ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    🐇 กระต่ายหมายจันทร์ 🌙 #WEREBEAST [BOY’S LOVE / WERE BEAST]

    ลำดับตอนที่ #3 : หมายจันทร์ ครั้งที่ 2 🐇 🌙

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 64


    ???? กระต่ายหมายจันทร์ ????

     

    หมายจันทร์ ครั้งที่ 2

    ???? ????

     

    “น้องลูน” น้ำเสียงแม้จะหวานแต่ก็จริงจังและดุเอ่ยเรียก “กลับเป็นคนมาคุยกับแม่เดี๋ยวนี้เลย”

     

    เจ้าตัวน้อยหันมามองก่อนจะมุดหนีเข้าไปอยู่ในผ้าห่มผืนหนาบนเตียง พลางส่งเสียงออกมาคล้ายประท้วง

     

    “น้องลูน อย่าดื้อนะ มาคุยกันให้รู้เรื่องเลย แม่จะลงไปรอข้างล่าง แม่ให้เวลาหนูแค่ห้านาทีเท่านั้น ไม่งั้นแม่จะตีหนูจริง ๆ นะ”

     

    เสียงประตูห้องนอนถูกปิดลง ให้เจ้าตัวน้อยที่อยู่ใต้ผ้าห่มมุดออกมา เจ้าตัวเล็กถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะตั้งสมาธิ จากนั้นร่างของกระต่ายตัวน้อยก็หายไป มีร่างของชายหนุ่มร่างเล็กปรากฏอยู่บนเตียงแทน เจ้าตัวคว้าเอาผ้าห่มมาพันกายเปลือยเปล่าของตัวเอง ก่อนจะเดินไปสวมเสื้อผ้า แล้วจึงออกไปหาผู้เป็นแม่

     

    ขาที่กำลังเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นชะงักเมื่อเห็นสายตาของคนเป็นแม่หันมามอง เจ้าตัวยิ้มก่อนจะรีบเดินไปกอดเอวแล้วยิ้มประจบ

     

    “ไม่ต้องมายิ้มเลย” โดนคนเป็นแม่ดีดหน้าผากไปหนึ่งที “แม่ตกใจแทบแย่รู้ไหมตอนที่คุณเขาโทรมาบอกว่าเจอหนูบาดเจ็บน่ะ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นแม่ก็นึกว่าหนูหนูอยู่คอนโด”

     

    “หนูขอโทษ มันเกิดเหตุฉุกเฉินนิดหน่อย แม่ก็นู้วช่ม้า… เวลาหนูตกใจ แบบไม่ทันตั้งตัวหนูก็ควบคุมตัวเองยากเลยกลับไปเป็นแวร์บีสต์ แล้วบังเอิ๊ญ… บังเอิญหนูเจอแมวจรไล่” ลูนเล่าเรื่องไปก็ก้มหน้าหลบตาคนเป็นแม่ไปด้วย

     

    “ก็เราน่ะดื้อ แม่ย้ำทุกวันให้ฝึก ๆ ให้ทำสมาธิ ก็รู้อยู่ว่าตัวเองควบคุมตอนเวลากลับร่างไปมาได้ไม่ดี เกิดไปเปลี่ยนร่างตอนอยู่บนรถ บนถนนขึ้นมาจะทำยังไง”

     

    ตั้งแต่เด็กแล้ว ลูนมักจะมีปัญหาในการควบคุมการเปลี่ยนร่างกลับไปมาระหว่างร่างของแวร์บีสต์และคน ซึ่งถือเป็นเรื่องลำบากและค่อนข้างอันตรายสำหรับแวร์บีสต์

     

    “น้องลูนขอโทษครับ” เจ้าตัวว่าเสียงอ่อย ถูแก้มตัวเองกับไหล่ของแม่อย่างออดอ้อน

     

    “ดูแลตัวเองหน่อยน้องลูน แม่มีหนูคนเดียวในชีวิตนะ ถ้าหนูเป็นอะไรไปแม่จะอยู่ยังไง”

     

    “หนูขอโทษ ต่อไป… หนูจะระวังตัวให้มากขึ้นครับ สัญญาด้วยว่าจะฝึกทำสมาธิบ่อย ๆ ไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแน่นอน” เจ้าตัวว่าเสียงเจื้อยแจ้วพลางชูสามนิ้ว

     

    “โชคดีที่เจอคุณเขาใจดี”

     

    ลูนพยักหน้าหงึกหงักรับ เห็นด้วยกับแม่ คุณเขาเป็นคนน่ารัก แล้วก็ใจดีมาก ทั้งช่วยพาไปรักษา ทั้งคอยดูแล ซื้อของกินมาให้ตั้งหลายอย่าง แถมยังจะเลี้ยงเขาด้วยถ้าหากหาเจ้าของไม่เจอ ติดอยู่อย่างเดียว…

     

