาที่โซฟา แล้วจากโซฟาลงมาบนพื้น แอบหวั่นใจด้วยกลัวว่าเจ้าตัวน้อยจะล่วงตกลงมา โชคดีที่ไม่เป็นแบบนั้น

     

    มองตามเจ้าขนปุยที่เดินไปที่ประตูร้าน ยกอุ้งมือแตะไปที่ประตูคล้ายจะบอกว่าให้เปิดประตูให้หน่อย

     

    “หืม จะไปแล้วเหรอ” ศิลป์เดินมาหา นั่งยอง ๆ เพื่อคุยด้วย

     

    เจ้าตัวน้อยเดินกลับมาหา ยืดตัวขึ้นยืนด้วยสองเท้าและใช้สองมือเกาะขากางเกงเขา ก่อนจะกระโดดขึ้นมาบนตักและยืดตัวขึ้นมาหาอีกรอบ ศิลป์อุ้มกระต่ายน้อยขึ้นให้เสมอใบหน้า ปล่อยให้เจ้าตัวเล็กขยับมาคลอเคลียออดอ้อน แตะจมูกสีชมพูกับปลายจมูกของเขา แล้วก็กระโดดลงไปที่พื้นอีกครั้ง

     

    “โอเคครับ ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะรู้ไหม ถ้าหนีออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านก็รีบกลับบ้านได้แล้ว คนที่บ้านเขาจะเป็นห่วงเอานะ” ศิลป์ว่า พลางลุกขึ้นยืนเพื่อเปิดประตูให้เจ้าตัวน้อย

     

    เจ้าขนปุยกระโดดออกไปนอกร้าน หันกลับมามองเขาอีกครั้งก่อนจะวิ่งหายไป ศิลป์มองตามพลางยิ้ม นึกขำว่าร้านของเขา บ้านของเขาเป็นที่ค้างแรมของกระต่ายไปแล้วอย่างนั้นเหรอ มานอนหนึ่งคืนพร้อมอาหารเช้าแล้วก็ออกไป

     

    ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าตัวน้อยจะไม่เป็นอันตรายอะไร

     

     

     

    ???? ???? ???? ????

     

     

     

    ลูนทิ้งตัวลงนอนคว่ำบนเตียงนอน ใบหน้าแดงก่ำเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทำลงไป ใครรู้เขาคงจะหาว่าเขาบ้าหรือไม่ก็เพี้ยนไปแล้ว หรือไม่ก็คงต่อว่าเขาเสียยกใหญ่ที่ทำอะไรแบบนั้น

     

    ใครจะไปรู้ว่าตัวเขาจะมีความกล้าถึงขนาดเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นร่างแวร์บีสต์กระต่าย แล้วตรงไปยังร้านศศินกุล เพื่อจะแอบดูคนในใจ จะบอกว่าเป็นโชคดีของเขาก็ได้ที่คุณเขาลงมาด้านล่างและเจอตัวเขาพอดี ตอนที่คุณเขาเปิดประตูออกมาเมื่อคืนก็ตกใจแทบแย่ นึกว่าจะโดนไล่ไปแล้วเสียอีก แต่คุณเขาใจดี...

     

    นอกจากจะไม่ไล่กันแล้วยังพาไปนอนด้วยกัน แถมตอนเช้าก็ยังหาอาหารมาให้กันอีก

     

    เพราะรู้ว่าคุณเขาชอบกระต่าย และโชคดีที่ร่างแวร์บีสต์ของตัวเองนั้นก็เป็นกระต่าย...

