ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    องค์หญิงกำมะลอ

    ลำดับตอนที่ #2 : File 1 : [ยังไม่จบจ้า..35%]

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 49


    File 1 :    ภาค 1

               

                สวรรค์ลิขิต

    ปีที่ยี่สิบสอง รัชสมัยเฉียนหลง เมืองปักกิ่ง

     

    ใต้ธงซึ่งสะบัดไหวนั้น มีกองดุริยางค์และทหารขี่ม้าวนไปวนมาสองข้างทาง ผู้คนออเบียดเสียดกันเข้ามา เพื่อแย่งกันดูฮ่องเต้ และยลโฉมเหล่าบรรดาองค์หญิง เฉียนหลงทรงฉลองพระองค์เต็มยศประทับอยู่ในเกี้ยวพระที่นั่งมีขบวนนำหน้าเป็นแถวยาว บรรดาองค์ชายทรงม้าเสด็จนำหน้า เฉียนหลงทรงเลิกม่านขึ้น โบกพระหัตถ์ทักทายฝูงชนที่เบียดเสียดอยู่สองข้างทาง

     

                สาวน้อยหน้าตางดงามคิ้วเข้มตากลมโต ท่าทางเปิดเผยจริงใจ แต่งกายชุดองค์หญิงเต็มยศ นั่งเกี้ยวหลังใหญ่มีคนหามสิบกว่าคน รอบๆ มีองครักษ์และขุนนางล้อมรอบค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ นางเลิกผ้าม่านขึ้นโผล่ศรีษะออกไปออกมานอกเกี้ยวโบกไม้โบกมือทักทายประชาชน

     

            ฝูงชนเบียดเสียดยัดเยียด ต่างโห่ร้องอย่างชื่นชมเสียงดังกระหึ่ม

                ฮ่องเต้ทรงพระเจริญหมื่น ๆ ปี องค์หญิงทรงพระเจริญพัน ๆ ปี

     

            ตลอดทางผู้คนเต็มสองข้างทาง

            ในขณะที่ขบวนขององค์หญิงผ่านไปด้วยความยินดีของฝูงชนนั้นกลับมีหญิงสาว สามคนกับชายหนุ่มท่าทางกำยำอีกหนึ่งคน ยืนดูขบวนเสด็จด้วยอาการตกใจ และไม่เชื่อในสายตาตนเอง

     

                สะ..สะ... เสี่ยวเยี่ยนจื่อ เสี่ยวเยี่ยนจื่อ นั่นเสี่ยวเยี่ยนจื่อ นั่นใช่เสี่ยวเยี่ยนจื่อ

    รึเปล่า ดูสิใช่รึเปล่าหนึ่งในสามหญิงสาวพูดขึ้นด้วยอาการตกใน พลางชี้ให้เพื่อน ๆ ที่อยู่ข้างกายได้เห็น

     

                ใช่แล้ว ๆ เสี่ยวเยี่ยนจื่อ นั่นเสี่ยวเยี่ยนจื่อ ใช่เสี่ยวเยี่ยนจื่อจริง ๆ ด้วยชายหนุ่มคนเดียวพูดเป็นการยืนยัน

     

                เสี่ยวเยี่ยนจื่อ

                เสี่ยวเยี่ยนจื่อ

            เสี่ยวเยี่ยนจื่อ

    เสี่ยวเยี่ยนจื่อ ทุกคนต่างร้องเรียกเป็นเสียงเดียวกันหวังว่าจะให้ สาวน้อยในเกี่ยวหลังใหญ่ผู้นั้นได้ยิน แต่โชคร้ายสาวน้อยผู้นั้นไม่ได้ยิน เพราะเสียงผู้คนดังกลบไปหมด ทั้งเสียงไชโย เสียงวิพากษ์วิจารณ์กลบเสียงของพวกเขาจนหมด ท่ามกลางผู้คนมืดฟ้ามัวดิน พวกเขาทั้งสี่คนเหมือนกับเม็ดทรายที่เล็กกระจิ๋วไมเป็นที่สังเกต

     