    “เขาบอกหนูอ้วน” ลูนทำหน้าบึ้งหน้างอ มาหาว่าเขาอ้วน แต่ก็ป้อนขนมเขาไม่หยุดเลย นี่ต้องการอะไรลูนเองก็อยากจะรู้

     

    คุณจันทร์หัวเราะ บีบแก้มป่อง ๆ ของลูกชาย ตอนเป็นลูนก็ไม่ได้ตัวอวบอ้วนอะไร ติดจะตัวเล็กไปด้วยซ้ำถ้าเทียบกับคนวัยเดียวกัน สงสัยจะได้แม่เยอะไป ทั้งใบหน้าน่ารัก ดวงตากลมโต แก้มป่อง ๆ ตัวก็เล็ก เอวก็เล็กคนเป็นพ่อยังเคยใช้แขนข้างเดียวโอบเอวลูกชายได้เลย แต่ตอนอยู่ในร่างแวร์บีสต์เจ้าตัวน้อยของเธอกลับตัวกลมเป็นก้อนขน

     

    “ยังไงก็โชคดีแล้วล่ะที่เจอคุณเขา”

     

    “ครับ” ลูนพยักหน้า นึกไปถึงคนที่ช่วยเหลือเขา ดูแลเขา นอกจากรอยยิ้มอบอุ่นแล้ว ยังเป็นคนที่อ่อนโยนมากด้วย

     

    “คงไม่ได้ชอบเขาหรอกใช่ไหม” แม่ถามออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของลูกชาย “อย่าชอบคุณเขาเลย…”

     

    “ทำไม…”

     

    “แม่สงสารคุณเขา ลูกแม่ทั้งดื้อ ทั้งซน แม่กลัวคุณเขาเหนื่อย”

     

    “แม่อ่ะ” ได้แต่ส่งเสียงงอแงกับคำพูดของคนเป็นแม่ ตอนแรกก็ใจหล่นไปแล้วนึกว่าแม่จะไม่เห็นด้วยถ้าหากเขาเกิดนึกชอบพอกับคุณเขาขึ้นมาจริง ๆ “หนูลูกแม่นะ”

     

    คุณจันทร์หัวเราะ ยกมือขึ้นกอดเจ้าตัวน้อยของเธอแล้วโยกไปมา “หนูรักใคร แม่ก็รักด้วย แต่รู้ใช่ไหมเรื่องความรักมันบังคับกันไม่ได้”

     

    “หนูรู้ครับ หนูรักแม่นะ รักแม่ที่สุดในโลกเลย แล้วหนูก็ให้แม่รักหนูเป็นอันดับหนึ่งด้วย อันดับสองค่อยเป็นพ่อ”

     

    “พ่อเขาก็ยินดีที่จะเป็นอันดับสองอยู่แล้ว เหมือนกับแม่เองที่ก็เป็นอันดับสองของพ่อ เพราะอันดับหนึ่งคือหนู”

     

    “คุยอะไรกันสองแม่ลูก” เสียงเข้มดังขึ้นเรียกสายตาสองแม่ลูกให้หันไปมอง เจ้ากระต่ายตัวน้อยของบ้านรีบเด้งตัววิ่งไปกอดอีกฝ่ายทันที

     

    “พ่อ~”

     

    “ว่าไงน้องลูน เจ้าตัวน้อยของพ่อ” สวมกอดลูกชายเต็มรัก พ่อของลูนเป็นคนตัวสูงใหญ่ เวลากอดเจ้าตัวน้อยของพ่อทีลูกชายก็แทบจะจมอยู่ในอก “ไม่กลับบ้านมาตั้งหลายวันเลย”

     

    “แหะ…” คนเป็นลูกได้แต่หัวเราะแหะเพราะมีคดีติดหลัง

     

    “ก็เจ้าตัวน้อยของคุณน่ะ สร้างเรื่อง ไม่ทันระวังตัวจนบาดเจ็บตอนเป็นแวร์บีสต์ โชคดีที่มีคนเจอแล้วเขาพาไปรักษา แถมยังดูแลอย่างดี เมื่อวานเขาเจอสร้อยถึงได้โทรมาหาจันทร์ จันทร์เลยได้รู้เรื่องแล้วก็เพิ่งไปรับกลับมานี่แหละค่ะ”

     

    พอได้ยินแบบนั้นคนเป็นพ่อก็หันขวับมามองเจ้าตัวน้อยทันที “คนนั้นนี่ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

     

    “เอ่อ... ผู้ชายครับ” ดวงตาของคนเป็นพ่อเข้มขึ้นหนึ่งระดับตอนที่ได้ยินคำตอบ ลูกชายเขาน่ารักขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้ชายก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้างแหละ

     

    “แล้วเขาลวนลามหนูหรือเปล่า”

     

    “หนูเป็นกระต่ายอยู่นะ เขาจะมาลวนลามหนูได้ยังไง”

