ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~ประวัติบุคคลสำคัญของโลก~

    ลำดับตอนที่ #13 : นโปเลียน โบนาปาร์ต

    • อัปเดตล่าสุด 16 ม.ค. 51


    นโปเลียน โบนาปาร์ต
    นโปเลียน โบนาปาร์ต (
    - 15 สิงหาคม พ.ศ. 2312 - 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2364) เป็นนายพลในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ดำรงตำแหน่งผู้ปกครองประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) และได้กลายเป็นจักรพรรดิ ของชาวฝรั่งเศสระหว่างปี พ.ศ. 2347 (ค.ศ. 1804) ถึง พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) ภายใต้พระนามว่า นโปเลียนที่ 1 ผู้ได้มีชัยและปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป และได้แต่งตั้งให้แม่ทัพและพี่น้องของเขาขึ้นครองบัลลังก์ในราชอาณาจักรยุโรปหลายแห่งด้วยกัน เช่น ประเทศสเปน เมืองเนเปิลในประเทศอิตาลี แคว้นเวสต์ฟาเลนในประเทศเยอรมนี ประเทศเนเธอร์แลนด์ และประเทศสวีเดน

    วัยเด็กและการเข้ารับราชการทหาร

    นโปเลียนเกิดที่เมืองอาฌัคซิโอหรืออายาชโช ในภาษาอิตาลี บนเกาะคอร์ซิกา เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2312 (ค.ศ. 1769) ซึ่งเป็นเวลาเพียง 1 ปี ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสได้ซื้อเกาะนี้ไปจาก สาธารณรัฐเจนัว พ.ศ. 2311 (ค.ศ. 1768) ครอบครัวของเขาเป็นหนึ่งในตระกูลผู้ดีจำนวนน้อยนิดบนเกาะคอร์ซิก้า บิดาของเขาชื่อชาร์ลส์ มาเรีย โบนาปาร์ตหรือ การ์โล มาเรีย บัวนาปาร์เต (สำเนียงอิตาลี) ได้จัดการให้เขาได้เข้ารับการศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส ที่เขาได้เข้าไปตั้งรกรากตั้งแต่อายุ 9 ขวบ

    ในตอนแรกเขาถูกมองว่าเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง ภายหลังการศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหาร (ที่เมืองโอเติง เบรียง(เนอ) หรือ บรีแอนน์(แล้วแต่สำเนียง) และ โรงเรียนทหารแห่งกรุงปารีส) เขาก็ได้เข้าร่วมกองพลปืนใหญ่ ภายใต้กองกำลังของลาแฟร์ ที่เมืองโอซ็อนน์ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นร้อยตรีที่เมืองวาล็องซ์ ในปี พ.ศ. 2330 (ค.ศ. 1787) ด้วยอารมณ์ที่ซ่อนเร้น ออกแนว โรแมนติก ในงานที่เขาเขียน ความอยากรู้อยากเห็นไม่มีที่สิ้นสุด บวกกับความทรงจำที่เป็นเลิศ ในปี พ.ศ. 2332 นโปเลียนหนุ่มมีความถนัดทางใช้สติปัญญามากกว่าทางใช้กำลัง

    เมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศสประทุขึ้นในปี พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) ร้อยโทโบนาปาร์ตได้อยู่ในเหตุการณ์ที่กรุงปารีส โดยเป็นฝ่ายสังเกตการณ์ เขาได้เฝ้าดูประชาชนบุกพระราชวังตุยเลอรีด้วยความขยะแขยง นโปเลียนเดินทางกลับมายังเกาะคอร์ซิกา ที่ซึ่งการสู้รบระหว่างฝ่ายต่าง ๆ เริ่มขึ้นอีกครั้ง (โดยมีทางฝ่ายของปาสกาล เปาลี สนับสนุนการนับถือราชวงศ์แบบอังกฤษ และทางตระกูลโบนาปาร์ตสนับสนุนการปฏิวัติ) นโปเลียนได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าของกองกำลังป้องกันตนเองแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2335 (ค.ศ. 1792) โดยการแย่งเอากองกำลังจากคณะกรรมาธิการของรัฐมาส่วนหนึ่ง แต่การประหารกษัตริย์ได้ทำให้เกิดการต่อต้านของฝ่ายอิสระ สงครามกลางเมืองได้ประทุขึ้น และตระกูลของนโปเลียนต้องหลบหนีออกจากเกาะคอร์ซิกา มายังประเทศฝรั่งเศส

    โบนาปาร์ตสนับสนุนการปฏิวัติ และได้ถูกส่งตัวไปรับตำแหน่งนายร้อยในกองพลปืนใหญ่ ที่ศูนย์บัญชาการเมืองตูลอง (Toulon) ในปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793) ซึ่งต่อมาได้ถูกมอบให้อังกฤษปกครอง แผนการที่นโปเลียนมอบให้ ฌาคส์ ฟร็องซัวส์ ดูก็องมิเย ทำให้สามารถยึดเมืองตูลองคืนมาจากกองทัพกลุ่มสนับสนุนระบอบกษัตริย์และพวกอังกฤษได้ มิตรภาพระหว่างเขาพวกฌาโกแบงทำให้เขาถูกจับในช่วงสั้น ๆ ภายหลังการล่มสลายของโรแบสปิแยร์ ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1794 (ค.ศ. 1794)

    หลังจากได้รับอิสรภาพ เขาก็ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ปราศจากผู้บังคับบัญชาอย่างเป็นทางการ และต่อมาปอล บาร์ราส์ ได้อนุญาตให้เขาบดขยี้กลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์ที่ลุกฮือที่เมืองว็องเดแมร์ เพื่อต่อต้านสมัชชาแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2338 (ค.ศ. 1795) ในโอกาสนี้เอง โบนาปาร์ตได้มีนายทหารหนุ่มชื่อโจอาคิม มูราท์ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติการประสบผลสำเร็จด้วยการยิงปืนใหญ่เข้าสลายกลุ่มสนับสนุนราชวงศ์ที่เมืองซังต์ โรช์

    โบนาปาร์ตมีจิตใจผ่องใส สามารถซึมซับความรู้ทางการทหาร รวมถึงยุทธวิธีในสมัยของเขา มาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์จริง เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ในกองพลปืนใหญ่ เขาได้คิดค้นการใช้ปืนใหญ่แห่งกริโบวาลเป็นกองทัพเคลื่อนที่ ใช้หนุนกองทหารเดินเท้าอีกทีหนึ่ง

    ปฏิบัติการในอิตาลี

    เพื่อเป็นรางวัล ที่สามารถการนำกองพลปืนใหญ่ปราบกบฏฝ่ายฝักใฝ่กษัตริย์ได้ นโปเลียนได้รับการแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพแห่งกองกำลังอิตาลี เพื่อยึดอิตาลีกลับคืนมาจากออสเตรีย กองกำลังของเขาขาดแคลน ทั้งยุทโธปกรณ์และเสบียงคลัง ซึ่งแม้เขาจะอดมื้อกินมื้อ และแต่งตัวซอมซ่อ แต่ก็ได้ฝึกฝนนายทหารในบังคับบัญชาด้วยความขะมักเขม้น และสามารถนำทัพเข้าปะทะกับกองกำลังของออสเตรียที่มีจำนวนมากกว่า และมียุทโธปกรณ์พร้อมกว่าได้ ในการรบหลายต่อหลายครั้ง ในสมรภูมิที่เมือง มองเตอโนต โลดี หรือ อาร์โกล มีนโปเลียนเป็นผู้นำทัพด้วยตนเอง การรบท่ามกลางห่ากระสุนทำให้ มุยร็อง เพื่อนและผู้ช่วยของเขาเสียชีวิต นโปเลียนเป็นนายทหารฝีมือฉกาจ ผู้ซึ่ง อยู่ทุกหนทุกแห่งและมองเห็นทุกอย่าง ว่องไวดุจสายฟ้าแลบและโจมตีดุจสายฟ้าฟาด เขาเป็นที่เคารพนับถือของผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยความสามารถในการบัญชาการ ความกล้าหาญและความเลือดเย็น ในบรรดานายทหารหลายนายที่แวดล้อมเขา นโปเลียนได้มองเห็นความสามารถของนายทหารนิรนามคนหนึ่ง ชื่อลานน์

    ตลอดการสู้รบในช่วงเวลานั้น ภาพวาดกองบัญชาการของนโปเลียนในสมัยนั้น ได้แสดงให้เห็นว่า นโปเลียนได้ใช้ระบบสื่อสารทางไกล ระบบแรกของโลกที่เรียกว่าโทรเลขที่คิดค้นโดยโกลด ชาปป์ (เช่นเดียวกับกองบัญชาการรบอื่น ๆ ในสมัยนั้น) นโปเลียนได้ทำให้ออสเตรียซึ่งบัญชาการโดยอาร์คดยุคชาร์ลส จำเป็นต้องลงนามในสนธิสัญญาที่เสียเปรียบ ที่มีชื่อว่าสนธิสัญญากัมโป-ฟอร์มิโอ ว่าด้วยเรื่องการให้ฝรั่งเศสเข้าครองเบลเยียม และยืดพรมแดนไปติดแม่น้ำไรน์ ส่วนออสเตรียได้ถือครองแคว้นเวเนเซีย

