Jinx โชคร้ายกลายเป็นรัก ภาคหนึ่ง
สาวน้อยผู้ถูกสาบให้เกลียดสิ่งใดมักได้สิ่งนั้น และหนึ่งในสิ่งที่เธอเกลียดก็คือหมอกับผู้ชายเจ้าชู้ แต่สุดท้ายก็ต้องมาเจอทั้งคู่ บทสรุปสุดท้ายเธอจะหนีความสาบร้ายได้หรือไม่
ผู้เข้าชมรวม
178
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องราวชีวิตของฉันที่เรียกได้ว่านวนิยายอันโด่งดังเรื่อง jinx ในเวอร์ชั่นต่างๆ ต้องซูฮกให้ ไม่ใช่ตัวฉันคนเดียว แต่มรดกนี้ฉันได้มาจากคุณแม่ต่างหาก แต่เกิดการมิวเทชั่นอีกเล็กน้อยจนเพิ่มคำสาบให้ยิ่งทวีคูณมากขึ้น
ฉันว่าทุกคนคงสงสัยว่าตัวฉันโดนคำสาบเรื่องอะไร ข้อแรกสำหรับคำสาบประจำตระกูลที่ได้จากพระมารดาของฉันก็คือ ร้านอาหารใดที่ฉันและแม่โปรดปราน และขยันไปอุดหนุนมักจะเจ๋ง
ยกตัวอย่างเช่นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อที่คนจีนผ่าเหล่าอย่างแม่กับฉันชื่นชอบก็ปิดตัวลงไปกว่าสิบหลายแล้ว ด้วยสาเหตุ รวยแล้ว (อันนี้ดีใจด้วย) หนีเจ้าหนี้ (น่าเวทนาสุดๆ) กลับบ้านเก่า (เอ้ย บ้านเกิด) หม้อก๋วยเตี๋ยวถูกขโมย (อันนี้กรรม)
และไม่ใช่แค่เฉพาะในละแวกบ้านหรือในกทม. และปริมณฑลเท่านั้น แต่มันลามไปถึงต่างจังหวัด ซึ่งในที่นี้ฉันและครอบครัวมีบ้านพักต่างอากาศในจังหวัดชลบุรีจึงโดยไม่ด้วย
จริงๆ แล้วร้านอื่นๆ นอกจากก๋วยเตี๋ยวก็ยังมีร้านอื่นๆ อีกประปราย ตั้งแต่ร้านข้างถนน รวมไปถึงร้านดังในห้างสรรพสินค้า แต่ฉันจะไม่ขอเอ่ยนามเพราะอาจถูกฟ้องร้องว่ามีเหตุเกี่ยงข้องทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ข้อแรกสรุปว่าบางทียังสรุปไม่ได้ว่าจริงหรือไม่ แต่ฉันกับแม่มานั่งวิเคราะห์กันแล้วว่าร้านไหนที่เราสองแม่ลูกร่วมหัวโปรดปรานมักจะเจ๋ง
ส่วนข้อสอง อันนี้เฉพาะฉันเองสุดๆ ชนิดที่คนรอบข้างที่แรกๆ ไม่เชื่อ สุดท้ายยังต้องบอกฉันว่า
ได้โปรดอย่าพูดว่าเกลียดอะไรอีกได้ไหม
ทุกท่านก็แปลกใจว่ามันหมายถึงอะไร ก็จะอธิบายง่ายๆ ก็คือ ฉันเป็นโรคเกลียดสิ่งใดมักได้สิ่งนั้นตามสุภาษิตเป๊ะๆ บางคนคงคิดว่าจะซักแค่ไหนเชียว และคงมีหลายคนที่โดนสุภาษิตข้อนี้ฟาดหน้าเข้าบ้างแล้วเหมือนกัน
แต่คำสาบนี้ของฉันถือว่าสุดๆ เพราะถ้าฉันพูดว่าเกลียดอะไรเมื่อไหร่ เตรียมนับเวลารอได้ ไม่เกินหนึ่งเดือนมันแทบจะวิ่งไล่หลังฉันเลยทีเดียว
อย่างเช่นตัวอย่างแรกตอนนั้นฉันจำได้ว่าหนังเรื่อง men in black ภาค 1 กำลังโด่งดังหลังจากออกฉายในโรงภาพยนตร์และตามด้วยการออกขายในรูปแบบวีดีโอ (เน้นวีดีโอ มิใช่วีซีดี ดังนั้นบอกได้เลยว่านานมากกก)
เป็นหนังที่ทอมมี่ ลีโจนแสดงกับวิล สมิท โดยรับบทเป็นบุรุษในชุดดำที่คอยปราบปรามเหล่ามนุษย์ต่างดาวที่แฝงอยู่ในโลกมนุษย์ในอยู่ในความเรียบร้อย ในข้อแม้ที่ต้องปิดเป็นความลับต่อสายตาคนทั่วไป
แต่ก็มีจานบินลำหนึ่งนำอสูรกายนอกโลกเข้ามา และมันเป็นแมลงชนิดหนึ่ง นั่นก็คือแมลงสาบ หรือแมงกาจั๊วในภาษาชาวบ้าน
ทุกท่านคงแปลกใจว่าฉันเล่าหนังเก่าตั้งแต่สิบปีก่อนทำไม ก็เพราะมันเกี่ยวกับคำสาบของฉันไงล่ะ เพราะตอนที่ฉันดูหนังเรื่องที่ว่าอยู่ ในฉากที่มีชายคนหนึ่งเหยียบแมลงสาบดังแปร๊ด หรือดังเบะอะไรทำนองนี้ หรือฉากอื่นๆ ที่มีเสียงแมงกาจั๊วที่ว่าขี้แตก ไส้ทะลัก ฉันต้องรีบปิดหูหลับตาราวกับกำลังดูหนังผีสยองขวัญก็ไม่ปาน
ที่บ้านก็เลยเกิดอาการสงสัยว่าฉันเป็นอะไร ฉันก็เลยบอกทุกคนไปว่าเกลียดเสียงตัวอะไรก็ตามถูกเหยียบ ถูกทับ อันเป็นเหตุให้ต้องเสียชีวิต
“ก็ตอนเลนปิดหน้าต่างอยู่วัน อยู่ๆ เลนก็ได้ยินเสียงดังแปร๊ด พอสังเกตดีๆ ก็จิ้งจกมันถูกหนีบเหลือแต่หัว” คำให้การของฉันที่บอกพ่อแม่และน้องสาว
ภาพสัตว์เลื้อยคลานตัวใสที่ถูกฆาตกรรมจนโผออกมาแต่หัวเพื่อประจานความผิดของฉัน และภาพที่ไม่สามารถบรรยายหรืออธิบายถึงสภาพลำตัวของสัตว์โชคร้ายที่ว่ามันจะแหลกเหลวแค่ไหน (ส่วนนี้ไม่เหมาะแก่ผู้ที่กำลังทานอาหารอยู่)
“เรนเกลียด เรนเกลียดเสียงพวกนี้มากเลย ปิดหนังเรื่องนี้ได้ไหม” ฉันบอกครอบครัวที่กำลังดูหนังเรื่องดังกล่าวอย่างเพลิดเพลิน
“เรนอย่าพูดว่าเกลียดสิ เดี๋ยวก็เกิดเรื่องอีกหรอก” แม่ปรามฉันเรียบๆ เนื่องจากท่านเป็นคนสังเกตสิ่งนี้ในตัวฉันมานานแล้ว
“ก็เรนเกลียดนี่ เกลียดจริงๆ เกลียดมากถึงมากที่สุด” ฉันตอบแม่อยากถือดีในความคิดของตัวเองอย่างสุดๆ
“เฮ้อ ตามใจแม่จะคอยดู”
จากประโยคที่แม่บอกว่าจะคอยดู เรียกว่าไม่ต้องคอยเลย เพราะไม่ถึงหนึ่งเดือนให้หลังฉันและน้องสาวต้องไปซัมเมอร์ที่แคนาดาเป็นเวลาห้าอาทิตย์ ทุกท่านคงสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกัน แต่อยากบอกว่าเกี่ยวสุดๆ
ก็ตามที่บอกผู้อ่านว่าซัมเมอร์ก็หมายความว่าฉันไปตอนหน้าร้อนของเมืองไทย หรือเรียกว่าปลายหน้าหนาวของแคนาดาที่กำลังเข้าฤดูใบไม้ผลิ ภาพหิมะตามสถานที่ต่างๆ กำลังละลาย และอีกไม่กี่วันต่อมาก็จะมีใบเขียวๆ แตกตามพื้นดินและกิ่งไม้
แต่ก่อนที่จะมีสิ่งเหล่านี้ฉันไม่รู้ว่ามีใครเคยเห็นเหมือนฉันและน้องบางไหม ก็คือวันที่หิมะละลายจนอุณหภูมิเพิ่มขึ้นตนถึงขีดที่สัตว์ต่างๆ เลิกจำศีล หรือในที่นี้ก็คือไส้เดือนขนาดต่างๆ พากันออกมามีชีวิตอย่างสดใสซาบซ่า
สดใสจนพาตัวอพยพย้ายถิ่นจนไม่รู้ว่าจะเกิดหายนะ เหล่าไส้เดือนใหญ่น้อยที่พากันเลื้อยไปตามถนนและถูกรถทับจนกลายเป็นสภาพที่ไม่สามารถนำกลับมารักษาได้ เสียงสิ่งมีชีวิตที่โชคร้ายถูกรถทับดังต่อเนื่องตลอดเส้นทางที่ฉันและน้องสาวต้องเดินไปขึ้นรถเมล์เป็นเวลาสามสิบนาที
ทุกท่านคงคิดว่าฉันคงดัดจริตที่แค่เห็นไส้เดือนสองสามตัวถูกทับก็โวยวายหาว่าเป็นคำสาบ แต่ขอบอกได้เลยว่าไม่ใช่สองสามตัว แต่เป็นสองสามพันตัว เพราะภาพไส้เดือนที่ปูพรมบนถนนจนไม่มีที่ว่างให้วางเท้าโดยไม่เหยียบแม้แต่น้อย อาจจะมีพื้นที่พอดีเท้าที่พอจะปราศจากสัตว์ดังกล่าว แต่บางที่มันก็อยู่ไกลเกินกว่าขาสั้นๆ อย่างฉันและน้องจะก้าวถึง
ซึ่งหมายความว่าบางจังหวะเราคงตัดสินประหารสัตว์ตัวน้อยผู้สงสารโดยการเหยียบมันกลางลำตัว เสียงอันไม่พึงประสงค์ดังก้องในจิตใจฉันและน้องจนอยากสงสาร และอยากจะวิ่งกลับบ้านเสียเหลือเกิน ถ้าวันนั้นไม่ใช่วันที่โรงเรียนจะพาไปน้ำตกไนแองกาล่าที่เลื่องชื่อ
ระยะทางสิบห้านาทีของทุกวันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าคือครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงที่ต้องทนเสียงนรกที่เกิดจากเท้าเล็กๆ ของฉันและน้อง และเสียงที่เกิดจากรถยนต์ รวมทั้งกลิ่นคาวของสัตว์จำพวกแมลงที่แทบส่งผลให้ฉันและน้องอยากจะอาเจียนสุดๆ
จนกระทั่งฝ่าด่านนรกถึงโรงเรียนได้ ก็พบว่าเพื่อนคนไทยของฉันก็พบเหตุการณ์ที่ไม่คอยจำไม่ต่างกันเท่าไหร่
“พี่เรนไม่น่าพูดว่าเกลียดเสียงบ้าๆ นี่เลย ฟ้าและต้องโดนไปด้วยเลย” น้องสาวสุดที่รักต่อว่าฉันตอนที่ขึ้นประจำที่ในรถเรียบร้อยแล้ว ภาพอันน่าสยดสยองยังตามติดไม่ห่าง
“ก็ใครจะรู้ว่ามันจะเป็นถึงขนาดนี้ล่ะ ฟ้าก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบที่แม่บอกว่ามันเป็นคำสาบ” ฉันบอกน้องไปอย่างปลงๆ ตลอดมาที่ฉันต่อต้านที่แม่สั่งห้ามพูดคำว่าเกลียดก็เพราะฉันไม่กลัวว่ามันจะเป็นจริงมาตลอด จึงพยายามสู้กับมันมาตลอด (แบบโง่)
กลับบ้านแม่คงสมน้ำหน้าที่ทำตัวเองอีกแล้ว
จากเหตุการณ์ดังกล่าวมันส่งผลให้ฉันเกิดอาการกลัวการกินกุ้ง ใช่กุ้งอาหารทะเลยอดนิยมและของโปรดของฉัน
ไม่ใช่ว่าฉันแพ้มันหรอกนะ แต่ฉันกลัวที่จะเคี้ยวมันต่างหาก
เสียงตัวกุ้งกรอบ รสหวานดังกร้วมๆ ในปากคงเรียกพยาธิในกระเพาะของใครหลายคน แต่ไม่ใช่ฉัน
ถ้าเป็นกุ้งสับ เช่นขนมจีบ หรือบรรดากุ้งแปรรูปฉันยังทานได้ไม่รู้เบื่อ แต่ถ้าต้องเคี้ยวกุ้งเป็นตัวๆ เมื่อไหร่ฉันเหมือนจะคลั่งตายกับเสียงที่ดังในหูเสียให้ได้
ความโรคจิตอันนี้ฉันเพิ่งมารู้ตอนโตแล้ว น้องสาวที่เรียนจิตวิทยามานั่งวิเคราะห์โรคอาการเกลียดตัวกินไข่ เกลียดตัวกุ้งกินกุ้งสับได้
“ฟ้าว่าพี่เรนเอาภาพของตัวกุ้งไปซ้อนกับไส้เดือนที่พี่เกลียดแน่เลย ดังนั้นการรักษาให้หายคงต้องให้พี่เลนเลิกเกลียดไส้เดือน” ฟ้าน้องสุดที่รักนั่งบรรยายเป็นฉากๆ เกี่ยวกับซอกลึกแห่งจิตใจที่ฉันไม่รู้
แต่เกริ่นเรื่องมากนานแล้ว เรามาเริ่มเรื่องราวจริงๆ กันเลยดีว่า ว่าคำสาบสุดท้ายที่มันมีผลต่อชีวิตฉันในวันนี้และตลอดไป
“เรน วันนี้เอาตัวอย่างของสินค้าล๊อตใหม่ไปในอาจารย์ในแผนกออโธฯ ด้วยนะ” หัวหน้าส่งตัวอย่างอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้ฉันที่กำลังจะเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อส่งตัวอย่างให้เหล่าอาจารย์หมอทั้งหลายที่อุดหนุนสินค้าของบริษัทได้เห็นสินค้าตัวใหม่
“ได้ค่ะบอส วันนี้เรนก็จะพบอาจารย์ทรงเผ่าเพื่อคุยเรื่องการเก็บข้อมูลคนไข้ที่ใช้ผลิตภัณท์ของบริษัทที่บอสเคยสั่งเลนไว้วันก่อนไงค่ะ” ฉันบอกหัวหน้าไปอย่างร่าเริง เพราะถ้าโปรเจกนี้สำเร็จ โบนัสปลายปีกับค่าคอมฯ ก็ปรากฏเลขอันเป็นที่น่าพอใจแน่ๆ
“แล้วตกลงอาจารย์ท่านโอเคกับข้อตกลงของบริษัทไหม แล้วอาจารย์ทรงเผ่าจะลงมือเก็บข้อมูลเองหรือว่าส่งให้ลูกศิษย์ท่านล่ะ” หญิงสาววัยสามสิบต้นๆ ผู้เป็นเจ้านายผู้แสนใจดี (เป็นบางอารมณ์) แทบกระโดดจากที่เก้าอี้ก็เรียกกำลังใจให้ฉันได้โข
“อาจารย์ทรงเผ่า ท่านว่าท่านอาจจะยุ่งเกิดไปโปรเจกนี้ค่ะ แต่ท่านจะให้ศิษย์เอกของอาจารย์ที่ตอนนี้เป็น fellow ให้อาจารย์เป็นคนช่วยเก็บข้อมูลในทางเรา ส่วนตัวอาจารย์จะคอยดูแลอีกทีค่ะ” ฉันตอบอย่างฉะฉานในฐานะที่มาอยู่เพียงไม่กี่เดือน แต่สามารถอ้อนอาจารย์หมอที่มีชื่อว่าดุสุดๆ ให้มาร่วมงานด้วยได้
“ดีมากเรน พี่จะให้เธอเป็นฝ่ายประสานงานของโปรเจกนี้ คอยดูแลอาจารย์หมอเรื่องต่างๆ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเบิกได้เต็มที่” หญิงเหล็กแห่งเอสพีซีส่งยิ้มให้ฉันที่ตัวลอยเกือบชนเพดานด้วยความปราบปลื้มใจ
“ถ้าโปรเจ๊กนี้จบสวย เรนเตรียมตัวเลื่อนขั้นได้” คำพูดจากเจ้านายที่ฉํนเก็บไปฝันดีไปหลายอาทิตย์ จนมาถึงวันที่ฉันอยากจะป่วยหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมาโรงพยาบาลเพื่อทำโปรเจ็กงานสุดที่รักของฉันในวันนี้
“เรนน่าซีดจัง เป็นอะไรหรือเปล่า” แม่ทักขึ้นหลังจากฉันนั่งกวนข้าวต้มในชามมาเป็นเวลาสิบห้านาทีแล้ว และไม่มีท่าทีจะตักมันเข้าปากแม้แต่น้อย
“แม่วันนี้เรนไม่อยากไปทำงาน” คำพูดของลูกสาวที่คนเป็นแม่งงสุดๆ เพราะลูกสาวตัวน้อยของเธอกระดี้กระด๋ากับการไปทำงานตั้งแต่ได้โปรเจกที่อาจจะพาไปถึงการเลื่อนขั้น และเงินจำนวนที่อาจจะได้จนลูกสาวของเธอคุยฟุ้งไปทั่วบ้าน
“พี่เรนไม่อยากเข้า workshop ล่ะสิ ฟ้าเห็นโครงงานบนโต๊ะพี่” น้องสาวสุดที่รักโพลงขึ้น โดยที่ฉํนก็หน้าซีดลงทุกทีที่นึกถึงวันนี้ที่จะต้องขึ้นเขียง
“อะไรคือ workshop ล่ะฟ้า ทำไมเรนต้องดูเหมือนกลัวๆ มันแบบนี้” แม่ของฉันสังเกตได้ว่าหญิงแกร่งอย่างฉันมีอาการอยากหนีความจริงขึ้นมาปัจจุบันทันด่วน
“ก็ผ่าอาจารย์ใหญ่ไงแม่ แม่ก็รู้พี่เรนกลัวผี กลัวศพมาตั้งแต่เด็กๆ หนังสยองขวัญที่ฟ้าเอามาดูกี่เรื่องพี่แกไม่เคยยอมดูสักเรื่อง แถมวันไหนไปเห็นอุบัติเหตุรถชนบนถนนล่ะก็ พี่เรนก็อยากไปกินข้าวไปเป็นวันๆ” ฟ้าน้องสาวตัวดีของฉันแฉวีรกรรมเก่าเล่าใหม่ให้แม่ที่กำลังพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วจะทำยังไงล่ะ เรนเป็นคนประสานด้วยไม่ใช่หรือ เห็นว่าต้องเอาของตัวอย่างไปให้หมอทำการทดลอง” นั่นแหละแม่ฉันรู้ทุกอย่างจริงๆ
เป็นปกติที่ฉันกับน้องและพ่อ ต้องมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้คุณแม่ที่เป็นแม่บ้านนั่งฟังทุกวัน ถ้าวันไหนมีไปต่างจังหวัด เรื่องก็จะยาวเกินมื้ออาหารเย็นที่เป็นที่ชุมนุมของบ้านของฉัน
“เรนถึงต้องมานั่งหน้าซีดแบบนี้ไง จะหนีก็หนีไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่” ฉันพูดอย่างปลงในชีวิต แค่แอบเกลียดในใจยังต้องเจออีก
“แม่รู้เปล่า พี่เรนนอนไม่หลับมาเป็นอาทิตย์แล้ว ก็กลุ้มใจเรื่องวันนี้ล่ะสิ” ฟ้าที่นอนห้องเดียวกับฉันเล่าให้แม่ฟังถึงความผิดปกติที่ฉันปิดไม่พ้นว่าที่จิตแพทย์สาวไปได้
“บ้าจริง แล้ววันนี้ไปไหม ถ้าไปไม่ไหว ลองโทรบอกบริษัทให้ส่งใครไปแทนได้หรือเปล่า” เมื่อฉันเริ่มมีอาการใบหน้าม่วงๆ สลับขาว แม่ของฉันก็เริ่มไม่ไว้ใจ
“เรนจะไป เรนไม่ยอมให้เรื่องแค่นี้ขัดขวางอนาคตของเรนเป็นอันขาด แม่ก็รู้ว่าเรนพลาดอะไรไปแล้วบ้างในชีวิต อย่าให้ความกลัวบ้าๆ ทำลายอนาคตเรนได้อีก” ฉันกัดริมฝีปากแค้นใจในตัวเองที่อ่อนแอถึงเพียงนี้
“ถ้าจะไปทำงานวันนี้ก็ไม่ต้องขับรถไป ขาไปให้ฟ้าไปส่ง ส่วนขากลับนั่งแท็กซี่หรือบีทีเอสกลับแล้วกันนะ” สุดยอดคุณแม่ของฉันคาดได้เลยว่าลูกสาวสุดที่รักคงไปไม่ถึงที่ทำงานแน่ ถ้ายังดื้อด้านขับรถไปเอง ดังนั้นฉันจึงพยักหน้ารับเห็นด้วย และนั่งรอน้องสาวทานอาหารเช้าเพื่อที่จะออกไปพร้อมกัน
“พี่เรนท่าไม่ดียังไง โทรบอกฟ้านะ วันนี้ฟ้าแค่ไปติวหนังสือกับเพื่อนเตรียมสอบ” น้องสาวสุดที่รักสั่งการเสร็จก็ออกรถไปทิ้งฉันให้กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ก่อนจะสูดลมหายใจหนักๆ และก้าวขาที่หนักอึ้งเข้าโรงพยาบาลที่ฉันประจำอยู่
“เรนวันนี้หน้าซีดนะ ป่วยหรือเปล่า” ชายหนุ่มรูปร่างขาวตี๋ใสแว่นเดินเข้ามาถามฉันอย่างแปลกใจที่หญิงสาวสไตล์ดอกทานตะวันอย่างฉันจะฟีบเหมือนดอกแก้วโดนเหยียบแต่เช้า
“พี่บอมสวัสดีค่ะ เรนสบายดีค่ะ สงสัยวันนี้อาการเย็นไปหน่อย พี่บอมก็รู้ว่าเรนไม่ชอบอาการหนาวๆ”
พี่บอมที่ฉันพูดด้วยก็คืออาจารย์หมอที่ฉํนประสานงานด้วยอยู่ โดยอาจารย์บอม หรือ นพ.วรวิทย์ เหลืองภิรมย์ภักดี ชายไทยวัยสามสิบต้นๆ เชื้อชาติจีน ที่มีใบหน้าคล้ายดาราเกาหลีในปัจจุบันและมีผู้แทนยาและเครื่องมือแพทย์มากมายพากันอิจฉาตัวฉันที่ได้ทำงานกับคุณหมอรูปหล่อแสนใจดีคนนี้
แต่ขอโทษคุณหมอบอมที่ว่าแต่งงานแล้ว และที่สำคัญภรรยาพี่เค้าสวยมาก มากจนฉันเทียบไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บ แต่สำหรับฉันก็ไม่เคยแอบน้ำลายหยดแบบผู้แทนคนอื่นๆ ก็เพราะฉันไม่ชอบมีแฟนเป็นหมอ สวนกระแสชาวบ้านเค้า
"เรนเอาตัวอย่างไปวางข้างเตียงผ่าตัดเลยนะ" คุณหมอบอมเดินผ่านฉันไปพร้อมนายแพทย์อีกสองสามคนเพื่อเข้าไปเปลี่ยนชุดสีเขียวที่ใช้ในห้องผ่าตัด ผิดแต่ว่าวันนี้ชุดเหล่านี้ไม่ต้องผ่านการสเตอไรอย่างที่ใช้ในห้องผ่าตัดจริง
"ค่ะ" ฉันตอบด้วยเสียงแหบพร่าราวกับไม่ใช่เสียงตัวเอง กล่องในมือสั่นๆ จนเกือบจะหลุดร่วงลงพื้นถ้าไม่ติดว่าฉันกำที่จับจนข้อขาว
ขาที่สั่นเทาพาตัวฉันก้าวเดินเข้าไปในห้องที่กำลังจะมีการทำ workshop ฉันก้มหน้างุดไม่กล้าเงยหน้ามองร่างบนเตียงเหล็กที่บัดนี้ยังมีผ้าสักกะหลาดปิดคลุมมิดชิดอยู่
ตึง
พอวางกล่องเครื่องที่หนักราวๆ เกือบสิบกิโลได้ฉันก็หลับตาปี๋รีบหันหลังและโกยอ้าวออกจากห้องที่มีแต่ฉันกับอาจารย์ใหญ่อีกสองร่างอย่างไม่คิดชีวิต
"พี่เลน พี่จะกลัวไปทำไม เพราะอาจารย์ท่านได้เสียสละแล้วซึ่งร่างของท่านให้นักเรียนได้ศึกษา ถ้าพี่มัวแต่กลัวแบบนี้ถือว่าเป็นการลบลู่ท่านนะ" น้องสาวของฉันขู่ใส่ตอนที่ฉันได้โทรไปหาเธอและเล่าขวัญผวาของฉันตอนนี้ ซึ่งคนที่เคยเรียนวิชากายวิภาคมาครบทุกหลักสูตรอย่างฟ้า น่าจะมีวิธีแก้ได้
"ฟ้า พี่พยายามทำใจอย่างฟ้าบอกแล้ว แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งทำใจไม่ได้ ไม่งั้นพี่ถึงต้องทิ้งความฝันของพ่อกับแม่มานั่งทำงานแบบนี้ ฟ้าก็รู้ว่าพี่หนีเรื่องนี้ขนาดไหน ทำไมสวรรค์ใจร้ายกับพี่นัก เกลียดอะไรก็ต้องเจอแต่สิ่งนั้น" ฉันวิตกจนถึงขั้นตีโพยตีพาย เพราะจินตนานการถึงภาพของร่างที่อยู่ภายใต้พื้นผ้าสีเทานั่นมันชวนสั่นประสาทเสียจริงๆ
"ฟ้ารู้ ไม่งั้นพี่จะทิ้งคณะในฝันของคนทั้งประเทศแล้วไปเลือกเรียนไอ้ของที่มองไม่มีวันเห็นแทน แล้วยังต้องตกงานเพราะมันอีก"
น้องสาวสุดที่รักเริ่มพร่ามด่าฉันถึงความบ้าที่ยอมทิ้งคะแนนงามๆ ที่สามารถเข้าเรียนต่อคณะแพทย์ในมหาลัยอันดับหนึ่ง และเลือกที่จะเข้าเรียนคณะวิทย์ฯ แสนธรรมดาในมหาลัยอันดับสามแทน
เพราะเหตุที่ว่าใกล้บ้านจะได้นอนตื่นสายได้
"เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ก็เคยบอกกี่ทีแล้วว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พี่จะเรียนบริหารแทน เพราะพี่เลือกในเรียนในสิ่งที่รักเลยต้องเป็นแบบนี้จนได้" ฉันตอบฟ้าอย่างงอยๆ เมื่อวิชาเรียนสุดโปรดได้สนองคุณต่อชีวิตฉันจนน้ำตาไหลพราก
"ค่าท่านพี่ขา แล้วพี่เลนจะเฝ้าหน้าห้องจนเค้าผ่าเสร็จเลยใช่ไหม" ฟ้าถามฉันที่กัดปากอย่างตัดสินใจ
"อือ ถ้าทำได้ เพราะถ้าเข้าไปแล้วความแตกขึ้นมาพี่คงชวดโปรเจกนี้แน่ๆ" ฉันพูดอย่างกังวลใจ
"แล้วพี่ไม่ต้องช่วยหมอหยิบเครื่องมือเหรอ" ฟ้าถามขึ้น เพราะรู้ว่าฉันในฐานะผู้แทนฯ และ product specialist จำเป็นต้องอธิบายการใช้ รวมถึงจุดดีจุดด้อยของผลิตภัณท์เมื่อนำไปใช้จริง
"โชคดีพี่แนนมาด้วย พี่เค้าเลยแกล้งทำเป็นใช้พี่ให้ออกมาเอาเอกสารให้" ฉันพูดถึงหญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีที่เป็นรุ่นพี่ในที่ทำงานที่รู้ตื้นลึกหนาบางของฉันดี และที่สำคัญครอบครัวฉันก็สนิทกับพี่แนนมาก เพราะมาช่วยสอนแม่ฉันทำอาหารเหนือสุดโปรดของคุณพ่อเป็นประจำ
"โชคดีสุดๆ อย่าลืมเลี้ยงพี่แนนด้วยล่ะ บุญคุณต้อง..."
