คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 : ความฝันที่แสนเจ็บปวด
แวบ
แสงสีขาวสะท้อนอันเลือนรางพร้อมกับมโนภาพของเด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยืนเคียงข้างกับเด็กหญิงตัวน้อยฉายชัด. .
“ฮันแน่ มีแฟนแล้วไม่ยอมบอกน้องสาวใช่มั้ยเนี่ย ดูสิมีสร้อยห้อยคอด้วยสวยจัง”
ใบหน้ากลมเนียนใสระกับผมสีน้ำตาลสั้นเหม่อมองจี้สร้อยราวกับถูกมนตร์สะกดในความสวยงาม
ภาพซึ่งทำให้เด็กหนุ่มร่างสูงหรือก็คือมินะพี่ชายเพียงคนเดียวของเด็กหญิงแย้มรอยยิ้มอันอ่อนโยน มืออ่อนนุ่มลูบหัวเธอเบาๆกับมืออีกข้างยกมาบีบจมูกเด็กหญิงตัวน้อยอายุราวหกขวบอย่างหมั่นเขี้ยว
“แก่แดดใหญ่แล้วเรา สร้อยนี้ไม่ใช่แฟนพี่ให้แล้วก็ไม่ใช่สร้อยของพี่ด้วย แต่เป็นสร้อยที่พี่แค่ยืมมันมาเข้าใจไหม ?”
“ว้า งั้นหรอคะถ้าอย่างนั้นให้นามิยืมใส่ก่อนก็แล้วกันเดี๋ยวจะเอามาคืนนะๆ น้าๆ”
เสียงหวานใสซุกซนกับมือเล็กพยายามจะเอื้อมไปจับตัวสร้อยแต่ไม่สามารถเอื้อมถึง พลันก็ต้องหน้าแหยด้วยความเจ็บปวดเมื่อมินะผู้ไม่เคยใช้กำลังเริ่มบีบข้อมือเล็กๆของเธอจนเกิดเป็นรอยแดงปื้น
“พี่ขอโทษนามิ..”
“พี่มินะ...?..ร้องไห้ทำไมหรอ นามิไม่เจ็บมากหรอกนะ”
นามิมองใบหน้าของพี่มินะด้วยความสงสัยเมื่อบัดนี้นัยน์ตาอ่อนโยนและแย้มรอยยิ้มอยู่เป็นนิจของพี่ชายกำลังแดงก่ำ หยาดน้ำตาเอ่อคลอจนไหลรินนวลแก้มทั้งสองข้าง..
“อะ อย่าร้องไห้ ฮึก ฮือๆๆ...”
ความเศร้าสร้อยในความทรงจำ..เด็กหญิงพยายามจะปลอบผู้เป็นพี่ชายแม้มิรู้สาเหตุแต่กลับต้องมาร้องไห้เพราะความรักพี่ชายมากจนเกินเหตุเสียเอง..
อ้อมกอดพี่ชายที่ดึงเธอเข้ามากอดยังคงอบอุ่นเหมือนเดิมหาก..ตัวพี่มินะกลับเย็นเฉียบ
“ขอโทษนามิ..พี่ขอโทษ..”
แวบ
“จะไปไหนหรอคะพี่”
นามิเอียงคอถามคนเป็นพี่อย่างงุนงงเมื่อเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ถูกหิ้วออกมาก่อนร่างสูงของมินะจะก้าวออกจากบ้าน
มือใหญ่ขยี้ผมสั้นๆของเธอเหมือนเช่นเคยพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
“ฝึกงานน่ะ แต่ไปไกลหน่อย ตั้งใจเรียนนะเราช่วงที่พี่ไม่อยู่”
“ว้า แบกกระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้ต้องไปนานแน่ๆเลยรีบๆกลับด้วยล่ะไม่งั้นนามิจะแย่งห้องของพี่เป็นห้องนามิซะเลยไม่รู้ด้วยนะ”
ดวงหน้ากลมเชิดขึ้นอย่างรั้นๆพลางสังเกตได้ถึงประกายตาวูบไหวของคนเป็นพี่
“พี่เป็นอะไรรึเปล่า ?”
สวบ
ร่างของเธอถูกรวบเข้าไปในวงแขนของพี่แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
..แค่ครู่เดียวจริงๆ...
