ตอนที่ 6 : บทที่ 4 : ประหลาดใจ
บทที่ 4 : ประหลาดใจ
มิคาสะชอบการไปโรงเรียน ถึงแม้บรรยากาศที่นั่นจะดูวุ่นวายและมีหลายคนที่น่ารำคาญ แต่เธอก็ยังรักในการไปโรงเรียน ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ได้พบอาจารย์วิชาเลขคนใหม่ ทัศนคติต่อการไปโรงเรียนของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อวันนั้นมีวิชาเลข อย่างเช่นวันนี้...
“อย่างที่บอกไปว่าโจทย์พวกนี้ไม่ได้ออกแค่ในข้อสอบของโรงเรียน แต่ยังมีหลายมหา’ลัยใช้โจทย์แนวนี้ในการสอบเข้า” น้ำเสียงนิ่งๆ ของรีไวล์ดังก้องไปทั่วห้อง เขากวาดตามองนักเรียนทุกคนอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ดวงตาคู่สวยสีดำนิล รีไวล์เพียงจ้องค้างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นด้วยสีหน้าเฉยชาดังเดิม
มิคาสะไม่อยากจะสนใจการกระทำของอาหนุ่มเท่าไหร่ เธอไม่คิดว่าการสบตาระหว่างเธอและเขาจะมีความหมายอะไรลึกซึ้งมากนัก เขาจ้องมองเธอนานกว่าคนอื่นๆ เพียงเพราะเธอคือญาติของเขา...และทั้งคู่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน มิคาสะอยากจะคิดอย่างนั้น ถ้าไม่ติดว่าเมื่อคืนเขาถามคำถามแปลกๆ ที่รบกวนจิตใจเธอตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้
‘หรือว่าเธอ...ต้องการเรียกร้องความสนใจจากฉัน’
มันฟังดูเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อรีไวล์พูดจบประโยค เจ้าตัวก็เดินออกจากห้องของเธอไป
“โฮ่ย อยากโดนหักคะแนนรึไง” มิคาสะตื่นจากภวังค์เมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงดุๆ ที่พุ่งตรงมายังเธอ นัยน์ตาสีดำนิลของเขาจ้องมาที่เธอนิ่งราวกับจะต่อว่า ใบหน้าคมคายที่ทุกครั้งดูเหมือนจะไม่แยแสต่อโลกดูมีอารมณ์หงุดหงิดหน่อยๆ “ถ้าอยากจะนั่งชมนกชมไม้ก็ออกไปข้างนอกซะ”
“ขอโทษค่ะ...” มิคาสะพูดออกไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะเบนหน้าไปทางอื่น ก็ยังดีที่เขาปฏิบัติกับเธอเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นทัศนคติที่เธอมีต่อเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังเป็นญาติที่เธอไม่อยากนับญาติด้วยอยู่วันยังค่ำ
ไม่นานรีไวล์ก็เริ่มสอนโจทย์ข้อต่อไป ถึงไม่อยากจะยอมรับ...แต่ในฐานะผู้ถ่ายทอดความรู้ เขาทำมันได้ดีทีเดียว คณิตศาสตร์คือวิชาที่มิคาสะถนัดมากที่สุด และเธอรู้สึกเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้มากขึ้นเมื่อมีเขามาเป็นผู้ชี้แนวทางให้ ถึงการสอนของรีไวล์จะดูเรียบๆ แต่มันทำให้นักเรียนทุกคนเข้าใจวิธีแก้โจทย์ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น...โดยเฉพาะโจทย์เชิงประยุกต์ที่มักถูกนำมาใช้ออกข้อสอบบ่อยๆ
“วันนี้พอแค่นี้” รีไวล์ลดหนังสือเลขในมือลงเมื่อปรายตาไปยังนาฬิกาบนฝาหนังที่บ่งบอกว่าใกล้เวลาพักเที่ยงแล้ว "อาทิตย์หน้าจะมีควิซของบทที่ห้า ถ้าไม่อยากเรียนเสริมตอนเย็น ไปหัดทำโจทย์มาซะ”
เสียงถอนหายใจของนักเรียนหลายๆ คนไม่ได้ทำให้รีไวล์เห็นใจพวกเขาแม้แต่น้อย ไม่รอให้หัวหน้าห้องสั่งทำความเคารพ อาจารย์หนุ่มผู้ไม่แยแสต่อสิ่งรอบตัวก็ได้เดินออกจากห้องไปเสียแล้ว มิคาสะแค่นหัวเราะให้กับความสุดโต่งของอาตัวเอง เธอจะไม่มีวันป่าวประกาศให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเขาเป็นอาของเธอ และเธอก็หวังว่ารีไวล์จะทำแบบเดียวกัน
“โว้ยยยย! ควิซอีกแล้ว! พวกอาจารย์นี่ว่างกันมากรึไง” ทันทีที่ได้โอกาส แจนก็เปิดปากโวยวายอย่างไม่เกรงใจใคร แต่ครั้งนี้หลายๆ คนกลับเห็นด้วยว่าสิ่งที่แจนพูดนั้นมีเหตุผล ไม่มีนักเรียนคนไหนอยากควิซวิชาเลขนักหรอก...โดยเฉพาะกับอาจารย์หน้าตายคนนี้!