"ทดแทนแค้นต้องชำระ" ฉันต่อสุภาษิตประจำครอบครัวที่ถูกปลูกฝังโดยผู้ให้กำเนิดทั้งสอง
เห็นฉันดูบ้าๆ บอๆ แบบนี้แต่อย่าดูถูกไอคิวระดับร้อยแปดสิบของฉันนะ ถ้าใครมาระรานฉันหรือครอบครัวก่อนล่ะก็ คนนั้นเจ็บจนวันตายแน่
"คุณเรน" ฉันรีบหันตามเสียงเรียกชื่อ ก็พบว่าเรสสิเด็นคนหนึ่งเปิดออกมาเรียกหาฉัน
"ค่ะ มีอะไรคุณหมอ" ฉันรีบตัดสายโทรศัพท์แล้วรีบเดินไปหาชายในชุดสีเขียวที่มีน้ำสีคร่ำเปื้อนเปื้อนย่อมๆ
"หมอบอมให้ผมมาบอกคุณว่าตัวอย่างขาดไปสองชิ้น"คุณหมอบอกฉันเสียงเรียบ ส่วนฉันก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อนึกไม่ออกว่ามีตัวอย่างขาดได้ยังไง ในเมื่อฉันตรวจเองกับมือสองสามรอบอย่างละเอียด
"ขอเรนเช็คของก่อนนะค่ะ" ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทำให้ฉันลืมตัวว่ากลัวการเข้าห้องทำ workshop จนตัวสั่น ฉันเดินมุ่งไปที่กล่องเครื่องและลงมือสวมถุงมือยางป้องกันการปนเปื้อนและคุ้ยของในกล่องอย่างตั้งใจจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ใกล้ๆ เตียงผ่าตัดจนหน้าแทบติด
"ครบนี่ค่ะพี่บอม เรนเรียงตามลำดับการใส่จากบนลงล่าง" ฉันส่งโลหะสองชิ้นตามที่ต้องการใส่ในมือคุณหมอที่ยืนข้างๆ
"โทษทีเรนพี่ไม่เห็นว่ามันวางซ้อนกันอยู่ แนนก็เข้าห้องน้ำพอดี" คุณหมอบอมพูดกับฉันทั่งๆ ที่กำลังง่วนกับการนำชิ้นส่วนโลหะใส่ไปในร่างของอาจารย์ใหญ่ ส่วนฉันก็จัดกล่องเครื่องมือให้เรียบร้อยก่อนที่จะ...
แหมะ
บางสิ่งที่เคลื่อนมาชนไหล่ฉันทำให้ฉันหันกลับไปมองและต้องอ้าปากค้าง
ส่วนขาของร่างบนเตียงที่ถูกบรรดาคุณหมอผ่าศึกษาและถูกใส่ชิ้นส่วนเหล็กเข้าไป
เลือดสีคล้ำที่เปรอะไปทั่วและความรุ่งริ่งของร่างกายของผู้บริจาคก็ทำให้ฉันตกใจจนแทบสิ้นสติ
ตั้งสติเรน ภาพที่เราเห็นไม่ใช่เหมือนในหนังสยองขวัญ แต่เป็นการศึกษาของคุณหมอทั้งหลายที่จะนำไปช่วยคนพิการและคนป่วยอีกมากมาย
ฉันพยายามปลุกปลอบใจกับภาพที่รับไม่ได้ นัยน์ตาสีน้ำตาลของฉันบัดนี้ไล่มองไปทั่วเก็บรายละเอียดทุกอย่างไม่มีเหลือ สมองที่มีรอยหยักมากผิดปกติทำให้สามารถจดจำภาพที่ฉันแสนหวาดผวาได้ทุกข้อปลีกย่อย ชนิดเรียนกายวิภาคสอบได้เอโดยไม่ต้องอ่านซ้ำ
พรสวรรค์ที่น้องสาวฉันอยากได้มันเหลือเกินเวลาสอบวิชาปราบเซียน
พรสวรรค์ที่ฉันแสนเกลียด และไม่เคยนึกอยากมี เพราะมันจะฆ่าฉันทั้งเป็นด้วยฝันร้ายไปนาน
ฉันยืนขึ้นด้วยขาที่อ่อนแรงและพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงสายตาจากภาพสุดสยองที่สะกดสายตาฉันไม่ให้ไปไหน และบันทึกรายละเอียดราวกับกล้องถ่ายวีดีโอ
"เฮ้ คุณ" เสียงเรียกด้านหลังฉัน ก่อนจะมีมือหนักๆ จับที่บ่าจนฉันสะดุ้งสุดตัวและสติทั้งหลายก็ขาดลอยเหลือเพียงความมืดมิด
กริ้งๆๆ
โทรศัพท์ดัง ใครกันนะโทรมาเช้าแบบนี้
เสียงโทรศัพท์รุ่นที่พบได้ทุกบ้านรวมทั้งบ้านฉันและในภาพยนตร์ดังขึ้นเรียกให้ฉันตื่นจากนิทราอันแสนสุข มาพอว่าใครบางคนอาจโทรผิด
ฉันพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากการหลับใหล แต่แล้วเสียงเรียกโทรศัพท์ก็เงียบไปแทนที่ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มอันมีเสน่ห์คุยโต้ตอบกับใครบางคนอยู่
ผู้ชายที่ไหน ทำไมมาอยู่ในห้องเราได้ ห้องนี้ก็มีแต่ฟ้า และบ้านนี้ก็มีแต่พ่อที่เป็นผู้ชาย
ฉันทะลึ่งพรวดจากที่นอนแสนสุขและพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนอนตัวเอง แต่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ในห้องพักแพทย์ โดยมีร่างสูงของชายคนหนึ่งในชุดกราวน์สีขาวยืนหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่
"อือ โอเค เดี๋ยวเย็นนี้พี่จะไปหาจ๊ะที่รัก" เสียงทุ้มหวานทำเอาคนที่ไม่ได้รับเชิญ (ให้ฟัง) ยังขนลุกกับคำหวานที่ผู้ชายที่เห็นเพียงแค่แผ่นหลัง
น้ำเสียงอันทรงเสน่ห์และมีพลังสะกดให้คนฟัง บวกกับแผ่นหลังกว้างที่น่าซบ (ตายแล้วฉันลามกไปใหญ่แล้ว" ไหล่กว้างราวกับนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล เรียกสายตาให้ฉันมองเลยไปถึงผมสีน้ำตาลทองที่ทำให้ฉันต้องอึ้ง
ฝรั่ง แต่เมื่อกี้เค้าพูดภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยกับคนในโทรศัพท์นะ
ฉันนึกใคร่ครวญความจำขณะกำลังเบลอจำได้รางๆ ว่าเขาพูดว่าอะไร
ความสามารถพิเศษที่สอง ฉันสามารถเข้าใจภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีเสมือนภาษาแม่ แต่ติดที่ฉันชอบเอ๋อ จนลืมไปว่าอีกฝ่ายสนทนาภาษาอะไรจนบางทีพูดผิดพูดถูก ตอบผิดภาษาไปเสียงั้น
"อ้าวคุณฟื้นแล้วเหรอ" ชายคนดังกล่าวหันกลับมามองฉันที่อ้าปากหวอตกตะลึงในความงดงามของใบหน้าที่หันกลับมา
โอ้หล่อโคตร
เสียงกรีดร้องในใจที่ฉันบอกตัวเอง เพราะใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับนักรบกรีกโบราญ คิ้วเรียวเข้มที่บอกความเป็นคนเอาแต่ใจ นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวอันลุ่มลึก จมูกโด่งเป็นสันราวกับสวรรค์สร้าง ริมฝีปากบางเฉียบที่น่าจูบ เอ้ย มอง
เฮ้ยตื่นได้แล้ว ฝันบ้าอะไรอยู่เนี่ย
ฉันยกมือขึ้นหยิกแก้มตัวเองอย่างงงๆ เหมือนภาพเทพบุตรตรงหน้าดูจะเดินเข้ามาใกล้ตัวฉันมากขึ้นทุกที ดวงตาสีสดจดจ้องฉันอย่างไม่ถอนสายตา
"โอ๊ย" ฉันร้องออกมาเมื่อหยิกลงบนใบหน้าตัวเองสุดแรง และตามด้วยเสียงหัวเราะของเทพบุตรที่ยังไม่ยอมจางหายไปสักที
"เรนตื่นแล้วหรือ" อีกเสียงที่เรียกฉันให้หันหลังไปดูคือพี่บอมที่กำลังเดินเข้ามาห้องพักแพทย์อย่างสบายๆ ในชุดกราวน์สีขาว
"พี่บอม เรนมาอยู่นี่ได้ยังไง" ฉันถามขึ้นอย่างงงๆ ว่าฉันมานอนในห้องพักนี้ได้ยังไง เพราะความจำสุดท้าย
ไม่มี
ความจำสุดท้ายของฉันคือภาพนั่งกวนข้าวต้มอยู่ที่บ้าน
แล้วฉันมาโรงบาลได้ไงเนี่ย แล้วเรื่องงานเป็นยังไง โรคเก่ากำเริบอีกแล้วเหรอ
ฉันร้องว่าตัวเองในใจอย่างตกตะลึง เมื่อพบว่าตัวเองเมื่อกลัวสุดขีดจะลืมทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ช่วงเวลานั้นจนหมด
"ก็เรนเป็นลมต้องที่พี่กำลังทำ workshop จนต้องนายเอ็ดต้องอาสาช่วยอุ้มเรามาที่นี่น่ะสิ ไม่ได้กินข้าวเช้ามาอีกแล้วใช่ไหม" พี่บอมพูดขึ้นและถามฉันอย่างรู้ดีว่าเวลาฉันเครียดจะไม่ยอมกินข้าวเป็นประจำ
"ข้าวกลางวันก็ไม่ได้อีกสิ แนนบอกว่าส่วนของเราอยู่ครบ" คำพูดที่ฉันต้องส่งยิ้มแหะๆ ให้กับคนที่บ่นราวกับพี่ชาย
"ก็เรนทานไม่ลง" ฉันตอบอ๋อยๆ
"อย่าให้มีคราวหน้าอีกนะ พี่ฟ้องนาแน่คอยดู" คำคาดโทษที่ฉันขนลุกเมื่อนึกว่าญาติผู้พี่ที่แสน่ารักจะลงโทษในความดื้อด้านของฉันด้วยวิธีประหลาดๆ อะไรอีก ขอบอกว่าวิธีไซโคของพี่นาสุดยอดชนิดที่คนบ้าหูฉลามอย่างฉันต้องบอกลามันตลอดชีวิต
โอ้ สเต็กเนื้อเซอรอยด์จ๋า อย่าให้พี่นาพรากจากเราได้นะ
ใช่วิธีแก้เผ็ดนิสัยฉันก็คือการพูดไซโคและการโชว์ภาพที่ทำให้ฉันจินตนาการไปไกลสุดกู่จนเลิกกินของโปรดไปสามสี่อย่างแล้ว และไม่อยากมีอย่างที่ห้าให้ละเหี่ยใจ
"วันนี้เรนปวดท้องคลื่นไส้เลยไม่ค่อยหิว" ฉันพยายามพี่ชายผู้ใจดีไม่ให้ติดใจเอาความไปเล่าให้ภรรยาสุดที่รัก
"รอบเดือนมาเมื่อไหร่" คำถามซึ่งเป็นภาษาไทยแน่ๆ ดังจากนายฝรั่งหัวทองที่ฉันไม่คิดว่ามีตัวตนแทรกเข้ามาจนฉันสะดุ้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน
มือขาวๆ ของชาวยุโรปที่ไม่พิสมัยการอาบแดดถือวิสาสะจับหน้าผากฉันตอนวัดอุณหภูมิจนฉันอึ้งจนพูดไม่ออก
"ว่าไง" ภาพเทพบุตรที่กลายเป็นคนจริงๆ ถามซ้ำขึ้นอีก
"เฮ้ย เอ็งจู่โจมน้องข้าแบบนี้ เค้าก็ตกใจหมดสิว่ะ" พี่บอมโวยเรียกสติของฉันให้รีบเถิบตัวออกห่างจากคนที่อยู่ๆ ก็พุ่งเข้ามา
"ก็แค่ถามว่ารอบเดือนมาเมื่อไหร่ ไอฉันก็หวังดีจะตรวจให้" คำพูดที่ฉันหน้าแดงขึ้นทันทีที่ต้องตั้งรับคำถามที่มันดูเป็นส่วนตัวเกินไป
"ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก เรนเค้าเป็นโรคกระเพาะ เวลาเครียดมักจะคลื่นไส้อาเจียนจนนาสั่งฉันให้ช่วยคุมพฤติกรรมน้องสุดที่รักให้แทน" พี่บอมอธิบายและผาดผิงถึงภรรยาที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉัน
"แล้วนาทำไมต้องห่วงยัยเด็กตัวจิ๋วนี่ด้วย แล้วนายยังให้ยัยเด็กม. ปลายเข้าไปในห้องผ่าอาจารย์ใหญ่อีก หรือว่าอยากเป็นหมออีกคนแต่ใจเท่าขี้มด" คนผมทองพูดยาวจนพี่บอมแทรกไม่ทัน แต่ฉันควันขึ้นตั้งแต่ว่าฉันเป็นยัยตัวจิ๋วแล้ว
"เฮ้ย ไอ้เอ็ดหยุดฟังก่อนสิ นี่เรนรุ่นน้องโรงเรียนของฉันห้าปี เป็นญาติฝ่ายแม่ของนา" ถึงตอนนี้ฉันหันไปยิ้มเยาะใส่คนตาถั่วที่ว่าสาวหมวยไซส์เล็กอย่างฉันเป็นเด็กนักเรียนม.ปลาย
"อะไรนะ ยัยเด็กหน้าอ่อนอายุยี่สิบห้าแล้วไม่อยากเชื่อ ถ้าเจอข้างนอกนึกว่าเด็กสิบห้าซะอีก เสียงก็โคตรเล็ก สัดส่วนไม่ต้องพูดถึงโครงสร้างอย่างกับพวกปิ๊กมี่" เสียงบรรยายสภาพฉันจนทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว
"พี่บอมค่ะ งานเรียบร้อยแล้วหรือยังค่ะ เรนจะได้ไปเก็บกล่องเครื่องมือ" ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างหยิ่งๆ พลางปรายตาให้คนที่กำลังวิจารณ์ถึงรูปร่างฉันอย่างมันปาก
"เสร็จหมดแล้ว ส่วนพวกเครื่องมือแนนก็เก็บกลับบริษัทเรียบร้อยแล้ว" พอฉันได้ยินดังนั้นก็แทบกรีด
"ว่าไงนะพี่บอม เรนหลับไปเกือบสี่ชั่วโมงเลยเหรอ เรนไม่เคยทำงานบกพร่องแบบนี้มาก่อนเลย" เมื่อนึกถึงความผิดพลาดฉันก็แทบอยากร้องไห้ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะไปเจอหน้าเจ้านายสุดที่รักได้ยังไง
"หยุดทำหน้าเครียดได้แล้ว รายงานพี่เขียนให้แนนเอาไปให้หัวหน้าเราแล้ว พรุ่งนี้ไปตามงานกับแนนก็แล้วกัน" เสียงสวรรค์ที่ฉันแทบร้องไชโย
"ขอบคุณค่ะพี่บอม เดี๋ยวเรนจะบอกพี่นาให้ว่าพี่ชายสุดที่รักคนนี้ช่วยน้องสาวพี่นายังไง เตรียมท้องรออาหารฝีมือภรรยาหรือยังค่ะ" ฉันร้องขึ้นอย่างดีใจที่งานครั้งนี้ไม่ได้เลวรเายอย่างที่คิด
"ง่า อย่าดีกว่า เลดี้ออฟฟิตอย่างนาถ้าริอาจทำกับข้าวคงจะพาลปวดท้องแทน พี่ขอเป็นข้าวเย็นสำหรับสองคนที่บ้านเรนแทนแล้วกัน" พี่บอมพูดขึ้นอย่างหยองๆ ในวีรกรรมทำเพื่อเธอของภรรยาสุดสวยแต่ทำอาหารได้สุดชาติสุดบรรยาย
"ได้เลยค่ะ เรนโทรบอกแม่ก่อนนะว่าพี่บอมกับพี่นาจะไปกินข้าวที่บ้าน" ว่าแล้วฉันก็กดโทรศัพท์มือถือเข้าไปยังที่บ้าน
"ค่ะแม่ เพิ่มพี่บอมกับพี่นา... ได้ค่ะแม่ เดี๋ยวเรนโทรหาฟ้าแล้วกัน" ฉันกดตัดเลิกสายก่อนหันมาหาพี่ชายใจดีของฉัน
"เดี๋ยวเรนกลับก่อนนะค่ะ" ฉันยกมือไหว้พี่บอมเพียงคนเดียวก่อนจะแสร้งทำเมินอีกคนในห้องและเดินออกนอกห้องไป
"ยัยเด็กแสบนั่นแกล้งเมินฉัน" เสียงขู่คำรามที่พี่บอมตบบ่าเพื่อนเตือนสติ
"เรนเค้าพวกตาต่อตาฟันต่อฟัน นายไปปากหมาใส่เค้าก่อนนี่หว่า เลยเจอเมินเสียนี่ เสียฟอร์มดอนฮวนอย่างนายเลยสิ" นายแพทย์วรวิทย์เอ่ยกับชายหนุ่มที่กำลังกัดฟันกรอดๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
