คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 : การปรากฎตัวของอิจิ
แซ่ด แซ่ด
เสียงผู้คนซึ่งพลุกพล่านตามพื้นถนนในยามค่ำคืนและฝูงคนจำนวนมากเดินกันขวักไขว่ มากมายและเบียดเสียดจนคล้ายกับฝูงแมลงที่ไต่กันอย่างยั้วเยี้ย..
หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มอิจิโจ่ คุไรที่เดินทอดน่องอย่างสบายๆริมฟุตบาทย่านชิบุย่า หมวกใบย่อมที่ปิดลงมากว่าครึ่งหน้าและใบหน้าเข้มขาวเนียนซึ่งไร้แว่นตากรอบใหญ่อีกต่อไปทำให้เขาดูหลุดออกจากกรอบตัวตนเมื่อยามอยู่ในโรงเรียนโดยสิ้นเชิงและคงจะไม่มีใครคาดคิดว่าเขาคือคนคนเดียวกัน
ฟู่ววว..
ควันบุหรี่ที่พวยพุ่งออกจากปากของคุไรขณะยังคงเดินอย่างสบายอารมณ์ กับมืออีกข้างซึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ท่าทางที่เขามักจะชอบทำเป็นประจำจนกลายเป็นนิสัยไปเสียแล้ว
ใบหูของเขาซึ่งประสาทสัมผัสดีเป็นพิเศษรับฟังเสียงจ้องแจ้กของผู้คนที่เริ่มลดน้อยถอยลงขึ้นเรื่อยๆ
ปากบางซึ่งแย้มยิ้มให้กับเด็กสาวที่เผลอมองเขาจนตาค้างเพราะโครงหน้าอันดึงดูดนิดหนึ่งก่อนจะเลือกเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ เลาะจนมาถึงทางเดินไร้ซึ่งผู้คนสายหนึ่งจึงหยุดลง
“ฉันไม่ชอบโดนตาม นายก็รู้”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยพร้อมกับยิ้มเหยียด มือเรียวสวยปล่อยให้ควันบุหรี่ลอยละล่องขึ้นไปปะปนกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนส้นรองเท้าเขาจะบดขยี้มันลงบนพื้น
จากนั้นคุไรสาวเท้าไปยังตู้กดน้ำอัตโนมัติ หยอดเหรียญสองเหรียญพร้อมกับก้มลงหยิบโค้กสองกระป๋องเย็นเฉียบซึ่งค่อยๆกระดอนออกมาจากภายในตู้
ร่างสูงเลือกที่จะเดินมานั่งพิงกับพนักของสะพานไม้ยาวเก่าๆซึ่งเคยใช้สำหรับทอดข้ามแม่น้ำแต่ในตอนนี้กลับไม่มีใครได้ใช้แล้วตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน..
สวบ
เสียงทิ้งตัวที่บ่งบอกว่าผู้ที่เดินตามอิจิโร่ คุไรก็ได้นั่งลงแล้วเช่นกัน
“ที่นี่ยังเหมือนเดิมนะ”
ผู้เดินตามที่ปรากฏเป็นชายชราวัยประมาณเจ็ดสิบปีเค้าโครงใจดีเอ่ย นัยน์ตาสีฟ้าเข้มเบือนหน้ามามองคุไรด้วยรอยยิ้มกว้าง มือเหี่ยวย่นฉวยกระป๋องโค้กจากมือของคุไรไปดื่มอย่างหิวกระหาย
“ใช่ นายก็ยังเหมือนเดิม ชอบร่างปัญญาอ่อนนี้มากหรือยังไง”
ประโยคที่ทำให้ผู้มีใบหน้าชาญชราและนัยน์ตาสีฟ้าชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มขบขันและคำพูดฉะฉานผิดกับลักษณะของคนชราทั่วไป
“อย่างน้อยฉันก็ไม่มีปัญหาเวลาอยู่ในร่างนี้ล่ะนะ”
เสียงแหบพร่าพูดพร้อมกับเอามือควานเข้าไปในคอเสื้อหยิบสร้อยเรียบๆสีเงินที่มีตัวจี้เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งห้อยไว้ที่คอออกมา นัยน์ตาสีฟ้าเข้มแปรเปลี่ยนจากประกายตาสดใสเป็นเหยียดหยามและปวดร้าวทันที พลางเบือนหน้ามาถามด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
“อีกแล้วใช่ไหม รายที่เท่าไหร่แล้วล่ะ”
คำถามซึ่งอิจิโร่ คุไรกระดกโค้กเข้าปากเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปาทิ้งข้ามซี่กรงของสะพานลงไปยังแม่น้ำพร้อมกับมวนบุหรี่ที่ถูกจุดขึ้นมาสูบต่อ
“ไม่รู้สิ ฉันไม่อยากนับ”
“ฉันก็ว่างั้น... คืนนี้พระจันทร์จะได้ดื่มเลือดอีกซักแค่ไหนกันนะ..”
