คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Submerge #เจมส์เอก + แจ้งข่าวการหายไป
“ทักทายคุณชายสิเจมส์” เสียงเข้มงวดของบิดาบอกแก่เขาที่ยืนนิ่งอย่างเรียบร้อย ตามแบบฉบับของพ่อบ้านที่ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก
“กระผมเจมส์ครับ จะมาเป็นพ่อบ้านส่วนตัวของท่าน” เขาทำท่าทางอย่างที่ถูกสอนมา ไม่ว่าจะตำแหน่งมือ หรือกระทั่งองศาในการก้มศีรษะก็ยังเป๊ะจนคล้ายถูกฝังลงไปในกระดูก
สายตาคล้ายราวกับเหลือบมองลงมาจากที่สูง พิจารณาอย่างเงียบงันจนเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วน
“อืม” คำตอบรับสั้นๆ เจมส์ไม่เข้าใจความหมาย แต่หัวหน้าพ่อบ้านอย่างบิดาเขาก็ถอยออกจากห้องไปแล้ว ทำให้เหลือแต่เขาที่ยืนอยู่ต่อหน้าคุณชายท่านนี้ ทั้งๆที่อายุมากกว่าแค่ปีเดียว...แต่ความกดดันกลับมหาศาลอย่างยิ่ง
“หากต้องการอะไร เพียงสั่นกระดิ่งเรียกกระผมจะรีบ….” กำลังกล่าวจะขอตัว หากแต่ยังไม่ทันจะได้พูดจบ อีกฝ่ายกลับแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่ต้อง”
“ยืนอยู่ข้างๆฉันก็พอ” เจมส์ขมวดคิ้วจากคำสั่ง...ยืนอยู่ข้างๆ ...ตรงไหน? แต่ถึงจะไม่รู้ เขาก็เดินไปยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้เดี่ยวตัวใหญ่ที่บังตัวของเด็กชายจนมิด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เจมส์แม้จะเริ่มเมื่อยแต่ก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน คล้ายเริ่มได้ยินเพียงเสียงเดินของเข็มนาฬิกา และกระดาษหนังสือที่ถูกเลื่อนเปิดหน้าถัดไป
ยินเสียงแว่วว่าน้ำ เจมส์ก็ก้าวยาวๆให้ดูเหมือนไม่เร่งรีบออกไปยังครัว จัดการเทน้ำใส่เหยือกที่มีน้ำแข็ง พร้อมทั้งชุดแก้วน้ำโทนเดียวกันจัดลงถาดอย่างชำนาญ
พอเดินกลับมายังห้องเขาก็ขออนุญาต ค่อยๆวางที่รองแก้วลงบนโต๊ะตัวเล็กเบื้องหน้าคุณชาย วางตัวแก้วตาม และบรรจงเทน้ำเย็นโดยไม่ให้น้ำแข็งหลุดลงไปแม้แต่ก้อนเดียว
การกระทำนั้นอยู่ในสายตาของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้งหมด
ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยไร้ที่ติ มือเรียวสวยของเด็กชายอายุสิบสามเอื้อมออกไปแตะที่แก้ว ท่าทางของผู้ถูกสั่งสอนมารยาทอย่างดีมันดูสะกดตาอย่างนี้นี่เอง แม้กระทั่งเสียงดื่มน้ำยังเบาบาง
“ดี” นั่นเป็นคำชมแรกที่เจมส์ได้รับ
.
.
.