     

    “เขาลูบขน ลูบตัวหนูมันก็คือลวนลามแล้ว ไม่ได้ล่ะ ไอ้หมอนั่นเป็นใคร บังอาจมาลวนลามคุกคามหนูได้” คนเป็นพ่อโวยวายไม่หยุด

     

    ลูนหันกลับไปมองแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ พ่อของเขาอาการหนักแล้ว

     

    “คุณจะบ้าเหรอคะ จะไปหาว่าเขาลวนลามลูกได้ยังไง เขายังไม่ได้ทำอะไรลูนเลยด้วย แถมยังดูแลลูกอย่างดีด้วยซ้ำไป”

     

    “แต่ไอ้หมอนั่นมันลูบขนหนูลูนนะคุณ”

     

    คุณจันทร์ถลึงตาใส่คนขี้โวยวาย “ถ้างั้นตอนคุณเจอจันทร์ครั้งแรก แล้วลูบขนจันทร์เพราะคิดว่าจันทร์เป็นกระต่ายจริง ๆ ก็ถือว่าลวนลามเหมือนกันใช่ไหมคะ”

     

    พอถูกพูดแบบนั้นใส่คุณพ่อตัวโตก็ได้แต่หงอ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่ก็ยังไม่วายบ่นอุบอิบเสียงเบาเลยโดนคุณจันทร์ขึงตาใส่อีกรอบ

     

    “จริง ๆ เลยคุณเนี่ย เราควรที่จะต้องไปขอบคุณเขาถึงจะถูก คิดจะไปหาเรื่องคุณเขาได้ยังไงกัน นั่งสำนึกผิดไปเลยนะ น้องลูนก็ด้วยข้อหาทำให้แม่เป็นห่วง”

     

    “คุณ...”

     

    “แม่ครับ...”

     

    สองพ่อลูกต่างพากันเรียกคุณจันทร์เสียงอ่อน แต่เธอไม่ใจอ่อนให้ ชี้นิ้วไปยังมุมห้องให้สองพ่อลูกเดินไปนั่งเข้ามุมสำนึกผิด คุณจันทร์ถอนหายใจพลางส่ายหน้าให้กับทั้งคู่ เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เดินเข้าไปในครัวเพื่อทำเมนูโปรดของคนเป็นสามีและลูกชายให้

     

     

     

    ???? ???? ???? ????

             

              

              

             ลูนนอนกลิ้งไปมาบนเตียงนอนของตัวเองพลางคุยโทรศัพท์กับเพื่อนในกลุ่มไปด้วยผ่านทางวีดิโอไลน์ เขาโต้ตอบพลางเล่าถึงเรื่องราวที่ทำให้เขาหายหน้าหายตาไปหลายวันให้เพื่อน ๆ ได้รับรู้ โชคดีที่วันที่เกิดเรื่องเขาแทบไม่ได้พกอะไรไปด้วย เพราะต้องการแค่ไปเดินเล่นพักผ่อนสายตาหลังจากที่ทำงานเสร็จก็เท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

     

    นึกแล้วก็อายตัวเองเมื่อต้องพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นเจ้ากระต่ายก้อนขนแล้วต้องหนีแมวจรแบบหัวซุกหัวซุน ตอนนั้นคิดว่าตัวเองจะไม่รอดแล้วด้วยซ้ำไป นึกว่าต้องตายอนาถในร่างของเจ้ากระต่ายแล้ว

     

    “แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงได้เป็นกระต่ายแบบนั้น” เสียงเข้มที่มาพร้อมใบหน้าที่คิ้วขมวดเข้าหากันของเปรม เรียกความสนใจของเพื่อนคนอื่น ๆ ให้พนักหน้ารับและรอฟัง

     

    ในกลุ่มของเขามีด้วยกันทั้งหมดห้าคนรวมตัวลูนด้วย ในกลุ่มมีลูนกับเปรมที่เป็นแวร์บีสต์ ส่วนพล และสองสาวอย่างขิงและขนมเป็นมนุษย์ธรรมดา

     

    “นั่นสิ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” ขนมเองก็ถามต่อจากเปรมถึงสาเหตุ พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าลูนนั้นมีปัญหาในเรื่องการควบคุมสมาธิ แล้วยิ่งลูนเป็นสายพันธุ์กระต่ายที่ขี้ตกใจ เพราะฉะนั้นเวลาเจ้าตัวตกใจมาก ๆ ก็มีกลายเป็นแวร์บีสต์ได้เหมือนกัน

     

    “เรา... ด สะ...” ลูนพึมพำเสียงเบา

     

    “อะไรนะ ไม่ได้ยิน”

     

    “เราเดินสะดุดก้อนหินแล้วก็ตกใจเลยกลายเป็นกระต่าย” คราวนี้ลูนเลยพูดรัวออกมา แม้น้ำเสียงจะอู้อี้ไปบ้างเพราะเจ้าตัวยกมือปิดหน้าด้วยความอายแต่ก็ฟังรู้เรื่อง