“รัก....พี่...รักเธอนะนามิ”
คำพูดสั้นๆจนเธอออกจะงุนงงราวกับรู้สึกเหมือนมีสิ่งใดแปลกไปจากคำว่ารักของพี่ชายซึ่งได้ยินบ่อยๆตั้งแต่เด็ก..แต่นามิก็ยังคงโบกมือบ๊ายบายและแย้มยิ้มกว้างรับรอยยิ้มอันสุดท้ายที่เธอได้เห็น..เพราะพี่มินะรีบเดินออกจากบ้านไปในทันที.....
ใช่...และหลังจากนั้นพี่มินะก็ไม่ได้กลับมา...
------------------------------------------------------------------------------------------
“ยังไม่ตายนี่”
คำทักทายแรกโดยตามปกตินามิคงจะอ้าปากด่าไปแล้วแต่ในตอนนี้เธอกลับไร้สิ้นเรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ทำได้เพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้น
หยาดน้ำตาบนดวงหน้าถูกปัดออกโดยเร็วแล้วมองไปโดยรอบอย่างพยายามปรับความรู้สึก..
เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงที่ควรจะเป็นของอิจิ
“ฉัน. . .เป็นลมหรอ ?”
“ใช่แล้วพี่สาว แต่อย่างนั้นคงไม่เรียกว่าเป็นลมมั้ง เค้าเรียกว่าภาวะร่างกายถูกกระตุ้น..จากบางสิ่งบางอย่าง..ฮึๆ”
อิจิพูด ตอนนี้เขากำลังนั่งจับจองชุดโซฟาตัวยาวพร้อมกับกัดแอปเปิ้ลเข้าปากเสียงดัง
คิ้วเรียวสวยของนามิขมวดมุ่นกับคำเรียกขานเธอนิดหน่อยหากสนใจกับประโยคหลังมากกว่า
“ถูกกระตุ้นอะไร?”
“คงเป็นลมเพราะไม่ได้กินข้าวซะมากกว่า”
อิจิโร่ คุไรขัดพร้อมกับจ้องมองนามิอย่างเย็นชา ท่าทางที่เธอตระหนักได้แล้วว่านี่แหละคือตัวตนแท้จริงของนายอิจิโร่ คุไร
“อือ ฉันยังไม่ได้กินข้าว”
นามิพูดไม่มีอารมณ์โต้เถียงพร้อมประคองตัวเองลงจากเตียง ไม่ลืมหันหน้ามาทางอิจิ
“งั้นฉันไปกินข้าวก่อนละกันเพลียๆน่ะ ขอบคุณนะสำหรับเตียงที่นายให้ฉันยืม...แล้วนาย.อิจิ.เอ่อ..ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
“อือ ฉันไม่เป็นไรหรอกเป็นห่วงตัวเองดีกว่านะพี่สาว”
คิ้วเรียวขมวดมุ่นอีกครั้งกับคำเรียกแต่ก็ไม่อยากสงสัยหรือพูดอะไรอีกเพราะตอนนี้เธอรู้สึกเพลียและปวดหัวเต็มที นามิคิดก่อนจะเปิดประตูห้องไอซียูและเดินไปตามโถงทางเดินของทางโรงพยาบาล
...ขอเปิดห้องสักห้องนอนพักก่อนน่าจะดีกว่า...
-----------------------------------------------------------------------------
“ฉันไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมนายต้องทำอย่างนั้น”
อิจิยังคงกัดแอปเปิ้ลเข้าปากแต่เปลี่ยนเป็นอีกใบแทนแล้ว ใบหน้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มผิวขาวออกจะซีดเกินไปด้วยซ้ำถ้าหากไม่มีคิ้วเข้มและนัยน์ตาสีส้มออกเพลิง เด็กหนุ่มผู้น่าจะมีอายุราวสิบหกปี
“ยัยนั่นไม่น่าสนใจเท่าไหร่หรอก เมื่อกี้ก็แค่เป็นลม”
อิจิโร่ คุไรกำลังยืนพิงกับผนังห้องสีขาว นัยน์ตาคมทอดมองไปยังหน้าต่างบานกว้างที่มองเห็นทัศนียภาพข้างนอก ท้องฟ้าสีครามและตึกสูงหลายสิบชั้นชัดเจน
“ขนาดฉันยังดูรู้ แล้วทำไมแค่นั้นนายจะไม่รู้อย่าหลอกตัวเองดีกว่าน่า”
“แล้วนายจะอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไหร่”
บทสนทนาชวนให้เปลี่ยนเรื่องแต่อิจิเพียงแค่ยักไหล่และนัยน์ตาสีส้มเพลิงวาวขึ้นมานิดๆอย่างขบขัน
“ก็อืม คืนนี้มั้ง ที่นี่ก็ไม่แย่นักหรอก มีของกินเพียบสบาย แถมยัยเรนะคงยังไม่รู้ว่าเราอยู่ที่นี่..”
