ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อแรกพบเจอ 100%
� � � �ช่วงเช้าในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษาชั้นปีที่ ๔ ของมหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง บรรยากาศในห้องทำให้ชวนหลับเป็นยิ่งนัก ภายในห้องประกอบไปด้วยโต๊ะที่วางเรียนแถวเป็นชั้น ข้างหน้าห้องมีวิทยากรท่านหนึ่งบรรยายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในสถานที่ที่ทำงาน นักศึกษาบางคนตั้งใจฟัง และบางคนตั้งใจหลับ แถวบนสุดของห้องเรียน มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งนั่งคุยเล่นกันอยู่
� � � �"ป้าแกบ่นไรอยู่วะ" เสียงใสๆของณัฏฐนิชได้กล่าวออกมา ใบหน้าเธอบ่งบอกชัดเจนว่าเธอเชื้อสายจีน แต่รูปร่างของเธอนั้นค่อนข้างอวบกว่าคนอื่นเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่สนใจใครใช้ให้พวกนั้นผอมบางเองหล่ะ
� � � �"ไอนัทบ่นไรวะ แต่มันก็จริงหว่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย" นภัสสร หญิงสาวรูปร่างอ้วนกลม เหมาะแกการแกล้งเป็นที่สุดได้พูดขึ้น
� � � �"นี่พวกแกพูดเบาๆกันได้มั้ย ฉันกำลังตั้งใจฟังอยู่นะ" ปทิตตา หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนทั้งสองได้ขัดขึ้น กล่าวได้ว่าเธอรูปร่างผอมที่สุดในบรรดาเพื่อนสาว
� � � �"เหรอไอตา ฉันเห็นแกนั่งขีดๆเขียนๆ วงกลมกับสามเหลี่ยมมันคิออะไรวะ???" ณัฏฐนิชทนไม่ไหวได้กล่าวขึ้น ปทิตตาแลบลิ้นออกมาอย่างเอ็นดู ทำให้เพื่อนสาวทั้งสองคนพร้อมใจกันถอนหายใจใส่ปทิตตา
� � � �การบรรยายได้บรรยายมาเรื่อยๆ เสียงอาจารย์ท่านหนึ่งได้ประกาศขึ้น "การบรรยายของดร.เพ็ญพักตร์ได้จบลงไปแล้ว แต่ยังมีวิทยากรอีกท่านหนึ่งมาให้ความรู้เมื่อทำงานในสถานที่จริง ขอเสียงปรบมือต้อนรับให้กับคุณกรวีร์ด้วยครับ" ท่ามกลางเสียงตบมือ มีเสียงดังเฮือกมาจากแถวบนสุดเสียงนั้นเป็นเสียงของณัฏฐนิชนั่นเอง และแล้วชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง เข้ากับตำราสมัยใหม่คือ หล่อ ขาว และสูง ข้างๆกันนั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบกำลังชะเง้อมองหาคนอยู่ แล้วเด็กน้อยก็ไปสะดุดตาเข้ากับหญิงสาวที่จะพยายามมุดไปใต้โต๊ะนั่นเอง
