คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2: คำสัญญาในคุกใต้ดิน(50%)
Devil Tale เรื่องเล่าขานตำนานปีศาจ
บทที่ 2: คำสัญญาในคุกใต้ดิน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนปีศาจอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัว หาได้มีมนุษย์ใดย่างกรายเข้าไปเยือนไม่ เนื่องด้วยคำเล่าลือต่างๆมากมายที่บรรดานักบวชหามากล่าวใส่ดินแดนต้องคำสาปแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็น’ดินแดนที่เต็มไปด้วยความชั่วช้าสามานย์’หรือแม้แต่กระทั่ง’ดินแดนแห่งความมืดมิดชั่วกัปชั่วกัลป์’
...เป็นเหตุให้ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนซักคน...
แต่ใครจะรู้บ้างว่า ปีศาจเองก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์ แค่มีพละกำลังมากกว่า มีพลังเวทมนตร์สูงกว่า กินอาหารที่แตกต่างกว่า มีพลังมืดมากกว่า และเผ่าพันธุ์มีหลากหลายกว่าก็เท่านั้นเอง เป็นเหตุให้พวกมนุษย์พากันอิจฉาปีศาจอยู่เนืองๆ จึงเกิดมีการใส่ความกันขึ้นบ้างเพื่อให้ปีศาจแลดูชั่วร้ายและเลวทราม ส่งผลให้พวกปีศาจถูกเผ่าพันธุ์อื่นๆจงเกลียดจงชังเรื่อยมาจนถึงบัดนี้
แน่นอนว่าเมื่อเป็นดินแดนแล้วย่อมต้องมีอาณาจักร และในเวลานั้นเองที่ดินแดนปีศาจได้ถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร อันได้แก่ เซเรเธล เดเวนดรา และลา เวอร์ริน
เซเรเธลเป็นเป็นเมืองมหานครหลวงแห่งดินแดนปีศาจ เมืองศูนย์กลางแห่งความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์จนยากที่จะมีใครเทียบเทียม เพราะมีพ่อค้าวานิชจากหลากหลายดินแดนเดินทางเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ามากกว่าอาณาจักรอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นอาณาจักรที่รวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจเอาไว้หลากหลาย จึงคว้าตำแหน่งเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขไปครองอย่างง่ายดาย
เดเวนดราคืออาณาจักรที่เต็มไปด้วยปีศาจผู้ใช้มนตราและนักปราชญ์ อยู่ทางตอนใต้สุดติดแม่น้ำต้องคำสาป แถมยังได้รับการกล่าวขานว่าเป็นที่ตั้งของป่าโอราเลีย...ป่าดงดิบอันกว้างใหญ่ที่ได้รับตำแหน่งป่าต้องห้ามแห่งปี เพราะเป็นประตูมิติที่เชื่อมกับหนทางไปสู่นรกภูมิ ซึ่งใครหน้าไหนที่ย่างเข้าไปแล้วมักจะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
ลา เวอร์ริน อาณาจักรสุดท้ายที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงามชวนฝัน ต่างจากอาณาจักรเดเวนดราลิบลับ ถ้าเดเวนดราเปรียบเสมือนนรก ลา เวอร์รินก็คงจะเป็นสวรรค์สำหรับดินแดนปีศาจก็ไม่ปาน เพราะดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์และดอกไม้งามนานาชนิด บวกกับเสียงคลื่นทะเลที่ซัดกระทบฝั่งตลอดเวลา ทำให้ชาวเมืองแห่งนี้ยากที่จะตัดใจอพยพไปอยู่ที่อื่นอีก
กลับมาพูดถึงดินแดนปีศาจอีกครั้ง แน่นอนว่าเมื่อมีตั้งสามอาณาจักรก็ต้องมีกษัตริย์ปกครอง และผู้ที่กุมอำนาจโลกปีศาจเอาไว้ทั้งหมดต้องเป็นกษัตริย์แห่งเซเรเธล เพราะเป็นถึงมหานครหลวงแห่งโลกปีศาจ จะให้กษัตริย์จากอีกสองเมืองปกครองมันก็กระไรอยู่...