     

    จะบอกว่าสิ่งที่กำลังทำคือการหาทางเข้าหาคุณเขาก็คงไม่ผิดนัก

     

    ลูนตกหลุมรักคุณเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่สบตากันเลยเสียด้วยซ้ำ แม้จะเป็นกระต่ายแต่หัวใจของเขาในตอนที่เห็นคุณเขาครั้งแรกก็สั่นไหวจนตัวเขาเองยังตกใจ แถมยังเจอกับความใจดี ความอบอุ่นที่คุณเขามีให้ก็ยิ่งทำให้หวั่นไหว จนสุดท้ายก็ตกหลุมรักไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

     

    เขารู้และมั่นใจว่าอาการแบบนี้เรียกว่าอาการตกหลุมรักแน่นอน แม้ว่าจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็ตาม

     

    ก็ถ้าไม่ชอบ... ก็คงไม่ขยันไปที่ร้านแบบวันเว้นวันตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้หรอก ไปบ่อยเสียจนเขาจะรู้จักกับพนักงานในร้านทั้งหมดแล้ว

     

    แต่นอกจากการไปเป็นลูกค้าที่ร้านแล้วเขาก็ไม่เคยเข้าไปพูดคุยหรือแนะนำตัวอะไรกับคุณเขาเลย เป็นเพียงแค่ลูกค้าจริง ๆ ที่พอคุณเขาหันมาเห็นก็ยิ้มแย้มและทักทายอย่างดีเพราะเห็นเป็นลูกค้า ไม่มีอะไรคืบหน้าไปมากกว่านี้

     

    จะมีก็แต่เมื่อคืนนี้ที่เขากลับไปอยู่ร่างแวร์บีสต์แล้วแอบไปสอดส่องคุณเขานี่แหละ จะโดนหาว่าเป็นโรคจิตไหมก็ไม่รู้ ก็ไม่ได้เห็นหน้าคุณเขามาสองสามวันแล้วเพราะพี่ฟ้าใส พนักงานต้อนรับของร้านศศินกุลบอกว่าในครัวยุ่งมากเนื่องจากเชฟลาป่วย คุณเจ้าของร้านอย่างคุณเขาเลยต้องอยู่แต่ในครัวไม่ได้ออกมาต้อนรับลูกค้าเลย และนั่นก็ทำให้ลูนไม่ได้เห็นหน้าคุณเขาเลย

     

    แต่จากการที่ตั้งใจจะไปแอบส่องเขาเฉย ๆ เลยกลายเป็นได้ขึ้นไปนอนด้วยกันเสียอย่างนั้น

     

    ลูนลุกจากเตียงนอนแล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวไปเรียน ใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย ยังมีเวลาอีกค่อนข้างมากกว่าจะถึงเวลาเรียน พอให้แวะหาอะไรลงท้องได้ เขาเลือกที่จะฝากท้องไว้กับร้านโจ๊กแถว ๆ คอนโด ก่อนจะเรียกวินมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่มหาวิทยาลัย

     

    “วันนี้ลูนดูจะอารมณ์ดีนะ” ขนมทักเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรักที่ดูจะยิ้มแย้มกว่าปกติ

     

    “ก็จริง วันนี้เราอารมณ์ดี” อารมณ์ดีเพราะได้เจอคุณเขามาแล้วนั่นแหละ

     

    เพื่อน ๆ ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบชอบคุณเขา แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อวานเขาทำอะไรไป แน่นอนว่าอย่าให้รู้เชียว ไม่งั้นเขาคงโดนบรรดาเพื่อนรักทั้งสามคนเทศนาแน่นอน

     

    “วันนี้เลิกเรียนแล้วไปร้านนั้นกันอีกไหม ที่คราวก่อนไปกัน” ขิงเอ่ยชักชวน

     

    “ร้านไหน ไปกันมาตั้งหลายร้าน” เปรมว่า

     

    ขิงทำหน้าบึ้งใส่เล็กน้อยก่อนจะยอมตอบ “ก็ร้านนั้นไง ศศินกุลน่ะ ที่เราเคยไปกันมาแล้ว”

     

    ลูนตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินชื่อร้าน เขาพร้อมที่จะยกมือสนับสนุนความคิดของขิงอย่างเต็มที่ ไปแล้วไม่เจอไม่เป็นไร อย่างน้อยก็แค่ขอให้ได้ไปก็พอ