ชายชราพูดพร้อมถอนหายใจ ทอดสายตาไปยังพระจันทร์ดวงกลมโตที่กำลังลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า.. พระจันทร์สีแดง
“จะเท่าไหร่ฉันหรือนายไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้แน่คือวันนี้พวกเราคงจะได้มีอะไรทำฆ่าเวลากันบ้างล่ะจริงไหม อิจิ?”
เจ้าของเสียงทุ้มคุไรค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างเฉื่อยๆดูราวกับไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนักกับริมฝีปากซึ่งยังคงคาบบุหรี่ไว้
ฟ้าวว
มือทั้งสองข้างกางออกก่อนเผยให้เห็นถึงคลื่นพลังขนาดใหญ่ซึ่งค่อยๆก่อกำเนิดจากเปลวไฟเล็กๆสีแดงหลอมรวมจนกลายเป็นเปลวไฟสีแดงขนาดใหญ่มหึมาที่กำลังหมุนวนไปมาและส่องประกายระยิบระยับราวกับอัญมณีสีเพลิง..
“..ฮึ..”
ชายชรานามอิจิกระตุกยิ้มออกมาอย่างขำขันพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเช่นเดียวกัน
“ฉันว่างวดนี้ฉันต้องชนะนายแน่ คุไร”
อิจิพูดพร้อมเริ่มแย้มรอยยิ้มกว้างด้วยความมั่นใจ ไหล่และข้อต่อที่ข้อมือและข้อเท้าถูกบิดไปมาจนดังกร๊อบเป็นระยะราวกับเสียงของจังหวะดนตรี ผิดกับรูปร่างภายนอกที่เป็นเพียงคนชรา
พรึ่บ!!
เปลวไฟสีเพลิงอันเกิดจากอิจิโร่ คุไรถูกปาสะท้อนขึ้นไปยังโดมสะพานที่พวกเขายืนอยู่ทันที ส่งผลให้สะพานที่มีโดมรูปสามเหลี่ยมนั้นแปรสภาพเป็นบิดเบี้ยวและเปิดขยายออก พร้อมกับเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกที่ดังมาจากทั่วทุกสารทิศที่พวกเขายืนอยู่
ใช้ได้..
ใช้ได้..
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า !
สิ้นเสียงก็ปรากฏให้เห็นถึงมนุษย์ที่ไม่อาจจะเรียกหาว่าเป็นมนุษย์ได้ประมาณหลายสิบคน
ส่วนหัวพวกมันเป็นเส้นผมสีแดงสดพันกันยุ่งเหยิง โดยซีกขวาสั้นเพียงแค่ติ่งหูอันขาดแหว่งแต่ซีกซ้ายปลายผมยาวจนจรดปลายเท้า
ใบหน้าซีกหนึ่งเป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปหากอีกซีกหนึ่งกลับไม่มีแม้แต่นัยน์ตา จมูกหรือปาก มีเพียงแค่ร่องสีดำลึกของเบ้าตากลวงโบ๋ว และปากที่ฉีกกว้างถึงใบหูจนเห็นถึงเขี้ยวมันยาวสีขาวและลิ้นสีแดงสดที่ยาวจนเกือบถึงบั้นเอวกำลังกวัดแกว่งไปหาอย่างหิวกระหาย
ตัวประหลาดซึ่งกำลังจ้องมองมายังคุไรและอิจิเขม็ง
“พลังบิดเบือน..อืม...น่าสน..น่าสนไม่น้อย..ใช่..ไม่น้อย..”
มันคงจะไม่น่ากลัวและไม่สยดสยองถ้าหากมนุษย์หน้าตาประหลาดเหล่านี้จะไม่พูดเป็นเสียงเดียวกันหมดทั้งหลายสิบคน?