    เสี่ยวเยี่ยนจื่อนั่นอยู๋ในเกี่ยวโคลงไปโคลงมา ประกอบกับเสียงดนตรีที่บรรเลงประกอบทำให้นางครั่นเนื้อครั่นตัวอยากออกท่าออกทางเต้นแร้งเต้นกาขึ้นมา

    นางหัวเราะ โบกมือทักทายผู้คนไม่วางมือ

     

    ฝูงชนยังคงโห่ร้องถวายพระพร

     ฮ่องเต้ทรงพระเจริญ หวนจูเก๋อเก๋อทรงพระเจริญ

     

    ข้าไม่เชื่อ นั่นต้องไม่ใช่เสี่ยวเยี่ยนจื่อแน่ นางก็แค่คนที่คล้ายกับเสี่ยวเยี่ยนจื่อเท่านั้นเอง นางคือองค์หญิงตัวจริงน่ะ พวกเราอย่ามาตะโกนอยู่อย่างนี้เลยน่ะ

                หวนจูเก๋อเก๋อ หวนจูเก๋อเก๋อหรอหญิงสาวหนึ่งในนั้นเหมือนตื่นจากภวังค์ พูดด้วยเสียงสั่นเครือ

               

                ชายหนุ่มถามคนข้าง ๆ

                ใครคือหวนจูเก๋อเก๋อ

                มีคนแย่งกันตอบเป็นพัลวัน

                อ้าว เจ้าไม่รู้หรอ ฮ่องเต้รับหญิงสาวคนหนึ่งเข้าวังเป็นลูกบุญธรรม แล้วตั้งให้เป็นหวนจูเก๋อเก๋อ หรือองค์หญิงหวนจู วันนี้ทรงพานางมาบวงสรวงสวรรค์ด้วย นี่พึ่งบวงสรวงเสร็จ กำลังจะกลับเข้าเมือง

            ได้ยินมาว่า องค์หญิงคนนี้มีความสามารถมาก ฮ่องเต้โปรดปรานยิ่งนัก

                นี่ๆ ขอพูดสักนิดเถอะน่า ลุงข้าเป็นขุนนางในวังบอกว่า ประวัติของนางน่าคิดมากทีเดียว ปากก็บอกว่าเป็นลูกบุญธรรม แต่อาจจะเป็นพระธิดาแท้ ๆ ก็ได้น่ะ เป็นที่รู้กันว่าฮ่องเต้ชอบปลอมตัวออกไปเทียวนอกวัง ไปมีลูกไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ ข้าคันปากอยากพูดเรื่องนี้มานานแล้ว

     

                คุณหนู ท่านถูกหลอกแล้ว นางเอาหลักฐานของท่านไปกลายเป็นองค์หญิงตัวจริงไปแล้ว หญิงสาวรับใช้มีนามว่า จินสว่อ รู้สึกโกรธแค้นอย่างระงับไว้ไม่อยู่จึงพูดออกไปอย่างนั้น

                ผู้เป็นนายนามว่าจื่อเวยเบิกตาโพลง หัวใจแทบแตกสลาย นางเหม่อมองออกไปเบื่องหน้า ขบานเสด็จผ่านไปแล้วเกี้ยวของเสี่ยวเยี่ยนจื่อค่อยเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ แต่ใบหน้าที่งดงามยากจะหาใครเทียบ รอยยิ้มที่เบิกบาน กับท่าทางโบกไม้โบกมือนั่น ยังติดตานางอยู่ไม่มีวันสลักหลุดออกได้

                องค์หญิงหวนจูทรงพระเจริญ

                เสียงไชโยถวายพระพรยิ่งสะเทือนใจถึงโสตประสาทของจื่อเวย เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง องค์หญิงหวนจู ของมีค่าที่ทรงได้กลับมางั้นหรือ ใจของจื่อเวยเจ็บแปลบ หัวใจแทบแตกสลาย

     

                เกี่ยวพระที่นั่ง กองทหารม้า กองดุริยางค์ ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า

                ชายหนุ่มรูปงามทั้งสองนามว่า เอ่อคัง เอ่อไท่ ขี่ม้านำหน้าถวายอารักขาต่างมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง

                คนเยอะอย่างนี้ต้องระวังให้มาก ไม่ให้มีคนลอบปองร้อย

            ข้ารู้แล้ว

           

                กองทหารค่อย ๆ ยังคนเคลื่อนไปข้างหน้า

                สายตาของจื่อเวย ยังคงมองตามขบวนเสด็จไป ใบหน้าของเสี่ยวเยี่ยนจื่อเสียงโห่ร้องของฝูงชน บรรดาองครักษ์รายล้อมกับภาพเฉียนหลงประทับในเกี่ยว ที่บัดนี้ช่างห่างไกลออกไปทุกที ภาพต่าง ๆ ปรากฎประดังอยู่เบื่องหน้านาง

                จื่อเวยร้องตะโกนออกไปอย่างอัดอั้น นางแหวกผู้คน วิ่งตามเกี่ยวของเสี่ยวเยี่ยนจื่อ อย่างไม่คิดชีวิต ปากก็ร้องตะโกนแทบบ้าคลั่ง

                นางไม่ใช้องค์หญิง นางไม่ใช้องค์หญิง นางเป็นตัวปลอม นางเป็นตัวปลอมน่ะ ฝ่าบาทนางเป็นตัวปลอม หม่อมฉันต่างหากองค์หญิง เสี่ยวเยี่ยนจื่อเจ้าทำอย่างนี้กับข้าได้ยังไง สวรรค์มีเง็กเซียนฮ่องเต้ นรคมีพยายม เจ้าทำแบบนี้กับข้าได้ยังไง ฝ่าบาททรงถูกหลอกแล้ว หม่อมฉันต่างหากองค์หญิง เสี่ยวเยี่ยนจื่อกลับมาน่ะ มาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงถูกหลอกแล้ว หม่อมฉันต่างหากพระธิดา หม่อมฉันต่างหาก...ฮือ..ฮือ เสี่ยวเยี่ยนจื่อ เจ้ากลับมา กลับมาก่อน เสี่ยวเยี่ยนจื่อ กลับมา นางพยายามสลัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมของทหารองครักษ์ ปากยังตะโกนไม่หยุด

                ปล่อยข้า ข้าอยากพบองค์หญิงองค์นั้น อยากไปถามนางให้รู้เรื่อง ข้าอยากเฝ้าฮ่องเต้ ข้าจะเฝ้าฮ่องเต้

               

                เอ่อคังตะโกนอย่างดุดัน

                เจ้ากล้ามาจากไหน บังอาจมาก่อกวนขบวนเสด็จ จับนางไปขังไว้รอสอบสวน

                ครับทหารองครักษ์รับคำสั่งแล้วรีบลากตัวจื่อเวยไป

                เอ่อไท่ เจ้าอารักขาฮ่องเต้และองค์หญิง อย่าให้พระองค์ทรงตกพระทัยล่ะ

                จื่อเวยสลัดหลุดออกจาก ทหารองครักษ์ วิ่งร้องไห้ น้ำตานองหน้า ปากก็ตะโกนไม่หยุด เสี่ยวเยี่ยนจื่อถ้าเจ้าเป็นองค์หญิง แล้วข้าเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงหลอกข้า เสี่ยวเยี่ยนจื่อ ข้าเชื่อใจเจ้าแบบนี้ทำไมถึงทำกับข้าได้ เสี่ยวเยี่ยนจื่อ เสี่ยวเยี่ยนจื่อกลับมามาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน เสี่ยวเยี่ยนจื่อกลับมา....ฮือ..ฮือ

                .................................... ....... ...... ...... ......................................

     