"อย่าให้เห็นอีกนะยัยตัวจิ๋ว พ่อจะเคี้ยวให้แหลก ช่วยอุ้มมาขอบใจสักคำยังไม่มี" คำอาฆาตที่ชายไทยเชื้อสายจีนได้แต่ส่ายหน้ากับเพื่อนซี้เลือดตะวันตกที่มีความเป็นไทยมากกว่าหน้าตาชนิดสุดขั้ว
"เฮ้อ ขิงก็ร่าข่าก็แรง ยัยเรนตัวแสบ ไม่ชอบหมอ จนต้องมาทำงานกับหมอ เกลียดฝรั่งจนได้ศัตรคู่อาฆาตอย่างนายเอ็ด" นายแพทย์หนุ่มยิ้มอย่างระอาพลางเดินตามหลังเพื่อนซี้ไปอย่างเงียบๆ คิดเลยไปว่าถ้าคราวหน้าน้องภรรยาปะทะกับเพื่อนตัวเองจะเกิดหายนะแค่ไหน
"ยัยเรนโรคเก่าช่วยชีวิตจนได้" หญิงสาวหน้าตาสวยชนิดดารานามนากำลังกินข้าวพรางสนทนาในหัวข้อฉันในวันนี้กับฟ้าอย่างเมามัน
"โรคเก่า? เรนเป็นโรคอะไรหรือนา" นายแพทย์วรวิทย์หันไปถามภรรยาอย่างสงสัย
"ก็โรคความจำเสื่อมตอนเวลากลัวสุดๆ ไงค่ะ เหมือนคอมที่แฮงตอนไม่ได้เซฟข้อมูล พอรู้ตัวอีกที ก็แบง ว่างเปล่าไปหมด" หญิงสาวกำมือและแบออกแสดงความว่างเปล่า
"พี่บอมรู้เปล่าตอนพี่เรนไปค่ายของโรงเรียนที่ไปน้ำตกคลองปากก้าง แล้วพี่เรนเหยียบพลาดเกือบตกเขา แต่มีคนข้างๆ ช่วยทันเลยรอดมาจนทุกวันนี้" ว่าที่คุณหมออีกคนหยิบเอาฉันขึ้นมาเป็นเคสศึกษากับคุณหมอออโธฯ แบบที่ไม่ขอเจ้าตัวก่อน
"แต่สุดท้ายพี่เรนช็อคจนลืมหน้าคนช่วย ตอนหลังจะไปขอบคุณเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แค่ว่าเป็นนักศึกษาที่มาเที่ยวชมธรรมชาติเหมือนกัน" ฟ้าจบกรณีศึกษาที่ตนเอาเรื่องของฉันแอบไปทำวิจัยจนได้เอมาเล่าให้พี่เขยหมาดๆ ฟัง
"แปลกดี แต่คราวนั้นก็ไม่ได้เป็นลมนี่ ทำไมจำไม่ได้ล่ะ" นายแพทย์หนุ่มฟังเรื่องที่พอฉันถูกช่วยจากการตกหน้าผาตาย แถมยังเดินกลับลงมาหน้าตาเฉยอีกตั้งหาก
"ใครว่าค่ะ คราวนั้นพี่เรนเหมือนคนหลับใน เดินกลับตามเพื่อนๆ แบบอัตโนมัติ มาจำได้อีกก็ตอนซุ่มซ่ามเอามือไปวาดเอาต้นหวายจนมือพรุน
"ก็น่าอยู่หรอก ดีไม่หลงทาง" พี่บอมหัวเราะความเอ๋อของฉันจนท้องแข็ง บอกว่าภาพพจนนักเรียนดีเด่นแถมไอคิวสูงย่อยยับไม่มีเหลือ
"พี่บอม ขำปมด้อยคนอื่นสนุกใช่ไหม พี่ก็รู้ว่าความเปิ่นเอ๋อของเรนมันทำให้ชีวิตเรนหลงทางสุดกู่ขนาดไหนแล้ว" ฉันว่าอย่างน้อยในชะตาชีวิตที่ชอบเล่นตลกอยู่เสมอ
"ทำใจเถอะพี่เรน คนเราชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน คราวหน้าพี่เรนคงจะโชคดีบ้างแหล่ะ" ยัยฟ้าปลอบใจฉันอย่างที่ฉันก็ภาวนาว่าไอ้ดีเจ็ดหนที่ว่าเหมือนไหร่จะมาถึงสักที
แต่สงสัยว่าชั่วเจ็ดทีของฉันมันยังไม่จบลง เมื่อวันนี้ที่ฉันต้องเข้าเคสผ่าตัดร่วมกับอาจารย์หมอที่ใช้ผลิตภัณท์บริษัทของฉันใส่ในคนไข้
โดยตัวฉันต้องมาคอยดูแลเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ รวมถึงจดคอนดิชั่นที่เกิดภายในห้องผ่าตัด ซึ่งเป็นงานในโปรเจกที่ยังไม่จบ
"นี่เธอ" นายฝรั่งผมทองพูดไทยชัดแจ๋วเอาตะเกียบชี้หน้าฉันตอนที่ฉันเดินเอาไปห้องพักแพทย์ในตึกผ่าตัดเพื่อเรียกหา fellow ของอาจารย์หมอที่ฉันดูแลอยู่
"เอ๊ะ คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" ฉันถามออกไปอย่างสงสัย ภาพชาวต่างชาติหัวทองในชุดหมอผ่าตัดสีเขียว บอกได้ว่าเขามีอาชีพอะไร
"ผมเป็นหมอก็ต้องมารักษาคนไข้น่ะสิถามได้” ใบหน้าหล่อๆ ที่ยิ้มแย้มหลอกล้อพยาบาลสาวๆ บัดนี้บูดบึ้งจนฉันแอบเบะปากในความเจ้าชู้ของผู้ชายที่เป็นเพื่อนสามีของญาติผู้พี่ของฉัน
“ยัยจิ๋ว มาทำอะไรที่นี่ รู้ไหมว่าห้องหมอห้ามคนภายนอกเข้า” น้ำเสียงกวนหาเรื่องทำให้ฉันแกล้งเมินเขาและเดินไปหานายแพทย์อีกคนที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“คุณหมอนิวค่ะ อาจารย์ทรงเผ่าให้เรนมาเรียกคุณหมอไปหาที่ห้องโออาร์หน่อยค่ะ” ฉันบรรจงปั้นยิ้มหวานให้คุณหมอเชื้อสายอินเดียที่เงยหน้ามองฉันพลางยิ้มรับ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องพักหมอไป โดยฉันกำลังจะตามไปถ้าไม่ติดเรียกใครบางคนเรียกไว้
“เธอเนี่ยเป็นจีนผ่าเหล่าไปชอบอาบังเหรอ” เสียงกวนประสาทดังจนฉันเริ่มทนนิ่งเฉยไม่ไหว
“รู้สึกว่าคุณคงเป็นพวกไอ้กันชอบเหยียดสีผิวสินะ พวกฝรั่งหัวแดงที่ชอบคิดว่าตัวเองมีดีกว่าชาวบ้าน ที่แท้ก็เป็นนักโทษที่เขาเนรเทศจากแผ่นดินบ้านเกิดไหนเลยจะเทียบแขกอินเดียที่มีอารยธรรมยาวนานก่อนคริสตศักราชหลายร้อยปี”
วาจาเผ็ดร้อนที่ฉันโต้กลับนั้นจุดไฟในดวงตาสีฟ้าให้กลายเป็นสีเขียวใสที่ฉันเห็นแล้วขาแทบทรุด เพราะบ่งบอกถึงความโกรธได้เป็นอย่างดี
ตายแล้ว หัวข้อเชื้อชาติ ศาสนา และการเมืองเป็นหัวข้อต้องห้ามนี่หว่า มันจะฆ้าราไหมเนี่ย
ฉันเผลอเดินถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเมื่อร่างที่สูงหกฟุตสี่นิ้วย่างสามขุมเข้ามาใกล้ตัวฉันมาขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่งดงามดังรูปสลักบัดนี้แม้ยามโกรธก็ยังดูดีในสายตานางพยาบาลที่มองมาอย่างเผลอไผล
หล่อแค่ไหน ถ้าโกรธจัดแบบนี้ตัวเท่าขี้เล็บเค้าอย่างเราจะเอาอะไรไปสู้
“อุ้ย สวัสดีค่ะอาจารย์สมศักดิ์ เรนกำลังจะไปหาอาจารย์อยู่พอดี” จังหวะที่อาจารย์หมออีกคนเข้ามาในห้องฉันก็รีบทักออกไปและฉวยโอกาสออกจากสถานการณ์ไม่สู้ดีนั่นทันที
“อ้าวหนูเรน วันนี้อาจารย์ทรงเผ่าผ่าใช้ของบริษัทเราหรือ” ชายสูงวัยท่าทางใจดีหันมาตอบฉันและมีท่าทีต้อนรับที่ฉันจะเข้าไปคุยด้วย
“ค่ะ แล้วอาจารย์ไม่สนใจใช้ผลิตภัณฑ์ของเอสพีซีบ้างหรือค่ะ มาตรฐานของเอสพีซีเทียบเท่าของต่างชาติ แต่ถูกราคากว่าเท่าตัวเลยนะค่ะ” ฉันได้ทีเลยรีบเสนอสินค้าบริษัทตัวเอง และรีบทำคะแนนให้กับสินค้าไทยทำไทยใช้ทันที
“ก็น่าคิดนะ ไว้ผมจะลองพิจารณาดูอีกที ยังไงหนูเรนเอาข้อมูลผลิภัณฑ์ของบริษัทเราไปให้ผมที่ห้องทำงานแล้วกัน” คำตอบที่ไม่คาดคิดเรียกกำลังให้ฉันขึ้นมาโข
“ได้ค่ะ เรนจะนำไปให้อาจารย์พรุ่งนี้เลยนะค่ะ” ฉันยกมือไหว้อาจารย์หมอผู้มากด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิอย่างปลื้มปิติและเดินออกจากห้องพักแพทย์กลับไปยังห้องโออาร์หรือห้องผ่าตัดอย่างรื่นเริงใจ
สงสัยจะอย่างที่ยัยฟ้าว่า ชั่วเจ็ดทีคงผ่านไปแล้ว ต่อไปก็จะเป็นค่าคอมฯ โบนัส เลื่อนขั้น
ฉันแทบจะเดินเท้าไม่ติดพื้นไปตลอดทางจนถึงมุมของทางเดินและชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครบางคนดังโครมใหญ่
“ยัยปากจัด จะให้ฉันลงโทษความปากเสียของเธออย่างไงดีนะ” ร่างยักษ์ที่จับแขนฉันไว้มั่นจนเจ็บ เมื่อฉันพยายามดิ้นหนี
“เจ็บนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ไอ้หมอโรคจิต” คนอย่างฉันสู้แรงไม่ได้ก็สู้ด้วยปากนี่แหละ สมัยเรียนม.ปลายฉันได้ฉายายัยปากกรรไกร เรียกว่าฝีปากคมจนเลือดซิบเลยทีเดียว
“มีใครเคยบอกหรือเปล่าว่าปากเธอนี่เหลือทนจริงๆ แล้วไม่มีใครสั่งใครสอนหรือไงว่าห้ามด่าคนที่อาวุโสกว่า” คำพูดที่เหมือนบอกว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนมันก็ทำให้ฉันโกรธสุดขีด
“โอ๊ย” เสียงโอดครวญที่ไม่ได้มาจากตัวฉันแต่เป็นผู้ชายใจร้ายที่รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันคนนี้
ฉันใช้จังหวะที่นายนั่นเผลอใช้ส้นเท้ากระทืบไปบนปลายนิ้วเท้าสวยๆ ของคุณหมอหัวทองที่ใส่เพียงรองเท้าแตะในห้องผ่าตัด
“จำไว้ปากคุณก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฉันเลย เที่ยวว่าคนอื่นว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน จะบอกให้ว่าอย่างคุณฉันไม่เคารพให้เสียมือหรอก”
ฉันปรายตามองคนที่ลงไปนั่งกุมนิ้วเท้าด้วยความเจ็บปวดยิ่งเหมือนเห็นลูกไฟสีจางลุกโชนในดวงตาสวยอันนั้น แต่ฉันก็ต้องรีบเผ่นเมื่อได้ยินเสียงพยาบาลเดินคุยกันใกล้เข้ามาทุกที
“ยัยตัวแสบ อย่าให้เจออีกนะ” เสียงว่าไล่หลังทีฉันไม่คิดใส่ใจจ้ำเดินสลับวิ่งกลับไปยังส่วนห้องผ่าตัดของออโธฯ อย่างรวดเร็ว
“เรน ไปทำอะไรให้นายเอ็ดเขาโกรธหรือเปล่า รายนั้นฝากพี่มาว่าเราเรื่องปากคอเราะร้าย แถมยังไม่เคนรพผู้ใหญ่อีก” เสียงเรียบๆ แต่ติดดุทำให้ฉันที่มาเก็บข้อมูลกับคุณหมอบอมพี่เขยผู้ใจดีแต่วันนี้แปลงร่างเป็นคุณครูฝ่ายปกครองต้องได้แต่ทำหน้าจ๋อยๆ เพราะเถียงไม่ออก
ข้อดีอีกข้อของฉันก็คือ ทำผิดก็ต้องรับผิด
“เรนขอโทษค่ะ แต่เพื่อนพี่บอมก็กวนโทสะเรนก่อนจริงๆ นะ ไม่งั้นเรนไม่น๊อตหลุดง่ายๆ แบบนั้นหรอก” ฉันแก้ตัวเสียงอ่อย เพราะเวลาคุณหมอที่มีใบหน้าเปรียบดั่งพระโพธิสัตว์โกรธล่ะก็ ใบหน้าท่านเทพกวนอูยังแพ้เลย
“พี่รู้นิสัยเพื่อนพี่ดี แต่เราก็ร้ายพอกันไปว่าชนชาติเขาก่อนได้ยังไง ไม่ต้องอินกับวิชาประวัติศาสตร์มากจนเที่ยวว่าคนอื่นเค้าไปทั่วแบบนี้สิ”
ใช่เลยอย่างที่พี่บอมพูด ฉันเริ่มเหม็นขี้หน้าฝรั่งหัวทองก็ตอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์แล้วอินไปกับบรรพบุรุษไทยที่ปกป้องชาติไทยจนมีเอกราชจนทุกวันนี้ และหมั่นไส้ชาติอาณานิคมทั้งหลายที่เข้ามารุกรานผืนแผ่นดินชาติอื่น
โดยเฉพาะการกีดกันการค้าอย่างประเทศมหาอำนาจจนทำให้แผ่นดินขวานทองอย่างประเทศไทยเข้าขั้นวิกฤตหลายครั้ง
“ก็เรนไม่ชอบหน้าเขานี่ค่ะ จะให้พูดดีด้วยคงยาก” ฉันย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจ
“ปกติเรนเป็นเด็กดีไม่เคยก้าวร้าวกับใครมาก่อน พี่สงสัยจริงๆ ทำไมเราไปยั่วโมโหนายเอ็ดได้ขนาดนั้น” ร่างสูงของคุณหมอคนกลางนั่งพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยใจ
“ศรศิลป์ไม่กินกันมั่งค่ะ เห็นแล้วมันจี๊ดจนหยุดปากไม่อยู่” แม้จะทำความผิดอยู่ แต่พอพูดถึงคนหัวทองคนนั้นเมื่อไหร่อารมณ์ฉันก็พุ่งได้ทันทีเหมือนกัน
“เป็นความคิดเดียวที่ฉันเห็นด้วยกับเธอที่สุด เห็นหน้ายัยเด็กปากกล้าอย่างเธอทีไร ฉันอยากเย็บปากที่พูดจ๋อยๆ นั่นดูสักทีจริงๆ ดูว่าวันหลังจะปากกล้าอีกไหม” ร่างสูงที่ปรากฏกายจากห้องน้ำในห้องพักแพทย์ทำเอาฉันอ้าปากค้างอย่างไม่คิดว่าคนคนนี้จะอยู่ที่นี่ด้วย
“พี่ พี่บอม ทำไมเค้ามาอยู่นี่ แล้วยังแอบฟังเรนคุยกับพี่อีก” ฉันชี้หน้าหมอนั่นอย่างลืมตัวด้วยความตกใจ
“เฮ้อ พี่กะให้นายเอ็ดเห็นเราเวลายอมรับผิดดีๆ จะได้หายโกรธเธอ แต่ทำไมน้องสาวที่น่ารักของพี่หายไปไหน” พี่ชายผู้แสนใจดีของฉันส่ายหน้าอย่างระอาจนฉันรีบลดนิ้วที่ชี้หน้าเพื่อนพี่ชายและเริ่มรู้สึกสำนึกผิดเล็กๆ
ก็ปกติฉันไม่เคยก้าวร้าวกับคนที่อายุมากกว่าเลยมาก่อน ที่กล้าปะทะฝีปากก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันพอขำๆ แต่พอเป็นเพื่อนพี่เขยคนนี้ ทำไมฉันหุบปากไม่ลงจริงๆ
“พี่บอม เรนขอโทษ ช่วงนี้เรนสติแตกมากไปหน่อย อย่าโกรธนะค่ะคุณพี่เขยขา” ฉันยิ้มประจบจนใบหน้าดุๆ กับคิ้วที่ขมวดแน่นเริ่มจางลงบ้างแล้ว
“เรนไม่ต้องขอโทษพี่หรอก แต่เรนต้องขอโทษคนที่เรนไปทำความผิดด้วยต่างหาก” คำพูดของพี่บอมไม่ต่างจากฟ้าผ่ากลางหัวฉันแม้แต่น้อย การที่จะเอ่ยปากขอโทษใครที่เราเหม็นขี้หน้านั้นมันอยากพอๆ กับกินของที่เกลียดเลย
“แต่เรน..”