แกร๊ก
เสียงเปิดปลอกไฟแช็คของอิจิโร่ คุไรซึ่งจุดมวนบุหรี่ขึ้นมาใหม่เป็นมวนที่สามของวันกับนัยน์ตาซึ่งตวัดมองตัวประหลาดเบื้องหน้าอย่างชักจะไม่รู้สึกสนุกเหมือนในตอนแรก
“แค่พวกชั้นต่ำ”
คุไรพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“ก็คงงั้น”
คำพูดสุดท้ายของอิจิที่เห็นด้วยก่อนจะทะยานตัวไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มหมายมั่น
ครั้งนี้เขาต้องชนะ!
ฉัวะ!
มืออิจิซึ่งตอนนี้แปรสภาพไปเป็นดาบเรียวยาวเรียบร้อย ตัดผ่านเจ้ามนุษย์ประหลาดเบื้องหน้าไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของผู้ซึ่งไม่ควรถือเรียกหาว่ามนุษย์หลุดกระเด็นออกจากเบ้าตาทุกครั้งที่อิจิเผลอวาดดาบผ่านอย่างลืมมองว่าเป็นส่วนไหน …
เกลียวไส้สีเขียวข้นของมนุษย์ประหลาดบัดนี้ถูกดึงกระชากให้ร่วงหล่นออกจากร่างจนเริ่มจะเต็มทางเดินบนสะพาน ปนกับภาพซากอมนุษย์ซึ่งยังคงไม่ตายสนิทเศษซากเนื้อและเส้นเอ็นยึดเกาะตรงสะโพกยังคงมีอยู่น้อยนิดก่อนซีกร่างครึ่งบนเมื่อก้าวเดินจะร่วงเผละไปกองกับแขนขาซึ่งถูกสับกระเด็นออกเป็นท่อนๆจนปลิวว่อนไปมาเหมือนใบไม้ยามค่ำคืนสีเลือด
เลือดสีแดงข้นที่ไหลทะลักของมนุษย์ประหลาดเปรอะเปื้อนตามตัวของอิจิและใบหน้าเป็นหย่อมๆแต่เจ้าตัวคงไม่ใคร่สนใจนัก
สวบ สวบ สวบ
มนุษย์ประหลาดซึ่งบัดนี้เริ่มรวมตัวเดินมาในทิศทางเดียวกันพร้อมกับนัยน์ตาซีกที่เป็นมนุษย์แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดพูดประสานเสียงเดียวกันว่า “เจ้าฆ่าพวกข้า..เจ้าต้องตายย..”
“ตาย..ตาย..ตาย...ตาย..ตาย!!!!”
“ตาย..ตาย..ตาย...ตาย..ตาย ตาย..ตาย..ตาย...ตาย..ตาย!!!!”
“ตาย..ตาย..ตาย...ตาย..ตาย ตาย..ตาย..ตาย...ตาย..ตาย ตาย ตาย!!!!”
เสียงโหยหวนที่ยังคงดังพร้อมเพียงกันอย่างชวนให้ขนหัวลุกแต่ในสายตาของอิจิและคุไรเป็นเพียงแค่ภาพผ่านตาที่น่าเบื่อหน่าย
ตอนนี้มือข้างที่เหลือของอิจิได้กลายสภาพเป็นโซ่เหล็กกำลังหมุนควงไปมา นัยน์ตาสีฟ้าเข้มหรี่เล็กลงกับมือซึ่งวาดไปมาเพื่อเล็งเป้าหมายไปยังกึ่งกลางหัวที่ข้างในกลวงโบ๋
ใช่ เพราะเจ้ามนุษย์ประหลาดพวกนี้ไม่มีสมอง มันไม่ใช่มนุษย์...ไม่สิ..หมดความเป็นมนุษย์ไปหมดแล้วต่างหาก
ไม่ต้องคำนึงถึงเสียงกรีดร้องโหยหวนอันน่ารำคาญ..เพราะพวกมันไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว
อิจิโร่ คุไรซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ขอบสะพานปิดเปลือกตาหนาอย่างเซ็งๆพร้อมกับรูดเนกไทที่อยู่ตรงต้นคอออก ใบหน้าชะงักอย่างหัวเสียนิดหน่อยที่เลือดของเจ้ามนุษย์ประหลาดกระเซ็นเข้ามา ปลายลิ้นซึ่งสัมผัสบ่งบอกว่ารสชาติแย่ยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
ฟุบ!
ร่างสูงกระโดดลงมายืนบนพื้นเรียบร้อยพร้อมกับแย้มรอยยิ้มบางเล็กน้อย
..เอาน่า..อย่างน้อยก็แก้เซ็งได้ไม่เลว....
