คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : chepter 1
Chapter 1
ในห้องสี่เหลี่ยมที่มืดมิดที่มีเพียงเปลวไฟ ที่ริบหรี่จากตะเกียงเหล็กเก่าที่ขึ้นสนิมจากเพดานเท่านั้นที่เป็นแสงสว่าง มีเด็กชายวัย 10 ขวบผมสีน้ำตาลดำยาวรุงรัง ใส่เสื้อเก่าที่มีรอยขาด สีผ้าที่เคยขาวสะอาดบัดนี้ได้เปลี่ยนไปจนสีคล้ำ นั่งกอดเข่าผิงเพดานหลบตัวอยู่ในเงามืดมี่แสงสว่างไปไม่ถึง นัยต์ตาสีน้ำตาลดำที่เหมือนกับสีผมก็ยังส่องสว่างแม้อยู่เงามืด
นัยต์ตาของเด็กน้อยจดจ้องไปยังเปลวไฟของตะเกียงในใจคิดชะตากรรมที่ตัวเองเผชิญอยู่
ทำไม...ทำไมมีแต่ฉัน...
เด็กน้อยรำพึงในใจ กระพริบตาลง ตาที่บวมแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มาช้านาน ก่อนดวงตาจะเลื่อนมองไปทางด้านซ้ายมือข้างตัวซึ่งมีจานอาหารของเค้าอยู่ มีหนูโสโครกที่กำลังกัดแทะอาหารจากจานข้าวของเค้าอย่างขมักเขม่นและวิ่งวุ่นเพื่อเก็บอาหารในจานเอาไปเข้าโพรงเล็กๆมุมห้องซึ่งเป็นรังของมัน
ก่อนจะเลื่อนดวงตาไปทางประตูของห้อง ประตูห้องที่ล็อกมาจากด้านนอก เค้าเคยคิดจะพังมันเป็น กี่ร้อยกี่พันรอบแต่ก็จะต้องลบความคิดนั้นทิ้งไป
และทุกครั้งที่มีเสียงโวยวายดังออกมาจากอีกด้านของประตู
“ดิออสฉันว่าคุณควรปล่อย เชนจ์ ออกจากห้องนั้นได้แล้วนะ”เสียงของป้า รินร่าที่ดูไม่แก่เสียเท่าไหร่ซึ่งของกำลังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ ชายคนร่างท้วมข้างหน้าซึ่งเป็นสามีของหล่อน ซึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่บนโซฟาอยู่
“ไม่...”เสียงเด็ดขาดที่สั้นได้ใจความซึ่งเป็นคำตอบที่เหมือนทุกทีที่หล่อนได้แต่คิ้วขมวด
“ไม่ได้นะดิออสนี้ก็ผ่านไป 1 สัปดาห์แล้วนะจะให้เชนจ์ทนอยู่ในห้องนั้นไม่ได้แล้วนะ”หล่อนกัดฟันพูด
หล่อนรู้สึกอดสงสารเด็กน้อยที่อยู่ในห้องที่มืดมิดนั้นไม่ได้ ดังนั้นหล่อนเลยได้แต่ขอร้อง ขอร้องสามีเธอซึ่งเป็นผู้กักขัง
“ไม่ได้...จนกว่าเชนจ์จะสามารถใช้เวทย์ได้”ดิออสก็ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบๆเหมือนเดิม จนความอดทนของหล่อนขาดผึ่ง
“ถ้าคุณไม่ปล่อยฉันปล่อยเองก็ได้”หล่อนแผดเสียงดัง
“โอ้ย!? คุณแม่ฮะหยุดโวยวายสักทีเถอะ ผมกำลังดูทีวีอยู่นะช่วงที่กำลังมันส์อยู่ด้วย”คริฟเตอร์ลูกชายของเธอซึ่งหันมาว่าอย่างแก้มป่องนั่งโซฟาตัวเล็กส่วนในมือขวาถือรีโมต
เค้ามีผมสีบรอน์ซึ่งเหมือนแม่และตัดผมสั้นกุดส่วนสีตาก็เหมือนพ่อซึ่งคือสีเขียวอำพันแต่ส่อประกายขี้เล่นไม่เหมือนพ่อ อายุเท่าเชนจ์แต่เกิดช้ากว่าเชนจ์ 2 สัปดาห์ส่วนสูงก็ไล่เลี่ยกัน
“คริฟ...มาช่วยแม่พูดกับพ่อเดี๋ยวนี้”เธอหันไปสั่งลูกตัวเอง ซึ่งคริฟเตอร์ก็ได้แต่เบ้ปาก
“ผมไม่ว่าง...”
“คริฟ!!”