“แล้วไอ้บทที่ห้านี่ง่ายซะที่ไหน ฆ่ากันให้ตายดีกว่า” โคนี่ร่วมเสริม
นักเรียนส่วนใหญ่เกลียดวิชานี้กันทั้งนั้น แต่การสอบเข้ามหา’ลัยมักดูคะแนนของวิชาเลขเป็นหลัก
“ดูเหมือนครั้งนี้ข้อสอบจะยากด้วยนะครับ” อาร์มินเอ่ยเบาๆ ด้วยสีหน้ากังวลใจ แต่ตรงข้ามกับคะแนนที่ได้
“หุบปากไปเลยอาร์มิน คราวที่แล้วได้ตั้งแปดสิบสี่ไม่ใช่เรอะ!”แจนตวาดใส่อาร์มินอย่างหงุดหงิด
“ตะ...แต่แจนเองก็ได้ตั้งเจ็ดสิบเก้านี่ครับ”
“ก็เรื่องนั้นมันง่ายนี่หว่า แต่ไอ้เรื่องล่าสุดนี่สิ...ไม่เข้าสมองเลยสักนิด”
แจน เคียสไตน์...ถึงภายนอกจะดูไม่เอาไหนและขี้หงุดหงิดง่าย แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่ชาญฉลาดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ สมองของแจนสามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ถึงอย่างนั้น...เขาต้องลดความประมาทของตัวเองลง ถ้ายังอยากได้คะแนนมากกว่านี้
“แต่ถ้าเรื่องวิชาเลขต้องยกให้มิคาสะเลยนะครับ” อาร์มินเปรยขึ้น ก่อนที่ทุกคนส่วนใหญ่ในห้องจะหันมาให้ความสนใจกับมิคาสะที่นั่งฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆ “สอบคราวที่แล้วมิคาสะทำได้ตั้งเก้าสิบหก สุดยอดมากๆ เลยนะครับ”
“นะ...นั่นสินะ” แจนครางให้กับความเก่งกาจของมิคาสะ ก่อนจะค่อยๆ สาวเท้ามาที่โต๊ะเรียนของเธอ “มิคาสะ...สอบที่จะถึงครั้งนี้ ช่วยติวให้ฉันหน่อยนะ”
“ไม่ล่ะ”
“ตะ...ตอบแบบไม่คิดเลยเหรอ!?” แจนเอ่ยทั้งน้ำตา ก่อนจะถูกมาร์โคลากร่างที่ไร้วิญญาณเพราะหัวใจแหลกสลายกลับไป
“ความฝันยังอีกยาวไกลนะแจน”
“เงียบไปเลยมาร์โค!”