เร็วเท่าความคิดอากาศรอบด้านก็เย็นเยียบลงทันทีพร้อมกับมือของอิจิโร่ คุไรค่อยๆแบออกอีกครั้ง
...แค่นี้ก็พอละมั้ง..
รอยยิ้มเหยียดอย่างเยาะๆในความอ่อนแอของมนุษย์ประหลาดเบื้องหน้า
ฟรึ่บ!
ลมเย็นซึ่งพัดผ่านเพียงแค่พริบตาหากแต่เพียงเท่านั้นร่างของมนุษย์ประหลาดก็แยกออกเป็นสองซีกและเกาะตัวรวมกันเป็นน้ำแข็งตามแถบแนวเส้นตรงที่อิจิโร่ คุไรยืนอยู่
แควก
นัยน์ตาคมกวาดมองไปยังร่างของพวกมนุษย์ประหลาดที่ตอนนี้ถูกผ่าออกเป็นสองซีกอย่างเป็นระเบียบจนเผยให้เห็นอวัยวะภายในที่ไหลทะลักออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันอย่างคำนวณ
...น่าจะซักสิบ..
คิดพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดผ่านเจ้ามนุษย์ประหลาดที่อยู่อาณาบริเวณโดยรอบอย่างเชื่องช้าราวกับเข็มนาฬิกาโลกกำลังถูกหยุดหมุนไป..
.....ฟิ้ววว....วววว...
“ฮึ นาย 27 ฉัน 26 ทีเดียวตายหมดเฮ้อ....ทำไมฉันไม่ได้พลังแบบนายมั่งวะ”
อิจิบ่นพึมพำพร้อมกับกระโดดข้ามศพเหล่ามนุษย์ประหลาดซึ่งครึ่งหนึ่งตายสภาพแย่เสียยิ่งกว่าเขาจัดการซะอีก
เสียงสบถดังพึมพำขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเหยียบพลาดไปทับนัยน์ตาของมนุษย์ประหลาดที่กลิ้งกระเด็นหลุดออกมาจนแตกดังโพละพร้อมกับน้ำหนองที่ไหลทะลักเยิ้มหรือลิ้นยาวสีแดงสดซึ่งถูกกระชากออกจากปากแต่เมื่อหล่นลงไปกองที่พื้นก็คล้ายเป็นเพียงแค่รูปประดับของบรรดาอวัยวะและน้ำเลือดอันมากสีสันเท่านั้น
“อิจิ..นายก็รู้คำตอบอย่าเอามาพูดเล่นๆดีกว่า ไม่มีใครอยากได้พลังแบบที่ฉันมีหรอก”
นัยน์ตาคมทอดมองภาพของเพื่อนสนิทซึ่งถึงแม้จะไม่ได้เจอกันนานแรมปีแต่ความรู้สึกและคำว่าเพื่อนก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่คิดจะโทษเลยถ้าหากอิจิจะไม่รู้ว่าเมื่อครู่ได้พูดสิ่งใดออกมา
ริมฝีปากบางแค่นยิ้มออกมาอย่างยากเย็นเมื่อแสงสว่างจากพระจันทร์ดวงโตซึ่งดูจะยิ่งเรืองรองกว่าปกติกระทบเข้าสู่นัยน์ตาพร้อมกับจี้รูปพระจันทร์เสี้ยวที่เขาก็มีไม่ต่างจากอิจิกำลังทอแสงรับกันกับดวงจันทร์..
“ พระจันทร์ของฉัน ดื่มเลือดมากเกินไปรึเปล่านะ? มันจะพอได้รึยัง..”
คำพูดที่ไม่มีใครขานรับ มีเพียงแต่พระจันทร์สีแดงเข้มบนฟากฟ้าเท่านั้นซึ่งปรากฎสีเลือดเข้มขึ้นเพียงบางเบาราวกับเป็นพยาน....
-------------------------------------------------------------------------------
ปัง!!! ปัง!!! ปัง!!!
เสียงทุบโต๊ะของคนที่มักจะนอนหลับอยู่เป็นนิจและคงจะไม่มีใครกล้าไปปลุกหรือรบกวน
ใช่ เธอก็ไม่อยากทำนักหรอกแต่ลางสังหรณ์อะไรบางอย่างมันบอกกับเธอให้เธอต้องมาหาอิจิโร่ คุไร
“ตื่นๆๆๆๆฉันบอกให้นายตื่นได้แล้วไงไอ้บ้า!!”