“หรือว่าเรนทำผิดแต่ไม่ยอมรับผิด ชอบเป็นพวกแก้ตัวไปวันๆ พี่จะได้รู้ว่าคนอย่างเรนไม่แน่จริง” คำคีย์เวิร์ดที่พี่บอมพูดมันทำให้ฉันทนกับคำว่าไม่แน่จริงไม่ได้
คนอย่างฉัน กล้าทำกล้ารับ
“ขอโทษค่ะ” ฉันปั้นหน้าให้เรียบที่สุด ก่อนจะหันไปหายักษ์วัดแจ้งที่ยืนทมึงถึง พลางไหว้งามๆ ไปเสียหนึ่งที
“พี่บอมเรนขอโทษแล้วนะ ห้ามโกรธเรนแล้วด้วย” ฉันหันไปง้อพี่เขยที่ยังทำหน้าดุอยู่
“ไม่โกรธแล้วล่ะ ไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวปวดท้อง” มือใหญ่ลูบหัวฉันอย่างใจดี ฉันยิ้มพลางโบกมือให้พี่บอมก่อนจะหันไปไหว้ใส่อีกคนอย่างเป็นพิธีการอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
“เห็นไหม บอกแล้วว่ายัยเรนไม่ได้ร้ายกาจเหลือขออย่างที่นายว่า” นายแพทย์หนุ่มแห่งแผนกออโธฯ หันไปหาเพื่อนหนุ่มผมทองที่ยังยืนหน้าบึ้งอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
“ทำไมยัยเด็กปากร้ายนั่น โคตรเรียบร้อยเวลาอยู่ต่อหน้านายนักว่ะ” เอ็ดเวิร์ดกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจเล็กๆ บางสิ่งยังกวนอารมณ์ไม่ให้เขาสงบสักที
“เรนถือคติใครดีมาดีกลับ ส่วนเคสนายเจอหน้ากันครั้งแรกก็มีเรื่องกันแล้ว แถมยัยเรนไม่ชอบพวกต่างชาติอีก” วรวิทย์ตอบเรียบๆ แต่สะกิดใจคนฟังให้สงสัย
“ทำไมยัยนั่นไม่ชอบคนต่างชาติ” เสียงขรึมๆ ของอีกฝ่ายที่ไม่รู้ภูมิหลังของหญิงสาวคู่กรณีถามขึ้น
“เห็นว่าช่วงไปแคนาดาไปทะเลาะกับพวกนักเรียนเกรดสิบที่จะมาจีบยัยฟ้าน้องสาวของเรน พอกลับมาก็เห็นมีอคติกับฝรั่งผมทองไปทั่ว แถมยังอินกับวิชาประวัติศาสตร์ช่วงศึกล่าอาณานิคมจนน่ากลัว” วรวิทย์เล่าความเป็นไปของญาติผู้น้องของภรรยาเรื่อยๆ
“ยัยจิ๋วท่าจะโรคจิตเล็กๆ นะ นายไม่ลองปรึกษาครอบครัวเขาบ้างดูเหรอ” เอ็ดเวิร์ดเปรยขึ้นจนอีกฝ่ายต้องปากระดาษที่ปั้นเป็นก้อนกลมใส่
“ปากนายนี่พอกันเลยนะ ทุกคนก็มีเรื่องที่ไม่ชอบทั้งนั้น ยังกับนายไม่มีอคติกับพวกสาวๆ ผู้แทนฯ เห็นเจอทีไรตะเพิดเสียงหลงทุกที” เพื่อนซี้สมัยม.ปลายเอ่ยอย่างรู้ทัน
“ก็พวกนั้นวันๆ ชอบแต่งตัวล่อหมอไปทั่ว พวกชอบเอาตัวเข้าแลกฉันพูดด้วยไม่ลงว่ะ” ชายหนุ่มลูกเสี้ยวไทยเอ่ยขึ้นบ้าง
“นายก็อคติบังตาพอกัน ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกันหมด แค่นายเจอคนบางคนที่ไม่หวังดี ก็เก็บมาคิดว่าคนอาชีพเดียวกันเป็นเหมือนกันหมด” นายแพทย์หนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น
“ใช่ว่าเซลล์จะเป็นเหมือนออยทุกคนที่ไหน” คำต้องห้ามที่ทำให้แพทย์หนุ่มสายเลือดตะวันตกตัวสั่นขึ้นอย่างอดไม่อยู่
“ฉันบอกนายแล้วว่าอย่าพูดถึงผู้หญิงเพศยาคนนั้นอีก” มือใหญ่ทุบปังก่อนจะเดินออกไปจากห้องราวพายุร้าย ทิ้งให้คนที่เหลือมองตามหลังเพื่อนซี้อย่างกังวลใจ
“ฝนตกจนได้ เฮ้อ”
ฝนเม็ดโตๆ หยดใส่ผมฉันจนเปียกมากขึ้นทุกที ฉันพยายามวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้กระดาษสัญญาที่มีลายเซ็นอันมีค่าต้องเสียหายไปเสียก่อน
ปริ๊น
เสียงแตรที่ดังด้านหลังทำฉันสะดุ้งสุดตัวก่อนจะทำกระเป๋าหล่นลงแอ่งน้ำด้วยความตกใจ
ฮือๆ สัญญาไม่เปียก แต่มือถือในกระเป๋าเปียกแทน
ฉันรีบผวาลงไปเก็บข้าวของที่กระจายออกมาจากกระเป๋าถือ ก่อนจะที่มือใครบางคนส่งกระเป๋าใส่เงินที่กระเด็นไปไกลที่สุดให้
“ขอบคุณ เออ ค่ะ” เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าเพื่อนฝรั่งของพี่เขยเป็นคนที่ช่วยฉันเก็บของอีกทั้งยังแบ่งร่มให้ฉันด้วย
“อย่ามัวแต่ยืนเฉยๆ จะยืนให้รถชนหรือไง” เสียงดุๆ ผิดจากเสียงกวนประสามอย่างทุกทีดังขึ้นจนฉันรีบเดินหลีกทางให้รถแล่นผ่านไป ก่อนจะหันมาขอบคุณคนที่ช่วยเหลืออีกครั้ง และเตรียมบอกลา
“ไปกับฉันก็ได้ เดี๋ยวเอกสารจะเปียกเสียเปล่าๆ” นัยน์ตาสีฟ้าที่ดุคมตวัดมองสมบัติล้ำค่าที่ฉันยอมเปียกดีกว่าให้มันเปียก
“ขอบคุณค่ะ” สุดท้ายฉันก็จำต้องเดินใต้ร่มกับผู้ชายที่ฉันหวังว่าจะเจอหน้ากันน้อยที่สุดในตอนนี้
“นั่งรอฝนหยุดตกตรงนี้ไปก่อนแล้วกัน”
ฉันกล่าวขอบคุณอีกครั้งก่อนจะนั่งสงบเสงียมเรียบร้อยในห้องทำงานของคนที่ฉันไม่เคยคิดญาติดีมากที่สุดในชีวิต แต่ก็จำต้องตามเขามา ก็เพราะท้องฟ้าที่กระหน่ำจนไม่สามารถออกไปไหนได้ อีกทั้งนี่ก็เย็นมากแล้วจนแผนกๆ อื่นๆ พากันปิดหมดแล้ว ด้วยเหตุที่เป็นโรงพยาบาลรัฐ
“ผมต้องออกราวด์ก่อนกลับบ้าน นั่งรอสักชั่วโมงเดี๋ยวจะไปส่ง” เสียงที่ฉันไม่อยากเถียง เพราะตอนนี้มึนหัวสุดๆ อากาศในห้องตอนฝนตกนี่มันเย็นจนหายใจไม่สะดวก
“ถ้าอยากกินชากาแฟเชิญตามสบาย กระติกน้ำร้อนอยู่หลังเก้าอี้เธอ” คำพูดที่ฉันพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดายผิดนิสัย โดยมีสายตาคมๆ มองมาอย่างแปลกใจ
พอลับหลังคนร่างสูงไปแล้ว ฉันก็รีบเทกระเป๋าออกมาดูความเสียหายที่ได้รับ มือถือที่รับใช้ฉันมาหลายปีดูท่าจะลาจากฉันไปอย่างถาวร
สงสัยต้องซื้อเครื่องใหม่จนได้ อุตส่าห์อยู่กันมาตั้งหลายปี ว่าแต่ปวดหัวจังขอน้ำนายนั่นกินยาหน่อยดีกว่า
“เฮ้ย ไม่มี” ฉันอุทานอย่างตกใจเมื่อกระปุกยามันไม่ได้อยู่ในกระเป๋าอย่างที่เคย ความปวดเริ่มกระหน่ำลงบนหัวฉันอย่างไม่ยั้ง อากาศขมุกขมัวมักทำให้คนแพ้อากาศอย่างฉันปวดหัวชนิดหัวแทบแตก
“โอ๊ย ปวดจัง ยาก็ไม่มี จะโทรหาใครก็ไม่ได้” ฉันบ่นอย่างหมดหวัง เริ่มนึกไม่ออกว่าจะลากสังขารตัวเองกลับบ้านยังไงดี สุดท้ายฉันก็ได้แต่นั่งเอาหัวพิงกำแพงเย็นๆ หวังให้มันบรรเทาลงบ้าง
“ยัยจิ๋วกลับบ้านได้แล้ว” เสียงทุ้มของเอ็ดเวิร์ดเรียกร่างเล็กที่นั่งซุกอยู่บนเก้าอี้นั่งเล่นนิ่งจนน่าแปลก
“เฮ้ อยากนอนเฝ้าโรงบาลเหรอ เรียกแล้วไม่ลุกน่ะ” มือใหญ่ตรงเข้าเขย่าไหล่บางๆ จนร่างน้อยๆ ขยับพึมพำออกมาบ้างอย่าง
“ปวด
” น้ำเสียงแตกพร่าที่สะกิดใจคนเป็นหมอจนต้องรั้งร่างของหญิงสาวจากท่าขดตัวลงนอนราบกับเก้าอี้เพื่อดูอาการ
“เป็นยังไงบ้างตอนนี้” เสียงทุ่มที่ฟังดูใจดีกว่าทุกครั้งทำให้ฉันอดกลั้นต่อความปวดในหัวพูดออกไป
“ปวด.. หัว” แค่พูดมันก็เหมือนทำให้ฉันหมดแรง อาการกระหน่ำในหัวมากขึ้นทุกขณะ
“ปวดมากหรือเปล่า” ฉันพยักหน้ารับเร็วๆ ก่อนจะเผลอจิกผมตัวเองเผื่อมันจะทำให้ลืมความเจ็บปวดได้บ้าง
“อย่าทึ้งผมแบบนั้น กินยาแล้วนอนพัก” เสียงจุปากห้ามที่ฉันดึงผมที่ตกมาปิดหน้า พร้อมมือที่เข้ามาพยุงให้ฉันลุกขึ้นกินยา
“นอนหลับตา หายใจเข้าออกช้าๆ เดี๋ยวก็หายปวด” เสียงทุ้มกล่อมให้ฉันทำตามแต่โดยดีและเผลอตัวหลับไปโดยไม่รู้ตัว
เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจที่หลังจากรบกับคนไข้ทั้งหลายเสร็จ ก็ต้องมาเหนื่อยดูแลศัตรูเก่าอีก เขาคงไม่อุตริเข้าไปช่วยยัยตัวแสบถ้าไม่ได้ยินเพื่อนรักของเขาที่เปรยออกมาในช่วงเช้าที่ท้องฟ้าครึ้มฟ้าครึ้มฝน
“ยัยเรนชื่อแปลว่าฝน แต่กลับมาแพ้อากาศตอนฝนตก” เสียงนายแพทย์วรวิทย์พูดขึ้นเรียกคนที่กำลังกินข้าวเช้าต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“นายบอกฉันเรื่องยัยจิ๋วนั่นทำไม” เสียงตอบแบบหาเรื่องนิดๆ จากนายแพทย์ผมทองที่เป็นจุดสนใจของเหล่าหญิงสาวทั้งหลายมองตาเป็นมัน
“ก็แค่นึกอยากบอก เผื่อนายจะได้รู้จุดอ่อนคู่อาฆาตนายไง” เสียงตอบแบบเรียบๆ ทำให้เขาที่พยายามกวนโทสะคนเส้นลึกต้องละความตั้งใจ และเริ่มสาวก๋วยเตี๋ยวเข้าปากต่อ
“แปลกดีนะฝรั่งหัวทองอย่างนายใช้ตะเกียบคล่องขนาดนี้ ผิดกับสาวหน้าหมวยอย่างยัยเรน รายนั้นใช้ตะเกียบทีไรคนนั่งตรงข้ามตาเกือบบอดทุกที” คำบอกเล่าเรื่อยๆ ยังดังมาเป็นระยะจนคนฟังเริ่มสงสัยหนักขึ้นเรื่อยๆ
“วันนี้นายดูแปลกๆ นะ ขยันเล่าเรื่องยัยจิ๋วให้ฉันฟัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันกับยัยนั้นเกลียดกันจนจะฆ่ากันตายเนี่ยนะ” เอ็ดเวิร์ดหมดความอดทนที่จะนั่งทนฟังเพื่อนซี้สาธยายชีวประวัติศัตรูคู่อาฆาต จนต้องเงยหน้าขึ้นมาจ้องนัยน์ตาสีดำสนิทที่ฉายวาวบางอย่าง
“ไม่รู้สิวันนี้ฉันเห็นท้องฟ้าแล้วสังหรณ์ใจเกี่ยวกับยัยหนูเรนชอบกล” คราวนี้ท่าทีสบายๆ ของนายแพทย์วรวิทย์ดูจะจริงจังจนอีกฝ่ายรู้สึกแปลกๆ
“แต่ทำไมนายต้องบอกฉันล่ะ แค่ยัยนั้นเห็นหน้าฉันจะพาลป่วยมากกว่าเดิมก็ได้ใครจะรู้” เอ็ดเวิร์ดบ่นอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะสาวก๋วยเตี๋ยวในชามจนหมดก่อนจะเดินไปทำงานของตน โดยไม่รู้ว่ามีสายตาเพื่อนมองตามผิดไปอย่างทุกที
“ยัยเรนเกลียดขี้หน้าฝรั่งหัวทอง แต่อาจได้คนหัวทองเป็นแฟนก็ได้ใครจะรู้” เสียงพึมพำกับรอยยิ้มแฝงนัยปรากฏขึ้นบนเรียวปากของคุณหมอผู้แสนใจดี
“เรน ลุกไปทำงานไหวไหม” ฉันตื่นขึ้นเจอใบหน้าสวยๆ ของญาติผู้พี่อย่างแปลกใจว่าทำไมห้องนอนของฉันดูแปลกกว่าทุกวัน
“พี่นา เรนทำไมมาอยู่บ้านพี่” ฉันลุกขึ้นนั่งกวาดตามองอย่างงงๆ ที่มานอนอยู่ในห้องรับรองแขกของลูกพี่ลูกน้องตัวเองได้ยังไงก็ไม่รู้
“เมื่อวานเรนปวดหัวจนเผลอหลับในห้องเอ็ดรายนั้นเลยพาเรามาส่งที่บ้านพี่เมื่อคืน ส่วนที่บ้านเราพี่โทรไปบอกแล้วว่าเรนจะค้างที่บ้านพี่เพราะติดฝน แต่พี่ไม่ได้บอกเรื่องเรนปวดหัวจนไม่รู้สึกตัว เพราะบอมบอกว่าอาการเราไม่หนักเท่าไหร่ นอนมากๆ ก็หาย”
คำร่ายยาวของหญิงสาวที่กำลังวุ่นวายวัดไข้ให้ฉัน ดูคำพูดต่างๆ เหมือนจะไม่ค่อยเข้าหัวฉันเท่าไหร่ ตอนนี้ในหัวฉันเหมือนมีน้ำอะไรเทไปเทมาจนฉันเริ่มงงๆ
“แล้วใครอุ้มเรนมาที่ห้องนี้” เมื่อนึกไปถึงร่างผอมๆ ของพี่เขยก็นึกขำว่าคงต้องปวดหลังมากแน่ๆ ถ้าอุ้มฉันขึ้นมาถึงชั้นสาม
"นายเอ็ดอุ้มเราขึ้นมาต่างหาก ขืนให้พี่บอมสุดที่รักของเราอุ้มคงพากันกลิ้งตั้งแต่บันไดขั้นแรกเลยมัง" นาราเปรยยิ้มๆ เมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งบนเตียงอ้าปากหวอ
"อย่าลืมไปขอบคุณนายเอ็ดด้วยล่ะ กว่าจะถึงชั้นสามเหงื่อพอดูเลย เห็นตัวเล็กๆ อย่างนี้หนักใช้ได้เลยนะยัยเรน" คำพูดของพี่สาวที่ฉันเริ่มเหงื่อบ้างล่ะทีนี้ เมื่อวานฉันดันไปก่อเรื่องให้เขาช่วยไว้มาก คงต้องทดแทนบุญคุณแล้วล่ะสิทีนี้
เฮ้อ ทำไมต้องเป็นนายคนนั้นด้วย บ้าที่สุด
ในที่สุดเมื่อฉันหายจากอาการช็อคที่รู้ว่าศัตรูได้สร้างบุญคุณไว้ใหญ่หลวง และหัวเริ่มโล่งดีแล้วก็เริ่มอาบน้ำแต่งตัวเพื่ออกไปทำงาน
"เรนต้องเข้าโรงพยาบาลใช่ไหม พี่ไปส่ง บอมออกไปตั้งแต่ตีห้าแล้ว วันนี้เห็นว่าออกเวรเช้า" พี่นาแสนสวยของฉันขับบีอ็มซีรี่ย์เจ็ดที่ฉันได้แต่มองเพราะไม่มีตังซื้อ ไปส่งฉันที่โรงพยาบาล
"พี่นาอาชีพเออีที่พี่ทำรวยมากเหรอ ถึงได้ซื้อเจ้านี่ได้" ฉันชี้ไปยังคอลโทรลของเจ้าบีเอ็มสุดหรูที่ฉันนั่งอยู่
"ก็พอดูถ้าทำในบริษัทต่างชาติที่มีชื่อเสียง แต่เจ้าลีโอนาโดนี่พี่ขอตังอาป๊าซื้อต่างหาก" ฉันได้แต่ร้องซีดในใจด้วยความอิจฉาพี่สาวแสนสวยที่พ่อของคุณพี่รวยโคตรๆ จากการเป็นผู้บริหารระดับสูงในธนาคารชั้นนำของประเทศ
"ทำไมพ่อเรนไม่รวยแบบพ่อพี่บ้างนะ เรนจะได้มีบีเอ็มขี่บ้าง ไม่ใช่ไอ้แก่ของพ่ออย่างทุกวันนี้" ฉันบ่นเซ็งกับรถสุดที่รักของฉันที่มันชอบดับกลางทางเอาบ่อยๆ วันไหนเกิดมันไม่สบพระทัยก็สตาร์ตไม่ติดเสียเฉยๆ จนฉันชักหมดความรักในตัวมันลงทุกวันๆ
"หึๆ เป็นผู้จัดการสาขาอย่างเตี๊ยชัยก็ดีแล้ว อยู่สูงๆ แบบอาป๊าพี่มีคนเลื่อยขาเก้าอี้กันพะเรอเกวียน" เสียงหัวเราะใสๆ ของพี่นาทำให้ฉันหัวเราะออกมาด้วยอย่างสบายใจ
โชคดีที่ที่บ้านฉันไม่สอนให้อยู่อย่างสุขสบายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าใครอยากสบายใช้จ่ายตามใจชอบต้องใช้เงินที่ตัวเองทำงานมาได้เท่านั้น
"ถ้าวันนี้ฝนตกอีกรีบไปหาบอมเลยนะ เกิดไปล้มที่ไหนจะแย่เอา" พี่นาสั่งฉันก่อนจะก้าวลงจากเจ้าลีโอนาโดรูปหล่อสีบรอนซ์เงินคันนี้
"ค่ะพี่นา แต่เรนเตรียมยาพร้อมแล้ว ฝนตกแค่ไหนก็ไม่กลัว" ฉันโชว์แผงยาที่พี่เขยวางให้กินก่อนมาทำงานให้ญาติผู้พี่ดู
"จ๊ะคนเก่ง อยากทำหายแบบเมื่อวานอีกล่ะ" เสียงหยอกของพี่นาที่ฉันแยกเขี้ยวส่งให้แทน
"ไม่แล้ววันนี้อุตส่าห์ได้ยืมท่านหลุยของพี่นา แถมด้วยโนเกียรุ่นเกือบใหม่ล่าสุดที่พี่นาเบื่อแล้ว แค่นี้เรนก็กลายเป็นคุณหนูเรนได้แล้ว ไปนะค่ะ" ฉันรีบโบกมือให้พี่สาวสุดสวยที่จะถวายมะเหงกให้ก่อนจะเดินเข้าโรงพยาบาลไปอย่างสบายใจ
ซะเมื่อไหร่
ก็ฉันยังติดค้างคำขอบคุณกับนายหัวทองนั่นอยู่นี่ จะทำไงดี
ตกลงนายนั่นอยู่ตึกไหนนะ จำได้ว่าเลี้ยวขวาที่ตึกสองแล้วเดินตรงไป
ฉันเดินหิ้วถุงขนมเค้กจากร้านพัฟเอนพายเดินไปตามทางในความทรงจำที่ดูเลือนชอบกล
เออ ใช่เลี้ยวตรงนี้ แล้วขึ้นไปชั้นสิบ
ติ๊ง
เสียงลิฟท์เปิดแล้วฉันก็ก้าวออกมานอกตัวลิพท์แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงในชุดคลุมท้องเดินสวนสนามไปมาจนน่าปวดหัว มีทั้งมีสามีช่วยพยุง และเดินเฉิดฉายด้วยตัวเอง ตลอดจนท้องแก่จนต้องนั่งรถเข็นก็มี
อะไรเนี่ย ชุมนุมคนท้องหรือไง หรือว่า
แล้วสายตาของฉันก็ไปโฟกัสเอาชื่อแผนกพอดี
แผนกสูตินารีเวช
อะไรนะ นายหมอเอ็ดเป็นหมอสูติฯ โอ้พระเจ้าไม่อยากเชื่อ ฝรั่งหัวทองที่รูปลักษณ์เป็นเลิศขนาดนั้น แถมยังดูภายนอกเป็นเสือผู้หญิงอีกต่างหาก เป็นหมอศัลย์ยังน่าเชื่อกว่าเยอะ ต่อให้เป็นหมอผิวหนังก็ด้วย
"ขอโทษค่ะ ฝากขนมให้คุณหมอเอ็ดเวิร์ดได้ไหมค่ะ" ฉันเข้าไปถามนางพยาบาลหน้าตาใจดีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่เคาร์เตอร์และกำลังดูแลคนท้องทีจะเข้าตรวจ
"อุ้ยคุณหมอมาพอดี คุณให้ถึงมือคุณหมอดีกว่านะค่ะ คุณหมอเอ็ดค่ะมีคนมาหาค่ะ" ยังไม่ทันที่ฉันจะห้ามเธอได้ ร่างสูงๆ ของคู่อริฉันก็เดินตรงมาจนฉันแทบเปลี่ยนใจวิ่งหนีแทน
เพราะใบหน้าพี่แกวันนี้ดูโคตะระดุ เหมือนจะเหยียบทุกคนที่ขวางทางยังไงยังนั้น
"เออ เรนเอาขนมมาขอบคุณเรื่องเมื่อวาน" ฉันยื่นขนมให้พร้อมเตรียมเผ่นทุกเวลาหลังจากอีกฝ่ายรับได้มันไป
"....." ไม่มีคำตอบจากคนหน้าดุในวันนี้ แต่ก็ยอมรับขนมขอบคุณจากฉันไปนิ่งๆ
"ไปก่อนนะค่ะ" ฉันพงกหัวลาแบบง่ายๆ และปร๋อไปกดลิพท์อย่างรวดเร็ว พลางจ้องไฟแสดงการมาของลิพท์อย่างใจจดใจจ่อ
ติ๊ง
พอลิพท์มาฉันก็รีบกระโดดเข้าไปยืนในลิพท์อย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่ายักษ์หน้าดุจะเขมือบหัวเอา แต่แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อคนที่ฉันไม่คาดคิดเดินตามเข้ามาด้วย
ภายในลิพท์ขนาดใหญ่ที่ขนเตียงผู้ป่วยมีฉันกับคู่อริยืนกันเงียบๆ คนละมุม เวลาแค่ไม่กี่วินาทีดูจะยาวนานเป็นชั่วโมง เมื่อต้องอยู่ในสภาวะอึดอัดแบบนี้
ฉันโค้งให้เขาอีกทีก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเดินไปตึกออโธฯ เพื่อไปหาพี่บอมเพื่อเก็บข้อมูลในการทำงานต่อ
ติ๊ง
ลิทพ์ตึกที่ฉันมาเป็นประจำเปิดออกและฉันก็ก้าวเข้าไป
เอ๊ะ นายยักษ์ยังตามฉันมาอีก
"ผมจะไปหาบอม เผื่อว่าคุณสงสัย" นายเอ็ดเวิร์ดตอบฉันเรียบๆ เพราะเหมือนอ่านสายตาของฉันที่ถามเขาเป็นนัยๆ
"ขอบคุณอีกทีนะค่ะ สำหรับเมื่อวาน ถ้าเรนไม่ล้มที่อื่นคงแย่" ฉันกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง เพราะครั้งแรกดูฉันจะตื่นใบหน้าเหี้ยมที่เต็มไปด้วยหนวดเคราจนพูดไม่ค่อยเป็นภาษาสักเท่าไหร่