“ฮ่าๆๆๆ” ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะให้กับความหน้าแตกหมอไม่รับเย็บของแจน
“เอ่อ...ไม่ได้อยากจะทำให้อารมณ์เสียหรอกนะครับมิคาสะ แต่ทำไมถึงไม่ติวให้แจนล่ะครับ เกลียดขี้หน้าเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลังจากที่แจนผละออกไป อาร์มินก็หันมาตั้งคำถามที่คาใจกับมิคาสะ เขาพอรู้อยู่ว่ามิคาสะไม่ได้โปรดปรานอะไรในตัวแจนมากนัก แต่ก็คงไม่ถึงกับเกลียดจนไม่อยากเห็นหน้า
“เปล่า ไม่ใช่หรอก...” มิคาสะส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตาอาร์มินด้วยสีหน้าลำบากใจนิดหน่อย อาร์มินไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นสีหน้าแบบนี้ของมิคาสะบ่อยนัก เพราะเธอมักเก็บอารมณ์และความรู้สึกภายใต้สีหน้าเรียบนิ่งอยู่เป็นประจำ “แค่ไม่มั่นใจน่ะ”
“ไม่มั่นใจเหรอครับ...”
“อืม บอกตามตรงว่ายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจะให้ไปติวคนอื่นในขณะที่ตัวเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะไม่ไหวหรอก” มิคาสะสารภาพเสียงนิ่ง ถึงแม้ท่าทีของเธอจะดูเรียบนิ่งแต่อาร์มินก็สัมผัสได้ถึงความเขินอายเล็กน้อยในน้ำเสียงของเธอ เขาจึงระบายยิ้มออกมาบางๆ เด็กหนุ่มไม่คิดเลยว่าเพื่อนสาวสุดแข็งแกร่งของเขาจะมีมุมผู้หญิงๆ แบบนี้เหมือนกัน “อีกอย่างแจนก็ฉลาดอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ติวให้ก็คงได้คะแนนดีแน่ๆ”
“ผมก็เห็นด้วยครับ” อาร์มินพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะนึกได้ว่ามีอีกคนที่เขาควรกังวลมากกว่าแจน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นไกลแต่คือเอเรน...เพื่อนสนิทของทั้งเขาและมิคาสะ “แต่เอเรนนี่สิครับ...คะแนนวิชาเลขครั้งล่าสุดก็ไม่ดีเท่าไหร่ด้วย ถ้าสอบตกควิซครั้งนี้อีกคนมีหวังต้องลงเรียนเสริมช่วงปิดเทอมแน่ๆ”
“นี่พวกนายกำลังนินทาฉันอยู่เรอะ!” ยังไม่ทันที่อาร์มินจะได้ถอนหายใจให้เสร็จสรรพ คนที่กำลังถูกกล่าวถึงก็กระโจนเข้ามาในวงสนทนาทันที ใบหน้าของเอเรนนั้นเต็มไปด้วยความรำคาญและหงุดหงิดเหมือนที่เขาชอบเป็นบ่อยๆ อาร์มินได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้กับผู้มาเยือน ผิดกับมิคาสะที่นั่งเงียบและเพียงปรายตามองเพื่อนของเธอนิ่งๆ อย่างไม่อยากมีส่วนร่วม
“พวกเราแค่เป็นห่วงเอเรนเท่านั้นแหละครับ”
“ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”
“เงียบเถอะน่ะเอเรน” มิคาสะถอนหายใจเบาๆ ด้วยความรำคาญใจ ปกติเธอไม่ค่อยมีปฏิกิริยาแบบนี้กับเอเรนนัก เพราะเธอมักปล่อยให้เขาทำอะไรตามอารมณ์ตลอด แต่ครั้งนี้เธอค่อนข้างหนักใจเรื่องควิซที่กำลังจะถึงจริงๆ ทั้งเป็นห่วงว่าเอเรนจะสอบไม่ผ่านและห่วงตัวเธอเองเหมือนกัน เนื่องจากอาจารย์ที่จะมาให้คะแนนครั้งนี้ไม่ใช่ใครอื่นไกล...แต่คืออาของเธอ
“สะ...สุดยอดไปเลยครับมิคาสะ” อาร์มินยกนิ้วโป้งให้มิคาสะอย่างตกตะลึง ในที่สุดมิคาสะก็ยอมเลิกตามใจเอเรนสักที
“อะไรกัน นี่พวกนายรวมหัวกันแกล้งฉันรึไง”
“เอเรน เลิกทำตัวไร้สาระแล้วสนใจเรื่องการเรียนซะ” มิคาสะยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะหันไปสบตาเอเรนนิ่งอย่างจริงจังจนคนถูกจ้องเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆ “ควิซครั้งนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะฉะนั้นตั้งใจทำโจทย์และอ่านหนังสือ”
“ขะ...เข้าใจแล้วน่า!”