    เมื่อ 4 เดือนก่อน

    จื่อเวยกับสาวใช้จินสว่อ เดินทางมาปักกิ่งได้เกือบเดือนแล้ว ทุกวันหญิงสาวทั้งสองจะไปยืนอยู่หน้านครต้องห้าม ชะเง้อมองพระราชวังที่สูงตระหง่านเบื่องหน้า กำแพงที่สูงทะมึน ประตูวังที่ปิดสนิท ประตูใหญ่มีกำลังคุ้มกันหนาแน่น หลังคาประราชวังที่เรียงรายกันสลับซับซ้อน อีกทั้งลานพระราชวังที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มันกั้นขวางไว้เหมือนอยู่กันคนละโลก พระราชวังหลวงเป็นเขตต้องห้าม เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ การจะเข้าไปนั้นเป็นได้แค่เพียงความฝันที่ไม่อาจเป็นจริง จื่อเวยได้แต่ยืนเหม่ออยู่นอกกำแพง รู้ดีว่าไม่ว่าจะใช้วิธีใด นางก็ไม่มีทางเข้าใปในนั้นได้และยิ่งเป็นไปไม่ได้ ที่จะได้พบกับคนที่นางปรารถนาจะได้พบ แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด นางก็ต้องพยายามเพราะได้รับปากเป็นมั่นเหมาะกับมารดาก่อนจะสิ้นลมและยังได้ขายบ้านที่จี่หนาน เสี่ยงเดินทางมาถึงปักกิ่งนี้แล้ว แต่ว่า ทุกอย่างยังคงเหมือนกับเพลงที่แม่ร้องบ่อยๆ

     

    ภูเขาสายน้ำช่างไกลโพ้น

    หนทางยังยาวไกล

    เช้าเย็นได้แต่เฝ้าหวัง

    ความหวังที่กัดกร่อนหัวใจ

     

    นางเหม่อมองดูแล้วพูดอย่างเลื่อนลอย กว่าจะถึงปักกิ่งก็แทบแย่ นั่นวังหลวงอยู่ใกล้แค่ตาเห็น กลับไกลสุดเอื้อม

    คุณหนู ทุกวันท่านต้องมาที่นี่ เอาแต่มองอยู่อย่างนี้จะมีประโยชน์อะไร พวกทหารคุ้มกันอย่างหนาแน่นแล้วเราจะเข้าไปอย่างไรกันละค่ะจินสว่อพูดกับนายสาวอย่างท้อแท้

    นึกว่าถึงปักกิ่งก็ถึงที่หมาย ไม่นึกเลยว่า วังหลวงก็ยังห่างไกลกับข้าเหลือเกิน ข้าจะทำไงดี จื่อเวยก็รู้สึกเช่นเดียวกับจินสว่อ หมดหนทางและสิ้นหวัง แต่แล้วนางกลับเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า ข้าจะไม่ท้อแท้ ข้าท้อแท้ไม่ได้ยังไงก็ต้องสู้ ข้าเชื่อว่าสวรรค์ยังมีความเมตตา ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา เจ้าเชื่อข้าเถอะ ขอเพียงมุ่งมั่นย่อมถึงจุดหมาย จินสว่อพวกเราจะต้องไม่ท้อแท้ เราจะไปหาใต้เท้าเหลียงอีกทีน่ะ จื่อเวยพูดอย่างให้กำลังใจตัวเองและจินสว่อ

     

    จื่อเวยปีนี้อายุสิบแปดปี ด้วยความเยาว์วัย ไร้เดียงสาประกอบกับนางได้รับการปกป้องเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมาจากผู้เป็นมารดาตั้งแต่เล็ก ยิ่งทำให้นางไม่ประสีประสาเมื่อต้องออกมาเผชิญโลกกว้าง ส่วนจินสว่อสาวใช้ อายุอ่อนกว่านางหนึ่งปี แม้นางจะจงรักภัคดีกับนางหญิงมากเพียงไร ก็ไม่สามารถช่วยคิดหาหนทางอะไรได้ ความรู้ที่ติดตัวจื่อเวย ล้วนมาจากการพร่ำสอนของอาจารย์ และจากตำหรับตำรา เพราะฉะนั้นพอนางรู้ว่ามีศาลที่เรียกว่าศาลไท่ฉาง ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพิจารณา คดีร้องเรียนในวังนางก็ปักใจเชื่อว่าถ้าเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่นั่น นางจะได้พบกับคนที่นางอยากพบ แต่กลับเป็นว่า ไม่ว่าจะไปที่ศาลไท่ฉางกี่ครั้ง ใต้เท้าเหลียงที่รับผิดชอบอยู่นั้นไม่ได้ออกว่าราชการสักที