� � � �"นั่นไงโอเน่จัง พี่นัทนั่งอยู่ตรงนั้น คุณอา คุณอา ยูกิไปหาพี่นัทนะคะ" พอพูดจบเด็กน้อยก็วิ่งไปทางณัฏฐนิชทันที พร้อมสายตาทุกคู่ได้จ้องมองมาที่ณัฏฐนิชเป็นทางเดียว ในเมื่อเธอทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากมองหน้ากรวีร์ ในใจก็แอบคิดว่า อยากจะวิ่งเข้าไปหักคอหมอนั่นซะเดี๋ยวนี้เลย แต่ในทางกลับกันในแววตาของกนวีร์เต็มไปด้วยอารมณ์ขบขัน ก็ใครใช้ให้เธอหลบหน้าเขา และไม่รับข้อเสนอของเขาหล่ะ
� � � �"ยูกิจัง ไหนบอกกลับญี่ปุ่นกับคุณแม่ไม่ใช่เหรอคะ" ณัฏฐนิชได้อ้าแขนรับเด็กน้อยมาในอ้อมกอด แล้วพามานั่งใกล้ๆที่โต๊ะ พร้อมทั้งมีสายตา ๒ คู่จ้องมองทุกการกระทำของเธอ
� � � �"ยูกิเพิ่งกลับมาคะ คุณอาบอกว่าจะมาหาพี่นัทคะ ยูกิเลยตามมา แล้วเมื่อไหร่พี่นัทจะแต่งงานกับคุณอาหล่ะคะ" ณัฏฐนิชเอามือปิดปากเด็กน้อยไม่ทัน และระหว่างนั้นการบรรยายก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเพื่อนทั้งสองได้ยินที่เด็กน้อยพูดขึ้น�เพื่อนสาวทั้งสองคนจึงกระซิบข้างหูหล่อน�
� � � �"แกต้องเล่าให้พวกฉันฟัง" นภัสสรกระซิบด้วยความอยากรู้
� � � �"ตั้งแต่ต้น เอาให้กระจ่าง" ปทิตตาได้สมทบขึ้นนมาทันที
� � � �"เออ" เธอได้ตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก ระหว่างการบรรยายเหมือนจะมีกระแสไฟเล็กๆ ระหว่าง กรวีร์และณัฏฐนิชอยู่เสมอ
� � � �เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ ๑ เดือนก่อน ได้มีชาย ๔ คนได้มาหาบิดาและมารดาของณัฏฐนิช เพื่อมาสู่ขอเธอให้กับกรวีร์ตามพินัยกรรมของอากงได้ทิ้งเอาไว้ อากงของณัฏฐนิชได้ทำสัญญากับอากงของกรวีร์ที่เป็นเพื่อนรักกันไว้ว่าจะดองเป็นเครือญาติเดียวกัน โดยให้หลานชายและหลานสาวแต่งงานกัน�
� � � �"ตามที่คุณทนายได้กล่าวไว้ คุณอาสงสัยตรงไหนหรือเปล่าครับ" กรวิชญ์พี่ชายของกรวีร์ได้กล่าวขึ้น ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับกรวีร์หลายส่วน เพียงแต่ดวงตาของเขาเล็กกว่ากรวีร์เพียงเล็กน้อย
� � � �"แล้วทำไมลูกสาวผมต้องแต่งงานกับน้องชายคุณด้วยหล่ะ" พงศ์พิชญ์บิดาของณัฏฐนิชได้กล่าวออกมา ณัฏฐนิชได้เคล้าโครงหน้ามาจากพ่อของเธอถึงแปดสิบเปอร์เซนต์
� � � �"นั่นซิ ลูกสาวฉันก็ยังเรียนไม่จบจะให้แต่งได้ยังไง"�ขณิษฐามารดาของเธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
� � � �"ไม่ทราบว่าคุณพ่อของคุณอาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้บ้างเหรอครับ" กรวิชญ์ถามอย่างสงสัย
� � � �"ก็พูดบ้าง แต่ไม่เคยพูดเป็นจริงเป็นจังสักครั้ง จนกระทั่งแกเสียไปก็ไม่ได้พูดอะไรไว้" พงศ์พิชญ์กล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าอากงของณัฏฐนิชจะไปให้สัญญาอะไรกับมหาเศรษฐีไว้แบบนี้ ครอบครัวของเธอก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก มีเพียงกิจการร้ายของที่ช่วยส่งเธอและน้องอีก ๒ คนเรียนเท่านั้น