     

    “ลูน!” ทั้งสี่คนในสายพร้อมกันเรียกชื่อของเขา

     

    “กูบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ระวัง ซุ่มซ่ามที่หนึ่ง ขี้ตกใจที่หนึ่ง ควบคุมสมาธิยากที่หนึ่ง กลายร่างเก่งแบบไม่ได้ตั้งใจที่หนึ่ง” เปรมว่าเสียงเข้ม

     

    “อย่าดุเราได้มั้ยล่ะ เราโดนแม่ดุไปตั้งเยอะแล้วนะ” ลูนทำหน้ามุ่ย ก็รู้หรอกว่าสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันน่าอายแค่ไหน แถมก็ยังเป็นเพราะตัวเขาเองด้วยที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร แต่ก็ยังไม่ระมัดระวังอยู่ดี

     

    เพราะเป็นสายพันธุ์กระต่ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ขี้ตกใจ ลูนเองก็เช่นกัน... คนกำลังเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ ใครจะไปคิดว่าจะมีหินก้อนใหญ่ขวางทางอยู่ ยอมรับก็ได้ว่าไม่ทันระวังเท่าไหร่ แล้วอารมณ์คนกำลังเพลิน ๆ พอเดินสะดุดก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา แต่ปกติแล้วต่อให้เป็นแวร์บีสต์ ตกใจแค่ไหนก็คงไม่มีคนกลายร่างเป็นสัตว์ ยกเว้นเหล่าแวร์บีสต์เด็ก ๆ ที่ยังควบคุมตัวเองได้ยาก

     

    แต่ไม่ใช่กับลูน... หัวใจของเขาล่วงไปถึงตาตุ่ม คิดว่าตัวเองจะล้มเอาเสียแล้ว แต่ยังสะดุดแบบไม่ทั้งตั้งตัวก็เลยตกใจ รู้ตัวอีกทีทัศนียภาพก็เปลี่ยนไป ทุกอย่างรอบกายใหญ่โตขึ้น และเขาเหลือเพียงตัวเล็กนิดเดียว แถมยังโดนเจ้าแมวจรเจ้าถิ่นวิ่งไล่อีก

     

    “มันน่าดุไหมล่ะ ถ้าโดนแมวตะปบจนเจ็บหนัก หรือเกิดอะไรขึ้นมาจะทำยังไง” พลเองก็อดไม่ได้ที่จะดุเจ้าเพื่อนตัวเล็กคนนี้ ชอบทำอะไรให้เป็นห่วงเสียจริง

     

    ลูนนี่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าสองสาวอย่างขิงและขนมเสียอีก

     

    “เราสำนึกผิดแล้วน้า”

     

    “เอาเถอะ ๆ แค่นี้พอแหละ ดูสินั่น หน้าหงอยไปหมดแล้ว” ขนมว่า

     

    ในกลุ่มพวกเขาลูนเหมือนเป็นน้องน้อยที่เพื่อน ๆ ต้องช่วยกันดูแล แล้วพอเจ้าตัวทำหน้าหงอยเวลาโดนดุก็อดใจอ่อนไม่ได้ เลยไม่ได้ดุกันจริงจังเลยสักครั้งเดียว

     

    ลูนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนต่ออีกสักพักก็วางสายกันไป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเข้าเฟซบุ๊กเพื่อดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย กดถูกใจรูปของเพื่อน ๆ มีคอมเมนต์บ้างสำหรับคนที่สนิท ๆ กัน นิ้วที่กำลังเลื่อนผ่านหยุดชะงักเมื่อเห็นโฆษณาเกี่ยวกับอาหารโผล่ขึ้นมา

     

    “ร้านคุณเขาชื่อร้านอะไรนะ...” นึกไปถึงร้านของคุณเขาที่เขาได้ไปอาศัยอยู่มาสองสามวัน “สะ... สะอะไรสักอย่าง” ทำหน้ามุ่ยเมื่อนึกไม่ออกว่าชื่อร้านของอีกฝ่ายคืออะไร

     

    ชื่อออกแนวไทย ๆ หน่อยแถมเขายังเห็นแค่แวบเดียวตอนที่แม่อุ้มออกมาจากร้าน เมื่อคิดไม่ออกก็ได้แต่ถอนหายใจ ตัดสินใจเข้านอนแทนเพราะพรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียน ลุกไปปิดไฟเรียบร้อยก็เดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ซุกตัวเองเข้าไปในผ้าห่มผืนหนาแล้วหลับไป

     

    ลูนรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งตอนที่เสียงนาฬิกาปลูกดังขึ้นในตอนเช้า เจ้าตัวมุดตัวเข้าผ้าห่มอย่างเกียจคร้าน ในความรู้สึกของเขาเหมือนเพิ่งจะได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง ต้องตื่นอีกแล้ว แต่เพราะทนเสียงของนาฬิกาปลุกไม่ไหวจึงได้โผล่ออกมาจากผ้าห่ม มือควานหาโทรศัพท์เจ้ากรรมก่อนจะกดปิด เจ้าตัวถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย นอนนิ่ง ๆ เพื่อให้ร่างกายตื่นแล้วจึงดันตัวลงจากเตียง เดินโซเซเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อย

     

    เช็คทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็คว้ากระเป๋าคาดอกมาสะพาย ปิดล็อกห้องเรียบร้อยก็ตรงไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่าง ปกติแล้วถ้าเป็นช่วงวันธรรมดาลูนจะมาพักที่คอนโดที่พ่อกับแม่ซื้อให้ ขนาดไม่ได้ใหญ่มากประมาณสามสิบตารางเมตรได้ แบบหนึ่งห้องนอน ห้องนั่งเล่นเชื่อมต่อกับพื้นที่ครัวแบ่งสัดส่วนได้อย่างลงตัว

     

    ยืนลังเลอยู่ว่าจะไปเรียนยังไงดี ระหว่างเอารถไปเอง หรือโบกพี่วินมอเตอร์ไซค์ แต่ด้วยความที่ขี้เกียจเจ้าตัวเลยเดินออกไปหน้าคอนโดและโบกเรียกพี่วินในทันที

     

    เขาส่งเงินค่ารถให้กับพี่วินหลังจากที่รถจอดตรงหน้ามหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว ลูนไม่ได้เดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยในทันที เขาข้ามไปอีกฝั่งเพื่อหามื้อเช้าใส่ท้องก่อน เดินวนหาร้านอาหารอยู่ไม่นานก็ตัดสินใจเลือกร้านขายโจ๊ก เอ่ยสั่งเมนูที่กินประจำเวลามาร้านนี้ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอด้านใน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น เข้าไปตอบข้อความของเพื่อน ๆ ที่พากันส่งมาตั้งแต่เช้า

     

    เปรมกับพลส่งข้อความมาบอกว่าจะตามมาที่ร้าน ลูนจึงลุกไปสั่งโจ๊กเพิ่มสำหรับสองคนนั้น ส่วนสองสาวอย่างขิงกับขนมบอกว่าให้เจอกันที่ห้องเรียนเลย พวกเธอคงจะมาถึงช้า

     

    ไม่นานหลังจากนั้นเปรมกับพลก็มาถึง ทั้งคู่พักด้วยกันเลยมากันเป็นแพ็คคู่แบบนี้ จังหวะพอดีกับที่โจ๊กทั้งสามถ้วยยกมาเสิร์ฟ พวกเขาจัดการมื้อเช้ากันไปสลับกับพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ จนเรียบร้อย

     

    ทั้งสามคนพากันเดินเรียงแถวไปจ่ายเงินแล้วจึงข้ามไปฝั่งมหาวิทยาลัยเพื่อเดินไปยังคณะของตัวเอง

     

    การเรียนในตอนเช้าผ่านไปอย่างราบรื่นแม้จะมีบางช่วงบางตอนที่ชวนง่วงจนต้องหาวออกมาบ้างก็ตามที ลูนนั่งจดแลคเชอร์สลับกับวาดรูปเล่นไปเรื่อย จนกระทั่งหมดคาบ

     

    อาจารย์แจกงานทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องให้เหล่านักศึกษาพากันโอดครวญเพราะงานเก่าก็ยังมีค้างอยู่ ลูนลงมือเก็บของจนเรียบร้อยก็พากันออกจากห้อง พวกเขาแวะนั่งอยู่ใต้อาคารเรียนเพื่อคุยกันก่อนว่าจะไปไหนกันต่อไหม วันนี้ตอนบ่ายไม่มีเรียนแล้ว ปกติก็มักจะไปหาอะไรกินกันก่อนที่จะแยกย้ายกลับ

     

    “วันนี้ไปไหนไหม หรือจะแยกย้ายกันเลย” พลถามหลังจากที่พวกเขานั่งกันแล้วเรียบร้อย

     

    “เรามีร้านอยากไป” ขนมยกมือขึ้นพูด เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอยู่ไม่นานก็ยื่นมาตรงกลางโต๊ะเพื่อให้ทุกคนได้ดู “ร้านนี้ เห็นรีวิวมานานแล้วว่าอร่อยมาก ไปกันนะ งานดีมาก”

     

    “งานดีนี่คือของกิน” ขิงเอียงคอถาม แม้จะรู้ว่าคำตอบคืออะไร

     

    “ก็ทั้งหมดนั่นแหละ อาหารดี ร้านก็ดี เจ้าของร้านก็ดี”

     