...และเมื่อไม่นานมานี้ กษัตริย์แห่งเซเรเธลก็เพิ่งจะล่วงลับไป บัลลังก์จึงถูกผลัดเปลี่ยนไปให้เจ้าชายปีศาจอันเป็นบุตรทางสายเลือด ผู้เคยสถาปนาตัวเองในชั้นเรียนว่าเป็นราชาแห่งปีศาจผู้มีอำนาจอันสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์แห่งความมืด และนามของกษัตริย์องค์ปัจจุบันองค์นี้ก็คือ...
“ท่านฟารอน อาเธอร์ เชลเวอร์เนส!!”
เสียงตะโกนดังลั่นก้องห้องประชุมสีดำสนิทจนพื้นห้องแทบสะเทือน เสียงนั้นทรงอำนาจจนทำให้พวกขุนนางและเหล่าแม่ทัพที่นั่งเรียงรายรอบโต๊ะประชุมตัวใหญ่พากันกระเด้งตัวนั่งหลังตรงกันเป็นแถว ยกเว้นตัวต้นเหตุผู้นั่งสัปหงกอยู่ท้ายโต๊ะอย่างไม่สนใจใคร
“นี่ท่านจะแกล้งหลับไปถึงเมื่อไหร่กัน!”ชายชราที่นั่งอยู่ตรงหัวมุมโต๊ะเอ่ยอย่างเหลืออด การที่เขาสามารถลุกขึ้นมาโวยวายในที่ประชุมได้แสดงให้เห็นว่าชายแก่คนนี้ต้องมีตำแหน่งใหญ่โตไม่แพ้กับคนที่กำลังแกล้งหลับอยู่เลยทีเดียว
“อืม...จะโวยวายอะไรกันนักกันหนานะ”เสียงครางดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นตบท้าย ก่อนที่ตัวต้นเหตุจะเงยหน้าขึ้นมาจากนิทราอันแสนสุข มานั่งกระพริบตาปริบๆสบตากับคนทั้งห้องแล้วแจกยิ้มให้เล็กน้อย
“สวัสดีปีใหม่...”
และก็ฟุบลงไปนอนอีกรอบ...
“ท่านฟารอน! ท่านควรจะทำตัวให้เหมาะสมกว่านี้นะขอรับ!”เสียงกำปั้นกระแทกโต๊ะของท่านมหาปราชญ์ดังขึ้น ใบหน้าเหี่ยวย่นร่นเป็นริ้วเมื่อเห็นว่าราชาหนุ่มไม่เกรงใจตนเองเลยแม้แต่น้อย นัยน์ตาสีแดงสดดั่งเลือดมองจิกกัดตัวปัญหาที่ผงกหน้าขึ้นมาใหม่
“โอเคๆ มีอะไรจะพูดก็รีบพูดท่านมหาปราชญ์ ข้าจะได้รีบกลับไปนอนต่อ”ชายหนุ่มยกมือขึ้นห้ามทัพ ก่อนจะปิดปากหาวหวอดใหญ่ เผยให้เห็นเขี้ยวขาววาววับตรงมุมปากทั้งสองข้างที่เพิ่มเสน่ห์ให้ดูดีไม่น้อย
“นี่มันอะไรกันมิทราบขอรับ”แฟ้มงานเรียบหรูถูกส่งสไลด์ผ่านโต๊ะไปให้องค์ราชาหนุ่ม จากท่านมหาปราชญ์ผู้มีใบหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าใครในห้อง
“อ๋อ! ภาพถ่ายตอนข้าปลอมตัวออกไปเดินเล่นที่โลกมนุษย์ไง ทำไมเหรอ”หลังจากเปิดดูได้ชั่วครู่ ฟารอนก็ถามกลับมาเสียงใสซื่อ มันช่างขัดกับนัยน์ตาสีแดงเลือดแสนเจ้าเล่ห์ของเขาเหลือเกิน ใครๆต่างก็รู้ดีว่าการข้ามไปยังเขตแดนมนุษย์ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง แต่จ้าวปีศาจกลับไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่นิดเดียว
“ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอขอรับ!”มหาปราชญ์ร้องขึ้นอย่างหมดความอดทน เล่นเอาพวกขุนนางทั้งหลายถึงกับสะดุ้งว่าหัวของพระราชาแห่งดินแดนปีศาจกำลังจะหลุดจากบ่าในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
“เอาน่าๆ อย่าเครียดให้มากนักสิ ข้าก็แค่ออกไปเดินเล่นจนล่วงล้ำเขตแดนมนุษย์ก็เท่านั้นเอง แถมสาวๆชาวมนุษย์ก็หน้าตาน่ารักไม่เบา ข้าจึงโปรยรอยยิ้มสว่างไสวให้พวกนางซึ้งใจกันไปถ้วนหน้า แต่ไอ้พวกนักเลงปากเสียนั่นบังอาจมาเสียมารยาทกับข้า ข้าก็เลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงกระทืบมันจมดินเลยทีเดียว”
ฟารอนเล่าถึงวีรกรรมของตัวเองอย่างภาคภูมิใจด้วยสีหน้าแช่มชื่น ผิดกับสีหน้าของเหล่าแม่ทัพและขุนนางทั้งหลายที่พร้อมใจกันอ้าปากค้างถ้วนหน้า เพราะไม่คาดคิดว่าราชาแห่งเซเรเธลที่ใครๆต่างก็เกรงกลัวจะมีความสำนึกในความผิดของตัวเองน้อยมากจนน่าตกใจเช่นนี้
“ข้าไม่เห็นเข้าใจเลยว่าสิ่งที่ข้าทำมันไม่ดีตรงไหน ในเมื่อข้าทำเพื่อช่วยเหลือสังคมอันเป็นหน้าที่ของพระราชาแท้ๆ บางทีท่านควรจะชื่นชมข้าเสียด้วยซ้ำ ไมใช่มาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้”
น้ำเสียงนุ่มนวลและรอยยิ้มระรื่นของราชาหนุ่ม เล่นเอามหาปราชญ์รู้สึกว่าตัวเองอยากจะก่อรัฐประหารในเร็วๆนี้ แต่ก้องดับอารมณ์ชั่ววูบเอาไว้ก่อนเพราะคิดแผนดีๆออก
“หากท่านเห็นว่าการกระทำอันน่ายกย่อง (ตรงไหน) ของท่านครั้งนี้สมควรได้รับการสรรเสริญ พวกข้าก็ไม่ขัดข้องที่จะมอบของขวัญกิตติมศักดิ์ให้กับท่านในอีกสามวันข้างหน้า”มหาปราชญ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มพริ้มพราย เป็นเหตุให้ฟารอนถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้ยินว่ากำลังจะได้ของขวัญชิ้นใหญ่
“ว้าว! แล้วมันเป็นอะไรเหรอ ”องค์ราชาเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น เพราะท่านมหาปราชญ์ไม่เคยมอบของขวัญให้เขามาก่อน
แต่...ของขวัญที่ว่ากลับทำให้จ้าวปีศาจถึงกับชะงักตัวแข็งทื่อ!
“หึๆ แน่นอนว่าท่านต้องชอบแน่ เพราะอีกสามวัน...ข้าคิดว่าจะให้เจ้าหญิงฮาเทสเซีย เชลเวอร์เนส บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่าน หมั้นหมายกับเจ้าชายดิลลอน แห่งอาณาจักรเดเวนดรา”ท่านมหาปราชญ์ยิ้มหวาน เรียกเสียงกระซิบกระซาบจากเหล่าขุนนางที่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้
...นี่เป็นแผนการของจอมมารโดยแท้จริง!