� � � �"เฮอะ ถ้าไม่ให้แต่งก็ไม่แต่งซิ แล้วผมก็ไม่อยากจะแต่งด้วย" กรวีร์เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด แล้วทำไมอากงต้องระบุชื่อเขาในพินัยกรรมให้แต่งงานกับเด็กอย่างนี้ด้วยนะ
� � � �"ไอวีร์ แต่ในพินัยกรรมระบุไว้ชัดเจนนะ" กรวิชญ์เอ่ยเตือนอย่างสุขุม
� � � �"งั้นเฮียก็แต่งเองซิ" กรวีร์เอ่ยปากออกมา
� � � �"ฉันแต่งงานแล้ว ชื่อในพินัยกรรมก็เป็นชื่อแกไม่ใช่ฉัน" กรวิชญ์กล่าวออกมาพร้อมชี้ไปที่พินัยกรรม
� � � �"โธ่เฮีย จะให้ผมแต่งกับเด็กคนนี้เนี่ยนะ เธอดูอุดมสมบูรณ์ไปหน่อยมั้ง ไม่เหมาะกับผมสักนิด" กรวีร์พูดขึ้นพร้อมมองไปที่ณัฏฐนิชตั้งแต่หัวจรดเท้า
� � � �"ไอวีร์... / คุณ....." ยังไม่ทันที่กรวิชญ์และบิดามารดาของณัฏฐนิชเอ่ยปากอะไรออกมา ณัฏฐนิชก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงเจือแววโมโฆ
� � � �"ป้าแกบ่นไรอยู่วะ" เสียงใสๆของณัฏฐนิชได้กล่าวออกมา ใบหน้าเธอบ่งบอกชัดเจนว่าเธอเชื้อสายจีน แต่รูปร่างของเธอนั้นค่อนข้างอวบกว่าคนอื่นเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่สนใจใครใช้ให้พวกนั้นผอมบางเองหล่ะ
� � � �"ไอนัทบ่นไรวะ แต่มันก็จริงหว่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย" นภัสสร หญิงสาวรูปร่างอ้วนกลม เหมาะแกการแกล้งเป็นที่สุดได้พูดขึ้น
� � � �"นี่พวกแกพูดเบาๆกันได้มั้ย ฉันกำลังตั้งใจฟังอยู่นะ" ปทิตตา หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนทั้งสองได้ขัดขึ้น กล่าวได้ว่าเธอรูปร่างผอมที่สุดในบรรดาเพื่อนสาว
� � � �"เหรอไอตา ฉันเห็นแกนั่งขีดๆเขียนๆ วงกลมกับสามเหลี่ยมมันคิออะไรวะ???" ณัฏฐนิชทนไม่ไหวได้กล่าวขึ้น ปทิตตาแลบลิ้นออกมาอย่างเอ็นดู ทำให้เพื่อนสาวทั้งสองคนพร้อมใจกันถอนหายใจใส่ปทิตตา
� � � �การบรรยายได้บรรยายมาเรื่อยๆ เสียงอาจารย์ท่านหนึ่งได้ประกาศขึ้น "การบรรยายของดร.เพ็ญพักตร์ได้จบลงไปแล้ว แต่ยังมีวิทยากรอีกท่านหนึ่งมาให้ความรู้เมื่อทำงานในสถานที่จริง ขอเสียงปรบมือต้อนรับให้กับคุณกรวีร์ด้วยครับ" ท่ามกลางเสียงตบมือ มีเสียงดังเฮือกมาจากแถวบนสุดเสียงนั้นเป็นเสียงของณัฏฐนิชนั่นเอง และแล้วชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง เข้ากับตำราสมัยใหม่คือ หล่อ ขาว และสูง ข้างๆกันนั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบกำลังชะเง้อมองหาคนอยู่ แล้วเด็กน้อยก็ไปสะดุดตาเข้ากับหญิงสาวที่จะพยายามมุดไปใต้โต๊ะนั่นเอง