    เหตุการณ์ที่ประเทศอิตาลีนี้เอง ที่ทำให้นโปเลียนได้ตระหนักถึงพลังอำนาจของตน รวมทั้งสถานการณ์ที่เขาเป็นต่อ เขาเป็นจ้าวแห่งสนามรบเช่นเดียวกับในทุก ๆ ที่ เมืองมิลานเกิดสภาพคล้าย ๆ กับพระราชวังเล็ก ๆ รายล้อมนายพลนโปเลียน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของบรรดาเศรษฐีชาวอิตาลีเอาไว้ และได้เปรียบคู่ต่อสู้อยู่มาก แต่เขาก็ยังห่างไกล กับคณะกรรมาธิการรัฐ ที่มีอำนาจบริหารจัดการประเทศ ในปี พ.ศ. 2340 (ค.ศ. 1797) ด้วยแผนการของนายพลโอเฌโร นโปเลียนได้จัดการทางการเมืองบางอย่างที่ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ยังคงมีอำนาจในกรุงปารีสแตกฉานซ่านเซ็น และสามารถรักษาสาธารณรัฐของพวกฌาโกแบงเอาไว้ได้

    ปฏิบัติการในอียิปต์


    นโปเลียนเยือนผู้ป่วยกาฬโรคที่เมืองจาฟฟา วาดโดย อ็องตวน-จ็อง โกรส์

    ในปี พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) สมัชชาการปฏิวัติแห่งชาติฝรั่งเศส ได้กังวลต่อกระแสความนิยมที่ประชาชนมีต่อนโปเลียนที่เพิ่มสูงขึ้น จึงได้บัญชาการให้เขานำทัพบุกอียิปต์ โดยอ้างว่าฝรั่งเศสต้องการเข้าครองครองดินแดนตะวันออกใกล้ และตะวันออกกลางเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงของอังกฤษไปยังอินเดีย เนื่องด้วยนโปเลียนชื่นชมยุคแสงสว่างอยู่แล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจนำคณะนักวิทยาศาสตร์หลากหลายสาขาร่วมทัพไปกับเขาด้วย และจัดตั้งสถาบันอียิปต์ศึกษาขึ้น หนึ่งในเจ้าหน้าที่หนุ่มผู้ชาญฉลาดที่ร่วมเดินทางไปกับเขา ชื่อปิแอร์-ฟร็องซัวส์-ซาวิเย บูชาร์ด ได้ค้นพบศิลาจารึกแห่งโรเซตตา ที่ทำให้นักอียิปตวิทยา ฌอง-ฟร็องซัวส์ ช็องโปฺลลิยอง สามารถถอดรหัสอักษรไฮโรกลิฟฟิก ได้ในเวลาต่อมา

    หลังจากที่มีชัยในการรบที่ มองต์ ตาบอร์ (ฝรั่งเศสต้องการยึดเมืองในอียิปต์คืนจึงรบกับตุรกีที่มีอังกฤษหนุนหลัง) เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) การเดินทัพต่อไปยังซีเรียของนโปเลียนต้องชะงักเนื่องจากการระบาดของกาฬโรค อันเป็นเหตุให้มีประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก นโปเลียนได้เข้าจัดการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อกาฬโรคที่เมืองจาฟฟาเท่าที่สามารถทำได้

    เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) นโปเลียนมีชัยต่อกองกำลังมาเมอลุก (ทาสรับใช้กาหลิบของจักรวรรดิออตโตมัน) ในการรบที่พีระมิด ในสงครามเอ็มบาเบห์ ทำให้ชื่อของเขาขจรขจายไปไกล แต่การพ่ายแพ้ของเขากลับไม่เป็นที่กล่าวถึง เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม และ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2341 (ค.ศ. 1798) ทัพเรือของฝรั่งเศสที่นำนโปเลียนถูกกองเรือของโฮราชิโอ เนลสัน (ของอังกฤษ) ทำลายเกือบย่อยยับในการรบที่อ่าวอาบูกีร์

    สถานการณ์ระหว่างนโปเลียนกับสมัชชาแห่งชาติดีขึ้น ทำให้เขาสละตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพอียิปต์ให้กับฌอง-บัพติส เกลฺแบร์ และเดินทางกลับฝรั่งเศส ตลอดเส้นทางกลับกรุงปารีส นโปเลียนได้รับเสียงโห่ร้องชื่นชมจากประชาชนในฐานะวีรบุรุษ ส่วนฌอง-บัพติส เกลฺแบร์ ต้องพ่ายการรบเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2344 (ค.ศ. 1801) หลังจากเสียนายทหารไปกว่า 13,500 นาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหยื่อของโรคระบาด

     

    ก่อรัฐประหาร


    นโปเลียนก่อรัฐประหาร

    เมื่อนายพลนโปเลียนเดินทางกลับมาถึงกรุงปารีส เขาได้เข้าพบปะสนทนากับตัลเลย์ร็อง ผู้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นักการเมืองผู้มีประสบการณ์ และผู้รู้เกมการเมืองเป็นอย่างดี เขาได้ช่วยเตรียมการก่อรัฐประหาร โค่นล้มระบอบปกครองโดยคณะมนตรี ที่กำลังอ่อนแอและประชาชนเกลียดชัง โดยการโน้มน้าวผู้แทนราษฎรเลือกรัฐบาลใหม่ บีบให้หัวหน้าคณะรัฐบาลเดิมลาออก แล้วเลือกหัวหน้ารัฐบาลใหม่เข้ามาแทน ประกอบด้วยบุคคลสามคนที่ปราศจากมลทิน อันได้แก่ เอ็มมานูเอล โฌเเซฟ ซีแยส์ โรเฌ่ร์ ดือโกส์ (สมาชิกคณะมนตรีแห่งการปฏิวัติสองในจำนวนทั้งหมดห้าคน) และนโปเลียน ผู้ซึ่งได้รับความไว้วางใจ ให้มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ นับตั้งแต่เขายอมไปออกรบที่อียิปต์ และกลับมาในฐานะวีรบุรุษ วัตถุประสงค์ของการก่อรัฐประหารครั้งนี้ก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้ฝ่ายปฏิรูปหัวก้าวหน้า (ที่ต้องการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งตรงข้ามกับพวกจาโคบังที่ยึดติดกับระบอบกษัตริย์) ว่าจะยังรักษาความมั่งคั่งไว้ได้ต่อไป และนโปเลียนที่เชื่อในระบอบสาธารณรัฐยอมก็เสี่ยงกับแผนการดังกล่าว เพราะมีกระแสจะนำพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 มาขึ้นครองราชย์และฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ ซึ่งหมายความว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ผ่านมานั้นไร้ผล

    หลังจากที่ฝ่ายปฏิรูปหัวก้าวหน้าสามารถโน้มน้าวให้วุฒิสภาเห็นชอบกับการล้มล้างระบอบปกครองโดยคณะมนตรีได้แล้ว แผนการของการก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 18 เดือนบรูแมร์ พ.ศ. 2342 (ค.ศ. 1799) (ตามระบบปฏิทินของสาธารณรัฐฝรั่งเศส) ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้ นโปเลียนจะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อรักษาความสงบในกรุงปารีสและในรัฐสภา จากนั้นจึงจัดการโยกย้ายที่ทำการรัฐสภาไปยังเมืองแซงต์-กลูด เพื่อไม่ให้เกิดการจลาจลในกรุงปารีสขณะก่อรัฐประหาร และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยอ้างเหตุผลว่าลัทธิฌาโกแบงกำลังเสี่ยงต่อภัยคุกคามถึงขั้นถูกล้มล้างได้ ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1789เป็นต้นมา รัฐสภาก็ถูกประชาชนชาวปารีสคุกคามมาโดยตลอด

    เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวันที่ 19 เดือนบรูแมร์ ที่เมืองแซงต์-กลูด ฝ่ายปฏิรูปหัวก้าวหน้าได้เตรียมการเกลี้ยกล่อมให้คณะมนตรีแห่งการปฏิวัติห้าคน ยกขบวนลาออกจากรัฐสภาแห่งชาติ รวมทั้งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติห้าร้อยคนเลือกรัฐบาลใหม่ แต่แผนการดำเนินไปอย่างล่าช้าเนื่องจากแนวคิดนี้ไม่ได้รับฉันทามติจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะพวกฌาโกแบงสองคนไม่ยอมลาออก นโปเลียนเฝ้ารอและตัดสินใจเข้าแทรกแซงในที่สุด