     

    เมื่อไม่มีใครขัดอะไร บทสรุปก็เป็นว่าหลังเลิกเรียนวันนี้พวกเขาจะไปที่ร้านศศินกุลกัน

     

    “สวัสดีค่ะ วันนี้มาห้าคนนะคะ” เสียงของพนักงานต้อนรับดังขึ้นอย่างสดใสเมื่อพวกเขาทั้งห้าคนมาถึงร้านศศินกุล เธอทักทายลูนด้วยรอยยิ้มด้วยความที่เห็นหน้าคราตากันบ่อย ๆ จนจำได้แล้ว

     

    “ครับผม” ลูนส่งยิ้มกว้างไปให้

     

    พนักงานสาวพาพวกเขาไปที่โต๊ะ ส่งเมนูอาหารให้ดูและเลี่ยงออกมาเพื่อให้เวลาลูกค้าในการเลือกดูเมนู 

     

    ลูนปล่อยให้เพื่อน ๆ เป็นฝ่ายเลือกเมนู ส่วนตัวเขาก็แอบสอดส่องสายตาไปรอบร้านเพื่อมองหาคุณเขา แต่ก็ไม่เห็น ไม่รู้ว่าอยู่ในครัวหรือเปล่า

     

    อาหารหน้าตาน่าทาน รสชาติอร่อยถูกยกมาเสิร์ฟทีละจานจนครบ พวกเขานั่งคุยกันไปจัดการกับอาหารตรงหน้าไปด้วย

     

    “ขออนุญาตเสิร์ฟนะคะ เดอะมูนไส้สตรอว์เบอร์รี่ค่ะ” พนักงานเสิร์ฟเดินมาที่โต๊ะของพวกเขาและเสิร์ฟขนมหวาน ซึ่งพวกเขาก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะว่าพวกตนยังไม่ได้สั่งของหวานไปเลย

     

    “พวกผมไม่ได้สั่งนะครับ” พลว่าพลางชี้นิ้วไปที่เมนูที่เธอเพิ่งยกมาเสิร์ฟ

     

    “เมนูนี้เป็นเมนูใหม่ของทางร้านค่ะ คุณศิลป์เจ้าของร้านเลยให้เสิร์ฟกับลูกค้าทุกคนที่มาทานเพื่อได้ลองชิมและติชมก่อนวางขายจริงค่ะ”

     

    “อ๋อ... ขอบคุณมากนะคะ” ขนมส่งยิ้มกลับไปให้พลางเอ่ยขอบคุณ

     

    ขนมไหว้พระจันทร์สองชิ้นบนจานกระเบื้องสีขาว เนื้อแป้งภายนอกนั้นเป็นสีชมพาสเทลอ่อน ๆ ดูสวยไม่ใช่เล่น ไส้ข้างในก็เห็นเป็นไส้ของสตรอว์เบอร์รี่ชัดเจน มีเนื้อสตรอว์เบอร์รี่ผสมอยู่ด้วยเวลากินก็ได้รสชาติหวาน ๆ อมเปรี้ยว อร่อยไม่ใช่เล่น

     

    พวกเขาต่างพากันเอ่ยชมกับเมนูใหม่นี้จนพนักงานของร้านยิ้มกว้างรับคำชม นั่งคุยเล่นต่ออีกไม่นานก็เรียกจ่ายเงิน เพื่อเปิดที่ให้ลูกค้าคนอื่นได้เข้ามาใช้บริการบ้าง

     

    “น้องลูนคะ”

     

    “พี่ฟ้าใส... มีอะไรเหรอครับ” ลูนหันกลับไปหาฟ้าใสที่เอ่ยเรียกเขาเอาไว้ก่อน

     

    ฟ้าใส่ส่งถุงกระดาษใบเล็กมาให้ ลูนรับไปเปิดดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถาม “อะไรครับเนี่ย”