� � � �"นั่นไงโอเน่จัง พี่นัทนั่งอยู่ตรงนั้น คุณอา คุณอา ยูกิไปหาพี่นัทนะคะ" พอพูดจบเด็กน้อยก็วิ่งไปทางณัฏฐนิชทันที พร้อมสายตาทุกคู่ได้จ้องมองมาที่ณัฏฐนิชเป็นทางเดียว ในเมื่อเธอทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากมองหน้ากรวีร์ ในใจก็แอบคิดว่า อยากจะวิ่งเข้าไปหักคอหมอนั่นซะเดี๋ยวนี้เลย แต่ในทางกลับกันในแววตาของกนวีร์เต็มไปด้วยอารมณ์ขบขัน ก็ใครใช้ให้เธอหลบหน้าเขา และไม่รับข้อเสนอของเขาหล่ะ
� � � �"ยูกิจัง ไหนบอกกลับญี่ปุ่นกับคุณแม่ไม่ใช่เหรอคะ" ณัฏฐนิชได้อ้าแขนรับเด็กน้อยมาในอ้อมกอด แล้วพามานั่งใกล้ๆที่โต๊ะ พร้อมทั้งมีสายตา ๒ คู่จ้องมองทุกการกระทำของเธอ
� � � �"ยูกิเพิ่งกลับมาคะ คุณอาบอกว่าจะมาหาพี่นัทคะ ยูกิเลยตามมา แล้วเมื่อไหร่พี่นัทจะแต่งงานกับคุณอาหล่ะคะ" ณัฏฐนิชเอามือปิดปากเด็กน้อยไม่ทัน และระหว่างนั้นการบรรยายก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเพื่อนทั้งสองได้ยินที่เด็กน้อยพูดขึ้น�เพื่อนสาวทั้งสองคนจึงกระซิบข้างหูหล่อน�
� � � �"แกต้องเล่าให้พวกฉันฟัง" นภัสสรกระซิบด้วยความอยากรู้
� � � �"ตั้งแต่ต้น เอาให้กระจ่าง" ปทิตตาได้สมทบขึ้นนมาทันที
� � � �"เออ" เธอได้ตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก ระหว่างการบรรยายเหมือนจะมีกระแสไฟเล็กๆ ระหว่าง กรวีร์และณัฏฐนิชอยู่เสมอ
� � � �เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ ๑ เดือนก่อน ได้มีชาย ๔ คนได้มาหาบิดาและมารดาของณัฏฐนิช เพื่อมาสู่ขอเธอให้กับกรวีร์ตามพินัยกรรมของอากงได้ทิ้งเอาไว้ อากงของณัฏฐนิชได้ทำสัญญากับอากงของกรวีร์ที่เป็นเพื่อนรักกันไว้ว่าจะดองเป็นเครือญาติเดียวกัน โดยให้หลานชายและหลานสาวแต่งงานกัน�
� � � �"ตามที่คุณทนายได้กล่าวไว้ คุณอาสงสัยตรงไหนหรือเปล่าครับ" กรวิชญ์พี่ชายของกรวีร์ได้กล่าวขึ้น ใบหน้าของเขาคล้ายคลึงกับกรวีร์หลายส่วน เพียงแต่ดวงตาของเขาเล็กกว่ากรวีร์เพียงเล็กน้อย
� � � �"แล้วทำไมลูกสาวผมต้องแต่งงานกับน้องชายคุณด้วยหล่ะ" พงศ์พิชญ์บิดาของณัฏฐนิชได้กล่าวออกมา ณัฏฐนิชได้เคล้าโครงหน้ามาจากพ่อของเธอถึงแปดสิบเปอร์เซนต์
� � � �"นั่นซิ ลูกสาวฉันก็ยังเรียนไม่จบจะให้แต่งได้ยังไง"�ขณิษฐามารดาของเธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