    เขาได้นำกำลังทหารเข้าไปในห้องประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติห้าร้อยคน ที่กำลังถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน และได้พยายามพูดโน้มน้าวให้สภาดังกล่าวยอมรับการโค่นล้มระบอบปกครองโดยมุขมนตรี แต่ไม่มีผู้แทนคนใดยอมรับฟัง การเข้าแทรกแซงดังกล่าวทำให้นโปเลียนถูกบังคับให้ลาออกจากรัฐสภาแห่งชาติ แต่สถานการณ์กลับตาลปัดเมื่อมีผู้พยายามลอบแทงนโปเลียนในห้องประชุมสภา ฝ่ายได้เปรียบกลายเป็นฝ่ายนโปเลียนและลือเซียง โบนาปาร์ต น้องชายของนโปเลียนผู้ซึ่งเป็นผู้กุมบังเหียนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติห้าร้อยคนเอาไว้ ลูเซียนต้องการช่วยนโปเลียนจากสถานการณ์คับขัน จึงจัดการให้มีผู้ลอบแทงนโปเลียนเพื่อหาความชอบธรรมให้กองทัพเข้าแทรกแซง ภาพของผู้แทนที่โผล่มาจากทางหน้าต่างเพื่อลอบแทงนโปเลียนแพร่กระจายไปทั่ว นโปเลียนเป็นผู้ได้เปรียบในสถานการณ์นี้อย่างมาก เขาอ้างว่าถูกสมาชิกรัฐสภาใส่ร้ายว่าจะก่อรัฐประหารและเกือบจะถูกลอบสังหาร ทำให้เขาสามารถนำกองทัพเข้าบุกรัฐสภาที่เมืองแซงต์-กลูด และก่อรัฐประหารได้สำเร็จในที่สุด

    แม้จะก่อรัฐประหารสำเร็จ แต่นโปเลียนก็ยังยึดติดกับรูปแบบการปกครองโดยกระบวนการทางกฎหมายอยู่ ในคืนวันที่ 19 เดือนบรูแมร์ หลังก่อรัฐประหารสำเร็จ คณะผู้แทนยังคงอยู่ที่แซงต์-กลูดเพื่อลงมติเสนอรายชื่อคณะกรรมาธิการสองชุดในการเตรียมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แสดงให้เห็นได้ว่า นโปเลียนต้องการผลักดันให้มีระบอบการปกครอง ที่กิจการต่าง ๆ ของรัฐผ่านการลงมติจากคณะผู้แทนราษฎร

    วันที่ 20 เดือนบรูแมร์ กงสุลสามคนได้รับการแต่งตั้งให้บริหารประเทศ ได้แก่ นโปเลียน, เอ็มมานูเอล โฌแซฟ ซีแยส์ และโรเฌ่ร์ ดือโกส์ นับเป็นจุดเริ่มต้นระบบการปกครองโดยคณะกงสุล

    นโปเลียนได้ประกาศว่า "ประชาชนทั้งหลาย...การปฏิวัติยังคงยึดมั่นบนหลักการเดียวกันกับเมื่อมันได้เริ่มต้นขึ้น นั่นคือ การปฏิวัติสิ้นสุดลงแล้ว"'''Citoyen,la Revolution est fixee aux principe qui l'avait commencee elle est finie! ระบอบกงสุลได้ถูกจัดตั้งขึ้น เป็นระบอบการปกครองที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือกงสุลสามคน ซึ่งอันที่จริงแล้ว มีเพียงกงสุลคนแรกเท่านั้นที่กุมอำนาจไว้อย่างแท้จริง ฝรั่งเศสเตรียมเข้าสู่ยุคใหม่ที่ประชาชนในชาติจะต้องฝากชะตาไว้ในมือของจักรพรรดิ



    ความพ่ายแพ้ในฝรั่งเศส

    ในปี พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) สหราชอาณาจักร รัสเซีย ปรัสเซีย และออสเตรีย ได้ร่วมเป็นพันธมิตร แม้ว่านโปเลียนจะมีชัยอย่างไม่น่าเชื่อในการรบที่ ฌองโปแบร์ และ มองต์มิไรล์ ด้วยการนำทัพทหารใหม่ขาดประสบการณ์ (กองทัพมารี-ลุยส์ ที่ตั้งชื่อตามมารี-ลุยส์ แห่งออสเตรีย จักรพรรดินีของนโปเลียน) กรุงปารีสถูกตีแตกเมื่อวันที่ 31 มีนาคม และเหล่าจอมพลได้บังคับให้นโปเลียนสละราชบัลลังก์

    นโปเลียนคิดว่าฝ่ายพันธมิตรจะแยกเขาออกจากจักรพรรดินีมารี-ลุยส์ และนโปเลียนที่ 2 กษัตริย์แห่งโรม พระโอรสของพระองค์ ดังนั้น ในคืนวันที่ 12 และเช้าวันที่ 13 เมษายน นโปเลียนได้กินยาพิษไปในปริมาณที่จะปลิดชีพพระองค์เองได้ นั่นคือ ฝิ่นผสมกับน้ำเล็กน้อย มีคนบอกพระองค์ว่าส่วนผสมดังกล่าวมีพิษมากพอที่จะฆ่าคนได้ถึงสองคน

    พระองค์เลือกที่จะฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้เพราะเชื่อว่าศพของพระองค์จะต้องถูกประจานให้คนฝรั่งเศสดู พระองค์ต้องการให้ข้าราชบริพารของพระองค์จำพระพักตร์ที่เรียบเฉยได้ เช่นเดียวกับที่เคยเห็นพระองค์ในสมรภูมิ

    หลังจากผ่านพ้นเวลาเที่ยงคืนมาอย่างทุกข์ทรมาน จักรพรรดิก็บ่นว่าส่วนผสมฝิ่นของพระองค์ออกฤทธิ์ช้าเกินไป

    พระองค์ได้ประกาศต่ออาร์มองด์ ออกุสตัง ลุยส์ เดอ โกลังกูร์ ว่า "เราตายด้วยความทุกข์ทรมาน เราทุกข์ที่มีรัฐธรรมนูญที่ยืดชีวิตออกไปและทำให้ข้าจบชีพลงช้ากว่าเดิม!"

    อาการคลื่นเหียนอาเจียนของนโปเลียนรุนแรงขึ้นทุกทีจนไม่อาจกลั้นอาเจียนไว้ได้อีกต่อมา จนกระทั่งอาเจียนออกมาอย่างรุนแรง พระองค์ทรงทุกข์ทรมานอย่างไม่สิ้นสุดจนกระทั่งนายแพทย์อีวองมาถึง

    นโปเลียนได้ขอให้แพทย์ให้ยาพิษอีกขนานเพื่อจะได้สวรรคตเสียที แต่นายแพทย์ปฏิเสธโดยกราบทูลว่าเขาไม่ใช่ฆาตรกรและเขาจะไม่ยอมทำในสิ่งที่ขัดต่อสามัญสำนึกของตนอย่างเด็ดขาด

    ความทรมานของจักรพรรดิยังคงดำเนินต่อไป โกลังกูร์ ออกจากห้องและบอกให้ข้ารับใช้ส่วนพระองค์และข้าราชบริพารฝ่ายในเงียบเสียง นโปเลียนเรียกโกลังกูร์และบอกว่าพระองค์ยอมตายเสียดีกว่ายอมลงนามในสนธิสัญญา

    ยาพิษได้คลายฤทธิ์ลง และพระองค์ก็สามารถดำเนินกิจกรรมตามปกติได้ในที่สุด

    ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงรอดชีวิตมาได้จากการกลืนฝิ่นเข้าไปในปริมาณขนาดนั้น ไม่กระเพาะของพระองค์ขย้อนออกมา ไม่ก็ยาพิษได้เสื่อมฤทธิ์ลงไปเอง

    พระองค์ต้องไปลี้ภัยที่เกาะเอลบา ตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาฟองเตนโบล ยังทรงดำรงพระยศเป็นจักรพรรดิ แต่ทรงปกครองได้เฉพาะบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้เท่านั้น

    คืนสู่อำนาจเป็นเวลาร้อยวัน

    ที่ประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ได้ขับไล่ นโปเลียนที่ 2 และขึ้นครองราชย์แทน นโปเลียนเป็นกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของพระมเหสีและโดยเฉพาะอย่างยิ่งของพระโอรสของพระองค์ที่ตกอยู่ในเงื้อมือของพวกออสเตรีย รัฐบาลฝรั่งเศสที่ฝักใฝ่ในระบอบกษัตริย์ปฏิเสธจะจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ตามสัญญาในที่สุด และมีข่าวลือว่าเขากำลังจะถูกส่งตัวไปยังเกาะเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก

    ดังนั้น นโปเลียนที่หลบหนีออกจากห้องขังบนเกาะเอลบา ได้ขึ้นสู่ฝั่งบนแผ่นดินฝรั่งเศสใกล้ ๆ กับเมืองกานส์ เมื่อเดือนมีนาคม ปี พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) กองทัพที่ถูกส่งไปจับกุมตัวเขากลับมา ต่างโห่ร้องต้อนรับเขาเยี่ยงวีรบุรุษตลอดเส้นทางจากชายฝั่งริเวียราฝรั่งเศส ขึ้นมายังเมืองลียอง ซึ่งเส้นทางดังกล่าวถูกเรียกว่า "ถนนสายนโปเลียน" ไปแล้ว จอมพลมิเชล ไนยผู้ซึ่งได้สาบานต่อหน้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 18ว่าจะนำนโปเลียนกลับมาในกรงเหล็ก ก็รู้สึกโอนอ่อนเข้าหาฝ่ายจักรพรรดิเดิมของตน (หลังที่นโปเลียนเดินอย่างอุกอาจเข้าไปประกาศต่อฝูงชนว่า "ทหารเเห่งกองทัพที่ 5 ฉันคือจักรพรรดิของพวกเจ้า พวกเจ้าก็รู้จักฉันดีอยู่เเล้วมิใช่หรือ ถ้าหากมีใครในบรรดาของพวกเจ้ามาเพื่อที่จะจับจักรพรรดิของเจ้า ฉันก็อยู่ที่นี่เเล้ว") ทำให้เขากลายเป็นจอมพลคนเดียวที่ถูกจับกุมในข้อหาทรราชย์ หลังจากการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ครั้งที่สอง นโปเลียนเดินทางถึงกรุงปารีสอย่างง่ายดาย ช่วงเวลา"คืนสู่อำนาจเป็นเวลาร้อยวัน" เริ่มต้นขึ้น แต่ความล้มเหลวก็เกิดขึ้นซ้ำรอย กองทัพของเขาพ่ายการรบกับอังกฤษและปรัสเซียที่สมรภูมิวอเตอร์ลู ในเบลเยียม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2358 จอมพลกรูชีไม่สามารถต้านทานกองทัพร่วมระหว่างอังกฤษและปรัสเซียได้ เนื่องจากเป็นทัพหลวงที่ยกมา

    ถูกเนรเทศไปเกาะแซงต์เตเเลน และกำเนิดของตำนาน

    นโปเลียนถูกขัง และถูกอังกฤษส่งตัวไปยังเกาะแซงต์เตเเลน ตามบัญชาการของ เซอร์ฮัดสัน โลว พร้อมกับนายทหารที่ยังจงรักภักดีบางส่วน รวมถึงท่านเคานท์ลาส กาสด้วย นโปเลียนได้ใช้เวลาบนเกาะซังต์เตเลน อุทิศให้กับการเขียนบันทึกความทรงจำของพระองค์เอง ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2364 (ค.ศ. 1821) พระองค์ได้ทรงเขียนพินัยกรรม และหมายเหตุพินัยกรรมหลายฉบับด้วยพระองค์เอง รวมกว่าสี่สิบหน้าด้วยกัน คำพูดสุดท้ายของพระองค์ก่อนสิ้นใจได้แก่ "ฝรั่งเศส กองทัพ เเม่ทัพ โฌเซฟีน" หรือจากที่บันทึกไว้ใน "จดหมายเหตุเกาะแซงต์เตเเลน" คือ "...ศีรษะ...กองทัพ...พระเจ้าช่วย!"

    ในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) จดหมายเหตุของท่านเค้านท์ลุยส์ มาร์ชองด์ ข้ารับใช้ของนโปเลียนได้ถูกตีพิมพ์ เขาได้เขียนเล่าเหตุการณ์ ช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายก่อนนโปเลียนจะสวรรคต และหลายคนเชื่อว่าพระองค์ถูกลอบวางยาพิษด้วยสารหนู ในปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ปาสคาล คินท์ แห่งสถาบันกฎหมายเมืองสตราสบูร์กได้ทำการพิสูจน์ทฤษฎีนี้ ด้วยการศึกษาหาระดับสารหนูในเส้นพระเกศา(ผม) ของนโปเลียนภายหลังจากที่พระองค์สวรรคต ซึ่งก็พบว่ามีสารหนูอยู่เกินกว่าระดับปกติ 7 ถึง 38 เท่า การวิเคราะห์ของนิตยสาร วิทยาศาสตร์และชีวิต ได้แสดงให้เห็นว่า สามารถพบสารหนูในระดับความเข้มข้นเท่ากันจากตัวอย่างที่เก็บได้มาจากปี พ.ศ. 2348 พ.ศ. 2357 และ พ.ศ. 2364 ดังนั้นจึงต้องกล่าวถึง ธรรมเนียมในสมัยนั้นที่นิยมสวมวิกผมพ่นทับด้วยแป้งผง ยิ่งไปกว่านั้น เราอาจเชื่อในการวิเคราะห์ของนักวิจัยชาวสวิสที่บอกว่า นโปเลียนสวรรคตจากโรคมะเร็งในกระเพาะ แม้ว่าจักรพรรดิจะมีพระวรกายค่อนข้างเจ้าเนื้อก่อนสวรรคต (น้ำหนัก 75.5 ก.ก. ส่วนสูง 167 ซ.ม.) นักวิจัยยังได้สำรวจกางเกงที่นโปเลียนสวมใส่ในสมัยนั้น และสามารถระบุได้ว่าพระองค์มีน้ำหนักลดลงถึง 11 ก.ก. ภายในเวลา 5 เดือนก่อนการสวรรคต สมมติฐานดังกล่าวเคยถูกกล่าวว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากนโปเลียนมีพระวรกายใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นคนป่วยด้วยโรคมะเร็ง

    นโปเลียนได้ขอให้ฝังพระศพของพระองค์ไว้ริมฝั่งแม่น้ำเเซน แต่เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2364 (ค.ศ. 1821) พระศพของพระองค์ได้ถูกปลงที่เกาะเเซงต์เตเเลน ในปี พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) พระบรมอัฐิได้ถูกนำกลับมายังประเทศฝรั่งเศสด้วยการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ และได้ถูกฝังไว้ที่หลุมฝังพระบรมศพแห่งแองวาลีดในกรุงปารีส โดยใส่ไว้ในโถที่ทำด้วยหินเนื้อดอก (อันเป็นของขวัญที่รัสเซียมอบให้แก่ฝรั่งเศส)

    มุมมองร่วมสมัยที่มีต่อนโปเลียน

    ·      ชัปตาล: นโปเลียนได้ใช้พระองค์เองเป็นจดหมายเหตุเพื่อทำสงครามกับศัตรู โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกอังกฤษ พระองค์ได้ทรงเขียนบันทึกทุกฉบับด้วยพระองค์เอง สำหรับให้ลงในหนังสือพิมพ์ le Moniteur เพื่อตอบโต้บทวิจารณ์ที่ขมขื่นและข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นจริงที่ได้ถูกตีพิมพ์ไว้ในหนังสือพิมพ์อังกฤษ เมื่อพระองค์ได้ทรงตีพิมพ์บันทึกฉบับหนึ่ง พระองค์ทรงเชื่อว่าสามารถโน้มน้ามผู้อ่านได้แล้ว เราคงจำกันได้ว่าบันทึกส่วนใหญ่ไม่ใช่ต้นแบบที่ดีของงานเขียน หรือตัวอย่างที่ดีของวรรณกรรม แต่พระองค์ก็มิได้ทรงตีพิมพ์อะไรที่แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของพระองค์ หรือความสามารถที่พระองค์มีเอาไว้เลย

    ผลงานของนโปเลียน โบนาปาร์ต

    ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่

    ·      13 ธันวาคม ค.ศ. 1799 (วันที่ 22 เดือนฟรีแมร์ ปีที่ 8 ตามระบบปฏิทินของสาธารณรัฐฝรั่งเศส) มาตราที่ 52 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส สถาปนาคณะที่ปรึกษาแห่งรัฐฝรั่งเศส

    ·      13 ธันวาคม ค.ศ. 1799 (วันที่ 22 เดือนฟรีแมร์ ปีที่ 8) สถาปนาวุฒิสภาฝรั่งเศส

    ·      13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1800 (วันที่ 24 เดือนปลูวิโอส ปีที่ 8) สถาปนาธนาคารแห่งชาติฝรั่งเศส

    ·      17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1800 (วันที่ 28 เดือนปลูวิโอส ปีที่ 8) ก่อตั้งที่ทำการอำเภอ

    ·      8 เมษายน ค.ศ. 1802 (วันที่ 18 เดือนแจร์มินาล ปีที่ 10) ลงพระนามร่วมกับสมเด็จพระสันตปาปาปีอุสที่ 7 ในความตกลงว่าด้วยเรื่องศาสนาของประเทศ

    ·      1 พฤษภาคม ค.ศ. 1802 (วันที่ 11 เดือนฟลอเรอาล ปีที่ 10) กงสุลใหญ่โบนาปาร์ตได้สถาปนาโรงเรียนมัธยมในฝรั่งเศส