     

    “เดอะมูนไส้สตรอว์เบอร์รี่ค่ะ”

     

    “เอ๋... แต่ยังไม่ได้วางขายนี่ครับ แล้วลูนก็ไม่ได้สั่งด้วย”

     

    “พอดีพี่บอกคุณศิลป์เขาน่ะค่ะว่าลูกค้าประจำมา เป็นลูกค้าที่ชอบขนมไหว้พระจันทร์ที่คุณศิลป์ทำมาก มาทีไรก็ซื้อกลับไปตลอด คุณศิลป์เขาก็เลยฝากมาให้ค่ะ บอกว่าเป็นของตอบแทนที่ชอบขนมของคุณศิลป์เขา”

     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ฟ้าใส ผมชอบจริง ๆ ไม่ได้แกล้งพูดหรืออะไร ยังไงขนมนี่ผมขอไม่รับแล้วกันนะครับ...”

     

    “รับไว้เถอะค่ะ คุณศิลป์เขาตั้งใจจะให้จริง ๆ นะคะ แล้วเอาไว้น้องลูนค่อยมาอุดหนุนขนมไหว้พระจันทร์ใหม่ก็ได้ค่ะ” ฟ้าใสพยักหน้ายืนยันให้รับไป

     

    แม้จะลังเล แต่สุดท้ายลูนก็ตอบตกลง เขายกมือไหว้และฝากขอบคุณไปถึงคนทำขนมด้วย

     

    “ขอบคุณนะครับ ฝากขอบคุณคุณเขาด้วย ผมจะกินให้อร่อยเลยครับ”

     

    ฟ้าใสยิ้มรับ “ยินดีค่ะ ขอบคุณน้องลูนมากนะคะ”

     

    “ครับผม”

     

    ลูนยิ้ม เขากอดถุงกระดาษนั้นแนบอก ในใจฟูฟ่องไปหมดที่คุณเขาให้ขนมมา แม้จะรู้ว่าที่คุณเขาให้ก็เพื่ออยากตอบแทนลูกค้าที่ชื่นชอบขนมของเขาก็เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรแอบแฝง

     

    แต่ใจของลูนมันดันคิดไม่ซื่อเอง จะคิดเกินไปกว่านั้นก็คงจะช่วยไม่ได้...

     

     

     

    ???? ???? ???? ????

     

     

     

    ???? กระต่ายหมายจันทร์ ????

     

    #ดวงจันทร์ของลูน

     

     

    ???? ???? ???? ????

     

     

    ดู๊ดู! ดูน้องทำ แบบนี้นี่น่าตีไหมคะ

    แต่ตีน้องลงไหม ฟางนี่ตีน้องไม่ลงเลย

    แต่มันเขี้ยวน้องนะ ดูสิ เปลี่ยนร่างเป็นกระต่ายแล้วไปแอบส่องคุณเขาซะอย่างนั้น

    มันน่าตีไหมล่ะ! อย่าให้คุณพ่อน้องรู้เชียว

    ไม่งั้นมีคนอกแตกตายแน่เลยค่ะ ฮี่ ^[++++]^

     

    ฝากเอ็นดูน้องลูนด้วยนะคะ แล้วก็มาให้กำลังใจน้องจีบคุณเขากัน

     

    พูดคุย แลกเปลี่ยน เสนอ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ผ่านทาง #ดวงจันทร์ของลูน ได้นะคะ ^^

     

     

    ปล. สำหรับนิยายเรื่องนี้ ฟางจะพยายามมาอัปให้ได้ทุกวันศุกร์นะคะ

    นอกจากไม่ทันจริง ๆ ก็จะไม่ให้เกินวันเสาร์หรืออาทิตย์ แต่ถ้าติดจริง ๆ ฟางจะแจ้งในทวิตเตอร์นะคะ

     

     

    TWITTER : @Fangiily_GC

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×