� � � �"ไม่ทราบว่าคุณพ่อของคุณอาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้บ้างเหรอครับ" กรวิชญ์ถามอย่างสงสัย
� � � �"ก็พูดบ้าง แต่ไม่เคยพูดเป็นจริงเป็นจังสักครั้ง จนกระทั่งแกเสียไปก็ไม่ได้พูดอะไรไว้" พงศ์พิชญ์กล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าอากงของณัฏฐนิชจะไปให้สัญญาอะไรกับมหาเศรษฐีไว้แบบนี้ ครอบครัวของเธอก็ไม่ได้ร่ำรวยนัก มีเพียงกิจการร้ายของที่ช่วยส่งเธอและน้องอีก ๒ คนเรียนเท่านั้น
� � � �"เฮอะ ถ้าไม่ให้แต่งก็ไม่แต่งซิ แล้วผมก็ไม่อยากจะแต่งด้วย" กรวีร์เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด แล้วทำไมอากงต้องระบุชื่อเขาในพินัยกรรมให้แต่งงานกับเด็กอย่างนี้ด้วยนะ
� � � �"ไอวีร์ แต่ในพินัยกรรมระบุไว้ชัดเจนนะ" กรวิชญ์เอ่ยเตือนอย่างสุขุม
� � � �"งั้นเฮียก็แต่งเองซิ" กรวีร์เอ่ยปากออกมา
� � � �"ฉันแต่งงานแล้ว ชื่อในพินัยกรรมก็เป็นชื่อแกไม่ใช่ฉัน" กรวิชญ์กล่าวออกมาพร้อมชี้ไปที่พินัยกรรม
� � � �"โธ่เฮีย จะให้ผมแต่งกับเด็กคนนี้เนี่ยนะ เธอดูอุดมสมบูรณ์ไปหน่อยมั้ง ไม่เหมาะกับผมสักนิด" กรวีร์พูดขึ้นพร้อมมองไปที่ณัฏฐนิชตั้งแต่หัวจรดเท้า
� � � �"ไอวีร์... / คุณ....." ยังไม่ทันที่กรวิชญ์และบิดามารดาของณัฏฐนิชเอ่ยปากอะไรออกมา ณัฏฐนิชก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงเจือแววโมโฆ
� � � �"แล้วถ้าฉันอุดมสมบูรณ์แล้วมันไปหนักส่วนไหนของคุณไม่ทราบ" เธอกล่าวพร้อมถลึงตาใส่กรวีร์ ทางเขาเองก็เหมือนจะมีเสียงบางอย่างขาดพึง ทุนเดิมเขาก็โมโหที่ในพินัยกรรมมีชื่อของเขากับข้อตกลงไร้สาระนี้ ผนวกเข้ากับเจอเด็กนี่ต่อปากต่อคำกับเขาอีก เขาไม่ชอบให้คนอายุน้อยกว่าพูดกับเขาอย่างไม่มีมารยาท
� � � �"มันไม่จริงหรือไง เธอไม่ได้รูปร่างเธอหรือไงหะ ไม่ทราบว่าเธอกินข้าวหรือกินรำกันแน่" เหมือนจะรุนแรงไปสักหน่อยแต่เขาก็ไม่สนใจใครใช้ให้เธอต่อปากต่อคำกับเขาก่อนหล่ะ
� � � �"กรี๊ดดดด นี่คุณไปเอาน้ำยาบ้วนปากมาบ้วนเดี๋ยวนี้เลยนะ ปากคุณจะได้สะอาดขึ้น" ณัฏฐนิชก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เธอตวาดแหวใส่ทันที
� � � �"นี่เธอ หัดเคารพกันซะบ้างซิ ฉันแก่กว่าเธอตั้งหลายปีนะ แล้วก็เฮีย ผมไม่แต่งกับเด็กปากเสียอย่างนี้เด็ดขาด" น้ำเสียงยื่นคำขาดของกรวีร์ชัดเจน สายตาจริงจัง ตั้งแต่เด็กจนโตเขาเอาแต่ใจ และยืนคำขาดได้ตลอดเวลา ไม่มีใครแก้นิสัยเอาแต่ใจและหัวรั้นของเขาได้เท่าไหร่นัก