    ·      19 พฤษภาคม ค.ศ. 1802 (วันที่ 29 เดือนฟลอเรอาล ปีที่ 10) ได้สถาปนาสมาคมเครื่องราชอิศริยาภรณ์แห่งชาติ

    ·       24 ธันวาคม ค.ศ. 1802 ก่อตั้งหอการค้า 22 แห่ง

    ·       7 เมษายน ค.ศ. 1803 (วันที่ 17 เดือนแฌร์มินาล ปีที่ 11) ได้ริเริ่มระบบเงินฟรังก์แจร์มินาล

    ·       21 มีนาคม ค.ศ. 1804 (วันที่ 30 เดือนเวนโตส ปีที่ 12) ประมวลกฎหมายแพ่งได้เริ่มมีผลบังคับใช้

    ในช่วงที่เป็นจักรพรรดิ

    ·       18 มีนาคม ค.ศ. 1806 (วันทื่ 21 เดือนแจร์มินาล ปีที่ 9) สถาปนาคณะที่ปรึกษาพรูดอม

    ·       10 พฤษภาคม ค.ศ. 1806 สถาปนามหาวิทยาลัยแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้นเป็นแห่งแรก (ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน เนื่องจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1257)

    ·       ในปี ค.ศ. 1806 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงมีพระราชดำริให้สร้างประตูชัยขึ้นที่จตุรัสเดอเลตวล

    ·       9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1807 ทรงรื้อฟื้นระบบศาลสูงของศาสนายิว (ทำให้ชาวยิวสามารถปรับตัวเข้ากับการพำนักอาศัยในจักรวรรดิฝรั่งเศสได้ง่ายขึ้น)

    ·       16 กันยายน ค.ศ. 1807 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงสถาปนาสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้น

    ·       ในปี ค.ศ. 1807 นโปเลียนได้มอบหมายให้ อเล็กซองเดรอ เธโอดอร์ บร็องจ์นิอาร์ รับผิดชอบในการก่อสร้างตลาดหุ้นฝรั่งเศสขึ้นในกาลต่อมา

    ·       17 มีนาคม ค.ศ. 1808 นโปเลียนทรงมีพระราชดำริโปรดเกล้าให้สร้างระบบสอบไล่มาตรฐานขั้นมัธยมศึกษาแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้น

    ·       12 มีนาคม ค.ศ. 1810 ทรงมีพระราชดำริโปรดเกล้าให้ตรากฎหมายอาญาแห่งชาติฝรั่งเศสขึ้น

    ครอบครัว

    การสมรสและโอรสธิดา

    ·      นโปเลียนแต่งงานสองครั้ง :

    o    เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2339 (ค.ศ. 1796) (เมื่อครั้งยังเป็นนายพลก่อนออกปฏิบัติการในอียิปต์) ได้เข้าพิธีสมรสกับนางโจเซฟีน เดอ โบอาร์เนส์ แม่ม่ายลูกติดชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเบเก จากหมู่เกาะมาร์ตีนีก ผู้ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสในพิธีขึ้นครองราชย์ของนโปเลียน เนื่องจากนางมีอายุมากแล้วจึงไม่สามารถมีโอรสธิดาให้กับนโปเลียนได้ ซึ่งการที่องค์จักรพรรดิไร้ซึ่งผู้สืบทอดบัลลังก์ดังกล่าวถูกมองว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของจักรวรรดิ การสมรสครั้งนี้จึงจบลงด้วยการหย่าร้าง

    o     เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2353 (ค.ศ. 1810) ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส (โดยการให้เอกอัครราชทูตไปสู่ขอ) กับอาร์คดัชเชสมารี-หลุยส์ แห่งออสเตรีย เพื่อเป็นการสานสัมพันธไมตรีและหลีกเลี่ยงสงครามกับออสเตรีย อาร์คดัชเชสมารี-ลุยส์ได้ให้กำเนิดพระราชโอรสหนึ่งพระองต์ ได้แก่ นโปเลียนที่ 2 (ประสูติ 20 มีนาคม พ.ศ. 2354 สิ้นพระชนม์ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2375) ทรงได้รับการแต่งตั้งจากนโปเลียนให้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์แห่งกรุงโรม ดยุคแห่งไรช์ชตาดท์ แต่เรามักจะเรียกพระองค์ว่านโปเลียนที่ 2 เสียมากกว่า แม้ว่าพระองค์จะไม่เคยขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองฝรั่งเศสอย่างแท้จริงเลยก็ตาม ถ้าจะว่ากันตามทฤษฎีแล้ว รัชสมัยของพระองค์กินระยะเวลาเพียง 15 วัน ระหว่างวันที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ถูกบังคับให้สละพระราชบัลลังก์ครั้งแรก จนกระทั่งการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บงในปี พ.ศ. 2357 พระฉายานามว่า เหยี่ยวน้อย นั้นมาจากบทกวีของวิคเตอร์ มารี อูโก ที่ประพันธ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2395 (ค.ศ. 1852)

    นโปเลียนยังมีบุตรนอกสมรสอีกอย่างน้อยสองคน ซึ่งทั้งสองคนนั้นต่างก็มีทายาทสืบต่อมา:

    o     ท่านเค้านท์ชาร์ล เลอง (ชาตะ ค.ศ. 1806 มรณะ ค.ศ. 1881) บุตรชายของนางแคทเทอรีน เอเลนอร์ เดอนูเอลล์ เดอ ลา เปลจเนอ (ชาตะ ค.ศ. 1787 มรณะ ค.ศ. 1868)

    o     เค้านท์ฟลอเรียน โจเซฟ โคโลนนา วาลูวสกา (ชาตะ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1810 มรณะ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1868) บุตรชายของเค้าน์เตสมารี วาลูวสกา (ชาตะ ค.ศ. 1789 มรณะ ค.ศ. 1817)

    และจากแหล่งข้อมูลที่ยังเป็นที่ถกเถียงกัน:

    o     เอมิลลี ลุยส์ มารี ฟร็องซวส โฌซฟีน เปลลาปรา บุตรสาวของฟร็องซัวส-มารี เลอรัว

    o     คาร์ล ยูจัง ฟอน มูห์ลเฟลด์ บุตรชายของวิคตอเรีย โครส์

    o     เอเลน นโปเลโอน โบนาปาร์ต บุตรสาวของเค้าน์เตสมองโตลอง

    o     จูลส์ บาร์เธเลมี-ซังต์-ติแลร์ (ชาตะ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1805 มรณะ 24 พฤศจิกายน ค.ศ. 1895) โดยไม่ทราบว่ามารดาของเขาเป็นใคร

    พี่น้องของนโปเลียน

    ·      กาโรลีน โบนาปาร์ต

    ·      เอลิซ่า โบนาปาร์ต

    ·      เฌโรม โบนาปาร์ต

    ·      โฌเเซฟ โบนาปาร์ต

    ·      ลุยส์ โบนาปาร์ต

    ·      ลือเซียง โบนาปาร์ต

    ·      เปาลีน โบนาปาร์ต

     หลานชายหญิง

    ·      นโปเลียนที่ 3 (ชารลส์ ลุยส์ นโปเลออง โบนาปาร์ต) หลานชาย ได้ใช้โอกาสจากความมีชื่อเสียงของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทำให้เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส ในช่วงสาธารณรัฐที่ 2 จากนั้นก็ได้ยึดอำนาจและก่อตั้งจักรวรรดิที่ 2 ขึ้น และเป็นจักรพรรดิปกครองฝรั่งเศสภายใต้พระนามว่าพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ตลอดการครองราชย์ของพระองค์ ได้มีการประกาศใช้กฎหมายทางสังคมและกฎหมายสมัยใหม่จำนวนมาก พระองค์พ่ายแพ้สงครามและยอมมอบตัวให้กับปรัสเซียในปี พ.ศ. 2413 (ค.ศ. 1870) จากการรบที่สมรภูมิเซดาน

    ·      ปิแอร์-นโปเลออง โบนาปาร์ต

    ·      ชาร์ล ลือเซียง โบนาปาร์ต นักสัตววิทยา

    เชื้อสายของนโปเลียนที่โด่งดัง

    ·      มารีเออ โบนาปาร์ต

    หนังสือชีวประวัติเกี่ยวกับนโปเลียน

    o    Jean Tulard, Napoléon ou le Mythe du Sauveur

    o    Jean Tulard (dir.) , Dictionnaire Napoléon

    o    Thierry Lentz (en collaboration) , Autour de l'empoisonnement de Napoléon, préfacé par Jean Tulard, Éd. Nouveau Monde, 2002

    o    Thierry Lentz, le Sacre de Napoléon, Éd. Nouveau Monde, 2003

    o    Thierry Lentz, Napoléon, Presses universitaires de France, coll. « Que sais-je ? », 2003

    o    André Suarès, Vues sur Napoléon, Grasset, 1933

    o    Adolphe Thiers, Histoire du Consulat et de l'Empire

    o    Chaptal, Mes souvenirs sur Napoléon

    o    François-René de Chateaubriand, Mémoires d'Outre-Tombe, livres XXIX à XXII

    o    Jacques Bainville, Napoléon, 1931

    o    Steven Englund, Napoléon « a political life », 2003

    o    Didier Le Gall, Napoléon et le Mémorial de Sainte-Hélène, Analyse d'un discours, Préface de Jean-Paul Bertaud, Editions Kimé, 2003.