"ไม่เป็นไร คุณก็เป็นน้องบอมเพื่อนสนิทผม" จากนั้นฉันกับเขาก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าจู่โจมจนถึงชั้นที่ต้องการ
"ฉันก็ต้องไปเก็บข้อมูลจากพี่บอมเหมือนกัน" ฉันตอบไปตอนที่เขาเลิกคิ้วเหมือนถามว่าทำไมฉันออกชั้นเดียวกับเขา
"อ้าว วันนี้ฝนจะตกอีกหรือเนี่ยสองคนนี้ถึงได้มาด้วยกันได้ โดยไม่ตีกันตายไปเสียก่อน" เสียงทักทายอันแช่มชื่นของพี่เขยผู้แสนร่าเริงทักมาแต่ไกล
"นายบอมเลิกยั่วโมโหฉันตอนที่กำลังอดนอนนะโว้ย ไม่งั้นเดี๋ยวมีหมัดลอย" เสียงตอบเคร่งๆ ที่ไม่ทำให้ใบหน้าแจ่มใสของพี่บอมสลดลงแม้แต่น้อย
"เมื่อวานก็กลับบ้านเร็วนี่ หรือว่า" หัวสีทองผงกรับ
"เออ พยาบาลโทรเรียกตอนตีหนึ่ง กว่าจะออกจากห้องคลอดได้ก็เกือบเจ็ดโมงเช้า แล้วเดี๋ยวหลังเที่ยงฉันต้องเข้าประชุม" นายเอ็ดเวิร์ดตอบพี่เขยฉันด้วยใบหน้าที่ง่วงนอนสุดขีด
"ของีบที่นี่หน่อย อยู่แผนกนอนไม่ได้เลย พวกพยาบาลคอยแต่ตามจิกให้ช่วยไปดูคนไข้" คนตัวสูงหาวปากกว้างก่อนจะล้มเหยียดตัวนอนที่เก้าอี้นวมในห้องของพี่บอม
"สมน้ำหน้าอยากปกติชอบอี๋อ๋อกับพยาบาลสาวๆ ดีนัก เจอลูกอ้อนเข้าคราวนเหนื่อยเลยสิทีนี้" เสียงเยาะๆ จากพี่บอมดังขึ้น แต่ดูเหมือนคนฟังจะเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปแล้ว
คนตัวใหญ่ขยับตัวไปมาเมื่อได้กลิ่นกาแฟฟุ้งไปทั่วห้อง กลิ่นกาแฟสดที่ชงจากเครื่องชั้นดี ไม่ใช่กาแฟสำเร็จรูปที่วางขายทั่วไป
"ได้กลิ่นกาแฟตื่นเลยนะนายเอ็ด" เสียงพี่บอมทักคนเพิ่งตื่นในสภสพบยับยู่ยี่หมดหล่อสุดๆ โดยมีฉันกำลังชงกาแฟให้พี่บอมอยู่ข้างๆ
"อือ ขอแก้วสิ" เสียงง่วงๆ ดังขึ้นจากก้อนยับๆ บนเก้าอี้ที่ฉันต้องทำใจก่อนจะยกกาแฟไปให้ยักษ์ที่เพิ่งตื่น
"นี่อะไร" นายเอ็ดเวิร์ดทำหน้ายู่หลังจากกินกาแฟฝีมือฉันเข้าไปได้คำหนึ่ง
"กาแฟใส่น้ำผึ้งของโปรดฉันเอง ไม่มีใครชงถูกใจฉันได้เท่าเรนเลยนะ" พี่บอมโมษณาจนนายหัวทองยอมก้มลงจิบกาแฟที่ฉันชงอีกครั้งก่อนจะดื่มมันไปอย่างเงียบๆ
"อร่อยไหม" พี่บอมแทรกถามขึ้นจากคนที่ทำท่ามีความสุขกับกาแฟที่ฉันชง
"อือ แปลกดี ไม่เคยกินมาก่อน" คำชมที่ฉันอยากบอกว่าพูดว่าอร่อยมันคงไม่เสียปากขนาดนั้นหรอก
"ไว้ลองให้เรนชงชาเขียวสิ นั้นก็หาใครเทียบได้ยากเหมือนกัน" พี่บอมยังโมษณาฝีมือชงชากับกาแฟของฉันไม่เลิก
"หาเทียบได้ยากในความห่วยหรือเปล่า" เสียงแดกดันดังจากคนที่เลิกชื่นชมกาแฟแล้วหันมาแก้ถุงขนมเค้กที่ฉันซื้อไปให้เขา
"ต้องลองถึงจะรู้ เรนไปชงชาให้พี่หน่อยสิ แล้วเผื่อนายเอ็ดสักแก้วด้วยจะได้ลบคำสบประมาท" พี่บอมหันมาสั่งฉันที่เดินไปยังคลังชาและกาแฟของพี่เขยก่อนจะค้นหาชนิดชาที่จะชงอย่างพิจารณา
"เอิร์ลเกย์ร้อนใส่นมค่ะ" ฉันส่งแก้วชาที่มีชาอังกฤษใส่นมให้คนที่กำลังตักเค้กส้มเข้าปาก ใบหน้าที่มีหนวดเคราหันมามองฉันทีหนึ่งก่อนจะก้มลงตักเค้กชิ้นที่สองเข้าปาก แล้วค่อยยกชาขึ้นจิบ
"เป็นไง ห่วยอย่างที่นายว่าหรือเปล่า" พี่บอมถามคนที่ยกชาขึ้นจิบแล้วนิ่งไป
"ชมคนชงซักหน่อยสิ อุตส่าห์เลือกเอิร์ลเกย์ให้นายกินกับเค้กส้ม" คำพูดชักชวนที่ส่งผลให้นัยน์ตาคู่สีฟ้าเหลือบมองถ้วยชาสลับกับจานเค้ก แววตาที่เคยกร้าวกล้าดูจะสั่นไหวเล็กน้อย
"ขอบใจ อร่อยดี" พี่บอมหันยิ้มให้ฉัน โดยคนพูดหันไปจัดการของขอบคุณที่ฉันจัดให้จนเรียบวุธ
"ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเรนต้องมาช่วยพี่เก็บข้อมูลทุกวันใช่ไหม" คำถามที่เหมือนจงใจให้ใครบางคนที่เตรียมจะไปประชุมได้ยินด้วย
"ค่ะ ก็พี่บอมตกลงกับบอสเองนี่ค่ะ ว่าเรนต้องติดตามพี่บอมจนกว่าโปรเจกนี้จะจบ ส่วนเรื่องอาจารย์ท่านอื่น บอสจะส่งผู้แทนฯ คนอื่นมาช่วยค่ะ" ฉันตอบพี่บอมอย่างงงๆ ว่าคุยกันรู้เรื่องแล้ว แต่สงสัยจะย้ำอีกทีเพื่อความมั่นใจ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็พบว่าจะพบคนหัวทองมาเป็นแขกประจำห้องพี่บอมเกือบทุกวัน โดยมาเป็นหนูลองยาให้ฉันลองชากับกาแฟชนิดใหม่ๆ ให้ได้ลองชิม จากที่เมื่อก่อนมีพี่บอมเป็นหน่วยกล้าตายเพียงคนเดียว
"เรนบ้าดื่มชาพอๆ กับพี่เลยนะ" คำพูดของพี่บอมที่ฉันดีใจสุดๆ เพราะทั้งตระกูลไม่มีใครบ้าดื่มชานานาชนิดเท่าฉันเหมือนพี่บอมสักคน
แถมพี่บอมยังใจดีเป็นสปอนเซอร์คอยออกค่าชาแปลกๆ ที่ฉันคอยนำมานำเสนออยู่บ่อยๆ
"กาแฟนี่ซื้อจากไหน" เอ็ดเวิร์ดเอ่ยถามเพื่อนซี้ขณะกำลังดื่มลาเตที่หญิงสาวร่างเล็กเป็นคนชงให้ก่อนจะกลับเข้าบริษัทไปรายงานความคืบหน้าของงาน
"ไม่มีขายหรอก ยัยเรนเพาะพันธุ์ใหม่ได้เอง ปลูกอยู่ในพื้นที่บ้านพักตากอากาศของนาที่เชียงใหม่" วรวิทย์ตอบคนที่มองน้ำสีเข้มอย่างทึ่งๆ
"ยัยจิ๋วทำเรื่องดีๆ แบบนี้ได้ด้วย เห็นวันๆ เอ๋อไปกับเอ๋อมา มีดีที่ชงกาแฟกับชาอร่อย" คำชมที่ตบท้ายคำแขวะเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
"จะชมดีๆ ก็ไม่ได้ ต้องด่าก่อนถึงจะพอใจหรือไง" วรวิทย์ด่าเพื่อนที่ยักไหล่ราวกับไม่แคร์อะไร
"อย่าดูถูกยัยเรนนะ นั่นว่าที่ด๊อกเตอร์ด้านพันธุกรรม เหรียญทองเชียวนะโว๊ย ไอคิวยัยนั้นร้อยแปดสิบ ความจำเป็นเลิศแบบที่นายต้องอิจฉาสุดๆ แถมกวาดมาแล้วเกือบทุกทุน" คำร่ายยาวที่ดวงตาสีฟ้าเริ่มมีแววฉงนมากยิ่งขึ้น
"แล้วถ้าเก่งขนาดนั้นทำไมมาเป็นเซลล์ต็อกต๋อยอยู่ที่นี่ได้ล่ะ น่าจะชิงทุนไปต่างประเทศ ทำเปเปอร์สักฉบับสองฉบับค่อยกลับมาเป็นศาสตราจารย์ในมหาลัยใหญ่ๆ แทน" เอ็ดเวิร์ดถามอย่างสงสัยสุดที่ว่าที่ด๊อกเตอร์ต้องมาฉีกยิ้มประจบหมอขายเครื่องมือแพทย์แทนที่จะนั่งยืดอยู่หน้านักศึกษา
"ตอนเรนกำลังเรียนโท อยู่ๆ ก็เป็นภูมิแพ้สารเคมีในเล็บอย่างหนัก หอบจนเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง สุดท้ายพวกอาจารย์เลยอนุโลมให้ใช้ผลที่ทำได้ครึ่งทางที่จะตีพิมพ์เขียนเป็นธีสิสแทน สุดท้ายยัยเรนชวดทั้งด๊อกชวดทั้งเปเปอร์ แถมยังต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นอีก" เรื่องเล่าที่วรวิทย์พูดเรื่องของน้องสะใภ้ให้เอ็ดเวิร์ดฟังนั่นเรียกคิ้วสีอ่อนขมวดมากขึ้น
"แล้วตอนนี้หายหรือยัง" เสียงเคร่งๆ ถามขึ้น
"โดยรวมดีขึ้นมากแล้ว จะอาการไม่ดีก็ช่วงอากาศเปลี่ยน กับตอนฝนตก" ใบหน้าออกทางตะวันตกพยักหน้ารับอย่างพอเข้าใจอาการของหญิงสาว
"วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะตก" อยู่ๆ เอ็ดเวิร์ดก็เปรยขึ้นจนอีกคนต้องเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจประโยคที่เอ่ยลอยๆ
"แล้วยัยจิ๋วไม่เป็นอะไรเหรอ" เอ็ดเวิร์ดแทบกัดลิ้นตัวเองตาย เพราะไม่ว่าตนว่าพูดออกไปแบบนั้น
"ปกติเจ้าเรนจะพกยาที่ฉันให้ไว้ ถ้ากินทันก็ไม่เป็นไร ทำไมนายดูห่วงเจ้าเรนมันนักล่ะ ปกติจะกัดกันตาย" คำพูดเรื่อยๆ ของอีกฝ่ายทำให้เอ็ดเวิร์ดแอบกังวลอย่างไม่รู้ตัว
"เปล่าๆ ฉันไม่ทำงานต่อนะ" เอ็ดเวิร์ดรีบจ้ำอ้าวให้พ้นสายตาสอดรู้ของเพื่อนทันที
ดูเหมือนสวรรค์จะแกล้งฉันอีกแล้ว พอวันที่ฉันไม่ได้ขับรถมา อีกทั้งเอาลืมร่มมาจากบ้าน ฝนก็ดันมาตกจนฉันออกจากบริษัทไม่ได้ แต่ดีที่บริษัทที่ฉันทำงานอยู่เป็นตึกสูงที่เชื่อมกับห้างหรูใจกลางตัวเมือง ฉันจึงตัดสินใจเดินเล่นในตัวห้างรอฝนซาแล้วคอยขึ้นบีทีเอสกลับบ้านซึ่งน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
"ขอโทษค่ะ" ฉันเหม่อดูกระจกหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังจนเดินไปชนกับคนที่เดินสวนมาพอดี
"ยัยจิ๋วมาทำอะไรที่นี่" สรรพนามที่ฉันตวัดสายตามองคนเรียกอย่างโกรธๆ
"หมอเอ็ด เรนไม่ได้ชื่อยัยจิ๋วนะ" ฉันพูดอย่างเคืองๆ เพราะแม้ตอนนี้จะญาติดีกับนายหัวทองคนนี้แล้ว แต่บางเวลาก็หมั่นไส้ในความขี้เก็กของคนๆ นี้จริงๆ
"แล้วมาเดินทำน้ำลายยืดทำไมแถวนี้ เป็นเด็กเป็นเล็กดึกแล้ว ทำไมไม่กลับบ้านกลับช่อง" คำสั่งสอนราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ ทำให้ฉันฉุนขึ้นมาติดมัด
"ก็ข้างนอกฝนตกหนักจะตาย หมอเอ็ดก็เห็น อยากกลับก็กลับไม่ได้ แถมยังหิวข้าวจะตายอยู่แล้ว" คำตอบที่ฉันเผลอหลุดออกไปเรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวโตได้เป็นอย่างดี
"หึๆ หิวล่ะสิ ถึงได้ดูอารมณ์เสียแบบนี้ เธอว่างอยู่ก็ดี ไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อย" นายยักษ์ว่าแล้วก็ลากฉันเข้าร้านอาหารบุพเฟ่ญี่ปุ่นที่ฉันแอบมองอยู่
"เดี๋ยวๆ หมอเอ็ด ช่วงนี้ใกล้สิ้นเดือนเรนไม่คอยมีตังนะ" ฉันรั้งมือที่จับแขนฉันไว้ตัวโก่ง
"น่า ฉันเลี้ยงเอง ตอบแทนค่ากาแฟที่เธอชงให้บ่อยๆ ไง" แล้วฉันก็ถูกลากเข้าไปในร้านจนได้
"งั้นเรนไม่เกรงใจจริงๆ นะ" ฉันถามออกไป และอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับอย่างยินดี
"ตามสบาย" คำอนุญาตที่เดี๋ยวจะรู้กันว่าฉันไม่เกรงใจจริงๆ นะ
"เฮ้ย ยัยตัวจิ๋วสั่งมากขนาดนี้กินหมดเหรอ" ผู้ชายที่นั่งตรงข้ามฉันร้องลั่นเมื่อเห็นจานอาหารขนาดไม่เล็กวางเรียงรายเต็มโต๊ะ
"คอยดูแล้วกันว่าหมดไม่หมด" ฉันยิ้มออกมาก่อนจะมัวเมากับการเติมกระเพาะให้เต็ม
"ตัวกะเปี๊ยกเอาที่ไหนเก็บหือ กินยังกะเทลงท่อ ผู้ชายที่ไหนจะเลี้ยงเธอไหวฮะ คงได้หมดตัวก่อนแน่" เมื่อไม่ต้องเกรงใจผู้ชายตรงหน้าฉันจึงเผยธาตุแม้ออกมาจนหมด
"ก็ไม่ได้คิดจะเกาะผู้ชายกินอยู่แล้ว ชาตินี้เรนจะอยู่เป็นโสดไม่จนตาย พวกผู้ชายมีแต่พวกเห็นแก่ตัว"
"เฮ้ๆ ฉันก็เป็นผู้ชายนะ จะพูดอะไรเกรงใจกันหน่อยสิ พ่อเธอ พี่บอมเธอก็เป็นผู้ชายนะ" เอ็ดเวิร์ดเริ่มทนฉันพร่ามไม่ไหวจึงขัดฉันออกมา
"พ่อกับพี่บอมเป็นส่วนน้อยนี่ สมัยผู้ชายชอบคิดว่าพวกตัวเองเหลือน้อยเต็มทนถึงได้ชอบเอาเปรียบผู้หญิง บางคนแอบกิ๊กไปทั่ว สงสารแต่พวกผู้หญิง มารู้ตัวอีกทีก็ถูกเขาฟันแล้วทิ้ง" ฉันว่าด้วยแรงอารมณ์ วันนี้เพื่อนที่ทำงานมานั่งตีอกชกหัวเรื่องแฟนทิ้งจนฉันอินไปด้วย
"เธอนี่ถ้าจะหัวเฟมินิสสุดๆ เลยนะ หรือว่าเบี่ยงเบนชอบผู้หญิงหรือเปล่า" คำถามที่ฉันฟังแล้วจี๊ดขึ้นหัว
"บ้า เรนไม่ใช่เลสเบี้ยนนะ อย่ามาว่ากันแบบนี้นะ ตัวเองก็เป็นเพลย์บอยด์เหมือนกันเรนรู้นะ" ฉันต่อว่าเขาคืนบ้าง อยู่ๆ ก็มาหาใส่ความกันแบบนี้ ฉันไม่ยอมเด็ดๆ
"นายบอมปากสว่างบอกล่ะสิ ก็ใครใช้ให้ฉันเกิดมาหล่อจนสาวๆ หลงไปทั่วล่ะ ฉันอยู่เฉยๆ สาวๆ พวกนั้นก็ทอดสะพานให้เอง ช่วยไม่ได้" นายเอ็ดเวิร์ดนั่งเต๊ะจุ้ยจนฉันหมั่นไส้
"ค่ะ เชิญหลงตัวเองต่อไปเถอะค่ะ เผื่อวันไหนหมอเจอคนที่ใช่ แต่ฝั่งนั้นไม่สน เรนจะรอดูหมอเอ็ดซดน้ำใบบัวบกคอยดู" ฉันชี้หน้าคนที่ยังยิ้มหน้าระรื่น
"พนันไหม" คำถามที่ฉันงงๆ
"พนันอะไร" ฉันเอ่ยถามคนที่ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
"พนันว่าฉันจะมีวันซดน้ำใบบัวบกที่ว่าหรือเปล่าน่ะสิ" เอ็ดเวิร์ดท้าพนันฉันอย่างถือดี
"ได้แต่ถ้าเรนชนะ เรนจะได้อะไร"
"ใครชนะสั่งอีกคนได้ยังไงล่ะ" เอ็ดเวิร์ดส่งมือให้ฉัน
"Deal"
เราสองคนตอบพร้อมจับมือกันเป็นตกลงในพนันครั้งนี้
"ฝนหยุดแล้ว เรนกลับก่อนนะหมอเอ็ด ขอบคุณนะค่ะสำหรับอาหารเย็นวันนี้" ฉันกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณผู้มีอุปการะคุณต่อกระเพาะน้อยๆ ของฉันในวันนี้ และหันหลังจะเดินไปเมื่อเห็นเขาไม่ได้ว่าอะไรต่อ
"เดี๋ยว" คำเรียกที่มาพร้อมกับมือของเขาที่คว้าหางม้าของฉันดึงไว้จนฉันหน้าแหงน
"โอ๊ย เรียกดีๆ ก็ได้ทำไมต้องดึงผมด้วย" ฉันหันไปว๊ากใส่คนประทุษร้ายผมฉันพลางลูบหัวด้วยความเจ็บ
"จะไปส่ง" คำสั้นๆ ที่เขาลากฉันเดินไปโรงจอดรถกับเขา โดยมีเสียงฉันร้องค้านตลอดทาง
"วันนี้หมอเอ็ดกินอะไรแปลกๆ ไปหรือเปล่า ทำไมใจดีผิดปกติ" พอฉันถูกยัดขึ้นรถเมอร์สิเดสสีเงินสุดหรูของเอ็ดเวิร์ดแล้ว ฉันก็ยิงคำถามใส่เขาทันที
"เปล่า แค่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ แล้วบ้านเธออยู่ไหน" คำถามที่ฉันตอบทางไปบ้านแบบคร่าวๆ ให้เขาฟัง
"ซอยสามอยู่ก่อนทางด่วนใช่ไหม" เอ็ดเวิร์ดถามฉันราวกับรู้ถนนแถวบ้านฉันเป็นอย่างดี
"อือ" ฉันตอบรับในลำคอพลางพงกหัวรับ แต่พอนึกได้ว่ามันไม่สุภาพจึงทำให้ฉันพูดขอบคุณเขาดีๆ อีกครั้ง
"ขอบคุณค่ะหมอเอ็ด ที่อุตส่าห์เลี้ยงข้าวแถมยังไปส่งที่บ้านอีก" ฉันยกมือไหว้เขาขณะที่กำลังพูด โดยเขาหันมามองพิจารณาหน้าฉันตอนที่รถติดไฟแดงจนฉันเริ่มงงๆ
นัยน์ตาสีฟ้าใสที่ปกติฉันจะเห็นมันวาวๆ ด้วยความโกรธ หรือบางทีก็ดูเย็นชาชอบกล แต่วันนี้มันดูฉายวาวอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
"เออ หมอเอ็ดวันนี้ทำไมถึงได้มาเดินเที่ยวห้างได้ค่ะ" บรรยากาศแปลกๆ ในรถทำให้ฉันต้องเอ่ยขัดขึ้นมาด้วยความขัดเขิน ก่อนจะได้ยินเสียงเขาถอนหายใจเบาๆ และหันไปมองถนนต่อ เมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียว
"วันนี้ไม่ต้องออกเวร เลยอยากหาที่เดินเล่น" เสียงตอบที่ฟังดูเหนื่อยๆ สะกิดใจฉันพิกล
"หมอเอ็ดกลุ้มใจอยู่หรือเปล่าค่ะ" ฉันกลั้นใจถามเขาออกไป และทำใจว่าเขาจะเพ้ยกลับมาว่าฉันยุ่งเรื่องเขามากไปหรือเปล่า
"วันนี้มีคนไข้ expire สองราย" คำตอบที่ฉันนิ่งไปเหมือนกัน เพราะเข้าใจโดยทันทีว่าคนไข้ที่เอ็ดเวิร์ดดูแลอยู่ได้เสียชีวิตภายในวันนี้ถึงสองราย
"เสียใจด้วยนะค่ะ" เมื่อฉันตรองอยู่นานถึงคำพูดที่เหมาะกับสถานการณ์แล้วจึงบอกเขาไป
"จริงๆ เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นเป็นประจำในโรงพยาบาล แต่มันก็รู้สึกเศร้าๆ ทุกครั้งที่เราช่วยเขาไม่ได้" คำแสดงความรู้สึกยาวๆ ของเอ็ดเวิร์ดหลุดออกมาจนฉันเข้าใจว่าเขาคงสะเทือนใจพอสมควรในเรื่องนี้
"หมอเอ็ดถึงได้มาเป็นหมอสูติฯ ใช่ไหม จะได้อยู่ห้องคลอดเห็นชีวิตใหม่เกิดขึ้นทุกวัน" ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันหลุดปากออกไปแบบนั้น จนเอ็ดเวิร์ดหันมามองฉันอย่างอึ้งๆ ราวกับฉันบังเอิญไปคุ้ยเจอเบื้องลึกแห่งจิตใจของเขาพอดี
"ก็คงใช่ ฉันนึกว่าเธอจะบอกว่าที่ฉันเป็นหมอสูติฯ เพราะชอบดูขาอ่อนผู้หญิงซะอีก" มือใหญ่ขยี้หัวฉันจนยุ่ง กับคำหยอกล้อที่ฉันรู้ว่าเขาพูดเพื่อกันฉันออกจากตัวตนที่แท้จริงของเขา
"ก็เคยคิดเหมือนกัน เกิดมาหัวดี หน้าตาก็ดี ทำไมนึกมาเป็นหมอทำคลอด กลางดึกกลางดื่นต้องคอยแหกขี้ตาตื่นไปทำคลอด ที่แท้หมอเอ็ดก็เป็นพวกเซ็นซิทีฟนี่เอง ตอนแรกเรนนึกว่าเป็นพวกเพลย์บอยจีบสาวไปทั่วเสียอีก" ฉันพูดพร้อมยิงฟันใส่เขาเมื่อเห็นว่าเขาหันไปตั้งใจขับรถต่อแล้ว
"ยัยตัวแสบ พอปล่อยหน่อยชักเหลิง เทียบรุ่นอีกแล้วนะ เป็นน้องเป็นนุ่งจะตีให้ก้นลายเชียว" คำขู่ที่ฉันแลบลิ้นใส่
"ไม่กลัวหรอก ไปขู่คนอื่นเถอะ คนอย่างเรนไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว" แต่ฉันก็ทำหน้าระรื่นได้เพียงเสี้ยววินาที เมื่ออยู่คนที่กำลังขับรถเบนรถเข้าข้างทาง
"หมอเอ็ดจะทำอะไร จอดรถทำไม" ลูกตาวาวๆ ของคนข้างๆ ทำให้ฉันทำอะไรแทบไม่ถูก ฟันเริ่มกระทบกันอย่างหยุดไม่ได้