� � � �"มาว่าฉันปากเสีย ไม่ดูตัวเองเลยหรือไงหะ คิดว่าฉันอยากแต่งกับคุณนักหรือยังไง" ณัฏฐนิชเองก็ไม่ยอมแพ้แล้วยื่นคำขาดเช่นกัน
� � � �"ตกลงพวกคุณ พวกคุณยืนยันว่าจะไม่มีการแต่งงานใช่มั้ยครับ" ทนายประจำตระกูลจู่ๆก็กล่าวขึ้นมา พร้อมมองหน้าว่าที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวทั้งสอง
� � � �"ใช่/ค่ะ" กรวีร์และณัฏฐนิชตอบรับพร้อมกันในทันที
� � � �"ถ้างั้น ผมขออ่านพินัยกรรมอีกฉบับนะครับ พินัยกรรมฉบับนี้จะถูกเปิดอ่านต่อเมื่อทั้งสองไม่ตกลงแต่งงานกัน โดยในเนื้อความในพินัยกรรมได้กล่าวไว้ว่า
� � � � � � � � � �'ในนามของข้าพเจ้า พินัยกรรมฉบับนี้จะเปิดอ่านได้ต่อเมื่อ นายกรวีร์และนางสาวณัฏฐนิชหากไม่ยินยอมที่ตกลงแต่งงานกัน
� � � � � � � ข้าพเจ้าขอใช้สิทธ์ในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในบริษัท และมีอำนาจเด็ดขาดในการยืดหุ้นส่วนนี้ซึ่งเป็นของนายกรวีร์ให้แก่องค์กร
� � � � � � � การกุศล และด้วยว่านายศร แซ่เลี้ยว ผู้ถือศักดิ์เป็นปู่ของนางสาวณัฏฐนิชได้ติดหนี้ข้าพเจ้าด้วยเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น สิบล้านบาท
� � � � � � � ยอดจำนวนเงินดังกล่าวได้รวมเงินต้นและดอกเบี้ยแล้ว จึงมีการให้นางสาวณัฏฐนิชใช้หนี้สินจำนวนเงินทั้งหมดสิบล้านบาทโดยการ �
� � � � � � � ทำงานเป็นพี่เลี้ยงให้แก่ด.ญ.ยูกิ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของข้าพเจ้า จนกว่าจะใช้หนี้สินหมดสิ้น แต่เมื่อทั้งสองยินยอมตกลง
� � � � � � � แต่งงานกันภายในระยะเวลา ๑ ปี พินัยกรรมฉบับนี้ถือว่าเป็นโมฆะ'
� � � �"มีใครไม่เข้าใจตรงไหนหรือเปล่าครับ" ทนายประจำตระกูลเอ่ยปากถามขึ้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากคนทั้งหมด แม้กระทั่งนายสมเองที่เป็นคนขับรถก็ยังเงียบ และอ้าปากค้าง
� � � �"ป๊า ม๊า อากงไปติดเงินบ้านนี้แต่เมื่อไหร่กัน" ณัฏฐนิชเป็นคนทำลายความเงียบชวนขนหัวลุกออกไป
� � � �"ป๊าไม่รู้ลูก ตั้งสิบล้านบาทอากงทำอย่างงี้ได้ยังไง" นายพงศ์พิชญ์เริ่มโวยวาย
� � � �"ใช่ อากงทำกับผมอย่างงี้ได้ยังไง หุ้นทั้งหมดกว่าผมจะสร้างขึ้นมาได้ กว่าอากงจะให้ผม เธอต้องแต่งกับฉันห้ามปฏิเสธเด็ดขาด" กรวีร์ออกคำสั่งเสียงเด็ดขาดพร้อมส่งสายตาไปที่ณัฏฐนิช มันทำให้เธอฉุนนิดๆ กล้าดียังไงมาสั่งเธอ พ่อแม่ก็ไม่ใช่ ทำไมเธอต้องทำตาม