“.........”
“........”
“อิจิ..ฉัน ขอโทษ..แผลนั่น”
“อย่าปัญญาอ่อนน่า แต่ให้ได้งี้สิ!! ไอ้พวกบ้านั่น!!....เก่งชะมัดยาด !”
เฮ้ออ
เสียงถอนหายใจดังในตอนท้ายพร้อมกับอาการส่ายหน้าแบบปลงๆจนนัยน์ตาคมเข้มต้องตวัดมามองตาขวางปนหงุดหงิด
“คราวหน้ามันไม่โชคดีเหมือนในวันนี้แน่”
อิจิโร่ คุไรพูดเสี้ยงเหี้ยมไหล่หนาสะท้านขึ้นนิดหนึ่งด้วยความแค้น
“แล้วก็นายอิจิ ถ้าพลาดท่าแบบเมื่อวานนี้อีกฉันจะฆ่านายเอง”
ประโยคที่ตอนนี้คงไม่มีใครได้ฟังเพราะภายในห้องหลงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่ามีเพียงแค่เขาคนเดียวยืนอยู่ในห้อง
...แล้วฉันจะมาฟังคำบ่นของนายใหม่แล้วกันนะคุไร....
เสียงกลั้วหัวเราะดังก้องขึ้นมาในหัวอย่างกวนประสาททั้งยังหาตัวคนพูดไม่เจอ
“ให้มันได้งี้สิวะไอ้อิจิ!”
อิจิ....คนประหลาดผู้ชอบหายตัวไปและโผล่มาเร็วยิ่งกว่าสายลม....
-------------------------------------------------------------------
“นี่นายคุไร!! ถ้านายจะหัดฟังฉันถามและช่วยพูดตอบฉั...”
“ฉันไม่มีอารมณ์”
คำพูดนี้หยุดปากนามิได้ทันทีทันควันพร้อมกับปากบางเม้มแน่นอย่างหงุดหงิดเหมือนเคยแต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของนามิไปได้
เป็นเวลาสองอาทิตย์แล้วตั้งแต่นายคุไรและเพื่อนของเขาอิจิได้ออกจากโรงพยาบาล ไม่สิจริงๆพวกเขาอยู่ในโรงพยาบาลกันเพียงแค่คืนเดียวต่างหาก และตั้งแต่วันนั้นภาพที่คนในโรงเรียนได้เห็นก็คือเด็กสาวหน้าตาน่ารักตาคมโตสดใสผู้เป็นหนึ่งในสภานักเรียนของโรงเรียนและเป็นถึงหัวหน้าห้องประจำชั้นม.ปลายปี1เดินตามนายอิจิโร่ คุไรไปทุกหนทุกแห่ง
แม้จะดูน่าสงสัยในสายตาของทุกคนในโรงเรียนไม่น้อยเมื่อใบหน้าของอิจิโร่ คุไร ดูจะบูดบึ้งและเย็นชายิ่งกว่าเคยเสียอีก
“แล้วตกลงเพื่อนนายเค้าเรียนไหนหรอ ฉันว่าดูๆไปเค้าก็หน้าเหมือนนายดีนะ...”
ปัง!!
เสียงประตูห้องที่นามิยืนพิงอยู่ของห้องหมวดพละถูกทุบกระเด็นไปติดกับกำแพงทำให้นามิกระเด็นตามแรงไปด้วย ใบหน้าใสเริ่มขาวซีดอย่างตกใจ
“อย่ายุ่ง ! แล้วก็เลิกยุ่งกับฉันได้แล้วไม่งั้นจะหาว่าฉันไม่เตือนโทโนะ นามิ”
น้ำเสียงแข็งกร้าวพยายามพูดอย่างช้าชัดโดยเฉพาะในประโยคสุดท้าย
“......”
ฝันไปเถอะ แล้วนายจะได้รู้ว่ารู้จักคนอย่างฉันนามิน้อยไป !
นามิมองตามแผ่นหลังของคุไรด้วยสายตาเกลียดเข้าไส้ แต่ตั้งแต่วันนั้นเธอกลับตามติดเขาแทบจะทุกหนทุกแห่ง
ไม่ใช่ว่านามิจะไม่รู้ว่ามันน่ารำคาญและตลกสิ้นดีแต่ใช่ว่าการกระทำของเธอจะไม่มีเหตุผล
หนึ่ง เรื่องเขากับเพื่อนซึ่งน่าจะตายไปแล้วแท้ๆแต่อาการกลับหายเป็นปกติได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืนเป็นใครจะไม่สงสัย..