"จะทำโทษคนปากเสีย ชอบพูดก้าวร้าวผู้ใหญ่" เสียงเคร่งๆ ที่ฉันต้องสะดุ้งสุดตัว น้ำตาพาลจะไหลเสียให้ได้ เมื่อใบหน้ารูปสลักของเอ็ดเวิร์ดบัดนี้ดูจริงจังและเคร่งเครียดจนฉันนึกด่าตัวเองในความปากพร่อยที่เผลอไปล่วงเกินเขาหลายครั้งแล้ว
"เรนขอโทษค่ะ เรนจะไม่ปากมากแล้วหมอเอ็ดยกโทษให้เรนนะ" เมื่ออับจนหนทางฉันจึงงัดไม่ตายที่มักใช้ได้ผลทุกครั้งขึ้นมาอ้อนคนที่ตีหน้ายักษ์อยู่
ตัวก็เป็นยักษ์อยู่แล้ว ยังทำหน้าเป็นยักษ์อีก อุตส่าห์อ้อนสุดๆ แล้วนะ ขนาดพี่บอมว่าแน่ๆ ยังแพ้สายตาอ้อนของฉันเลย
ฉันกระพือขนตาที่มีอยู่อย่างจำกัด พร้อมกับพยายามเปล่งรังสีทางสายตาให้อีกฝ่ายเห็นใจ แต่ยักษ์ขี้โมโหก็ไม่ได้คลายความโกรธลงแม้แต่น้อย ร่างใหญ่ของเขาทำท่าจะขย้ำฉีกเนื้อฉันกินเสียให้ได้ มือใหญ่ที่วูบลงมาที่หน้าทำให้ฉันหลับตาปี๋รอการลงธรรณ์
“วันหลังห้ามปากไม่ดีอีกนะ ไม่งั้นจะจับเย็บปากจริงๆ ด้วย” คำสั่งสอนพร้อมกับนิ้วใหญ่ๆ ของเขาที่จับริมฝีปากของฉันไม่ให้มันเปิดออกเพื่อโอดครวญได้
“อือๆ เอนอะไอ่อำอีกแอ้ว” ฉันพยายามอ้อนวอนให้ยักษ์ใจร้ายปล่อยมือจากปากฉันเสียที
“เรนเจ็บนะหมอเอ็ด” ฉันบ่นไปพลางลูบปากตัวเองป่อยๆ หลังจากเอ็ดเวิร์ดหันไปขับรถต่อแล้ว
“ลงโทษให้เจ็บจะได้จำ วันหน้าวันหลังจะได้ไม่ก้าวร้าวผู้หลักผู้ใหญ่อีก” คำสั่งสอนราวกับคนเองอายุมากกว่านักหนาทำให้ฉันแอบหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมับจนต้องหันหน้าใส่กระจกแล้วแลบลิ้นใส่
“เข้าซอยลึกไหม” เสียงของเอ็ดเวิร์ดที่ถามขึ้น ทำให้ฉันเห็นว่าตัวรถกำลังจะเลี้ยวเข้าซอยบ้านของฉันแล้ว
“สุดซอยเลยค่ะ แต่หมอเอ็ดจอดกลางซอยก็ได้ เรนเดินเข้าไปเองได้ เพราะเดี๋ยวจะกลับรถลำบาก” ฉันเสนอทางแก้ที่ไม่อยากให้คนเสนอตัวมาส่งต้องวุ่นวายหาที่กลับรถ
แต่ดูเหมือนคนขับจะไม่ได้ยินหรือยังไง เพราะราชรถคันหรูจอดเกยถึงหน้าบ้านฉันอย่างพอดิบพอดี แถมเจ้าชายรูปหล่อ (ทำไมจะไม่เหมือนเจ้าชาย หัวทองตาสีฟ้า และหุ่นแบบนายแบบกางเกงลิงยังต้องชิดซ้าย: ตายแล้วฉันพูดอะไรออกไปนี่) ร่างสูงที่งดงามดั่งรูปสลักเดินอ้อมมาฝั่งฉันพร้อมเปิดประตูให้อีก
“ขอบคุณค่ะ” ฉันก้าวออกจากรถด้วยท่าทางราวกับดาราฮอลลี่วูดก้าวลงพรมแดงในงานออสก้า บรรยากาศราวกายราวกับในฝัน
“เข้าบ้านดีๆ อย่าไปสะดุดอะไรเข้าล่ะ ดูสิทำหน้าเอ๋อเสียแบบนั้น”
ฝันของฉัน จบกัน
คำพูดที่ไม่น่าหลุดมาจากคนที่รูปลักษณ์ราวกับเจ้าชาย แต่ปากราวกับซาตาน
น่าจับเอาลิ้นฟอกสบู่เสียจริงๆ ว่าคนอื่นปากเสีย ตัวเองปากเสียยิ่งกว่า
แต่จากประสบการณ์ในสงครามระหว่างฉันและเขา คิดอีกทีฉันจึงเลือกหุบปากแทน และยกมือขอบคุณเขาอีกค่ะ ก่อนจะเดินเข้าบ้าน โดยมีนายเอ็ดเวิร์ดมองตามจนฉันหายลับสายตาไป
ฉันเข้าไปทักพ่อแม่ที่กำลังจะเข้านอน จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอนบ้าง ถ้าไม่ติดน้องสาวตัวแสบที่กำลังอ่านหนังสือหันมาสนใจฉันราวกับนักข่าวบันเทิงเจอดาราที่ตกเป็นข่าวฉาว
“พี่เรน ฟ้าเห็นนะว่าใครมาส่ง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉันเรียกว่ามันเป็นรอยยิ้มปีศาจของน้องตัวแสบที่กำลังจะเริ่มการสอบสวนฉันแล้ว
“ก็เพื่อนพี่บอมเจอกันตอนฝนตกเลยอาสามาส่ง” ฉันตอบไปเรียบๆ ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา
ก็ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายมีรูปลักษณ์ดั่งทองแบบนั้น
“แต่น่าแปลกทำไมเพื่อนพี่บอมถึงเป็นฝรั่งผมทองไปได้ ไม่เคยเห็นพี่บอมเล่าให้ฟังเลย”
นั่นไง แสดงว่าแอบดูจากหน้าต่างแน่ๆ
แถมถ้ายัยฟ้ายังไม่เลิกติดใจเอาความ สงสัยคืนนี้อดนอน
ฉันจึงถอนหายใจออกมาบางๆ ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเรื่องตั้งแต่ครั้งที่เจอเอ็ดเวิร์ดจนถึงเหตุการณ์อาหารเย็นที่เกิดอย่างบังเอิญในวันนี้
“ทำไมพี่เรนไม่เคยเล่าให้ฟ้าฟัง” น้องสาวตัวดีเบ้ปากพูดขึ้นอย่างงอนๆ เพราะปกติไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ฉันจะเล่าให้พ่อแม่และน้องสาวผู้ทำตัวเหมือนแม่คนที่สองฟังทุกเรื่อง แต่ดูเหมือนเรื่องนายเอ็ดเวิร์ดฉันจะลืมมันไปเสียทุกครั้ง
“ไม่รู้สิ มันดูเลือน หลอนๆ ยังไงก็ไม่รู้เวลาพี่อยู่กับนายคนนี้ มันเหมือนผิดที่ผิดทางชอบกล ฟ้าก็เห็นว่าพี่เป็นแบบไหน หน้าตาปานกลาง ความรู้ก็ปานกลาง แถมยังตัวเตี้ยอยู่ใต้จักกะแร้เขาอีก เหมือนยินอยู่ข้างยักษ์ยังไงก็ไม่รู้สิ ที่สำคัญฟ้าก็รู้ว่าพี่ไม่คิดสนิทกับพวกต่างชาติต่างวัฒนธรรม”
ฉันตอบไปอย่างที่คิด แต่ใบหน้าสวยหวานของยัยฟ้ากลับเคร่งเครียดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของฉัน
“พี่เรนยังไม่ลืมเรื่องที่แคนาดาอีกเหรอ เมื่อไหร่พี่จะเลิกดูถูกตัวเอง คิดแต่ว่าตัวเองด้อยค่ากว่าฟ้า กว่าคนอื่นๆ เค้า ใช่ผู้ชายบางคนอาจเห็นพี่เรนเป็นสะพานข้ามมาถึงฟ้า และพี่ก็เลิกปกป้องฟ้าจากผู้ชายได้แล้ว ฟ้าโตพอที่จะจัดการมันด้วยตัวเองแล้ว แต่พี่เรนสิ เหมือนพี่หยุดเวลาหยุดความคิดไว้ ณ วันนั้นจนฟ้ารู้สึกผิดที่ตอนนั้นไม่แกร่งเหมือนตอนนี้”
สิ่งที่ฟ้าพูดออกมาทำให้ฉันเห็นภาพในอดีตทันที เหมือนเราสองคนสลับสถานะกันในวันนั้น วันที่ฉันจมกับความผิดพลาดของตัวเองจากคนที่เคยมีความมั่นใจสูง กลับสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง และน้องสาวตัวน้อยที่แสนขี้แยกลับกลายเป็นสาวแกร่งไม่แยแสใครอย่างทุกวันนี้
ถ้าฉันไม่ตาบอดคิดว่าบัดดี้ที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามาจีบตัวเอง จนปล่อยให้คนชั่วคนนั้นเข้ามาถึงตัวน้องสาวตัวเองจนเกือบเจอเรื่องเลวร้าย ถ้าไม่มีคนมาช่วยไว้
ส่วนคนที่ช่วยไว้ก็คือพี่จอม รุ่นพี่ที่ไปซัมเมอร์แคมป์ที่แคนาดาด้วยกัน และพี่ชายคนนี้แอบหลงรักน้องสาวฉัน แต่ถูกยัยฟ้าเมินจนต้องบินหนีไปเรียนอังกฤษเพื่อเลียแผลใจ และฉันก็อยากบอกว่าฉันเคยแอบชอบพี่จอมตั้งแต่เข้าม. สี่
แต่พอยัยฟ้าเข้ามาเรียนโรงเรียนเดียวกับฉัน พี่จอมก็เข้ามาขอความช่วยเหลือจากฉัน โดยฉันต้องแอบเก็บความในใจที่มีต่อพี่เขาและให้ความช่วยเหลือแบบจำใจ แต่ดูเหมือนยัยฟ้าจะรู้ว่าฉันชอบพี่จอม เพราะก่อนหน้านั้นฉันเคยเล่าถึงพี่จอมให้ที่บ้านฟังเป็นประจำ ยัยฟ้าเลยถือคติไม่ชอบคนที่พี่สาวชอบ
การแห้วติดๆ กันและเรื่องที่เกิดที่แคนาดาทำให้ฉันสูญเสียความมั่นใจ ระแวงผู้ชายทุกคนที่มาเข้าใกล้ กลัวว่าสักวันที่เขาเห็นยัยฟ้าและเขาจะเปลี่ยนใจ ฉันจึงก่อกำแพงระหว่างผู้ชายทุกคนที่ไม่ใช่ญาติหรือคนสนิท เพื่อที่จะได้ไม่เจ็บซ้ำซากหรือหาเรื่องมาทำร้ายน้องสาวของตัวเองอีก
บางทีฉันก็อิจฉายัยฟ้าเล็กๆ เหมือนกัน เพราะตั้งแต่เล็กเธอเหมือนนางฟ้าตัวน้อยที่เป็นที่รักใครของอาจารย์ทั่วไป ส่วนฉันก็เป็นได้แค่ยัยหนอนหนังสือ หน้าจืด ตัวกะเปี๊ยกเป็นเครื่องเล่นให้กับคนอื่นๆ
มีครั้งหนึ่งอาจารย์พละคนหนึ่งว่าฉันว่ากล้ามเนื้อไปกระจุกที่สมองหรือไง ถึงได้เล่นกีฬาได้ห่วยทุกประเภทได้แบบนั้น หาใครในโลกเหมือนไม่ได้อีกแล้ว ทำไมไม่เหมือนน้องสาวที่แสนอัจฉริยะของฉันที่เป็นนักกีฬาโรงเรียนแถมยังเรียนดีอีก
“พอเถอะฟ้าพี่อยากนอนแล้ว” ฉันฉุดตัวเองออกมาห้วงแห่งความคิด กลัวว่าสักวันจะเกิดเกลียดน้องสาวตัวเองขึ้นมาจริงๆ
ความเกลียดที่เกิดจากความอิจฉามันน่ากลัวเกิดกว่าที่ฉันจะปล่อยให้มันลุกลามไปมากกว่านี้ ฉันจึงได้แต่สาบจิตใจตัวเองให้มันไม่มีความรักให้ใครอีก นอกจากครอบครัว
“ฟ้าอยากให้พี่เรนมีชีวิตของตัวเองอีกครั้งจริงๆ นะ” ฉันแกล้งหลับตาไม่รับรู้ถึงเสียงแผ่วของน้องสาว น้ำร้อนๆ ไหลออกจากตาจนฉันต้องกลั้นหายใจไม่ให้เสียงสะอื้นดังออกมาด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้น้องสาวตัวเองต้องกลุ้มใจไปด้วย
รุ่งเช้าฉันตื่นมาพร้อมขอบตาที่ดำคล้ำจากการอดนอน และออกไปทำงานด้วยจิตใจที่หมองมัว ฉันเดินออกจากซอยเพื่อไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปต่อบีทีเอส แต่พอฉันเดินถึงป้ายรถเมล์ ฉันก็ได้ยินเสียงแตรรถจากเบนซ์สีเงินที่จอดเทียบหน้าฉัน
“ขึ้นมาสิ วันนี้เข้าโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ” กระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับเปิดลงมาเผยให้เห็นชายหนุ่มผมทองตะโกนเรียกฉันให้ขึ้นรถไปกับเขา
ขาของฉันก้าวไปอย่างหุ่นยนต์ทำตามคำสั่ง วันนี้ฉันนึกไม่ออกที่อยากกวนประสาทหรือแม้แต่ชวนใครคุยทั้งนั้น
“เป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า” เสียงทุ้มมีแววความอ่อนโยนถามขึ้น เมื่อฉันเปิดประตูรถขึ้นนั่งและขอบคุณเขาเบาๆ
ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบและพยายามฝืนส่งยิ้มฝืดๆ ไปให้เขา เพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกต อาการบ้าๆ ที่เกิดขึ้น จริงๆ มันก็มีส่วนเกิดจากคนข้างๆ ฉัน เพราะมันไปสะกิดความทรงจำที่ไม่อยากจำให้ฉันนึกขึ้นมาได้อีก
“ก็ไม่มีไข้นี่” คำพูดที่เหมือนเขาพูดกับตัวเอง หลังจากถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับหน้าผากฉันเพื่อวัดอุณหภูมิ
“ถึงหมอเอ็ดจะเป็นหมอก็เถอะ จะจับเนื้อต้องตัวผู้หญิงก็ขออนุญาตก่อนสิ” ฉันว่าเขาไปอย่างหงุดหงิดเล็กๆ เพราะการกระทำของเขาอาจทำให้ฉันคิดเข้าข้างไปเองได้
“อ้าว ยัยตัวแสบออกลายจนได้ นึกว่าป่วยจนไปทำสมองตกที่ไหนซะอีก” คำหยอกที่ฉันเกือบหลุดขำที่เขาไม่ถือคำพูดห้วนๆ ที่ฉันหลุดออกไป
“แล้วอีกอย่างตัวกะจิ๋วหลิ่วอย่างเธอไม่ต้องขออนุญาตให้เมื่อยปากหรอก เด็กอายุสิบสี่ยังดูสาวกว่าเธอเลย เห็นทีแรกนึกว่าเด็กประถมซะอีก” คำถากถางที่ฉันอยากกรี๊ดออกไปจริงๆ ถ้าไม่กลัวว่าเขาจัยันฉันตกรถ
“ใช่เรนมันดูเด็กไม่เหมือนสาวๆ พยาบาลในฮาเร็ม เอ้ย วอร์ดของหมอเอ็ดหรอก” ความหงุดหงิดใจที่ติดค้างทำให้ฉันหลุดความคิดไปอีกครั้ง จนฉันรีบตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน เพราะเกรงว่าจะไปก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวของเพื่อนพี่เขยอีก
“ฮ่าๆ เธอหึงฉันเหรอ ถึงได้พูดแบบนั้น อยากเป็นสาวๆ ในฮาเร็มของฉันบางหรือไง” คำยั่วที่ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้พูดจริงแต่มันก็ทำให้ฉันหน้าแดงด้วยความโกรธและความอาย
“บ้าๆ บ้าที่สุด ใครอยากจะเป็นตัวเลือกให้ผู้ชายกัน คนอย่างเรนชาตินี้สาบานแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น จะเกาะคานไปจนวันตาย” ฉันเลือกคำโต้ที่พยายามไม่พาดพิงถึงเขามากที่สุด เพราะการยั่วโทสะยักษ์ในรถแคบๆ มันเป็นการกระทำที่โง่มากที่สุด
“ฉันจะรอดู” คำพูดเรียบๆ ที่ฉันสาบานว่าเขาจะต่อได้เห็นแน่ๆ คำสาบที่ฉันสาบตัวเองให้ไร้ซึ่งความรัก ยิ่งคนที่รูปหล่อ ฐานะดี ดูมีชาติตระกูล เหมือนเจ้าชายแบบเขา ยิ่งไม่คงคิดอย่างมากที่สุด เพราะท้ายที่สุดฉันก็เป็นได้แค่หนึ่งในสาวๆ ในคอลเล็กชั่นอยู่ดี ไม่วันที่ฉันจะเป็นนางซินได้แต่งงานกับเจ้าชาย เพราะถ้าเป็นยัยฟ้าคงจะไม่แปลก
หลังจากวันนั้นฉันกับเอ็ดเวิร์ดก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เหล่กันไปเหล่กันมาในห้องทำงานพี่บอม ก็มีเรื่องอื่นๆ ให้เราคุยกันมากขึ้น เพราะเพื่อนซี้พี่บอมย่อมมีนิสัยคล้ายพี่บอม ดังนั้นมันจึงเหมือนฉันไปโดยปริยาย เพราะยัยฟ้าเคยบอกว่าฉันเป็นร่างเพศหญิงของพี่บอม ดังนั้นเหมาะเป็นพี่น้องกันมากที่สุด
ความสัมพันธ์ของฉันกับเอ็ดเวิร์ดก็คล้ายจะเป็นพี่น้องกึ่งเพื่อน เราคุยกันได้เกือบทุกเรื่อง และชอบกินของคล้ายๆ กัน ตอนเย็นบางวันฉันก็ติดรถเขากลับบ้าน และบางวันตอนเช้าเขาก็มารับฉันที่บ้าน
เหตุการณ์ที่มันน่าจะเป็นไปยังราบรื่นจนมาถึงวันหนึ่ง วันที่ฉันต้องหดตัวเข้ากระดองและไม่อยากออกมาจากมันอีกตลอดกาล
“หมอเอ็ดยังอยู่ไหมค่ะ” ฉันขึ้นมาที่แผนกสูติฯ หลังจากเลิกงานแล้วและจะขอเอ็ดเวิร์ดที่วันนี้ไม่ได้ออกเวรกลับบ้านด้วย
“หมอเอ็ดอยู่ในห้องทำงานค่ะ น้องเรนเดินเข้าไปได้เลยค่ะ” พยาบาลวัยสามสิบกว่าที่รู้จักฉันดียิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยิ้มให้เธอบ้างและเดินตรงไปยังห้องของเอ็ดเวิร์ดที่พักหลังฉันมานั่งรอเขาเลิกงานเป็นประจำ
“คิกๆ หมอเอ็ดก็ อย่าสิค่ะ” เสียงหัวเราะลอดออกมาจากห้องที่ฉันกำลังจะเปิดประตูเข้าไปชะงักทันที และรีบถอยห่างจากประตูนั้นราวกับไฟลวก
ภาพที่ฉันรอดประตูไปเป็นภาพหญิงสาวกำลังนั่งตักชายหนุ่มผมทองอยู่ ภาพที่ฉันเคยคิดว่าเขาที่ฉันทึกทักว่าเป็นพี่ชายอีกคนมันบาดลึกในจิตใจจนแทบยืนไม่อยู่
ฉันวิ่งออกมาจากที่นั้นอย่างไร้สติ นึกต่อว่าตัวเองที่แอบเผลอใจไปหลงรักเขาเข้าจริงๆ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยมองเห็นตัวเองเลยแม้แต่น้อย ถึงได้ไปนั่งฉอเลาะกับผู้หญิงอื่น
สุดท้ายฉันนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองกลับบ้านได้ยังไงโดยไม่ถูกรถชนตายไปก่อน ในตัวของฉันมีแต่คำต่อว่าตัวเองที่โง่ออกมาจากกระดอง แถมยังไปมองเอาจ้าวเวหาที่อยู่สูงจากตัวเองลิบลิ่ว
พอถึงบ้านฉันก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง พลางรื้อเอกสารที่จำเป็นทุกอย่างออกมา ก่อนจะออกไปเจอครอบครัวที่โต๊ะอาหารในมื้อเย็น
“พ่อค่ะ เรนอยากเรียนต่อ” คำพูดสั้นๆ ที่ทุกคนในบ้านหันมามองฉันเป็นตาเดียว
“จริงหรือ พ่อดีใจที่เรนคิดจะก้าวเดินอีกครั้งนะ” พ่อดีใจมากยื่นมือมาลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน ท่านรอวันที่ลูกสาวที่ผิดหวังจากปริญญาครั้งก่อนจนไปทำงานในสิ่งที่ท่านไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
“แล้วเรนจะเรียนต่ออะไรล่ะลูก หรือว่าจะกลับไปเรียนแบบเดิม” แม่ถามขึ้นบ้าง ท่านดูจะสังเกตเห็นความผิดปกติของฉันก่อนใคนเพื่อน
“เปล่าค่ะแม่ เรนจะเรียนต่อเป็นบาลิสต้าที่อิตาลี” คำตอบที่ทำเอาทุกคนในบ้านอึ้งสุดขีด
“อะไรนะพี่เรนจะไปเรียนชงกาแฟที่อิตาลี จะบ้าแล้วหรือไง” ฟ้าตะโกนออกมาอย่างรับไม่ได้ เธอคิดตลอดว่าพี่สาวจะต้องกลับมายืนอย่างสง่างามได้อีกครั้ง แต่ไม่ใช่ไปเป็นคนทำขนม
“พี่คิดดูดีๆ แล้ว พี่ชอบชงชาชงกาแฟ พี่ว่าถ้ากลับมาจะเปิดร้านของตัวเองเล็กๆ อยู่แบบเรียบๆ ง่ายๆ ไม่ต้องวุ่นวายแข่งกับใครเค้า” ฉันบอกความฝันที่ไม่เคยให้ใครได้ล่วงรู้
“ไม่ฟ้ายอมรับไม่ได้ พี่เรนเคยบอกกับฟ้าว่าซักวันเราสองพี่น้องจะเรียกความยิ่งใหญ่ให้กับครอบครัวเราไม่ใช่เหรอ แล้วพี่เรนจะมาทิ้งความฝันของเราสองคนไปดื้อๆ ฟ้าไม่ยอม” น้องสาวตัวน้อยในอดีตได้กลับมาแล้ว ใบหน้าสวยหวายเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ฉันสะท้อนใจที่เป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน
“พี่ขอโทษ พี่เห็นแก่ตัวที่ทิ้งความฝันให้ฟ้าต้องสานต่อมันคนเดียว แต่ก็อย่างที่รู้ชีวิตพี่มัน jinx เสียจนทำตามที่ฝันไม่ได้แล้ว ต่อจากนี้ก็อยู่ไปเรื่อยๆ รอชื่นชมความสำเร็จของเราแทนแล้วกันยัยฟ้า” ฉันพยายามยิ้มที่แสยะเต็มที่พร้อมที่จะปล่อยโฮเป็นเพื่อนน้องสาวอย่างมะร่อมมะร่อ