� � � �"ไม่ ฉันไม่แต่งกับคุณเด็ดขาดให้ตายก็ไม่แต่ง ฉันยินดีเป็นพี่เลี้ยงหลานคุณดีกว่า เรื่องหุ้นของคุณทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย" ณัฏฐนิชตวาดแหว
� � � �"เธอต้องแต่ง กว่าฉันจะได้หุ้นของฉันมา ฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาด ต้องทำข้อตกลงกับอากงอีกเยอะแยะ เรื่องอะไรฉันจะยอมเสียมันไปง่ายๆหล่ะ" กรวีร์โต้ตอบกลับไป พร้อมทำเสียงข่มขู่
� � � �"ไม่" ณัฏฐนิชปฏิเสธทันที
� � � �"ต้องแต่ง" กรวีร์ตอบด้วยน้ำเสียงดังขึ้น
� � � �"ไม่" ณัฏฐนิชเองก็ไม่ยอมแพ้ตะโกนเสียงดังใส่หน้ากรวีร์ ในแววตาของกรวีร์บ่งบอกได้อย่างดีว่ากำลังมีน้ำโห แต่แล้วสายตาของกรวีร์ก็เปลี่ยนไป เป็นสายตาที่ยากจะอ่านออก
� � � �"ได้ มันยังมีเวลาเหลืออีก ๑ปี ฉันจะทำให้เธอแต่งกับฉันให้ได้"ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา พร้อมทั้งมีความรู้สึกหลากหลายปนกันไป
�
� � � �� � � �"มันไม่จริงหรือไง เธอไม่ได้รูปร่างเธอหรือไงหะ ไม่ทราบว่าเธอกินข้าวหรือกินรำกันแน่" เหมือนจะรุนแรงไปสักหน่อยแต่เขาก็ไม่สนใจใครใช้ให้เธอต่อปากต่อคำกับเขาก่อนหล่ะ
� � � �"กรี๊ดดดด นี่คุณไปเอาน้ำยาบ้วนปากมาบ้วนเดี๋ยวนี้เลยนะ ปากคุณจะได้สะอาดขึ้น" ณัฏฐนิชก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เธอตวาดแหวใส่ทันที
� � � �"นี่เธอ หัดเคารพกันซะบ้างซิ ฉันแก่กว่าเธอตั้งหลายปีนะ แล้วก็เฮีย ผมไม่แต่งกับเด็กปากเสียอย่างนี้เด็ดขาด" น้ำเสียงยื่นคำขาดของกรวีร์ชัดเจน สายตาจริงจัง ตั้งแต่เด็กจนโตเขาเอาแต่ใจ และยืนคำขาดได้ตลอดเวลา ไม่มีใครแก้นิสัยเอาแต่ใจและหัวรั้นของเขาได้เท่าไหร่นัก
� � � �"มาว่าฉันปากเสีย ไม่ดูตัวเองเลยหรือไงหะ คิดว่าฉันอยากแต่งกับคุณนักหรือยังไง" ณัฏฐนิชเองก็ไม่ยอมแพ้แล้วยื่นคำขาดเช่นกัน
� � � �"ตกลงพวกคุณ พวกคุณยืนยันว่าจะไม่มีการแต่งงานใช่มั้ยครับ" ทนายประจำตระกูลจู่ๆก็กล่าวขึ้นมา พร้อมมองหน้าว่าที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวทั้งสอง
� � � �"ใช่/ค่ะ" กรวีร์และณัฏฐนิชตอบรับพร้อมกันในทันที
� � � �"ถ้างั้น ผมขออ่านพินัยกรรมอีกฉบับนะครับ พินัยกรรมฉบับนี้จะถูกเปิดอ่านต่อเมื่อทั้งสองไม่ตกลงแต่งงานกัน โดยในเนื้อความในพินัยกรรมได้กล่าวไว้ว่า
� � � � � � � � � �'ในนามของข้าพเจ้า พินัยกรรมฉบับนี้จะเปิดอ่านได้ต่อเมื่อ นายกรวีร์และนางสาวณัฏฐนิชหากไม่ยินยอมที่ตกลงแต่งงานกัน
� � � � � � � ข้าพเจ้าขอใช้สิทธ์ในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดในบริษัท และมีอำนาจเด็ดขาดในการยืดหุ้นส่วนนี้ซึ่งเป็นของนายกรวีร์ให้แก่องค์กร