    “รู้ได้ยังไงเจ้าของร้านดี เคยเจอเหรอ” เปรมพูดขัดขึ้นมา

     

    “ไม่เคยเจอ แต่อ่านที่เขารีวิวกัน”

     

    “สรุปนี่อยากไปเพราะเจ้าของร้านหรือเพราะของกิน” พลว่าต่อ

     

    ขนมส่งเสียงในลำคอ “ก็ของกินสิ เจ้าของร้านคือผลพลอยได้ต่างหากล่ะ”

     

    ลูนได้แต่นั่งมองเพื่อนเถียงกันไปมา เขาก้มลงดูร้านที่ขนมว่าอีกรอบ ขมวดคิ้วเพราะรู้สึกคุ้น ๆ กับร้านนี้แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นที่ไหน

     

    “ว่าไงลูน”

     

    “หา อะไรนะ” ลูนทำหน้าตาเหลอหลา เพราะเมื่อครู่ไม่ได้ฟังในสิ่งที่เพื่อน ๆ พูดกัน

     

    “เราถามว่าไปไหมร้านนี่น่ะ ที่ขนมชวนไป” ขิงถามพลางชี้นิ้วไปที่โทรศัพท์ที่ยังเปิดรูปร้านอาหารที่ว่าอยู่

     

    “ได้ดิ ไปก็ได้นะเราไม่ได้ติดอะไร ลองร้านใหม่ ๆ บ้างก็ดีนะ”

     

    “อย่างนั้นก็ตามนั้น แล้วเราจะไปกันยังไง”

     

    “เดี๋ยวเราไปขับรถของขิงให้ ลูนก็ไปกับเปรมแล้วกัน ลูนไม่ได้เอารถมานี่ใช่ไหม” พลว่า

     

    พยักหน้าหงึกหงักรับคำเพื่อน “ใช่ ไม่ได้เอามา”

     

    เมื่อตกลงกันได้พวกเขาก็ลุกเดินไปที่รถ พลแยกไปกับสองสาวขิงกับขนมเพื่อไปที่รถของเธอที่จอดเอาไว้คนละที่กับรถของเปรม ปกติเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันถ้าเอารถไปสองคันพลกับเปรมมักจะสลับกันไปขับรถของสาว ๆ เพราะไม่อยากให้สองสาวขับรถกันตามลำพัง ส่วนลูนก็มักจะติดสอยห้อยตามไปกับอีกคนเสมอ นาน ๆ ครั้งเขาถึงจะขับรถไปเอง หรือถ้าวันไหนเอารถมาเปรมก็มักจะทิ้งรถตัวเองไว้แล้วมานั่งกับลูนเพราะเจ้าตัวบอกว่าไม่ค่อยไว้ใจให้ลูนขับรถเองคนเดียว

     

    ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงจากมหาวิทยาลัยก็มาถึงร้านที่ว่า จังหวะดีที่มีที่จอดรถว่างอยู่สามสี่คัน พวกเขาเลยได้จอดในทันที ลูกค้าในร้านยังมีอยู่หลายโต๊ะ ขนมแจ้งจำนวนคนกับพนักงานยืนรอไม่นานพนักงานก็พาไปนั่งที่โต๊ะ ลูน มองสำรวจไปรอบ ๆ ร้านด้วยความสนใจ ปนแปลกใจในความคุ้นเคย

     

    หลาย ๆ อย่างในร้านเหมือนกับว่าเขาเคยเห็น แต่มุมมองนั้นดูแตกต่างกันออกไป เขาละความสนใจจากบรรยากาศของร้านมาที่เมนูอาหารตรงหน้า ร้านนี้มีเมนูที่ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งแนวอาหารไทย อาหารอิตาลี อาหารญี่ปุ่น แนวอาหารฟิวชั่นอีกหลายเมนู เรียกว่าละลานตาจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว แถมราคาก็ไม่แพงมาก สามารถจับต้องได้

     

    พวกเขาเลือกสั่งเมนูที่หลากหลายเพื่อที่จะได้ลองชิมกันหลาย ๆ อย่าง สั่งมาประมาณห้าหกอย่าง รวมถึงเมนูเครื่องดื่มอีกคนละแก้วด้วย

     

    รอไม่นานอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขามาถึงช่วงบ่าย ลูกค้าที่อยู่ในร้านตอนที่มาถึงก็ได้รับอาหารกันไปเกือบหมดแล้ว พวกเขาเลยไม่ต้องรอ

     

    ลูนตักสปาเก็ตตี้ที่วางอยู่ตรงหน้ามาใส่จานแบ่งของตัวเองแล้วลองกิน รสชาติของสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมานั้นเรียกว่าอร่อยเลยทีเดียว จัดจ้านสมกับเป็นผัดขี้เมา แถมเครื่องซีฟู้ดก็แน่น ไม่ใช่วิญญาณซีฟู้ดเหมือนหลาย ๆ ร้าน เพื่อนคนอื่นเองก็พยักหน้าให้กับรสชาติของอาหารที่สั่งมาลอง