มหาปราชญ์ฉีกยิ้มกว้างเพราะรู้ดีว่าจุดอ่อนของบุรุษตรงหน้าคืออะไร ใช่...จ้าวปีศาจตนนี้เป็นโรคหวงลูกสาว หวงเอามากๆชนิดที่ว่ามดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่เคยยอมให้ปีศาจหน้าไหนได้เข้าใกล้ลูกสาวเป็นอันขาดไม่ว่าหล่อปานเทพบุตรแค่ไหนก็ตาม และใครหน้าไหนที่เข้าใกล้ราชธิดาองค์นี้เพียงระยะสามเมตร ปีศาจตนนั้นมักจะกลายเป็นเหยื่อสังหารโหดในข่าวหน้าหนึ่งของวันต่อมาแทบทุกตน...
“ถ้าเป็นเช่นนั้น...ข้าคิดว่ามันคงจะเร็วเกินไป”เสียงราบเรียบดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ก้าวเข้ามาในห้อง ทำเอารอยยิ้มของท่านมหาปราชญ์หุบลงไปเล็กน้อย ในขณะที่ราชาหนุ่มผู้กำลังชักดิ้นชักงอที่ลูกสาวถูกจับหมั้นหยุดชักลงทันควัน
“โอ้วว! หลานเขยจ๋า ช่วยป๊ะป๋าด้วย~”ว่าแล้วท่านฟารอนผู้ยิ่งใหญ่ก็กระโดดเข้ากอดเอวท่านแม่ทัพด้วยสีหน้าปานจะขาดใจ จนพวกปีศาจในที่ประชุมพากันเหงื่อตกว่ามันเป็นการกระทำที่สมควรไหมนั่น
“พูดอย่างนี้แสดงว่า ท่านไคนอส อัลเทอเรียส ท่านแม่ทัพผู้บัญชาการทหารระดับสูง คงมีความคิดที่ดีกว่านี้สินะ”ท่านมหาปราชญ์ถามเสียงต่ำลงเล็กน้อย
“ใช่ และเป็นความคิดที่ดีกว่าท่านเสียด้วย”ไคนอสเอ่ยเสียงหนักแน่น ดวงตาสีดำทอประกายเข้มแข็งสมเป็นนักรบ จนพวกปีศาจทั้งหมดพากันหลบสายตาแทบไม่ทัน เพราะว่าดวงตาสีดำดุดันคู่นั้นราบเรียบและน่ากลัวที่ไม่ว่าใครสบแล้วเป็นอันต้องสะดุ้งเฮือกกันแทบทุกคน
แม่ทัพหนุ่มดึงร่างของคนที่เกาะเป็นปลิงออก ก่อนจะเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับฟารอน และระหว่างที่สนทนากันด้วยเสียงเบาปานกระซิบอยู่นั้น องค์ราชาหนุ่มก็มีการแสดงสีหน้าแตกต่างกันอีกด้วย จนทำให้ผู้เข้าประชุมที่เหลือทั้งหมดอดสงสัยไม่ได้ว่าคุยเรื่องราชการลับอะไรกันอยู่
“เอาละ นั้นข้าก็คงต้องขอจบการประชุมเพียงเท่านี้ก่อนนะ ทุกคนออกไปได้ อ้อ...แล้วอีกอย่าง จะต้องไม่มีงานหมั้นใดๆเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า พวกเจ้าน่าจะรู้ดีว่าลูกสาวของข้าเป็นคนโหดเหี้ยมขนาดไหน หากจัดงานหมั้นให้เธอโดยที่เธอไม่ยินยอมแล้ว...”องค์ราชันหนุ่มขยับยิ้มน่าขนลุก
“คงไม่ต้องบอกสินะว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร...”