“ให้พี่เค้าทำตามใจเถอะ พ่อเคยบอกแล้วว่าทั้งเรนและฟ้าให้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน และทำในสิ่งที่อยากทำ ส่วนการไปเรียนต่างประเทศคนละปีสองปี พ่อก็พอส่งเสียไหว” พ่อพูดพลางทุบอกแสดงความสามารถจนทั้งฉันและน้องหัวเราะออกมาได้ ความสุขที่ต้องคว้าด้วยตัวเองไม่ใช่รอคนอื่นนำมาให้
หลังจากที่ฉันตกลงกับครอบครัวแล้ว รุ่งขึ้นฉันก็ไปยื่นใบลาออกกับหัวหน้าที่ทำหน้าเหมือนกลืนยาขมตอนที่ฉันไปยื่นใบลาออกบนโต๊ะ
“พี่ไม่อยากขัดขวางอนาคตของเรนหรอกนะ แต่งานของเรากำลังจะได้ตีพิมพ์ไม่รออีกซะหน่อยหรือ” คำท้วงที่ฉันส่ายหน้า
“เรนรอไม่ได้ค่ะ โรงเรียนที่มิลานจะเปิดต้นเดือนหน้า เรนต้องรีบไปเตรียมตัวก่อนอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้เรนต้องหาซื้อข้าวของที่จะเอาไป เพราะต้องอยู่ยาวจนกว่าจะเรียนจบ ส่วนงานที่ยังค้างเรนจะรีบเคลียร์ให้เร็วที่สุดค่ะบอส” หัวหน้ามองฉันอย่างเสียดายนิดๆ ที่จะเสียกำลังสำคัญอย่างฉันไป
“ขอให้โชคดีนะเรน พี่ขอเป็นกำลังใจให้ อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเราหรอก” น้ำเสียงที่อบอุ่นของหัวหน้าทำฉันไม่อยากไปตะหงิดๆ แต่มันช่วยไม่ได้ที่ฉันตัดสินใจไปแล้ว และจะไม่ลังเลอีก
หลังจากวันที่ฉันยื่นใบลาออก ฉันก็พยายามส่งมอบงานให้กับพี่แนนที่จะมาดูแลงานให้ฉันต่อ และประสานงานกับพี่บอมให้อย่างเรียบร้อยก่อนวันที่ฉันจะออกเดินทางเพียงวันเดียว โดยที่ไม่มีใครรู้นอกจากพ่อแม่และยัยฟ้า
“พี่บอมพรุ่งนี้พี่แนนจะมาทำแทนฟ้านะ” คำพูดที่พี่บอมหันมาจ้องฉันตาโต
“อะไรนะ แล้วเราจะไปไหนถึงไม่มาทำ” ใบหน้างงๆ ของพี่เขยที่หาดูได้ยากก็ทำให้ฉันยิงไปอีกดอก
“พรุ่งนี้เรนจะไปขึ้นเครื่องไปมิลาน ไปเรียนเป็นบาลิสต้าสองปี” จบคำพี่ชายสุดหล่อก็ตาเหลือกหมดสภาพคุณหมอผู้เคร่งขรึม
“ยัยเรนทำอะไรทำไมไม่บอกคนอื่นบ้าง แล้วนารู้หรือเปล่า ทำไมจะไปเงียบๆ มีปัญหากับใครหรือเปล่า” คำถามที่ยาวจนฉันตอบไม่ถูก แต่คำถามสุดท้ายทิ่มใจฉันเต็มๆ
“ก็เรนไม่อยากให้คนอื่นมาวุ่นวายด้วยนี่ค่ะ ตอนแรกว่าจะไปเงียบๆ ก็กลัวพี่บอมจะโกรธ วันนี้เรนก็กะจะเตรียมตัวให้พี่นาสับเหมือนกัน” ฉันยิ้มแหยๆ ให้กับคนที่ทำท่าจะบีบคอฉันเสียให้ได้
“โกรธอยู่แล้วเด็กบ้า คอยดูวันนี้จะปล่อยให้นายำเธอให้เละเลยคอยดู” คำขู่ที่ฉันแอบกลืนน้ำลายในใจ และพยายามออดอ้อนให้คู่สามีภรรยาที่กำลังเอาเรื่องฉันจะคลายความโกรธตลอดเวลาที่เวลาที่เหลือของวัน
“พรุ่งนี้พี่จะไปส่งขึ้นเครื่องนะ” พี่นาบอกฉันตอนที่มาส่งที่บ้านและสั่งให้ฉันนอนมากๆ เผื่อร่างกายให้รับอาการเจ็ทเลท
“แล้วเอ็ดรู้หรือยัง” พี่บอมทราบขึ้นเรียบๆ ก่อนออกรถจนฉันนิ่งไปครู่ใหญ่
“เปล่าค่ะ เห็นยุ่งๆ เรื่องไปสัมมนาที่เยอรมัน เรนเลยไม่กล้าบอก” ฉันตอบไม่เต็มเสียง ย่อมทำให้คนความรู้สึกไวอย่างพี่บอมสงสัยแน่
เพราะหลังจากวันนั้นฉันก็หลบหน้าเอ็ดเวิร์ดตลอด จนถึงตอนที่เขาไปสัมมนาที่เยอรมันสองเดือน แถมก่อนไปเขายังอุตส่าห์โทรศัพท์มาหาฉันบอกว่าหมู่นี้ไม่ค่อยเจอหน้า เลยจะลากันทางโทรศัพท์ และบอกว่าจะซื้อของฝากมาให้ด้วย
ส่วนฉันก็ตอบรับไปอย่างสะท้อนใจ เพราะเมื่อเขากลับมาฉันก็คงไม่ได้อยู่ในประเทศนี้แล้ว และจะพยายามตัดขาดการติดต่อกับเขาทุกวิถีทาง เพื่อที่ฉันจะได้กลับมาเป็นคนเดิมที่สาบหัวใจให้ไร้รักไปตลอดกาล
"อะไรนะนายพูดใหม่อีกทีสิ" เสียงตะโกนดังลั่นออกมาจากห้องทำงานของนายแพทย์วรวิทย์ แต่เสียงที่ดังก้องอยู่ ณ ตอนนี้กลับไม่ใช่เสียงเจ้าของห้อง
"ก็ฉันบอกว่านายไปสองรอบแล้วว่าเรนไปมิลาน" เสียงตอบแบบหน่ายๆ ของเจ้าของห้องตัวจริงๆ ที่ต้องอุดหูจากการตะโกนของแขกผู้มาเยือน
"ไปทำไม ไปเที่ยวหรือว่าบริษัทส่งไป ไปคนเดียวหรือว่าไปหลายคน" ด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน จึงทำให้เอ็ดเวิร์ดถามรัวจนเพื่อนซี้เบ้หน้าเพราะฟังไม่ทัน
"นายจะแตกตื่นไปทำไม แค่ยัยเรนไปมิลานเข้าหน่อย ทำอย่างกับโลกจะแตกซะพรุ่งนี้ ฉันถามจริงๆ เถอะ นายกับเรนมีอะไรกันหรือเปล่า" คำถามที่เอ็ดเวิร์ดนิ่งค้างไปกับคำถามของเพื่อนที่เขาไม่เคยสำรวจใจตัวเองมาก่อน
"ไม่รู้สิ สำหรับฉันแล้วยัยตัวจิ๋วเหมือนบางส่วนที่ชีวิตฉันขาดหายไป มียัยนั่นอยู่ด้วยแล้วชีวิตมันไม่จืดชืดอย่างที่เคย แต่จะบอกว่าชอบหรือรักแบบคนรักก็เหมือนไม่ใช่ มันเป็นเหมือนญาติสนิทหรือเพื่อนอะไรทำนองนั้น"
เอ็ดเวิร์ดตอบไปอย่างที่ตัวเองคิดมาตลอด เขารู้ตัวว่าไม่สามารถเป็นคนรักที่ดีของผู้หญิงคนใดทั้งนั้น ความผิดหวังในอดีตทำให้เขาเลือกคบแบบผาดเผินทางร่างกาย แต่จะไม่มีวันยอมให้มีความผูกพันแทางจิตใจเป็นอันขาด
ดังนั้นยัยตัวกะเปี๊ยกที่เขาอยากมีเธออยู่ในชีวิตนานๆ เขาจึงจัดเธอไว้ในกลุ่มญาติสนิทมิตรสหายที่คบไปได้ตลอดกาลโดยไม่ต้องมีความรักมาเกี่ยวข้องด้วย
"ดีแล้วที่ยัยเรนตัดขาดนายตั้งแต่ตอนนี้ เพราะคนอย่างนายไม่คิดจริงจังกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น" วรวิทย์เอ่ยแทรกความคิดของเอ็ดเวิร์ดขึ้น
"หมายความว่ายังไง ทำไมยัยนั่นจะต้องตัดขาดจากฉัน" เอ็ดเวิร์ดพูดขึ้นอย่างสับสน สมองเขาตอนนี้เหมือนถูกทุบด้วยไม้หน้าสามจนงงไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้ว
"เพราะยัยเรนเผลอใจชอบนายไปแล้วน่ะสิ อาจเพิ่งรู้ตัวไม่นานมานี้ ถึงได้รีบถอยห่างนายแบบนี้ ยัยเรนก็เป็นเหมือนนายกลัวความรัก พอเจอเข้าจังๆ แถมยังเป็นผู้ชายแบบนายอีก คงรับไม่ได้" วรวิทย์พูดเรื่อยๆ แต่มันกลับกระแทกใจเอ็ดเวิร์ดเข้าอย่างจัง
"ชอบ ยัยตัวจิ๋วชอบฉัน" คำที่เหมือนถามย้ำกับตัวเองทำให้เอ็ดเวิร์ดรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าทุกครั้ง เหมือนหัวใจที่ตายไปแล้วฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง
"ถ้านายอยากรู้คำตอบจริงๆ ฉันก็จะบอกว่าใช่ แต่ฉันขอนายไว้เลย ว่าตั้งแต่บัดนี้เลิกยุ่งเกี่ยวกับเรนได้แล้ว น้องสาวฉันยังไร้เดียงสาไม่เหมาะกับเพลย์บอยอย่างนาย" คำประกาศของวรวิทย์ทำให้ดวงตาสีฟ้าเจิดจ้าขึ้นราวกับมีไฟลุกขึ้นในดวงตา
"ถ้าฉันบอกว่าครั้งนี้ฉันจริงจัง นายจะว่ายังไง" เอ็ดเวิร์ดท้าทายเพื่อนที่กีดกันไม่ให้เขาได้ลองคบหากับผู้หญิงที่เขารู้แล้วว่าตามหามาตลอดชีวิต
"เรื่องนั้นนายคงต้องให้ยัยเรนตัดสินใจเอง ฉันคงได้แต่เตือนนายว่าถ้านายทำน้องสาวฉันร้องไห้เมื่อไหร่ ฉันฆ่านาย แน่" คำที่เหมือนกึ่งอนุญาตของพี่ชายกลายๆ ของหญิงที่เขาหมายปอง ทำให้เอ็ดเวิร์ดหัวใจพองฟูขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
"แต่นายต้องรอบอีกสองปี เพราะเรนไปเรียนต่อบาลิสต้าที่มิลาน" คำตอบที่ดังต่อมาทำให้หัวใจที่พองแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
"อะไรนะ ไปเรียนต่ออีกสองปีกลับ นายล้อฉันเล่นใช่ไหม" เอ็ดเวิร์ดมองหน้าเพื่อนราวกับโดนผีหลอก และภาวนาให้วันนี้เป็นวันที่หนึ่งเมษาหรือเอพริลฟูล ถ้าเขาได้ยินไม่ผิด
"เปล่า ฉันถึงได้ถามนายว่านายไปทำอะไรให้ยัยเรนเผ่นหนีนายไปไกลแบบนั้น ทั้งๆ แค่เปิดร้านกาแฟ เรียนในไทยก็ได้" วรวิทย์คาดคั้นคนที่เหมือนโดนชกน็อคกลางอากาศเป็นครั้งที่สองของวัน
"ไม่ ฉันก็ดูแลยัยจิ๋วเหมือนที่นายทำ แต่..." เอ็ดเวิร์ดนึกได้ว่าก่อนวันที่เขาจะไปสัมมนา พยาบาลประจำวอร์ดบอกว่ายัยตัวจิ๋วแวะมาหาเขา แต่อยู่ๆ ก็กลับออกไปโดยไม่รอเจอเขาก่อน
"ตกลงว่าไง" เสียงกระตุ้นที่เอ็ดเวิร์ดนึกด่าความงี่เง่าของตัวเอง
"สงสัยยัยจิ๋วจะไปเห็นฉันกับสาวขนมหวานว่ะ" ร่างสูงทรุดนั่งอย่างหมดแรง รู้ทันทีว่าภาพที่เขาจู้จี๋กับสาวในคอลเล็กชั่นคงไปตำตาของหญิงสาวเพียงคนเดียวที่เขาไม่อยากให้เห็นมากที่สุด
"ก็เพราะนายเป็นแบบนี้น่ะสิ ฉันถึงให้นายคบกับเรนไม่ได้ เกิดวันไหนนายเบื่อน้องฉันขึ้นมา ยัยเรนจะทำยังไง น้องฉันเปราะบางใสบริสุทธิ์ไม่เหมือนสาวๆ ขนมหวานของนายนะ" คำต่อว่าที่เอ็ดเวิร์ดอยากขุดหลุมฝังตัวเองจริงๆ รักที่หมายปองหลุดลอยไปตรงหน้าอย่างไม่มีวันหวนคืน
"แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง" เอ็ดเวิร์ดสบหน้าลงฝ่ามือ โลกดูเหมือนจะล้มครืนตรงหน้า เหมือนนึกว่าจะไม่มีเธอคนนั้นอีกต่อในชีวิตเขา กว่าจะรู้ใจตัวเองทุกอย่างก็ดูจะสายเกินไป
"ถ้านายยอมเปลี่ยนตัวเอง อดทนรออีกสองปี ยัยเรนอาจใจอ่อนก็ได้ ฉันจะพยายามส่งข่าวดีๆ ของนายไปให้แล้วกัน" คำปลอบที่ไม่ได้ทำให้ใจชื้นสักเท่าไหร่เลย เวลาสองปีในความคิดเอ็ดเวิร์ดดูจะยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์
"นายมีเบอร์ยัยจิ๋วไหม ที่อยู่ก็ได้ ฉันอยากปรับความเข้าใจกับเธอก่อน สองปีมันนานเกินฉันรอไม่ไหว" เสียงระโหยเรียกรอยยิ้มจางๆ จากมุมปากของนายแพทย์วรวิทย์ที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว
"โทษทีว่ะ ยัยเรนไม่ยอมให้อะไรฉันเลยซักอย่าง เพราะเหมือนจะตัดขาดนายจริงๆ ถ้ามีอะไรด่วนก็ได้แต่อีเมล์ไปหา แล้วยัยเรนจะติดต่อกลับมาอีกที" คำตอบที่ดับความฝันของเอ็ดเวิร์ดทุกหนทาง นอกจากการรอคอยที่แสนยายนาน
"นายก็ลองอีเมล์ไปง้อดูสิ เผื่อยัยเรนจะใจอ่อน ยอมโทรมาหานาย" คำเสนอแนะที่เอ็ดเวิร์ดไม่คาดว่ามันจะได้ผลสักนิด
เพราะถ้าเขาเป็นเธอคนนั้นก็คงจะไม่เปิดเมล์เขาเป็นอันขาด ดีไม่ดีอาจลบทิ้งตั้งแต่เห็นมันด้วยซ้า
"ขอบใจนายมากบอม ฉันขอเวลาไตร่ตรองอะไรบ้างอย่างหน่อย" คำลาที่วรวิทย์มองตามหลังเพื่อนสนิทด้วยความสงสารในชะตากรรมของคนสองคนที่รักกันแต่ถูกความหลังในอดีตทำให้ต้องพลัดพรากจากกัน
"เอ็ดเดือนหน้านายพอจะลาพักร้อนได้สักสองอาทิตย์หรือเปล่า" เสียงผ่านทางโทรศัพท์จากนายแพทย์วรวิทย์ดังเข้าโสตประสาทของคนที่มุงานจนไม่ยอมพักมาตลอดสามเดือนหลังรู้ว่าสูญเสียหัวใจตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว
อีเมล์นับร้อยฉบับที่ส่งไปเหมือนจมให้ไปกลางทะเลเน็ตเวิร์ด ไม่มีการตอบกลับแม้สักครั้ง
"ลาน่ะลาได้ แต่ฉันอยากทำงานมากกว่าว่ะ อยู่ว่างๆ แล้วมันคิดมาก" เสียงตอบเนื่อยๆ จนวรวิทย์ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
"อุวะ คนจะชวนไปเที่ยวมิลานเสียหน่อย ทำมาปฏิเสธ ฉันไปเที่ยวกับนาสองคนก็ได้ว่ะ" คำว่ามิลานทำให้เอ็ดเวิร์ดหูผึ่งทันที
"อะไรนะ ไปมิลาน ไปเจอยัยจิ๋วใช่ไหม" เสียงที่เหมือนปลาขาดน้ำมาเจอทะเลก็เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝั่งได้เป็นอย่างดี
"อือ ฉันกับนาจะไปฮันมีมูนรอบสองที่ยุโรป กะว่าจะพานายไปส่งที่มิลานให้ไกด์ผีพาเที่ยว แล้วค่อยไปต่อ" พอพูดจบเสียงโครมครามจากอีกฝั่งก็ทำให้วรวิทย์ยิ้มอย่างยินดี
สามเดือนที่ผ่านมาเพื่อนของเขาเหมือนกลายเป็นหุ่นยนต์ ทำงานอย่างไร้จิตวิญญาณ และมุงานไม่ยอมหลับยอมนอนจนดูทรุดโทรม
"ไม่ต้องตื่นเต้นเป็นหนุ่มวัยกระทงเพิ่งเคยเจอสาวไปได้" วรวิทย์ท่วงเพื่อนซี้ที่นั่งยุกยิกหันซ้ายหันขวาทุกๆ สองนาที ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลานัด
"ก็มันตื่นเต้นนี่หว่า ก็เลยต้องดูลู่ทางไว้ก่อน เผื่อยัยจิ๋วมาก่อนเวลา เกิดเห็นฉันพอดีแล้วเผ่นหนีขึ้นมาฉันจะได้ไปจับตัวทัน" แผนการณ์แสนรอบคอบก็เสียงหัวเราะจากสองสามีภรรยาที่นั่งตรงข้ามได้อย่างดี
"นายเอ็ด นายนี่ท่าจะติดบ่วงยัยเรนเข้าจริงๆ นะ ฉันไม่เคยคิดว่าเพลย์บอยอย่างนายจะมีวันนี้จริงๆ" นาราเอ่ยอย่างติดตลก จริงๆ ก่อนหน้านี้เธอก็เคืองเขาอยู่เหมือนกัน แต่วีรกรรมทำเพื่อเธอที่สามีเล่าให้ฟังทำให้เธอต้องไปวางแผนกับครอบครัวของญาติผู้น้องสร้างแผนเชื่อมรอยร้าวของคนทั้งคู่แทน
"รักจริงหวังแต่งด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ต้องเคลียร์ปัญหาเก่าก่อน จากนั้นค่อยจีบให้ติด พออีกสองปีเรียนจบก็พาไปบ้านแนะนำให้พ่อแม่ฉันรู้จัก" แผนการณ์ที่วางไปไกลทำให้วรวิทย์หลุดก๊ากออกมาสนั่น
"ไอ้บ้าเอ๊ย คิดไปไกลเสียนั่น เกิดยัยเรนไปแฟนชาวอิตาลีนายได้น้ำตาตกในแน่" คำหยอกที่ทำให้เอ็ดเวิร์ดหน้าซีดลงทันที
"สามเดือนเอง ยัยจิ๋วไม่น่าจะใจเร็วแบบนั้นได้" คำพูดที่เหมือนปลอบใจตัวเองทำให้คู่สามีภรรยาแอบยิ้มขำที่น้องสาวขอดเกล็ดปลาไหลจนไม่เหลือ
"อ้าว ยัยเรนเดินมานั่นแล้ว" เสียงหวานของนาราดึงเอ็ดเวิร์ดจากความฟุ่งซ่านให้มองตามนิ้วเรียวของภรรยาเพื่อนที่ชี้ไปยังหญิงสาวร่างเล็กที่เดินฝ่าลมหนาวมายังร้านอาหารที่เขานั่งรออยู่
นัยน์ตาสีฟ้ามองร่างบางอย่างโหยหา เพียงไม่ถึงสี่เดือนที่ไม่ได้เจอ มันเหมือนนานราวแรมปี เจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มที่เขาฝันมาตลอดกำลังเดินมาตรงนี้แล้ว
หัวใจที่ฟีบแฟบขาดวิ่นดูจะเต็มตาเพียงได้เห็นเธอคนที่เขารอมานาน
"พี่บอม พี่นาคิดถึงจังเลย" เสียงหวานๆ ที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้น พร้อมร่างเล็กที่ถลาเข้ากอดนาราจนเอ็ดเวิร์ดแอบอิจฉานิดๆ
"เอ๊ะ หมอเอ็ดมาได้ยังไง" เสียงหวีดแหลมดังอย่างตื่นตระหนกจนคนในร้านหันมามองจนหมด
"ยัยเรนเบาเสียงหน่อย คนมองกันใหญ่แล้ว" พี่บอมเอ่ยเตือนผู้ก่อความไม่สงบอย่างฉันเคร่งๆ จนฉันต้องรีบนั่งลงที่ว่างที่เหลือข้างๆ คนหัวทองอย่างสงบเสงียม
"พี่บอมไหนบอกว่าจะมากันสองคนไง เรนจองห้องให้พวกพี่แค่ห้องเดียวนะ"ฉันบอกพี่สาวพี่เขยเรียบๆ ราวกับให้ส่วนเกินที่มาใหม่ได้รับรู้
"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกเรน ทายาทเจ้าของโรงแรมเดอะมิลานที่มีสาขาทั่วยุโรปรวมทั้งในมิลานคงไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักหรอก" พี่บอมตอบกลับทำให้ฉันอึ้งไปพักใหญ่
อะไรจะเพอร์เฟกปานนั้น มากด้วยปัญญาและทรัพย์สมบัติ
ฉันมันตาถั่วไม่เห็นทองที่หล่อเป็นนักรักรูปงามคนนี้จนเผลอตัวไปสนิทด้วย
"น่าเรนแค่ไม่กี่วันเอง ช่วงนี้นายเอ็ดเครียดๆ พี่เลยชวนมาเที่ยวด้วย" พี่บอมแอบเห็นฉันเหลือบตามองคนข้างๆ อย่างไม่พอใจ เลยรีบไกล่เกลี่ยกลัวฉันโกรธที่ไม่รู้ก่อน
"ก็ได้ค่ะ แค่สามวันเรนจะทนค่ะ" ฉันกระแทกเสียงให้ใครบางคนรู้ว่าฉันไม่พอใจมากที่เขามา
หลังจากนั้นพี่นาก็แทรกขึ้นถามความเป็นอยู่ของฉันที่นี่ รวมทั้งเลี้ยงอาหารฝรั่งเศสสุดหรูจนอารมณ์บูดๆ ของฉันดีขึ้นพอควร
"ยัยเรนพอเอาของกินมาล่อหน่อย อารมณ์ดีเชียวนะ" พี่บอมขยี้หัวฉันที่ยิ้มแย้มหลังได้กินเค้กแสนอร่อย
"พี่บอมพึ่งรู้เหรอว่าเรนเห็นแก่กินมากถึงมากที่สุด รู้เปล่าเรนมาอยู่ที่นี่อดอยากมากเลยนะ วันๆ ต้องกินแต่มาม่า เพราะไม่อยากกวนพ่อไม่มีตังจ่ายค่าเล่าเรียนให้เรน" ฉันแกล้งพูดเกินจริงถึงความลำบากที่เจอ
"ตายแล้ว ถึงว่าดูซีดๆ เพราะขาดอาหารหรือเนี่ย เงินไม่พอทำไมไม่บอกพี่ ป๋าพี่ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า จะช่วยอีกแรง" ฉันคอย่นทันที นึกได้ว่าไม่น่าปากมากพูดให้พี่สาวคนนี้รู้เลย
"เรนพูดเกินจริงไปงั้นแหละพี่นา จริงๆ เงินที่ได้จากงานพิเศษที่เรนทำก็มากพอที่เรนจะกินอะไรก็ได้ที่ไม่แพงมาก" ฉันพูดจ๋อยๆ เมื่อเห็นแววตาของญาติผู้พี่ที่จะขย้ำคอฉันเสียให้ได้ และยังสายตาพี่เขยที่มองมาอย่างตำหนิ ที่ฉันปิดปังชีวิตความเป็นอยู่ที่ออกจะอัตคัตในดินแดนนี้