    o    Maximilien Vox, Napoléon. Paris (France). Éditions du Seuil, collection Le temps qui court. 1959. 184 pages. Cote dewey : 923.1 N216v

    o    โตลสตอย, Guerre et Paix

    o    สต็องดาล, La Chartreuse de Parme

    o    ปาทริก ล็อมโบ, La Bataille

    ภาพยนตร์เกี่ยวกับนโปเลียน

    ·       พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Louis Feuillade (ฝรั่งเศส)

    ·       พ.ศ. 2470 (ค.ศ. 1927) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Abel Gance นำแสดงโดย Albert Dieudonné (ฝรั่งเศส)

    ·       พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) : ซังต์เตเลน (Napoleon auf St. Helena) อำนวยการสร้างโดย Lupu-Pick นำแสดงโดย Werner Krauss (ฝรั่งเศส)

    ·      พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) : นโปเลียน โบนาปาร์ต อำนวยการสร้างโดย Abel Gance นำแสดงโดย Albert Dieudonné (นำภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1927 มาสร้างใหม่ มีเสียงประกอบ) (ฝรั่งเศส)

    ·      พ.ศ. 2478 (ค.ศ. 1935) : Campo di maggio อำนวยการสร้างโดย Giovacchino Forzano นำแสดงโดย Corrado Racca (อิตาลี)

    ·      พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Luis César Amadori (อาร์เจนตินา)

    ·      พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Sacha Guitry นำแสดงโดย Daniel Gélin (ฝรั่งเศส)

    ·       พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) : เอาชแตร์ลิทซ์ อำนวยการสร้างโดย Abel Gance นำแสดงโดย Pierre Mondy (ฝรั่งเศส)

    ·       พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) : โบนาปาร์ตกับการปฏิวัติ อำนวยการสร้างโดย Abel Gance นำแสดงโดย Albert Dieudonné (นำมาสร้างใหม่จากภาคเดิมเมื่อปี ค.ศ. 1927 และ ค.ศ. 1934) (ละครโทรทํศน์ ออกอากาศในฝรั่งเศส)

    ·       พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) : วอเตอร์ลู อำนวยการสร้างโดย Serge Bondartchouk นำแสดงโดย Rod Steiger (สหราชอาณาจักร และรัสเซีย)

    ·       พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) :นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย András Sólyom นำแสดงโดย Péter Rudolf (ละครโทรทํศน์ ออกอากาศในฮังการี)

    ·       พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย José Fonseca e Costa, Eberhard Itzenplitz, Pierre Lary, Janusz Majewski, Krzysztof Zanussi นำแสดงโดย Jean-François Stévenin (ภาพยนตร์โทรทัศน์ ออกอากาศในฝรั่งเศส โปแลนด์ เบลเยียม แคนาดา)

    ·       พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) : Pan Tadeusz อำนวยการสร้างโดย Andrzej Wajda นำแสดงโดย Henryk Baranowski (โปแลนด์)

    ·       พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) : นโปเลียน อำนวยการสร้างโดย Yves Simoneau นำแสดงโดย Christian Clavier (ละครโทรทัศน์ ออกอากาศในฝรั่งเศส เยอรมนี แคนาดา สหรัฐ และสหราชอาณาจักร)


     

    จากกงสุลกลายเป็นจักรพรรดิ


    นโปเลียนบนหลังม้าวีซีร์ (ม้าทรงของนโปเลียน) วาดโดย ฌาคส์-ลุยส์ ดาวิด

    นโปเลียนได้เริ่มการปฏิรูปนับตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการปกครองในระบอบกงสุล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการศึกษา กระบวนการยุติธรรม การคลัง และระบบราชการ ประมวลกฎหมายแพ่งที่ฌอง-ฌากส์ เรฌีส์ เดอ กองบาเซเเรส์เป็นผู้เรียบเรียงขึ้นนั้น เป็นที่รู้จักในนามของกฎหมายนโปเลียน แห่งปี พ.ศ. 2347 (ค.ศ. 1804) และยังมีผลบังคับใช้ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน อย่างไรก็ดี กฎหมายแพ่งดังกล่าวนั้นมีรากฐานมาจาก กฎหมายในหมวดต่าง ๆ รวมถึงขนบธรรมเนียมหลากหลายจากระบอบปกครองในสมัยโบราณ ซึ่งนโปเลียนได้รวบรวมขึ้นใหม่

    ผลงานทางราชการของนโปเลียนมีต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2357 (ค.ศ. 1814) เขาได้จัดตั้งโรงเรียนมัธยม ธนาคารแห่งชาติฝรั่งเศส ระบบเงินฟรังก์แฌร์มินาล ที่ว่าการอำเภอ สภาที่ปรึกษาของรัฐ ริเริ่มการรังวัดพื้นที่ทั่วอาณาจักรฝรั่งเศส และจัดตั้งสมาคมเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งชาติ (L'ordre national de la Légion d'honneur)

    ในปี พ.ศ. 2343 (ค.ศ. 1800) นโปเลียนได้นำทัพบุกออสเตรียและยึดครองได้สำเร็จ ทำให้ออสเตรียที่พ่ายต่อทัพของนโปเลียนที่สมรภูมิเมืองมาเร็งโก และต่อทัพของฌอง วิคตอร์ มารี โมโรที่เมืองโฮเฮนลินเดอร์ ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาลูเนวิลล์ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2344 (ค.ศ. 1801) ซึ่งทำให้อังกฤษยอมลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกอาเมียงในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2344 ในกาลต่อมา ถ้าหากแม้อำนาจของนโปเลียนถูกสั่นคลอนภายหลังก่อรัฐประหาร ชัยชนะในสมรภูมิที่เมืองมาเร็งโกก็ทำให้สถานการณ์ของนโปเลียนแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันมาก

    เขาได้ส่งทหาร 70,000 นายไปยังเมืองเเซงต์-โดมังก์ (ชื่อของเฮติที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในสมัยนั้น) ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลชาร์ลส เลอแคลฺ เพื่อฟื้นฟูอำนาจของฝรั่งเศส หลังจากประสบความสำเร็จมาพอสมควร โดยเฉพาะจากการจับตูเเซงต์ ลูแวร์ตูร์ (ผู้ซึ่งเสียชีวิตที่ฟอร์ เดอ จัวย์ ที่อำเภอดูบส์ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2346) กองทัพของเขาก็ถูกทำลายโดยการระบาดของไข้เหลือง เมื่อเห็นดังนี้ นโปเลียนจึงยอมขายมลรัฐลุยเซียนา ให้กับสหรัฐอเมริกา ดินแดนขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ

    เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2343 (ค.ศ. 1800) (วันคริสตมาสอีฟ) ได้มีการลอบวางระเบิดนโปเลียนที่ถนนซังต์-นิเคส ในกรุงปารีส ขณะที่ขบวนรถม้าของเขากำลังมุ่งหน้าไปโรงโอเปร่า รถม้าของกงสุลใหญ่ได้ควบผ่านพ้นจุดเกิดเหตุไปอย่างรวดเร็ว ระเบิดเกิดปะทุขึ้นช้ากว่าที่คาดทำให้กระจกรถม้าแตกกระจายเท่านั้น แต่สถานที่เกิดเหตุที่กลายเป็นซากปรักหักพังเต็มไปด้วยความโกลาหล มีผู้เสียชีวิตกว่าสิบคน โฌเเซฟ ฟูเช ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทในสมัยนั้น ได้พิสูจน์ว่าอาชญากรรมดังกล่าวเป็นฝีมือกลุ่มฝักใฝ่กษัตริย์ ในขณะที่นโปเลียนเชื่อว่าเป็นฝีมือของพวกฌาโกเเบง การประหารดยุคแห่งอิงไฮน์เป็นหนึ่งในผลพวงตามมา

    ในปี พ.ศ. 2345 (ค.ศ. 1802) นโปเลียนได้รื้อฟื้นระบบทาสในดินแดนอาณานิคมขึ้นอีกตามคำขอของภริยา อันได้แก่นางโฌเซฟีน เดอ โบอาร์เเนส์ (ชาวเบเก จากหมู่เกาะ มาร์ตีนีก) การฟื้นฟูดังกล่าวทำให้ระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลวของอาณานิคมโพ้นทะเลทางตะวันออกของมหาสมุทรอินเดียกระเตื้องขึ้น ต้องรอถึงปี พ.ศ. 2391 (ค.ศ. 1848) กว่าความพยายามในการเลิกทาสอย่างเด็ดขาดจะประสบความสำเร็จ