คำพูดพร้อมกับมือที่กำลังจะเอื้อมไปทุบหัวของคนที่นอนอยู่อย่างหมั่นไส้
หมับ
“มีอะไร”
เสียงทุ้มที่พึมพำขึ้นอย่างเซ็งๆปนหงุดหงิดนัยน์ตาดำขลับจ้องมองเด็กสาวเบื้องหน้าหรือนามิอย่างเย็นชา
“เจ็บ ปล่อยมือฉันด้วย”
นามิกัดฟันพูดอย่างเจ็บปวดปนโกรธแค้น
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างงุนงงก่อนจะมองไปยังมือของตนที่กำลังบีบข้อมือเล็กๆของนามิอยู่ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงเป็นทำนองว่าเข้าใจแล้วปล่อยออก
“โทษที”
“นายเอาจิโระไปไว้ที่ไหน”
“จิโระ?”
เสียงทุ้มต่ำยังคงพูดอย่างเฉื่อยชาพร้อมทำท่าจะก้มลงไปหลับต่ออีกรอบอย่างไม่แยแสกับนามิที่ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงก่ำอย่างชักทนไม่ไหว
“ฉัน ถาม ว่า นายเอาจิโระไปไว้ที่ไหน !”
เสียงหวานใสซึ่งคราวนี้ค่อยๆเน้นทีละคำอย่างกลัวคนแกล้งทำเป็นสมองเอื่อยตรงหน้าจะไม่เข้าใจ
ฟรึ่บ
อิจิโร่ คุไร ตัดสินใจยืนด้วยความเหนื่อยหน่ายพร้อมกับนัยน์ตาคมตวัดปรายตามองนามิซึ่งกำลังยืนเท้าเอวพร้อมกับตัวสั่นด้วยความโมโห
“เธอ...ขวางทางฉัน”
นามิอ้าปากอย่างเหวอๆและเผลอก้าวถอยหลังอย่างตกใจทันทีเมื่อสบกับนัยน์ตาสีดำเข้มที่จ้องมองมาอย่างเฉยชาดังเดิมแต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวโดยไม่มีสาเหตุ
ให้ตายสิทำไมเธอถอนสายตาไม่ได้นะ ! รู้สึกเหมือนตัวลอยๆอีกต่างหาก..
“อย่ายุ่งเรื่องนี้อีก”
เสียงที่ไม่รู้ว่าเพราะอิจิโร่ คุไรมายืนอยู่ข้างๆหูของนามิรึเปล่า รู้แต่ว่าตัวเธอในตอนนี้กำลังได้ยินคำพูดนี้ดังกึกก้องอยู่ในหัวไปมา…
..อย่ายุ่งเรื่องนี้....อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้...
..อย่ายุ่งเรื่องนี้....อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้...
..อย่ายุ่งเรื่องนี้....อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้...
..อย่ายุ่งเรื่องนี้....อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้...
..อย่ายุ่งเรื่องนี้....อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้...
..อย่ายุ่งเรื่องนี้....อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้......อย่ายุ่งเรื่องนี้...
....อา...ใช่...ฉันจะต้องไม่ยุ่งกับเรื่องนี้....
“นามิ..นามิเธอเป็นอะไรมากรึเปล่าเนี่ย”
“หะ..หือ..”
เสียงแหลมของเพื่อนร่วมห้องนามจิซะปลุกให้นามิตื่นจากภวังค์พร้อมกับส่ายหน้าตัวเองไปมา
“นี่ฉันเป็นอะไรไป แล้วทำไมฉันมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ”
นามิถามอย่างงุนงงก็เมื่อกี้เธอยังนั่งอยู่บนโต๊ะเพื่อที่จะรอครูเข้าสอนคาบต่อไปนี่นา
“ก็เธอน่ะสิอยู่ๆก็เดินมาปลุกอิจิโร่ให้ตื่น ดูสิตอนนี้นายนั่นหน้าเซ็งสุดขีดเดินออกไปจากห้องเลย เธอเป็นอะไรมากรึเปล่าเนี่ยร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยคิดจะมาปลุกผีหัวหน้าห้องเข้าสิงรึไง”
“หา งั้นหรอ”
หน้าใสๆของนามิเอียงคอไปมาอย่างงุนงงก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเองอย่างชักรู้สึกปวดหัวตึบๆยังไงชอบกล
...หรือว่าวันนี้เราจะเบลอจริงๆกันนะ??..
ความคิดเห็น