สอง มันคงจะดีไม่น้อยถ้ายัยจิโร่กลับมาจากอเมริกาแล้วได้รู้ว่าแท้จริงนายคุไรเป็นสุดยอดแห่งความยอดย่ำแย่และมีเบื้องลึกเบื้องหลังหลังเป็นยังไง
และสาม. .เหตุผลสำคัญสุดถึงแม้นามิจะรุ้ว่ามันเป็นไปไม่ได้. ..
โอ๊ย งี่เง่าน่ะเลิกคิดเดี๋ยวนี้นะ !
นามิรีบสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง มือบางนวดไหล่ตัวเองแล้วต้องพลันหน้าเบ้ บางทีไหล่ของเธออาจจะหลุดออกมาพร้อมกับกระดูกก็เป็นได้. .
----------------------------------------------------------------
กะ...กรี๊ดดด....ไม่นะ!!!....อย่าเข้ามา..ไม่!!
เธอต้องหนี...ใช่หนี...
ตึ่ก ตึ่ก ตึ่ก
ฝีเท้าของนามิกระทบดังเข้าโสตประสาท ความหวาดหวั่นและความกลัวบีบคั้นหัวใจจจนทรมาน..เมื่อเธอไม่สามารถวิ่งได้รวดเร็วพอ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า !!!
เสียงคำรามต่ำแต่กึกก้องดังอยู่โดยรอบตัวนามิในยามนี้
นัยน์ตาสีแดงก่ำอันปูดโปนออกมาจนแทบจะถลนออกจากเบ้าและลิ้นเลื้อยยาวแลบส่ายไปมาจับจ้องมาทางเธอเพียงผู้เดียว..
ใบหน้าปูดโปนประกอบด้วยเส้นเลือดขึ้นเต็มหน้า ผิวหนังต่างมีหนอนชอนไช
พวกมันคือมนุษย์ผู้ไม่สมควรเรียกว่ามนุษย์ !
อสูรกายอันน่าขยะแขยงและที่สำคัญมันไม่ใช่มีเพียงตัวเดียวแต่มันกลับมีเกือบร้อยตัว!!!
แฮ่ก...แฮ่ก
เหงื่อเธอไหลซึมไปทั่วทั้งใบหน้าและตามตัวจนเริ่มเหนียวเหนอะ ขาทั้งสองข้างล้าจนไม่มีแรงจะวิ่งต่อ เธอกำลังจะถูกต้อนให้จนมุม. .
หนีไม่พ้น!!! หนีไม่พ้น!!!หนีไม่พ้น!!!
การประสานเสียงทำให้ขนในกายเธอลุกซู่ เลือดในตัวเย็นเฉียบ
ทั้งความเจ็บปวดจากบาดแผลบนหน้าท้องกำลังแผลงฤทธิ์เมื่อร่องเนื้อเริ่มเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆทุกขณะในการวิ่ง เลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนตามเสื้อสีขาวแต่งแต้มตัวนามิผู้ในตอนนี้มีสภาพคล้ายกับซากศพไปแล้วก็ไม่ปาน..
แกร๊ก แกร๊ก
เสียงลูกกรงกั้นขวางทางทำให้เธอรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวถึงขีดสุด
..ทางตัน...!
เธอกำลังจะตาย ใช่ไหม..?
แฮ่...แฮ่..เลือด...เลือดของพวกทรยศ...
การต่อสู้ของเหล่าอสูรกายไม่สิผีดิบต่างหากในสายตาของเธอตอนนี้ที่กำลังต่อสู้โรมรันกันเพื่อแย่งชิงเข้ามาหาตัวเธอ
กลิ่นเลือดโชยคละคลุ้งกับของข้นสีเขียวไหลนองตามร่างของเหล่าผีดิบเริ่มตายตกไปทีละตัวสองตัว...จนกลายเป็นหลายสิบ
นัยน์ตาของนามิเบิกโพลงอย่างหวาดหวั่น เธอไม่สามารถหนีได้อีกแล้ว ถึงเธอจะหนีเธอก็ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรง
ร่างของเธอทรุดลงกองกับลุกกรงเหล็กอันเย็บเยียบ.. ลิ้นยาวเฟื้อยของผีดิบตัวหนึ่งถูกกระชากออกจากปากก่อนจะดิ้นเพร่าๆและโดนกัดคอจนเหวอะ กำลังกระเด็นมาอยู่ตรงหน้าเธอ
ฮึก...ฮือ...ฮือ.