คำพูดสุดท้ายเล่นเอาพวกปีศาจในที่ประชุมทั้งหมดลอบกลืนน้ำลายดังเอื้อก ก่อนจะรีบลุกแยกย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีใครหน้าไหนกล้าปริปากถามหรือพูดคุยเกี่ยวกับพิธีหมั้นที่ว่าขึ้นมาอีกเลย ท่านมหาปราชญ์ตัวต้นเรื่องก็เป็นอีกคนที่ไม่กล้าขัดคำสั่งองค์ราชา จึงได้แต่ส่งสายตาที่พราวระยับอย่างไม่พอใจไปให้แม่ทัพหนุ่มก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุม
“เฮ้อ! ขอบใจเจ้ามากนะไคนอส ถ้าไม่ได้เจ้าช่วยไว้ข้าก็คงจะแย่เหมือนกัน”ฟารอนตบไหล่คนที่เข้ามาช่วยอย่างสนิทสนม แต่แม่ทัพหนุ่มกลับทำหน้าเบ้แล้วดึงมือของเขาออก เล่นเอาจ้าวปีศาจถึงกับกระตุกยิ้มให้หลานเขยอย่างเหี้ยมโหด
“ไม่เป็นไรขอรับ เพราะยังไงมันก็เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องหาองครักษ์มาให้องค์หญิงอยู่แล้ว”ไคนอสเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าขี้เก๊กที่ทำให้จ้าวปีศาจหมั่นไส้ตั้งแต่ครั้งแรกทำเหมือนกับไม่มีเขาอยู่ในสายตา
“อา...ใช่แล้ว และข้าก็อยากจะบอกเจ้าว่า หลานสาวผู้เป็นที่รักของข้ากำลังเหงา ทำไมเจ้าไม่ไปดูแลนางหน่อยล่ะ”สีหน้าของจ้าวปีศาจดูชั่วร้ายขึ้นมาถนัดเมื่อมีหลานสาวเข้ามาเกี่ยวข้อง แน่นอนว่าหากเอ่ยถึงนางเมื่อไหร่ มันมักจะแทงใจดำของคนตรงหน้าทุกครั้ง
แต่...คงไม่ใช่ครั้งนี้
“...ก็แล้วทำไมท่านไม่ไปดูแลบุตรสาวของท่าน ก่อนที่เจ้าชายจากอาณาจักรเดเวนดรานั้นจะฉวยไปล่ะ”
เมื่อพูดจบ ร่างของจ้าวปีศาจฟารอนก็แข็งทื่อเป็นตอไม้ไปในทันที...
“ข้าเข้าใจว่าท่านแก่มากแล้วจนแม้แต่ตัวท่านเองยังดูแลไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านควรจะลงไปที่คุกใต้ดิน ตรัสถามทหารยามถึงนักโทษคนล่าสุดที่ถูกจับมาขังไว้ ข้ามั่นใจว่าเขาจะรับผิดชอบองค์หญิงได้ดีกว่าท่านแน่นอน ท่านลุงฟารอน...”
ไคนอสจบประโยคเสียงราบเรียบ ก่อนจะโค้งทำความเคารพแล้วเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจจ้าวปีศาจที่ยืนเป็นอนุสาวรีย์กลางห้องประชุมอย่างสง่างาม...
หนอย!! ฝากไว้ก่อนเถอะแก...!!
และแล้วโต๊ะประชุมตัวเบ้อเริ่มก็ถูกระเบิดเป็นจุณในพริบตา...
**************************************************
*เหอะๆหลังจากที่หายไปนานร่วมสามเดือน ข้าน้อยก็กลับมาอัพนิยายเพิ่มอีกครั้งก่อนที่มันจะโดนแบนTT^TT
*ต้องเข้าใจกันหน่อยนะคะว่านี่ไม่ใช่เรื่องหลักของคนเขียน แต่เป็นเรื่องที่สองที่เพื่อนคนเขียนติดใจกันถ้วนหน้าจนชวนให้เอาลงเว็บ ข้าน้อยจึงไม่ค่อยมีเวลามาแต่งเท่าไหร่ แต่ถึงยังไงก็อยากให้ชาวนักอ่านผู้มีพระคุณติดตาม รับรองความสนุกสนาน 100% เต็ม!
*เอาพ่อนางเอกมาลงให้อ่านก่อน...แล้วรอบต่อไปค่อยว่ากันอีกที หุๆ
ความคิดเห็น