"เลิกทำงานตั้งแต่วันนี้ พี่ไม่สนแล้วว่าเรนจะตกลงไหม แต่ต่อไปพี่จะส่งค่ากินอยู่มาให้เรนทุกเดือน ดูสิแค่สามเดือนผอมจนจะปลิวลมแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าเรียนหนักกับปรับตัวลำบาก ที่แท้ขาดอาหารนี่เอง"
คำบ่นที่ฉันนึกด่าตัวเองในใจว่าไม่น่าเผยความจริงที่ต้องลำบากคนอื่น เพราะความเอาแต่ใจของตัวเอง
"พรุ่งนี้ยังไม่ต้องเที่ยว พาพี่ไปดูที่พัก ถ้าไม่โอเคพี่จะพาไปหาที่ใหม่" คำขาดที่ฉันร้องเสียงหลง
"พี่นาไม่ต้องถึงขนาดนั้น เรนอยู่หอของโรงเรียนไม่ได้ลำบากอะไร จริงๆ เรนไม่อยากเบียดเบียนพ่อเลยช่วยประหยัดต่างหาก ไม่ใช่เพราะไม่มีตังสักหน่อย" การถูกทำเหมือนเป็นเด็กๆ ทำให้ฉันรู้สึกอายคนนอกคนเดียวที่ต้องมารู้เรื่องงี่เง่าของฉันไปด้วย
นัยน์ตาสีฟ้าที่มองมาที่ฉันนิ่งราวกับทะเลลึกที่ไร้ก้น แต่มันก็ฉายแววบางอย่างที่ฉันอ่านไม่ออก ใบหน้าสลักเรียบสนิทไม่บอกความรู้สึกของเขาแม้แต่น้อย
"เรื่องที่อยู่พี่ยอมเราก็ได้ แต่พรุ่งนี้ไปเอาสมุดบัญชีธนาคารมาเลยนะ พี่จะจดเบอร์บัญชีแล้วจะส่งเงินมาให้ทุกเดือน" พี่นาสั่งเสียงเข้มจนฉันไม่กล้าเถียง ได้แต่สาบานในใจว่าจะใช้มันให้น้อยที่สุด และรีบเอาไปใช้คืนเมื่อเรียนจบแล้ว
สองวันสุดป่วนที่มีผู้มาเยือนทำฉันหมดแรง เพราะคุณพี่ที่น่ารักเข้ามาปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันของฉันที่นี่ใหม่เสียหมด แถมยังคนผมทองที่เป็นตัวแถมงานนี้ที่คอยทำให้จิตใจฉันอยู่ไม่สงบ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะตัดขาดเขาจากชีวิตให้ได้
"เฮ้อ เหลือพรุ่งนี้อีกวัน ความสงบสุขก็จะมาสู่มิลานแล้ว" ฉันบอกตัวเองดังๆ ก่อนจะอาบน้ำเตรียมตัวนอนเก็บแรงไปสู้ความบ้าพลังของพี่สาวในวันพรุ่งนี้
"พี่นาว่าไงนะ เปลี่ยนแผนจะไปคาปรีวันนี้" ฉันตะโกนกับโทรศัพท์ที่พี่สาวโทรมาบอกว่าเปลี่ยนแผนไปเที่ยวคาปรีเร็วขึ้นหนึ่งวัน ทั้งที่ฉันเตรียมตัวโดดเรียนวันจันทร์เพื่อพาผู้มาเยือนไปช็อปปิงก่อนไปเที่ยวต่อเมืองอื่น
"บังเอิญได้ตั๋วเครื่องบินพอดี ตอนแรกนึกว่าจองไม่ได้แล้ว พี่ขอโทษนะ ไว้ขากลับจะแวะมิลานเอาของฝากให้เรนก่อนกับกรุงเทพฯ นะ"
นั่นแหละพี่สาวสุดไฮเปอร์ที่รักของฉันคิดเร็วทำเร็วสมเป็นนักธุรกิจหญิง คลื่นลูกใหม่ที่ใครๆ ก็จับจ้อง
"ค่ะๆ อย่าลืมว่าของฝากเรนขอเป็นของกินนะ ของกินไม่ได้ไม่เอานะ" ฉันบอกไปก่อนจะได้ยินเสียงหวานดังแว๊ดจนฉันต้องยกหูโทรศัพท์ออกห่างหูทันที
"ไปหาข้าวกินแล้วเตรียมตัวไปเรียนดีกว่า" ฉันบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนจะแต่งตัวเพื่อออกไปเรียน
"หมอเอ็ดมาทำอะไรที่นี่ไม่ไปคาปรีกับพี่บอมอ่ะ" ฉันแทบกรี๊ดเมื่อลงมาจากหอก็เจอคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุดนั่งรออยู่ที่เก้าอี้สาธารณะ
"คาปรีเขาไว้ไปกันสองคน มีติ่งสามน่าเกลียดจะตาย แถมคู่นั้นมาฮันนีมูนรอบสองอีกต่างหาก ขี้เกียจไปเป็นก้าง สู้อยู่ที่มิลานเที่ยวรอสองคนนั้นมารับดีกว่า" นัยน์ตาหวิบหวับที่ฉันไม่กล้าสบตาเท่าไหร่ หน้าหล่อๆ ที่ฉันคิดว่าลืมไปได้แล้ว ดูจะกลับมาหลอนฉันอีกแล้ว
"ว่าแต่เรนจะใจดีพาพี่เที่ยวได้ไหม" สรรพนามที่เขาเปลี่ยนจากที่เคยใช้ว่าผม ทำฉันใจสั่นๆ ชอบกล
"เรนต้องเรียน ไม่ว่างพาหมอเอ็ดเที่ยวหรอก" ฉันก้มหน้ามองเท้าเพราะไม่อยากมองใบหน้าของเขา
"ใจร้ายจัง ทิ้งคนที่มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองได้" คำต่อว่าที่ฉันสงสารตะหงิดๆ เพราะไม่รู้ว่าคู่สวีทจะมารับคนถูกทิ้งวันไหน แต่หวังจากไม่ใช่วันที่จะกลับกรุงเทพอย่างที่ว่าจริงๆ นะ
"เรนว่างช่วงเย็นๆ หลังเลิกเรียนกับเสาร์อาทิตย์ ถ้าจะพาหมอเอ็ดเที่ยวได้ก็มีแต่ช่วงนั้น" เพราะสภาพของเขาที่เหมือนฉันตอนมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ทำให้ฉันไม่กล้าทิ้งเขาไปได้
"แค่นั้นก็พอแล้ว ขอบคุณนะเรน" มือใหญ่ขยี้ผมฉันอย่างทุกทีที่เขานึกเอ็นดูมันทำให้ใจของฉันสั่นไหว
แต่เสียงในใจก็บอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะรักได้เป็นอันขาด
และที่ต้องมาระหกระเหินถึงที่นี่ ก็เพราะการสาบหัวใจที่ไร้รักให้กลายเป็นหินตลอดกาลไม่ใช่หรือ
ไม่ใช่แค่พอเขามาดีด้วยหน่อยก็ใจอ่อน สุดท้ายก็ต้องมานั่งเลียแผลใจตัวเองในที่สุด
"งั้นวันนี้พี่จะรอทานข้าวเย็นนะ" คำพูดที่ทำให้ฉันไม่มีสมาธิเรียนเฝ้าแต่มองนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลาเรียน จนเผลอเอามือไปนาบหม้อต้มน้ำที่ร้อนจัด จนหนังที่หลังมือลอกไปเป็นแถบ ร้อนอาจารย์และเพื่อนๆ ต้องพาส่งโรงพยาบาลกันให้วุ่น
"เรนอยู่ไหน เลิกเรียนตั้งชั่วโมงแล้วทำไมไม่โทรหา พี่รอจนนึกว่าเกิดเรื่องเสียอีก" เสียงตามสายที่ฉันแค่โทรจะไปเลื่อนนัด เพราะเจ็บมือจนอยากนอนพักมากกว่า
"ขอโทษค่ะ แต่เรนพึ่งกลับจากโรงพยาบาล ที่นั้นเขาห้ามใช้มือถือ ตอนนี้นั่งรถจะถึงหอแล้ว" พอฉันตอบกลับไป ก็ได้ยินเสียงโวยวายกลับมาทันที
"อะไรนะ เรนเป็นอะไร ทำไมต้องไปโรงพยาบาล นี่กำลังจะกลับหอใช่ไหม พี่รออยู่หน้าหอนะ" คำพูดรัวเป็นปืนกลทำฉันอึ้งจนพูดไม่ออก พอดีกับรถจอดที่ป้านรถเมล์หน้าหอฉันพอดี
สายโทรศัพท์ตัดไปพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวยาวๆ มาถึงฉันแทบในทันทีที่ฉันก้าวขาลงจากรถสาธารณะ
"เรนมือไปทำอะไรมา" เสียงที่ถามด้วยความเป็นห่วงทำเอาฉันลืมความเจ็บไปเกือบหมด
"เรนซุ่มซ่ามเอามือไปแนบหม้อต้มน้ำจนหนังกำพร้าหลุดเองค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก" นัยน์ตาสีฟ้าของเขาดูเหมือนอยากจะเจ็บแทนฉันก็ทำให้ใจฉันไหวแกว่งจนน่ากลัว
"ทำไมถึงได้ซุ่มซ่ามแบบนี้นะ แค่ไม่เจอแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็เกิดเรื่องจนได้" เสียงที่ฟังเหมือนต่อว่าแต่มันแฝงไปด้วยความห่วงใยจนฉันแทบร้องไห้
"หมอเอ็ดเลิกทำเป็นห่วงเรนได้แล้ว อยากทำให้เรนเพ้อเจ้อไปคนเดียวได้ไหม" เมื่อสุดจะทานทนไว้ฉันจึงบอกเขาไปทั้งน้ำตาที่ร่วงรินอย่างห้ามไม่อยู่
"ทำไมพี่จะห่วงเรนไม่ได้ เรนน่าจะรู้ว่าพี่คิดยังไงกับเรน อีเมล์เป็นร้อยที่พี่ส่งให้เรน เรนก็ไม่เคยเปิดอ่านเลยใช่ไหม แล้วบอมไม่เคยบอกเลยหรือไง ว่าพี่บอกเลิกกับผู้หญิงทุกคนที่คบอยู่แล้วตั้งหน้านับวันรอเรนเรียนจบกลับไปเมืองไทยแค่ไหน เรนไม่รับรู้ความรักที่พี่มีต่อเรน เพียงเพราะพี่รู้ใจตัวเองช้าไปใช่ไหม"
คำต่อว่าของเอ็ดเวิร์ดเริ่มตีกันยุ่งกับฤทธิ์ยาแก้หัวที่ฉันกินเข้าไปตอนอยู่ที่โรงพยาบาล อีกทั้งไข้รุมๆ ที่เริ่มก่อตัวก็รุมเร้าจนฉันมึนไปหมด
ใบหน้าของเขาที่ดูเจ็บปวดตอนที่พูดอยู่นั้นบิดเบี้ยวและลางเลือนจนกระทั่งมืดมิดไปหมด
"ตื่นแล้วหรือ" คำถามของใครบางคนดังขึ้น จนฉันงงๆ ว่าอยู่ที่ไหน
พอลืมตาเต็มที่ฉันก็เห็นคนตัวสูงนั่งอยู่ข้างเตียงที่ฉันนอนอยู่ แต่สภาพห้องที่ฉันไม่คุ้นมันแม้แต่น้อย
"เรนอยู่ที่ไหน หมอเอ็ดพาเรนมาที่นี่ทำไหม" ฉันลุกนั่งอย่างตกใจเมื่อตื่นขึ้นในที่ห้องแปลกตาพร้อมผู้ชายที่ชอบเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น
"ใจเย็นๆ พี่พาเรนมานอนพักที่โรงแรมของบ้านพี่ ตอนนั้นอยู่ๆ เรนก็หมดสติไปเสียเฉยๆ พี่ก็จนปัญญาไม่รู้ว่าเรนพักอยู่ห้องไหน ชั้นไหน เลยต้องพาเรนมานอนพักที่ห้องพี่ก่อน"
คำอธิบายที่ไม่ได้ลดความกังวลให้ฉันเลยแม้แต่น้อย การเข้าโรงแรมมาอยู่ในห้องพักกับผู้ชายสองต่อสองมันก็ทำให้ชื่อเสียงฉันป่นปี้หมดแล้ว
"เรนกลับหอ" ฉันพยายามลุกขึ้นจากเตียง แต่อาการไข้ที่จะมีอยู่ก็ทำให้ฉันทรุดลงข้างเตียงทันที
"อย่าลุกพรวดพราดแบบนั้นสิ เรนไม่สบายอยู่นะ พี่สัญญาว่าเรนหายดีเมื่อไหร่จะพาเรนกลับหอทันที" เอ็ดเวิร์ดอุ้มฉันที่ไม่มีแรงต่อต้านขึ้นนอนบนเตียงใหม่ พลางห่มผ้าให้อย่างอ่อนโยน ฉันยอมนอนตามคำขอของเขาและเคลิ้มหลับไปในที่สุด
ฉันตื่นขึ้นอีกทีก็รุ่งเช้าขออีกวันแล้ว และต้องสะดุดตากับร่างใหญ่โตของเอ็ดเวิร์ดที่พยายามนอนบนโซฟาข้างเตียงที่ฉันจนแลดูเมื่อยขบน่าดู เมื่อเทียบขนาดร่างกายของเขาที่ทำให้เก้าอี้ดูตัวเล็กไปถนัดตา
"ตื่นแล้วเหรอ หิวหรือยัง" ฉันจ้องเขาเพลินจนไม่รู้ว่าเขาลืมตาตอนไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาถามขึ้นมา
ฉันพยักหน้าถี่ๆ เพราะฉันตอนนี้หิวจนแทบกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว
พอฉันเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จกลับออกมา รูมเซอร์วิสอาหารเช้าอย่างหรูก็ถูกเข็นเข้ามาวางกลางห้องจนฉันน้ำลายสอ
"มานั่งกินสิ วันนี้หยุดเรียนสักวันนะ พี่จะพาไปล้างแผลที่โรงพยาบาลอีกที" ฉันไปนั่งที่โต๊ะอาหารอย่างเชื่อฟังและลงมือกวาดอาหารใส่กระเพาะที่ว่างเปล่าจนเต็ม
"อย่าลืมโทรไปบอกเพื่อนเรื่องลาหยุดสิ" มือใหญ่ส่งโทรศัพท์ให้ฉันที่รับมาแต่โดยดี แต่มิวายแอบนินทาเขาในใจที่ชอบมาทำเผด็จการกับฉัน
หลังจากโทรศัพท์บอกเพื่อนในคลาสที่เข้าใจอย่างดีว่าเหตุการณ์เมื่อวานทำให้ฉันต้องการพักผ่อน จึงอาสาไปเรียนอาจารย์ให้ฉันอย่างเต็มใจ
จากนั้นฉันก็ถูกฮิตเลอร์ เอ้ยไม่ใช่เอ็ดเวิร์ดลากไปโรงพยาบาลเปลี่ยนผ้าพันแผล โดยมีเขาถืออภิสิทธิ์เข้าไปนั่งดูพยาบาลทำแผลให้ฉันใหม่
ฉันหลับตาปี๋กัดปากแน่นตอนที่นางพยาบาลใส่ยาฆ่าเชื้อที่แผลบนหลังมือของฉันที่วันนี้ดูน่ากลัวกว่าเมื่อวานเพราะเนื้อเยื่อรอบปากแผลเริ่มเปื่อยยุ่ยจนเกิดเป็นภาพที่ไม่ค่อยจะน่า อีกทั้งความแสบจนฉันสะดุ้งทุกครั้งที่ลำสาลีฆ่าเชื้อเช็ดลงมาที่แผลเพื่อเอาเนื้อส่วนที่ตายออกเพื่อลดการติดเชื้อ
เสียงขรุกขรักในลำคอของคนหัวทองที่นั่งข้างๆ ทำให้ฉันใจไม่ดี เริ่มกังวลถึงมือน้อยๆ ของตัวเองว่ามันจะอยู่กายฉันต่อไปได้นานอีกหรือไม่
"หมอเอ็ดมันร้ายแรงมากเหรอ ทำไมทำหน้าน่ากลัวจัง อย่าบอกนะว่าเรนจะต้องถูกตัดมือ ถ้าแผลไม่หาย" เสียงติดเครือของฉันเรียกให้คนทำหน้าเครียดยิ้มออกมา
"ไม่หรอกเรน แผลอาจจะลึก แต่ก็ไม่ร้ายแรงจนต้องตัดมือหรอก แต่ถ้าเรนดื้อมากๆ ชอบเอามือไปถูกน้ำบ่อยๆ ก่อนที่แผลจะแห้ง จนแผลติดเชื้อเมื่อไหร่ อาจต้องตัดมือจริงๆ ก็ได้" คำขู่ที่ฉันส่ายหน้าหวอ สาบานได้เลยว่าจะไม่ให้มันโดนน้ำตลอดเจ็ดวัน หรือกว่าแผลจะแห้งตามที่หมอสั่งแน่ๆ
"แล้วเรนต้องมาล้างแผลอีกไหม" ความเจ็บแสบจนแทบน้ำตาเล็ดทำฉันขยาดจนไม่อยากมาโรงพยาบาลอีก
"ก็คงมาโรงพยาบาลต้องล้างแผลจนกว่าแผลจะดีขึ้น หรือไม่ก็..."
เขาหยุดพูดจนฉันต้องกลั้นใจฟังรอให้เขาพูดต่อ
"หรือไม่ก็ให้พี่ช่วยล้างแผลให้แทน จะได้ไม่ต้องเสียเงินมาก" ข้อเสนอที่ฉันต้องจ้องหน้าคนพูดพลางคิดหนักอยู่นาน
เพราะข้อดีก็คือไม่เปลือง ไม่ว่ากระเป๋าฉันหรือกระเป๋าเขาเวลาไปโรงพยาบาล
แต่ข้อเสียที่ต้องคิดหนักก็คือ ฉันต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนๆ นี้ไปอีกนานเท่าไหร่
"คิดมากจัง มือชั้นนี้แล้วไม่ล้างแผลจนเรนต้องสูดปากแบบนางพยาบาลคนนั้นหรอกน่า" ใบหน้าหล่อของเอ็ดเวิร์ดยิ้มกว้างราวกับรู้ว่าฉันคิดอะไรอยู่
ที่จริงฉันก็ขยาดวิธีล้างแผลของนางพยาบาลคนเมื่อกี้เหมือนกัน เพราะตอนแกเอาสำลีถูกแผลฉันอย่างกับจะลอกผิวฉันออกไปอีกชั้นเสียด้วยซ้ำ เพราะสายตาแกเล่นจ้องคนข้างๆ ฉันแทนแผลเสียนี่
"มีมื้อเย็นเลี้ยงปลอบใจด้วยนะ" ข้อเสนอสุดท้ายที่ฉันหูผึ่งทันที
"....นะ" แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่เหลือน้อยนิดค้ำคออยู่ฉันจึงตอบแบบงึมงำในลำคอ
"อะไรนะ" นายเอ็ดเวิร์ดยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันเพราะไม่ทันได้ยิน
"อือ แต่ข้อเป็นอาหารจีนนะ" ฉันตะโกนใส่หูเขาจนสะดุ้งโหยงแล้วหัวเราะลั่นออกมา
"เธอนี่เห็นแก่กินจริงๆ" เอ็ดเวิร์ดหัวเราะพลางขยี้หัวฉันไม่เลิก
เกือบๆ สองอาทิตย์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับแผลที่หลังมือของฉันดีขึ้นมากทุกวัน จนกระทั่งวันที่พี่นากับพี่บอมกลับมาที่มิลานอีกครั้ง แสดงถึงเวลาต้องจากกันอีกครั้ง
ฉันนั่งรถไปส่งพวกเขาถึงสนามบิน และนั่งรอจนถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้วจริงๆ
"เรนมาทางนี้กับพี่หน่อยไหม พี่มีเรื่องจะพูดด้วย" เอ็ดเวิร์ดถือวิสาสะจูงมือฉันเดินออกห่างจากพี่นาและพี่บอม จนถึงระยะที่ห่างพอสมควรที่สองคนนั้นจะไม่ได้ยิน
"เรน พี่ขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองได้ไหม พิสูจน์ว่าพี่ดีพอที่จะดูแลเรนต่อจากพ่อแม่ของเรน" คำพูดที่เหมือนกึ่งคำขอแต่งงานก็ทำให้ฉันนิ่งอึ้งจนพูดไม่ออก
ทุกอย่างดูเหมือนมันจะรวดเร็ว และเหลือเชื่อเกินไปสำหรับฉันจนไม่อยากจะยอมรับได้ว่าผู้ชายที่จับมือฉันอยู่นั้นเป็นของจริง และคำพูดที่เขาเอ่ยมานั้นเชื่อได้
"พี่ไม่ได้ขอให้เรนต้องตกลงอะไรตอนนี้ แต่พี่อยากให้เรนเปิดใจยอมให้พี่ไปมีโอกาสคบหากับเรน และแสดงถึงความจริงใจจนเรนพร้อมที่จะวางชีวิตไว้ในมือพี่ได้ในที่สุด" คำร้องขอของเอ็เวิร์ดทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในฝันที่กำลังเจ้าชายคุกเข่าขอแต่งงานอยู่ตรงหน้า ซึ่งมันไม่น่าจะเกิดกับคนดาดๆ อย่างฉันได้เลย
"เรนไม่เข้าใจว่าหมอเอ็ดอยู่ๆ จะมารักปักใจกับเรนได้ยังไงกัน เรนเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่เป็นแปดสิบเปอร์เซ็นในโลกนี้ ไม่มีดีอะไรที่จะอวดใครได้ และไม่ได้สวยพอที่จะยืนเคียงข้างหมอเอ็ดได้เลย" ฉันพูดความจริงที่ฝั่งอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจออกมาจนหมด เผื่อว่าความฝันเพ้อเจ้อในตอนนี้จะได้จางหายไปเสียที
"ไม่สวย ไม่เด่น หรือจะซุ่มซ่ามแค่ไหน แต่พี่เชื่อว่าเรนจะมาเติมเต็มหัวใจที่เว้าๆ แหว่งๆ ของพี่ให้สมบูรณ์ได้ เราสองคนอาจมีพื้นหลังที่ต่างกันหรือมีปัญหาบางอย่างมาก่อน แต่พี่เชื่อว่าถ้าเราสองคนร่วมมือกัน ก็น่าจะก้าวข้ามมันมาได้ อยู่ที่ว่าเรนจะให้โอกาสพี่ได้หรือไม่" เอ็ดเวิร์ดพูดจบ เขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งส่งมาให้ฉัน
"ถ้าหมอเอ็ดจะขอโอกาสพิสูจน์ตัวเอง เรนก็จะให้ตามนั้นค่ะ อีกเกือบๆ สองปีที่เราจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน เรนจะรอดูว่าหมอเอ็ดจะดีแตกเอาวันไหน" ฉันวางมือลงในอุ้งมือหนาของเขาแสดงการตอบรับสัญญา พร้อมกับที่เขารวบมือฉันยกขึ้นแตะจมูกโด่งๆ ของเขาอย่างรวดเร็ว
"ไม่มีวันนั้น พี่สัญญา" รอยยิ้มที่เจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ทำให้ฝนหน้าแล้งอย่างฉันเกือบละลาย
สงสัยต้องเพิ่มสัญญาอีกข้อว่าห้ามเขาหล่อไปมากกว่านี้ดีไหมนะ
คำสาบและความโชคร้ายดูเหมือนจะเป็นโชคชะตาที่บันดาลให้ฉันได้มาเจอเขาคนนี้ คนที่ใช่อย่างแท้จริง
จบ ภาคหนึ่ง
ผลงานอื่นๆ ของ cottonแท้100% ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ cottonแท้100%
ความคิดเห็น