    หลังจากที่นโปเลียนได้ขยายอิทธิพลไปถึงสวิส ที่ได้จัดตั้งสถาบันกระจายอำนาจในปัจจุบัน และไปยังเยอรมนี กรณีพิพาทของมอลตาก็เป็นข้ออ้างให้อังกฤษประกาศสงครามกับฝรั่งเศสอีกครั้งในปี พ.ศ. 2346 (ค.ศ. 1803) รวมทั้งหนุนหลังฝ่ายฝักใฝ่ระบอบกษัตริย์ที่ต่อต้านนโปเลียน นโปเลียนได้ตอบโต้ด้วยแนวคิดในการบุกอังกฤษ และเพื่อข่มขวัญฝ่ายฝักใฝ่กษัตริย์ที่อาจจะกำลังลอบวางแผนโค่นล้มเขาอยู่ กงสุลใหญ่ได้สั่งประหารดยุคแห่งอิงไฮน์ เจ้าชายแห่งราชวงศ์บูร์บอง

    การประหารเกิดขึ้นที่เมืองเเวงเเซนน์ชานกรุงปารีส ภายหลังการไต่สวนที่ถูกจัดฉากให้ดูเป็นไปตามกระบวนการ (ซึ่งก็พบว่าเจ้าชายไม่มีความผิด) มีเพียงอังกฤษเท่านั้นที่ทักท้วง ส่วนรัสเซียและออสเตรียนั้น สงวนท่าทีไม่ยอมทัดทาน ทำให้เกิดเสียงเล่าลือเกี่ยวกับนโปเลียนว่าเป็น โรเเบสปิแยร์บนหลังม้า (โรแบสปิแยร์เป็นอดีตนักการเมืองฝรั่งเศสผู้โหดเหี้ยม) (ที่เกาะเเซงต์-เตเเลน นโปเลียนยอมรับความผิดนี้ แม้ว่าตัลเลย์รองจะมีส่วนพัวพันด้วยก็ตาม) หลังจากได้ก่อความผิดนี้ต่อสาธารณรัฐ และเพื่อไม่ให้กงสุลใหญ่ขึ้นชื่อว่าก่อคดีสังหารบุคคลในราชวงศ์ซ้ำซ้อน นโปเลียนจึงได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2347 (ค.ศ. 1804)

    นโปเลียนยกตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิตาลี เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2348 ที่นครมิลาน

    ถ้าจะว่ากันไปแล้ว จักรวรรดิฝรั่งเศสเกิดขึ้นจากคำขอของวุฒิสภา นักประวัติศาสตร์สตีเฟน อิงลุนด์เชื่อในแนวความคิดที่ว่า การสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิของนโปเลียนนั้นเป็นไปเพื่อปกป้องสาธารณรัฐ หากนโปเลียนถูกโค่น กลุ่มคนต่าง ๆ จะล่มสลายไปกับเขาด้วย จักรพรรดิได้กลายมาเป็นสถาบัน ตอกย้ำความยั่งยืนของความเชื่อในการปกครองระบอบสาธารณรัฐ หากนโปเลียนตาย นั่นคือการสูญเสียผู้สืบทอดตำแหน่งที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศจากความโกลาหล และนั่นหมายถึงความสูญเสียของสิ่งที่ได้มาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส (ความเสมอภาค อิสรภาพ และ ความยุติธรรม) การที่เงินเหรียญของทางการฝรั่งเศสจารึกคำว่า จักรพรรดินโปเลียน - สาธารณรัฐฝรั่งเศส นั้น มิใช่คำพูดเสียดสีแต่อย่างใด

    การปกครองของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้กลายมาเป็นระบอบจักรวรรดินิยม ในภายหลังเท่านั้น เพื่อปกป้องสิ่งที่ได้มาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส

    พิธีขึ้นครองราชย์ของนโปเลียนมีขึ้น ภายใต้พระเนตรของสมเด็จพระสันตะปาปา ที่ไม่ได้รับเกียรติให้สวมมงกุฎให้นโปเลียน แต่ถูกลดบทบาทให้แค่มาร่วมอวยพรผู้นำฝรั่งเศสเท่านั้น แต่ก็นับเป็นโอกาสดีในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสกับวาติกัน การลงนามของกงสุลใหญ่ในปี พ.ศ. 2344 (ค.ศ. 1801) นั้น มีเนื้อหายอมรับว่าคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก เป็นศาสนาของชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ศาสนาประจำชาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมา นักบวชจะต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐ ในการฟื้นฟูนิกายโรมันคาธอลิก ทำให้เกิดความกังขาว่า เป็นไปได้หรือที่จะเกิดการฟื้นฟูนิกายโรมันคาทอลิก ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปีหลังจากที่หลวงยึดทรัพย์สินของโบสถ์? นโปเลียนสงวนท่าทีต่อหน้าสมเด็จพระสันตะปาปา เขาออกไปต้อนรับพระสันตะปาปาที่ป่าฟองเเตนโบล โดยขี่ม้าไปและสวมชุดล่าสัตว์ ทำให้ฉากการพบปะดังกล่าวมีลักษณะเหมือนการพบกันโดยบังเอิญ และเช่นเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2347 จักรพรรดิมิได้เป็นผู้เดินทางไปประกอบพิธีขึ้นครองราชย์ที่กรุงโรม ตามที่จักรพรรดิเยอรมันเคยกระทำ แต่เป็นพระสันตะปาปาที่ถูกเชิญมายังกรุงปารีส ราวกับว่าเป็นนักบวชที่เดินทางมาแสวงบุญ

    เราจะเห็นได้ว่า การที่นโปเลียนเข้าหาศาสนจักรนั้น เป็นไปเพื่อผลประโยชน์เฉพาะอย่าง (สร้างสัมพันธ์ระหว่างคาธอลิกกับฝรั่งเศส และทำให้จักรพรรดิมีฐานะเทียบเท่ากับกษัตริย์อย่างถูกต้อง) และเมื่อพระสันตะปาปามีท่าทีกระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งของนโปเลียน เขาก็ไม่รอช้าที่จะขังพระสันตะปาปาไว้ในพระราชวังฟองเเตนโบล


    นโปเลียนยกตัวเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ และสวมมงกุฎให้พระนางโฌเซฟีน เป็นจักรพรรดินี ในปี พ.ศ. 2347 วาดโดย ฌาคส์-ลุยส์ ดาวิด

    จักรวรรดิเรืองอำนาจ

    ในปี พ.ศ. 2347 (ค.ศ. 1804) ยังไม่ถึงเวลาแห่งการออกรบครั้งใหญ่เพื่อยึดครองดินแดน และนโปเลียนซึ่งยึดติดกับแนวความคิดว่า สันติภาพอย่างถาวรจะมีได้ ต่อเมื่อปราบสหราชอาณาจักรลงได้เท่านั้น ได้ร่วมกับพลเรือเอกลาตุชเชอ-เตรวิลล์ (ผู้ซึ่งเสียชีวิตก่อนจะกระทำการสำเร็จ) วางแผนบุกอังกฤษ ซึ่งเป็นแผนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากการรบที่สมรภูมิทราฟัลการ์ กองเรือฝรั่งเศส-สเปนที่บัญชาการโดยพลเรือเอกวิลล์เนิฟถูกพลเรือเอกเนลสันของอังกฤษตีจนแตกพ่าย ทำให้สหราชอาณาจักร กลายเป็นมหาอำนาจทางทะเล นับแต่นั้นจวบจนในอีกหนึ่งศตวรรษต่อมา

    ในปีเดียวกันนั้นเอง (พ.ศ. 2348) ได้มีการจัดตั้งกลุ่มแนวร่วมที่สามในยุโรปขึ้นเพื่อต่อต้านนโปเลียน ทำให้จักรพรรดิผู้ซึ่งกำลังบัญชาการ จากเมืองบูลอญในฝรั่งเศส เพื่อเตรียมการบุกบริเตนใหญ่ ต้องเผชิญกับสงคราม ซึ่งเกิดขึ้นในอีกฟากหนึ่งของทวีปยุโรปอย่างกะทันหัน นโปเลียนได้สั่งให้ตั้งรับโดยทันที โดยบังคับให้นำทัพใหญ่ออกเดินเท้า และสัญญาว่าจะนำชัยชนะ ต่อพวกออสเตรียและรัสเซียมาให้จากสมรภูมิเอาชแตร์ลิทซ์ ที่ได้ชื่อว่าเป็น"สงครามสามจักรพรรดิ"