10 ปีต่อมา
เจมส์อายุ 22 แล้วในปีนี้ และคุณชายของเขาอายุได้ 23 ปี ส่วนสูงไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก เจ้านายของเขาสูงกว่านิดหน่อยเท่านั้น แต่ขนาดตัวก็มีแค่พ่อบ้านที่ตัวใหญ่กว่า เนื่องจากเรียนการต่อสู้เข้าไปด้วย
พวกเขากำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศหนึ่ง ถึงสายที่เรียนจะไม่ใช่แนวที่เจมส์ชอบนัก แต่ในเมื่อมันเป็นหน้าที่ของพ่อบ้านส่วนตัวและเขาก็จำต้องทำมัน เพื่อให้ไม่เป็นภาระต่อเจ้านายตนเองจากการไม่อาจเข้าใจในงานของอีกฝ่าย
หลายปีมานี้คุณชายของเขาดูร่าเริง เข้าถึงได้มากกว่าตอนเด็กนัก
“คุณเบสคุณนี่มัน ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ฮ่าๆๆๆ” นั่นเป็นเสียงคุณชายของเจมส์กำลังล้อเพื่อนสนิท เนื่องจากอีกฝ่ายเล่นเกมแพ้รอบที่สี่แล้ว แม้การหยอกล้ออันสนิทสนมจะเป็นภาพที่เห็นจนชินตา
หากแต่...ไม่ค่อยชอบใจนัก
และพอเจมส์เผลอคิดไปแบบนั้น ก็จะได้รับสายตาทำนองเหมือนรู้ทันจากเจ้านายของเขาอยู่เสมอ จำให้ต้องเผลอหลุมตาลงต่ำเพื่อซุกซ่อนความรู้สึกอันดำมืดไว้ในใจ
.
“เห็นว่าช่วงนี้เริ่มสนิทกับลูกชายของคนทำสวนสินะ เอ.. ชื่อว่าอะไร?” คำเอ่ยอย่างไม่มีที่มาที่ไปมักจะเกิดขึ้นบ่อยๆจากคนตรงหน้า
“โปเต้น่ะเหรอครับ?” อันที่จริงก็เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว เพียงแต่คงเพราะเพื่อนของเขาเริ่มได้มาทำงานที่สวนบ่อยขึ้น คุณชายท่านนี้จึงเห็นเข้าอย่างบังเอิญ
ไม่มีคำตอบรับ แต่ฝ่าเท้าของอีกฝ่ายก็ยื่นออกมานิดๆ ทำให้สังเกตเห็นว่ารองเท้าหนังอย่างดียังไม่ได้ผูกเชือก เจมส์เข้าใจความหมายก่อนจะย่อตัวลง ข้างหนึ่งชันเข่าไว้ส่วนอีกข้างก็ทิ้งเข่าลงไป...และข้างที่ทิ้งลงนั่นก็มีน้ำหนักของฝ่าเท้ากดตามมาทันที
รอยยิ้มไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย สะกดให้หัวใจของคนมองหวั่นไหว เจมส์รู้ว่ากำลังถูกล่อลวง...และกำลังยอมรับมันแต่โดยดี
มือบรรจงผูกเชือกให้อย่างตั้งใจ เสร็จแล้วจึงค่อยๆวางฝ่าเท้านั้นลงบนพื้นอย่างทะนุถนอม ตัวค่อยๆเอนก้มต่ำลงไปจุมพิตลงบนพื้นรองเท้าหนังขัดเงาอย่างรู้หน้าที่
“ดี” คำชมที่เริ่มได้รับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าจะเอาไปเก็บไว้ตรงไหน
“อยากได้อะไร เจ้าลูกสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง” รอยยิ้มไร้เดียงสายังคงประดับอยู่บนใบหน้านั่นที่ก้มลงมองมา คำพูดคำจาก็ช่างขี้เล่นเสียเต็มประดา แต่ยิ่งมากเท่าไหร่เจมส์ก็ยิ่งมัวเมาและจมดิ่งลงไป
“พี่เอก…” ไม่ว่าเชือกขนาดใดก็ไม่อาจมัดดึงเขาขึ้นจากบ่อน้ำลึกได้
“ว่าไงเจมส์” มือเรียวหนายื่นมาจรดริมฝีปาก...ให้ได้ไล่ชิมและจุมพิตมันอย่างคนไร้สติ เขาเผลอกัดลงไปอย่างแรงจนเป็นรอยเด่น
“สุนัขโง่”
.