    มาวันนี้ พอได้ยินว่าเกี้ยวของใต้เท้าเหลียงจะผ่านมาที่สะพานหยินติ้งนางจึงตัดสินใจ จะออกไปขวางเกี้ยวเอาไว้

     

    ขณะนั้นถนนมีคนเดินกันขวักไขว่

    จื่อเวยกับจินสว่อยืนรออยู่ข้างถนน ในมือจื่อเวยกุมห่อผ้าไว้แน่นไม่ให้ห่างกาย เพราะในนั้นมีของสองสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของนางอยู่ มันเป็นสิ่งที่ทำให้หญิงสาวชาวฮั่นต้องตกเป็นเชลยไปทั้งชีวิต

     

    สะพานหยินติ้ง

    ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา จื่อเวยเฝ้ามองสิ่งรอบตัวด้วยสีหน้าทุกข์ระทม ในใจพาลคิดน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทุกคนล้วนมีเป้าหมายและหนทางของตนเอง มีเพียงนางที่ไม่รู้ว่าชีวิตต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

    ผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนน ต่างอดมองดูหญิงสาวทั้งสองไม่ได้ จื่อเวยเป็นหญิงที่สวยมาก แม้ว่าจะแต่งตัวเรียบ ๆ พื้น ๆ ด้วยเสื้อกระโปรงสีชมพูอ่อน ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตา แต่ใบหน้าที่งดงามคิ้วที่โก่งดังคันศร ดวงตาโตเป็นประกาย แฝงด้วยร่องรอยแห่งความเศร้า อีกทั้งกิริยาแช่มช้อย ซึ่งบ่งบอกว่านางเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ ส่วนจินสว่อเองก็จัดว่าเป็นหยิงสาวหน้าตาสะสวยน่ามอง หญิงสาวสองคนจึงเป็นที่สะดุดตาท่ามกลางผู้คนมากมาย

    อึดใจต่อมา ทั้งความคึกคักและสงบสุขก็ถูกทำลายลงหมดสิ้น ด้วยทหารมากมายถือป้ายสั่งให้ประชาชนอยู่ในความสงบและหลีกทางไปนั้น ก็พอจะดูออกว่าผู้ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวนั้นเป็นคนสำคัญเพียงใด ทหารม้าที่ขี่นำหน้าท่าทางหน้าเกรงขาม ตะโกนไล้ผู้คนที่ขวางทางเกี่ยวอยู่

    หลีกทาง หลีกทางอย่าขวางทางใต้เท้าเหลียง จื่อเวยได้ยินถึงกับสะดุ้ง รู้ตัวตื่นจากภวังค์ และรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก หันไปพูดกับจินสว่อว่า

    จินสว่อ ข้าจะออกไปขวางเกี้ยว ดูซิจะได้ผลไหม ยังไงข้าต้องพบใต้เท้าเหลียงให้ได้      

     จื่อเวยพูดพลาง ถลาตัวแทรกฝูงคนที่เบียดเสียดออกไป จินสว่อตามไปด้วยติด ๆ

    คุณหนู รอข้าด้วย

    จื่อเวยกับจินสว่อ ตัดแถวฝ่ากองทหารม้าไปหยุดยืนกลางถนนขวางหน้าเกี้ยวแล้วคุกเข่าลง จื่อเวยชูห่อผ้าในมือขึ้นแล้วพูดว่า

    ใต้เท้าเหลียงค่ะ ใต้เท้าเหลียงข้ามีเรื่องสำคัญมาก อยากเรียนให้ใ ต้เท้าทราบ รบกวนขอเวลาท่านให้เวลาข้าได้กราบเรียนท่านด้วย ใต้เท้าเหลียง ใต้เท้าเหลียงเมื่อเกี้ยวหยุดพวกทหารต่างวิ่งกรูกันเข้ามาและร้องตะโกนไล่หยิงสาวทั้งคู่อย่างกราดเกรี้ยว ใครกันกล้าขวางเกี้ยวใต้เท้าเหลียง หลีกไปน่ะ หลีกไป มีเรื่องอะไรไปฟ้องที่ศาล ไป