    ในปี พ.ศ. 2349 (ค.ศ. 1806) ปรัสเซียได้ก่อเหตุพิพาทครั้งใหม่ ซึ่งเป็นแผนการที่นโปเลียนยังชื่นชม ในความรวดเร็วของการนำแนวคิดเรื่อง "จิตวิญญาณแห่งโลก"ของเฮเกลมาใช้ แต่นโปเลียนก็สามารถกวาดล้างกองทัพปรัสเซีย ที่การรบในสมรภูมิอิเอนาได้ในที่สุด (ซึ่งได้ความยินดีเป็นสองเท่าจากชัยชนะของดาวูต์ ที่เมืองโอเออสเต็ดท์ในช่วงเวลาเดียวกัน) แต่นโปเลียนยังไม่หยุดแค่นั้น ในปีถัดมาเขาได้เดินทัพข้ามโปแลนด์และสิ้นสุดลงด้วยการลงนามในสนธิสํญญาเมืองทิลสิทในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2350 (ค.ศ. 1807) กับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่หนึ่ง ซาร์แห่งรัสเซีย อันเป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการแบ่งดินแดนยุโรปกันระหว่างฝรั่งเศสและรัสเซีย สองมหาอำนาจในขณะนั้น เพื่อเป็นการข่มขวัญศัตรู (ฝรั่งเศสครองยุโรปตะวันตก และรัสเซียครองยุโรปตะวันออก โดยมีโปแลนด์อยู่ตรงกลาง)

    นโปเลียนผู้ซึ่งได้รับการศึกษาจากโรงเรียนและครูบาอาจารย์ในระบอบเก่า ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งนายทหารในกองทัพหลวง ได้ทำลายกฎเกณฑ์ดั้งเดิมทางการทหารอย่างสิ้นเชิง ด้วยการไม่ริเริ่มสงครามที่กินเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษในการรบด้วยพลทหาร 30 ถึง 50,000 นาย แต่มองหาการรบที่สามารถเผด็จศึกได้อย่างเด็ดขาด ใช้ทหารกว่า 100,000 นายหากจำเป็น นั่นคือนโปเลียนไม่ต้องการจะเป็นผู้นำในสมรภูมิเท่านั้น แต่ต้องการจะบดขยี้ศัตรูอีกด้วย

    ในปี พ.ศ. 2351 (ค.ศ. 1808) นโปเลียนได้สร้างระบบศักดินาของจักรวรรดิฝรั่งเศสให้แก่กลุ่มชนชั้นสูงที่แวดล้อมเขา ไม่นานต่อมา บรรดานายพันและนายพลของนโปเลียนต่างได้รับฐานันดรเป็นท่านเค้าท์แห่งจักรวรรดิ เจ้าชายแห่งเนอชาเเตล ดยุคแห่งโอเออสเต็ดท์ ดยุคแห่งมองต์เบลโล ดยุคแห่งดันต์ซิก ดยุคแห่งเอลชิงเกน กษัตริย์แห่งเนเปิล ฯลฯ

    จากกรุงอัมสเตอร์ดัมจากถึงกรุงโรม จักรวรรดิของนโปเลียนมีประชากรรวมทั้งสิ้นกว่า 70 ล้านคน โดยมีเพียง 30 ล้านคนเท่านั้นที่เป็นชาวฝรั่งเศส

    ปฏิบัติการที่คาบสมุทรอีเบเรีย ออสเตรีย และรัสเซีย

    เนื่องด้วยแนวคิดของอังกฤษที่จะกีดกันเรือสินค้าฝรั่งเศส นโปเลียนเลยพยายามจะบังคับให้เกิดการกีดกันภาคพื้นทวีป โดยมีวัตถุประสงค์จะหยุดยั้งกิจกรรมทางการพาณิชย์ของอุตสาหกรรมอังกฤษ โปรตุเกส อันเป็นประเทศพันธมิตรของอังกฤษมาเป็นเวลาช้านาน ปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญานี้ นโปเลียนจึงขอความช่วยเหลือจากสเปนในการบุกโปรตุเกส ในที่สุดเขาก็ได้รุกรานประเทศสเปน และตั้งโฌเเซฟ โบนาปาร์ต น้องชายขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองที่นั่น และโปรตุเกสก็ถูกนโปเลียนรุกรานเช่นกันในปี พ.ศ. 2350 (ค.ศ. 1807) ประชากรส่วนหนึ่งของสเปนที่คลั่งใคล้ในกลุ่มนักบวชได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านชาวฝรั่งเศส ในไม่ช้า กองพลทหารราบฝีมือเยี่ยมของอังกฤษ บัญชาการโดยว่าที่ดยุคแห่งเวลลิงตัน(อาร์เธอร์ เวลสลีย์) ก็ได้เคลื่อนทัพสู่สเปน โดยผ่านประเทศโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2351 (ค.ศ. 1808) และด้วยความช่วยเหลือของกลุ่มผู้รักชาติชาวสเปน ก็ได้ผลักดันกองทัพฝรั่งเศสออกจากคาบสมุทรอีเบเรีย ในขณะที่กองทหารที่ฝีมือดีที่สุดของฝรั่งเศสดำเนินภารกิจอยู่ในสเปน ออสเตรียก็ได้บุกฝรั่งเศสอีกครั้งจากแถบเยอรมนี และถูกปราบลงอย่างราบคาบในสมรภูมิที่เมืองวากร็อง จอมพลลานส์ เพื่อนและผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของจักรพรรดินโปเลียนได้ถึงแก่กรรมที่เมืองเอสลิง

    หลังจากที่พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย ได้รับการหนุนหลังจากชนชั้นสูงในรัสเซียที่เข้าข้างฝ่ายอังกฤษ ก็ได้ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับนโปเลียนในการโจมตีสหราชอาณาจักร นโปเลียนซึ่งเชื่อว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงสงครามกับอังกฤษได้ ได้กรีฑาทัพบุกรัสเซียในปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812) ทัพใหญ่ของนโปเลียนประกอบด้วยกองทัพพันธมิตรอิตาลี เยอรมนี และออสเตรียมีขนาดมหึมา มีทหารกว่า 600,000 นายที่ร่วมเดินทัพข้าม แม่น้ำนีเมน

    พวกรัสเซียที่บัญชาการโดยมิคาอิล อิลลาริโอโนวิทช์ โกเลนิทเชฟ-คูตูโซฟ ได้ใช้ยุทธวิธี แผ่นดินเดือด โดยถอยร่นให้ทัพฝรั่งเศสตามเข้ามาให้รัสเซีย การรบที่สมรภูมิเมืองมอสโกวาเมื่อวันที่ 12 กันยายน ไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ แม้ว่าพวกรัสเซียจะเป็นฝ่ายทิ้งชัยภูมิ แต่ทั้งสองฝ่ายก็เสียทหารไปในจำนวนเท่า ๆ กัน

    วันรุ่งขึ้นหลังจากกองทัพฝรั่งเศสเคลื่อนทัพเข้ากรุงมอสโก ก็พบว่ามอสโกกลายเป็นเมืองร้าง เมื่อฝรั่งเศสตายใจ พวกรัสเซียได้จุดไฟเผากรุงมอสโกในทันที ทำให้นโปเลียนต้องถอยทัพ ฤดูหนาวอันโหดร้าย กำลังจะมาเยือนดินแดนแถบรัสเซียในอีกเพียงไม่กี่วัน นโปเลียนที่คาดว่าจะมีความเคลื่อนไหวจากพระเจ้าซาร์ได้ชะลอการถอยทัพไปจนถึงนาทีสุดท้าย

    กองทัพฝรั่งเศสได้ถอยทัพอย่างทุลักทุเลไปทางเยอรมนี ในช่วงฤดูหนาวของรัสเซีย ผ่านดินแดนที่เคยเป็นทางผ่านตอนขามาและถูกโจมตีเสียย่อยยับ ในจำนวนทหารเกือบ 500,000 นายที่เข้าร่วมรบ มีเพียงหมื่นกว่านายที่สามารถข้ามแม่น้ำเบเรซินากลับมาได้ แถมยังถูกกองทัพรัสเซียดักโจมตี ทัพใหญ่ของนโปเลียนต้องถึงกาลล่มสลายเนื่องด้วยไม่รู้จักพื้นที่ดีพอ

    หลังจากที่ได้ใจจากข่าวความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในรัสเซีย กษัตริย์ยุโรปหลายพระองค์ได้แปรภักดิ์จากฝ่ายนโปเลียนและยกทัพมารบกับฝรั่งเศส นโปเลียนซึ่งถูกคนในกองทัพของเขาเองทรยศ ได้พบกับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงที่สมรภูมิเมืองไลพซิก หรือที่รู้จักในนามของ สงครามนานาชาติ ซึ่งกองทัพฝรั่งเศส 180,000 นายปะทะกับกองทัพพันธมิตร 300,000 นาย (รัสเซีย ออสเตรีย เยอรมนี สวีเดน) จอมพลโจเซฟ แอนโทนี โปเนียโตวสกี เจ้าชายแห่งโปแลนด์และพระราชนัดดาของกษัตริย์องค์สุดท้ายของโปแลนด์ ได้สิ้นพระชนม์ลงในการรบครั้งนี้ หลังจากพยายามนำทหารของพระองค์ข้ามแม่น้ำเอลสเตอร์ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 100,000 คน


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×