หยาดน้ำตาร่วงพรูด้วยความกลัวจับใจ ร่างบางยังคงพยายามจะถอยติดกับลูกกรงให้มากที่สุด ให้ห่างจากบรรดาสิ่งน่าขยะแขยง..
นัยน์ตาสีแดงฉานเต็มไปด้วยหนอนหลายร้อยตัวยั้วเยี้ยเบิกกว้างจับจ้องมองใบหน้าเธอด้วยความเคียดแค้นถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงแค่ช่วงหัวครึ่งซีกบนก็ตาม..
ตาย..ตาย..ตาย...ฉันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหลือรอด...ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงฝีเท้าน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงของมัจจุราชที่เธอเคยนึกภาพถึง
ผีดิบตัวสุดท้ายผู้เหลือรอดกำลังตวัดเขี่ยซากศพของบรรดาพวกซึ่งเคยเป็นพวกพ้องโดยลิ้นยาว
เงามืดบดบังใบหน้าของผีดิบตัวสุดท้ายเริ่มเผยให้เห็นใบหน้าอย่างช้าๆขณะย่างก้าวมายังนามิ..
พ่อ ?!
เลือด..เลือดผู้ทรยศ.. !
คนเป็นพ่อดูเหมือนจะไม่รับรู้ว่าเธอคือใครเริ่มจ่อใบหน้าอันน่าขยะแขยงมาตรงใบหน้าเนียนสวย
ปากกว้างอวดให้เห็นซี่ฟันอันแหลมคมที่ยังคงมีคราบของไส้เพื่อนพ้องติดอยู่ ลิ้นยาวอันแสนน่าเกลียดเต็มไปด้วยคราบเลือดตอนนี้กำลังรัดลำคอของเธอแน่น
นัยน์ตาคมโตเบิ่งโพลงอย่างคนเลื่อนลอยเบิกมองผู้ชื่อว่าเป็นพ่อของเธอค่อยๆโน้มใบหน้าเข้ามาหาพร้อมกับปากกว้างกำลังจะตะครุบหัวของเธอทั้งเป็น. . .
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องกับเสียงฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสายและคงจะตกอยู่นานแล้วปลุกให้นามิสะดุ้งพรวดขึ้นมาจากเตียงในทันที
เหงื่อที่เปียกชุ่มไปทั้งหน้าและลำตัวกับหยาดน้ำตาไหลรินออกจากสองตาของนามิผู้ยังคงไม่เลิกสั่นด้วยความหวาดกลัว
ฝัน...?...
มันเป็นเพียงแค่ฝันจริงๆใช่ไหม..?..
ร่างบางเดินลงจากเตียง มือยังคงไม่หยุดสั่นรีบควานไปหาของที่อยู่ในลิ้นชักส่วนตัวของเธอ
หมับ
มือบางกระชับสร้อยเงินในมือแน่นพร้อมนำมาไว้แนบอก
“..พี่มินะ...ฮึก...ฮือๆ..”
น้ำตาซึ่งถูกปาดไปแล้วเมื่อสองวินาทีก่อนกำลังไหลอาบลงมาอีกรอบกับความเจ็บปวดที่เธอเองแทบจะลืมเลือนมันไปแล้วด้วยซ้ำ
ฟุบ
นามิทรุดลงมานั่งกอดเข่ากับพื้น เหม่อมองไปยังภาพสายฝนเม็ดใหญ่ตรงบานหน้าต่างด้วยนัยน์ตาอันพร่าเลือนท่ามกลางคืนอันมืดมิด..
ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานอย่างสุดแสนคงจะเป็นเช่นนี้เองสินะ..
*แต่งไปแต่งมาแล้วก็เลยเข้ามาเช็คความเรียบร้อยสรุปเปิดมาเจอเพลงเย็นๆกับหน้าหลอนๆแล้วเผลอแอบสะดุ้งเองซะงั้น- -''(โอ้วม้ายย)ว่าแล้วก่อนจากไปไรท์เตอร์ขอแก้ตัวเล็กน้อยว่าไม่ได้โรคจิตนะค่ะว๊ะฮ่าๆๆๆๆได้แรงบันดาลใจเรื่องนี้มาจากเรื่องGOTH คดีตัดข้อมืออ้ะ^^
ความคิดเห็น