“สุดสัปดาห์นี้ฉันจะติวให้”
“แต่ฉันไม่ได้ขอ...”
“หรือถ้าคิดว่าการเรียนเสริมคือสิ่งที่นายอยากทำช่วงปิดเทอมล่ะก็...ตามใจนายเลย” นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่มิคาสะเอ่ยออกมาก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เธอหวังดีกับเอเรนทุกอย่าง แต่เรื่องความงี่เง่าและเอาแต่ใจของเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“กลับมาแล้วค่ะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งดังออกมาจากร่างบางในขณะเปิดประตูเข้าบ้าน มิคาสะถอนหายใจเบาๆ ให้กับความว่างเปล่าตรงหน้าของเธอ เธอไม่คุ้นชินกับภาพที่อยู่ตรงหน้านี้เลย การต้องห่างไกลพ่อและแม่อันเป็นที่รักยิ่งทำให้เธอรู้สึกเดียวดาย ซึ่งมิคาสะไม่ชอบความรู้สึกนั้นเอาซะเลย
“กลับมาแล้วเหรอ” คิ้วเรียวโก่งเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นชิน รีไวล์เปิดประตูออกมาจากห้องส่วนตัวของเขาในชุดลำลอง ในมือของเขามีไม้ถูพื้น...แถมบนใบหน้าเนียนนั่นก็มีหน้ากากอนามัยบดบังอยู่ด้วย
เขากำลังทำความสะอาดอยู่งั้นเหรอ...?
“เธอกลับบ้านดึก” รีไวล์เอ่ยขึ้นขณะหันหน้ามองนาฬิกาบนฝาผนัง ได้ยินดังนั้น...มิคาสะจึงต้องหันหน้าไปมองตาม เวลาบนนาฬิกาบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว ซึ่งความจริงมิคาสะก็ไม่ได้กลับบ้านเวลานี้เป็นปกติหรอก แต่เพียงช่วงนี้เธอไม่ค่อยอยากกลับบ้าน เธอไม่รู้สึกว่าบ้านที่เธออยู่นั้นเหมือนเดิมเมื่อมีเขาเข้ามา...
“ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ” มิคาสะบอกโดยไม่สบตารีไวล์ เธอพยายามเลี่ยงที่จะพูดคุยกับเขาให้ได้มากที่สุด เพราะไม่ว่ากี่ครั้งที่เธอและเขาสนทนากัน...มันจะต้องจบลงพร้อมกับอารมณ์หงุดหงิดที่เธอได้รับเพิ่มมา
“ฉันไม่ได้สนว่าเธอดูแลตัวเองได้รึเปล่า แต่เธอกลับบ้านดึก” คำพูดของรีไวล์มักปลุกความเดือดดาลในตัวของมิคาสะทุกครั้ง ที่เธอยังใจเย็นได้อยู่แบบนี้มันเป็นเพราะแม่ของเธอขอให้ญาติดีกับเขาไว้...และเขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูล ‘แอคเคอร์แมน’ อีกต่างหาก
“คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ” มิคาสะพูดเสียงเรียบ พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองให้ได้มากที่สุด
คำพูดของมิคาสะทำให้รีไวล์เลิกคิ้วอย่างสงสัย
“หมายความว่าไง”
“คุณก็ใช้ชีวิตของคุณไป ฉันก็จะใช้ชีวิตในแบบของฉัน...” เธอค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปหารีไวล์ นัยน์ตาสีดำนิลทั้งสองข้างมองลึกลงไปในดวงตาดำนิลแบบเดียวกันของอีกฝ่ายอย่างไม่กระพริบ “ตกลงตามนี้นะคะ”
หลังจากพูดจบประโยค มิคาสะก็เตรียมตัวจะเดินตรงไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปที่ห้องนอนของเธอ แต่ข้อมือของเธอก็ถูกคว้าไว้เสียก่อน มิคาสะไม่บดบังความไม่พอใจของเธอแต่น้อย เธอย่นคิ้วอย่างหงุดหงิดพลางพยายามบิดมือออกจากการเกาะกุมของรีไวล์
“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ...”