.
ในงานเลี้ยงรื่นเริงมีเสียงเพลงคลอไปเบาๆ เจมส์ยังคงตามติดเจ้านายของเขามาทำหน้าที่
“ทำไมใส่ถุงมือข้างเดียวล่ะเอก?” ถุงมือครึ่งสีดำถูกใส่ไว้กับมือข้างซ้ายอย่างดูดี แต่คนนึกอยากจะทักก็ทัก
“เล่นกับสุนัขมากไปหน่อย เลยเผลอโดนมันกัดเอาน่ะ” เอกตอบไปตามความจริงพร้อมกับรอยยิ้มให้แก่เพื่อนสนิท เพียงแต่สุนัขตัวนั้นมันกำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากเขาเท่านั้นเอง และยังคงหลบสายตาหยอกล้ออยู่ตลอด
.
.
.
เสียงหอบหายใจเบาๆดังอยู่ภายใจห้องนอนขนาดใหญ่
“อึก...อย่ากัด” เสียงนุ่มของคนที่กำลังเอนหลังเอามือยันโต๊ะกาแฟตัวเล็กดังขึ้นเบาๆ ดุคนที่กำลังทั้งดูดและกัดยังต้นขาด้านในเปลือยเปล่าของเขา ...มันน่าจะเต็มไปด้วยรอยหมดแล้ว
เจมส์เลิกกัดตามสัญชาตญาณจากการฟังคำสั่ง ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากขึ้นไปค่อยๆครอบครองส่วนอ่อนไหวของคนที่ยืนอยู่ ไล่ละเลียดราวไอติมอย่างหยอกล้อ
ฝ่ายคนโดนปรนเปรอจิ๊ปากเล็กน้อย ถึงจะรู้สึกดีแต่ก็ไม่ชอบโดนหยอกหรือแกล้งสักเท่าไหร่ เขาจึงขยับเท้าไปขยี้กลางหว่างขาของอีกฝ่ายซะบ้าง
รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นมาจากความพอใจที่ได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดเล็กๆนั่น
“ไปที่เตียงกันเถอะ” เอกกล่าวราวกระซิบด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อยจากแรงอารมณ์
อึก…
เจมส์แทรกเข้าหว่างตัวของคนพูดก่อนออกแรงอุ้มขึ้น
ขาของคนโดนอุ้มยกเกี่ยวเอวพ่อบ้านเอาไว้ และแขนก็คล้องคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มไร้เดียงสาปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างเคยชิน
แต่แค่นั้นก็ทำให้คนที่แพ้รอยยิ้มนั่นอย่างเจมส์ แทบจะทนไม่ไหว
กล่าวขึ้นเตียงอย่างระวังโดยไม่ผละออกจากกันแม้แต่น้อย ริมฝีปากค่อยๆดึงดูดหากันอย่างช้าๆ… จากเบาบางกระทั่งรุนแรงจนหยุดไม่อยู่
ค่อยๆจมดิ่งลงไป… ลึกลงไป และไม่สามารถขึ้นมาจากหลุมไร้ก้นนั่นได้อีก
END ?
จบไปแล้วนะครับ หายไปนานเลย ขอสารภาพว่าหมดไฟจากสถานการณ์บ้านเมืองและบ้านตัวเองครับ ไหนจะเรื่องงานอีก เครียดไปหมด จนปวดหัวเรื้อรังไม่ไหว ขออภัยด้วยจริงๆ
เอาเถอะ หวังว่าจะสนุกกัน! อ่านแล้วอย่าเสียงดังไปนะครับ เดี๋ยวบิน ฮ่าๆๆๆๆ
ขอบคุณที่อ่านครับผม !!
สำหรับใครที่คิดท่าผูกเชือกรองเท้าไม่ออก
และนี่คือโต๊ะกาแฟตัวเล็กที่ว่า
ความคิดเห็น