� � � � � � � การกุศล และด้วยว่านายศร แซ่เลี้ยว ผู้ถือศักดิ์เป็นปู่ของนางสาวณัฏฐนิชได้ติดหนี้ข้าพเจ้าด้วยเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น สิบล้านบาท
� � � � � � � ยอดจำนวนเงินดังกล่าวได้รวมเงินต้นและดอกเบี้ยแล้ว จึงมีการให้นางสาวณัฏฐนิชใช้หนี้สินจำนวนเงินทั้งหมดสิบล้านบาทโดยการ �
� � � � � � � ทำงานเป็นพี่เลี้ยงให้แก่ด.ญ.ยูกิ ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของข้าพเจ้า จนกว่าจะใช้หนี้สินหมดสิ้น แต่เมื่อทั้งสองยินยอมตกลง
� � � � � � � แต่งงานกันภายในระยะเวลา ๑ ปี พินัยกรรมฉบับนี้ถือว่าเป็นโมฆะ'
� � � �"มีใครไม่เข้าใจตรงไหนหรือเปล่าครับ" ทนายประจำตระกูลเอ่ยปากถามขึ้นเมื่อไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากคนทั้งหมด แม้กระทั่งนายสมเองที่เป็นคนขับรถก็ยังเงียบ และอ้าปากค้าง
� � � �"ป๊า ม๊า อากงไปติดเงินบ้านนี้แต่เมื่อไหร่กัน" ณัฏฐนิชเป็นคนทำลายความเงียบชวนขนหัวลุกออกไป
� � � �"ป๊าไม่รู้ลูก ตั้งสิบล้านบาทอากงทำอย่างงี้ได้ยังไง" นายพงศ์พิชญ์เริ่มโวยวาย
� � � �"ใช่ อากงทำกับผมอย่างงี้ได้ยังไง หุ้นทั้งหมดกว่าผมจะสร้างขึ้นมาได้ กว่าอากงจะให้ผม เธอต้องแต่งกับฉันห้ามปฏิเสธเด็ดขาด" กรวีร์ออกคำสั่งเสียงเด็ดขาดพร้อมส่งสายตาไปที่ณัฏฐนิช มันทำให้เธอฉุนนิดๆ กล้าดียังไงมาสั่งเธอ พ่อแม่ก็ไม่ใช่ ทำไมเธอต้องทำตาม
� � � �"ไม่ ฉันไม่แต่งกับคุณเด็ดขาดให้ตายก็ไม่แต่ง ฉันยินดีเป็นพี่เลี้ยงหลานคุณดีกว่า เรื่องหุ้นของคุณทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย" ณัฏฐนิชตวาดแหว
� � � �"เธอต้องแต่ง กว่าฉันจะได้หุ้นของฉันมา ฉันเหนื่อยสายตัวแทบขาด ต้องทำข้อตกลงกับอากงอีกเยอะแยะ เรื่องอะไรฉันจะยอมเสียมันไปง่ายๆหล่ะ" กรวีร์โต้ตอบกลับไป พร้อมทำเสียงข่มขู่
� � � �"ไม่" ณัฏฐนิชปฏิเสธทันที
� � � �"ต้องแต่ง" กรวีร์ตอบด้วยน้ำเสียงดังขึ้น
� � � �"ไม่" ณัฏฐนิชเองก็ไม่ยอมแพ้ตะโกนเสียงดังใส่หน้ากรวีร์ ในแววตาของกรวีร์บ่งบอกได้อย่างดีว่ากำลังมีน้ำโห แต่แล้วสายตาของกรวีร์ก็เปลี่ยนไป เป็นสายตาที่ยากจะอ่านออก
� � � �"ได้ มันยังมีเวลาเหลืออีก ๑ปี ฉันจะทำให้เธอแต่งกับฉันให้ได้"ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา พร้อมทั้งมีความรู้สึกหลากหลายปนกันไป
�
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น