    จินสว่ออดรนทนไม่ได้จึงตะโกนออกมาสุดเสียง

    พวกเราไปที่ศาลตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ว่าที่ศาลก็ไม่ยอมเปิดเลย ท่าเองก็ไม่ยอมไปทำงาน แล้วเราจะพบท่านได้ยังไงกันละค่ะ ใต้เท้าเหลียง

            ทหารพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

                ใต้เท้าเหลียงกำลังมีงานมงคลแต่งลูกสะใภ้วันพรุ่งนี้ งานยุ่งเดือนนี้ไม่ว่างลงว่าการ

                จื่อเวยได้ยินว่าเดือนทั้งเดือนใต้เท้าเหลียงไม่ออกว่าการก็ระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ จึงตะโกนไปบ้างว่า

                ใต้เท้าเหลียงข้าจำเป็นจริง ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ขวางทางท่านอย่างนี้ เป็นเพราะข้าไม่มีทางเลือก จึงต้องทำเช่นนี้ ใต้เท้าเหลียง ได้โปรดให้ความเมตตาด้วย โปรดฟังข้าก่อนค่ะ

                ทหารสูงใหญ่ตรงเข้ามาลากตัวหญิงสาวทั้งสอง ออกไปไม่พูดไม่จา

                ใต้เท้าเหลียง ทำไมถึงละทิ้งหน้าที่ สนใจแต่เรื่องตัวเองเท่านั้นหรอ จื่อเวยตะโกน

                หยุดเกี้ยว เจ้าถือดียังไงกล้ามาขวางเกี้ยวของข้า แถมพูดจาโอหัง อยากตายรึไง เสียงดังทรงอำนาจเล็ดลอดออกมาจากในเกี้ยว พร้อมกับผ้าม่านถูกเลิกขึ้น ใต้เท้าเหลียงก้าวลงมาจากเกี้ยว

                จื่อเวยเห็นใต้เท้าเหลียงลงมาจากเกี้ยว จึงพยายามวิ่งไปหาอีกครั้ง

                ใต้เท้าเหลียงค่ะ ช่วยฟังข้าพูดก่อนค่ะ ข้ารับรองว่าท่านจะไม่เสียใจแน่ ช่วยฟังข้าพูดสักนิด

                ข้าไม่ว่างฟังเรื่องของเจ้า คิดว่าข้าว่างนักรึไง กลับจวน คำสั่งเด็ดขาดจากใต้เท้าเหลียง ทั้นใดนั้นขบวนเกี้ยวก็ถูกยกขึ้นพวกทหารตะโกนเสียงดังให้หลีกทาง แล้วขบวนก็เดินหน้าต่อไป

                จื่อเวย ถูกทหารผลัก ให้ล้มลงไปข้างถนน ในเวลานั้นห่อผ้าได้หลุดจากมือของจื่อเวย นางรีบคลายไปเก็บด้วยอาการร้อนใจและเป็นทุกข์

                พวกชาวบ้านที่มุงอยู่ ต่างช่วยกันพยุงทั้งสองลุกขึ้น เมื่อจินสว่อสลัดหลุดจากการเกาะกุมของทหารแล้วจึงวิ่งมาหานายหญิงของตน นางพูดด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจว่า ใต้เท้าเหลียงคนนี้ยังไงกันแน่น่ะ พรุ่งนี้ลูกชายจะมีงานแต่งงาน ก็ไม่ต้องไปทำงานได้เป็นเดือน แล้วแบบนี้เราต้องทำยังไงล่ะค่ะ ถึงจะได้พบ..ตอนนี้เงินเดินทางของเราก็ใกล้จะหมดแล้วขืนเป็นแบบนี้พวกเราจะทำไงกันดี ดูไปใต้เท้าเหลียงคนนี้ท่าทางดุร้าย เราคงพึ่งพาไม่ได้ คุณหนูค่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราลองไปหาใต้เท้าคนอื่นเถอะค่ะ อาจจะช่วยเราได้ จินสว่อพูดไปน้ำตาไหลพลาก

    ชายชราผู้หนึ่งส่ายหัวทอดถอนใจพูดว่า

                ใต้เท้าท่านไหนก็เหมือนกัน ยาก ยากจริง ๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×