“ปกติเธอทำความสะอาดบ้านหรือเปล่า”
“หา?”
“ตอบคำถาม”
“บะ...บางครั้งค่ะ” มิคาสะตอบคำถามของเขาอย่างไม่เข้าใจ เหมือนเธอกับเขากำลังคุยกันในหัวข้อสนทนาที่ไม่ตรงกันยังไงไม่รู้
“ดี” รีไวล์รับคำเนิบๆ พลางยื่นบางอย่างมาตรงหน้าเธอ มิคาสะรับผ้าขนหนูขนาดย่อมมาอย่างงงๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับรีไวล์อีกครั้งอย่างต้องการคำอธิบาย “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาทำความสะอาดซะ”
“อะไรนะคะ?” เธอร้องออกมาอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“หูหนวกรึไง ต้องให้พูดอีกรอบเหรอ”
“ฉะ...ฉันไม่เข้าใจ” มิคาสะกระพริบตาปริบๆ ผู้ชายคนนี้มีปัญหาด้านการสื่อสารหรือไง เขาดูไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังสื่อ และเธอเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่เหมือนกัน
“บ้านเธอสกปรก เธอก็แค่ต้องทำความสะอาด งงอะไรนักหนา” ใบหน้าของรีไวล์ยังคงเรียบนิ่งจนเธอไม่สบอารมณ์
“เรื่องนั้นฉันรู้ค่ะ แต่ฉันนึกว่าคุณกับฉันจะ...”
“ต่างคนต่างอยู่อะไรนั่นเหมือนที่เธอพูดน่ะเหรอ” มิคาสะไม่ตอบ เธอเพียงรอให้รีไวล์พูดต่อ “มันจะต่างคนต่างอยู่ได้ไง ในเมื่อเธอกับฉันอยู่ด้วยกันแล้ว”
“...!” เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่เผลอใจกระตุกไปกับคำพูดของเขา มิคาสะพยายามไม่คิดไปไกลและมองว่านั่นเป็นเพียงประโยคปกติที่ญาติๆ เขาคุยกัน
แต่...แต่มันคือประโยคปกติของคนเป็นอาเป็นหลานกันเหรอ...
ดูยังไงก็เหมือนคำพูดของคู่รักข้าวใหม่ปลามันมากกว่า
“โฮ่ย” เมื่อเห็นว่ามิคาสะไม่มีท่าทีใดๆ ต่อคำพูดของเขา รีไวล์จึงทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอ
“คะ...?”
“ไปเปลี่ยนชุดมาทำความสะอาดซะ แล้วเราจะได้กินข้าวกัน”
“กินข้าว? คุณทำมื้อเย็นเองเหรอคะ”
“หมาทำมั้ง” เขาพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับคำถามสิ้นคิดของหญิงสาว ก่อนจะหันมาสบตาเธออีกครั้ง “วันนี้มีข้าวทงคัตสึหมู”
เอ๊ะ...นั่นเมนูโปรดของเธอนี่นา
“อย่าช้าล่ะ เดี๋ยวอาหารจะไม่อร่อยซะก่อน” พูดจบรีไวล์ก็เดินกลับไปทำสิ่งที่เขาทำค้างไว้ มิคาสะได้แต่มองตามนิ่งๆ แล้วเดินขึ้นห้องตัวเองไปพร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมามากมายในหัว
________________________________________________________
รอกันนานมากใช่มั้ยยยยย 55555555555
ประเด็นคือยังมีคนรออยู่รึเปล่าาาาาาา ฮ่าาาา
ช่วงนี้งานที่มหาวิทยาลัยเยอะมากค่ะ
ถึงแม้จะเพิ่งเปิดเทอมได้อาทิตย์นึงก็เถอะะะ (งานเยอะตั้งแต่เปิดเลย)
ยังไงก็ต้องขอบคุณคนที่ยังรอไรต์อยู่นะคะ
มาเม้นต์ให้อ่านหน่อยเร็วว่าเป็นยังไงบ้างงงงง
รออ่านๆ♡
กรี๊ดดดดดแแ มันดีมากกกกปปปปปกกก มาต่อเร็วๆนะคะ> <