     

    มื้อนี้เลยเป็นมื้อที่เจริญอาหารอีกมื้อ

     

    “นั่น” ขนมร้องออกมาเมื่อสายตาของเธอไปเห็นใครบางคนเข้า

     

    “อะไร” คนอื่น ๆ เลยหันไปมองตามสายตาของขนม “ใคร คนรู้จักเหรอ”

     

    “เจ้าของร้านนี้ไง” ขนมบอกเสียงเบา “งานดีจริง”

     

    ขิงหันไปมองบ้างก่อนจะหันมาทำตาเป็นประกายกับขนม “งานดีจริงอย่างที่รีวิว!”

     

    “เห็นไหม บอกแล้ว!”

     

    พวกหนุ่ม ๆ เองก็หันไปมองบ้าง คนที่ขนมกับขิงพูดถึงหน้าตาดีอย่างที่พวกเธอว่า ขนาดที่พวกเขาเป็นผู้ชายด้วยกันก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายดูดีจริง ๆ ทั้งหน้าตา ทั้งบุคลิก

     

    ลูนมองคนที่เป็นเจ้าของร้าน ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นตอนที่เห็นหน้าอีกฝ่ายชัด ๆ อยู่ ๆ หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งตื่นเต้น ทั้งดีใจไปหมด ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นกับบรรยากาศของร้านนี้นัก เพราะเขาเคยมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่ตอนนั้นที่มาไม่ได้มาเป็นลูกค้าแบบนี้ แต่มาในฐานะกระต่ายหลงทางจนได้รับบาดเจ็บ แล้วก็ได้คนใจดีอย่างคุณเจ้าของร้านช่วยเหลือไว้

     

    ที่จำไม่ได้ในตอนแรกก็เพราะเขาเห็นร้านนี้ในมุมมองตอนเป็นกระต่าย แถมยังแค่ครั้งเดียวตอนที่แม่มารับกลับ ซึ่งช่วงเวลาที่เห็นก็ไม่ได้นานเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นส่วนใหญ่เขาอยู่บนห้องของคุณเขามากกว่า

     

    “ลูนเป็นอะไร ทำไมทำตาโตแบบนั้น รู้จักคุณเจ้าของร้านด้วยเหรอ” ขนมถามเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของเพื่อน

     

    “ก็เนี่ย... คุณเขา” ลูนหันมาตอบเพื่อนเสียงเบา แต่ก็ยังพอได้ยินกันทุกคน

     

    “จริงเหรอ!”

     

    พยักหน้ายืนยัน “ใช่ เราจำเขาได้ นี่แหละที่ช่วยเราเอาไว้”

     

    “บังเอิญสุด แล้วยังไงดีล่ะ เข้าไปทักเขาไหม” ขิงถามพร้อมทำหน้าตื่นเต้น

     

    “จะให้เข้าไปทักยังไง คุณเขาคิดว่าเราเป็นกระต่ายจริง ๆ นะ ไม่ใช่แวร์บีสต์ จะให้เดินไปบอกเหรอว่าวันนั้นที่คุณเก็บกระต่ายได้คือเราเอง”

     

    “ก็จริง” ขิงว่า

     

    “ช่างเถอะ เรากินกันต่อดีกว่า”

     

    พวกเขาเลิกสนใจเรื่องนี้และหันกลับมาสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อแทน แต่ถึงอย่างนั้นลูนก็อดที่จะเหลือบมองไปทางคุณเขาบ่อย ๆ ไม่ได้

     

    เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาอาหารทั้งหมดบนโต๊ะก็ถูกจัดการจนเกลี้ยง จ่ายเงินค่าอาหารเสร็จก็เดินออกมาจากร้าน พูดคุยกันว่าถ้ามีโอกาสจะต้องกลับมาอีกรอบแน่ ๆ

     

    “ก็เดี๋ยวให้พลขับไปส่งที่หอนั่นแหละ เดี๋ยวเราขับตามไปรับพลกลับห้องเอง จะแวะไปส่งลูนก่อน” เปรมพูดหลังจากที่พวกเขากำลังตกลงกันว่าจะกลับกันยังไง

     

    สองสาวตั้งใจจะขับรถกลับกันเอง แล้วให้พลไปกับเปรมเลยจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาให้เสียเวลา

     

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า พวกเราขับรถกันเองออกจะบ่อยไป ขับไปที่ห้องแค่นี้เองไม่มีปัญหาหรอก เปรมกับพลจะได้ไม่ต้องขับรถไปขับรถมา ย้อนไปย้อนมาเสียเวลาออก” ขิงว่า

     

    “แต่...”

     

    “ตกลงตามนี้แหละ โอเค๊ เดี๋ยวเรากับขิงกลับขับรถกลับเองได้ ถ้าถึงห้องแล้วจะไลน์บอกทันที ส่วนพลก็กลับไปพร้อมเปรมเลย จะได้แวะไปส่งลูนด้วย” ขนมพูดขึ้นมาก่อนที่พลจะได้พูดอะไร “ตกลงตามนี้ แยกย้าย ๆ”

     

    เมื่อสองสาวยืนยันแบบนั้นพวกเขาก็พยักหน้ายอมรับ ลูนเดินตามเปรมกับพลไปที่รถ เขาขึ้นไปนั่งเบาะหลังแล้วให้พลนั่งเบาะหน้าข้างคนขับกับเปรม ส่วนสองสาวก็แยกไปที่รถแล้วขับออกไป

     

    ลูนมองร้านอาหารนั้นอีกครั้งพลางจดจำชื่อร้านเอาไว้จนขึ้นใจ

     

    ...ศศินกุล...

     

    เป็นชื่อที่แปลกในความคิดของลูน แต่ก็เป็นชื่อที่เพราะมากเช่นกัน ไม่รู้ว่ามีความหมายว่ายังไง คงจะต้องลองไปค้นหาความหมายของชื่อนี้ดูบ้างแล้ว

     

    “ขอบใจมากนะที่มาส่ง เปรมกับพลก็ขับรถกลับดี ๆ นะ ถึงแล้วไลน์ลงกลุ่มด้วย” ลูนพูดกับเพื่อนทั้งสองคนที่แวะมาส่งเขาที่คอนโดก่อน

     

    “อืม แล้วเจอกัน”

     

    “แล้วเจอกัน” โบกมือให้เพื่อนทั้งสองก่อนจะเดินเข้าไปในคอนโด

     

    วางกระเป๋าบนโซฟาก่อนที่ตัวเองจะทิ้งตัวลงนอนบนพรมผืนหนานุ่มที่ปูอยู่หน้าโซฟา ลูนพลิกตัวนอนหงายพลางนึกไปถึงใบหน้าของคุณเขา อีกฝ่ายยังคงดูดีเหมือนตอนที่เขาเห็นตอนเป็นกระต่าย คุณเขาเป็นคนใจดีมาก ใบหน้านั้นก็มีรอยยิ้มประดับอยู่เกือบตลอดเวลา เหมือนกับตอนที่เล่นกับเขาเลย

     

    ยกมือขึ้นวางบนอกตรงตำแหน่งของหัวใจที่มันกำลังเต้นแรงขึ้นเพียงแค่นึกถึงคุณเขา

     

    แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าอาการของตัวเองคืออะไร

     

    แม้จะไม่ใช่กูรูเรื่องความรัก แต่ก็พอจะรู้ว่าตัวเองนั้น กำลังตกหลุมรัก เข้าแล้ว

     

    และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น คุณเขา คนใจดีคนนั้น

     

    เม้มปากตัวเองตอนที่นึกไปถึงช่วงที่เขาเป็นกระต่ายและอยู่กับคุณเขา ตอนที่คุณเขาอุ้มลูนไปกอด ตอนที่คุณเขาจูบหน้าผาก ตอนที่คุณเขาจูบจมูกชมพู ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้ ตอนที่หัวใจมันคิดไม่ซื่อไปแล้ว พอนึกย้อนขึ้นมาแบบนี้ใบหน้าขาว ๆ ก็ขึ้นสีระเรื่อ

     

    ได้แต่ยกมือปิดหน้าแดง ๆ ของตัวเอง สองขาดีดดิ้นไปมาอย่างคนเขินอาย

     

    ไม่รู้แหละ! คุณเขามาจูบมาหอมเราไปแล้ว ไม่ว่ายังไงคุณเขาก็ต้องรับผิดชอบ ด้วยการยอมให้เราจีบซะดี ๆ !

     

    แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ จะให้พ่อของเขารู้ไม่ได้เด็ดขนาด ไม่อย่างนั้นพ่อได้วิ่งไปเล่นงานคุณเขาแน่นอน ต้องเก็บเป็นความลับเอาไว้ ห้ามบอก และห้ามให้รู้เด็ดขาด!

     

     

     

    ???? ???? ???? ????

     

     

     

    ???? กระต่ายหมายจันทร์ ????

     

    #ดวงจันทร์ของลูน

     

     

    ???? ???? ???? ????

     

     

    เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับเลยนา 

    ห้ามให้คูมพ่อของน้อนลูนรู้เด็ดขาดเลยนะ!

    ทุกคนต้องช่วยกันปกปิดความลับนี้นะ เพราะทุกคนรู้เรื่องกันหมดแล้ว

    ถือว่าลงเรือลำเดียวกันกับน้อนลูนแล้วด้วย!

     

     

     

    TWITTER : @Fangiily_GC

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×