“โธ่ พ่อก็ปล่อยมันไปได้แล้วน่าผมรำคาญจะแย่อยู่ที่ต้องนั่งฟังพ่อแม่โวยวายอย่างงี้เนี่ย”คริฟเตอร์กล่าวอย่างรำคาญแล้วหันไปดูทีวีต่อไม่สนใจด้านอีก
“...ไม่ได้”ดิออสกล่าวเสียงเรียบเหมือนเดิม
“งั้น ฉันจะปล่อยเอง”หล่อนกัดฟันก่อนกล่าวปากขมุบขมิบท่องคถา
“หยุดเดี๋ยวนี้รินร่า... ตระกูลเพนทราเลีย แค่นี้ก็เสียชื่อเสียงจะแย่อยู่แล้ว อย่าลืมสิว่าตระกูลนี้เป็นถึงตระกูลมหาปราชญ์แห่งแคว้นบิออนทรา ซึ่งสืบทอดตำแหน่งกันมาช้านาน แต่กับมีคนในตระกูลคนนึงซึ่งไม่สามารถใช้พลังเวทย์ได้ แค่นี้ตระกูลนี้ก็เสียชื่อเสียงแล้ว... ดังนั้นฉันจะปล่อยเชนจ์ต่อเมื่อใช้เวทย์ได้”ดิออสร่ายยาวถึงเหตุผลต่างๆที่กระทำเช่นนี้
“คุณมันบ้าไปแล้ว...แค่เชนจ์ถูกประณามจากคนภายนอกก็เจ็บพออยู่แล้ว แล้วยังมาในบ้านอีกคิดดูสิว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน แต่คุณกลับห่วงชื่อเสียงมากกว่าอีก”หล่อนสบถว่าออกมาอย่างเหลืออด
“...”ดิออสเงียบลงมองไปทางประตู ซึ่งหน้าประตูเหล็กมีกุญแจล็อกอยู่เต็มที่ล็อก ซึ่งเป็นประตูห้องที่ขังเชนจ์ไว้
“ก็ได้...”ดิออสกล่าวถอนหาย และให้คำตอบที่ให้หล่อนฉีกยิ้ม “แต่ฉันจะให้เชนจ์ย้ายไปอยู่กับมานอพ์ล่ะกัน”
“ห๊า...จะบ้าหรือดิออสจะให้เชนจ์ย้ายไป”หล่อนสบถนัยต์ตาเบิกกว้าง
“อีกอย่างมานอพก็อยู่ในป่ากันตารัวแทบเหนือซึ่งอันตรายนะ”
“อืม...ก็จะให้เชนจ์ไปฝึกหาประสบการณ์แทนไง”ดิออสเอ่ย
“แต่...”ไม่ทันที่รินร่าจะกล่าวดิออสก็กล่าวขัด
“ไม่เป็นไรฉันจะให้คนไปส่งหมดห่วงได้”
**********************************
แอ๊ด...
แสงสว่างลอดมาตามประตูส่องเข้ามาในห้องที่มืดแทบไม่แสงสว่าง แต่เด็กชายก้ยังเหม่ออยู่ผมยาวรุงรังสีน้ำตาลปิดหน้ามิด ก่อนจะมีเสียงเรียกชื่อของเค้า
“เชนจ์...นี้ป้าเองจ๊ะออกมาข้างนอกได้แล้ว”ป้ารินร่าฉีกยิ้มหน้าประตูก่อนจะตกใจปนอึ้งเมื่อเห็นสภาพของเชนจ์ตอนนี้
และหล่อนก็วิ่งไปหาร่างของเชนจ์ซึ่งนั่งกอดเข่าเงยหน้ามามองหล่อนด้วยวาวตาที่ดูมนหมอง หล่อนทรุดตัวต่อหน้าเชนจ์ มือของหล่อนนั้นสั่นและแววตาของหล่อนก็รื้อไปด้วยน้ำตา
มือขวาที่สั่นของหล่อนเคลียแก้มน้อยๆที่เปื้อนของเชนจ์อย่างถนุถนอม
“ขอโทษนะเชนจ์...ป...ป้าไม่ดีเอง....ทำให้หลานต้องเป็นเช่น...ป้า...ป้าขอโทษนะ..เชนจ์”รินร่าน้ำตาอาบแก้มก่อนคว้าร่างเล็กของเชนจ์มากอด
“ป้า...ไม่ดีเอง..อึก...ฮือ...ขอโทษนะ”รินร่ากล่าวพร่ำข้างหูเด็กน้อย ซึ่งตอนนี้น้ำตาของเชนจ์ได้ไหลอย่างที่ไม่รู้ตัวและซบหน้าลงบนอกรินร่า
“ป้ารินร่าไม่ผิดหรอกคับ...”เชนจ์เงยหน้าขึ้นจับแก้มป้าของเค้าแล้วกระซิบบอกด้วยเสียงใสที่สั่นเครือ
“เชนจ์...”รินร่ามองเชนจ์อย่างไม่เข้าใจเพราะสีหน้าที่เชนจ์แสดงออกมา มันช่างดูเจ็บปวดทรมานเกินบรรยาย
“ป้ารินร่าไม่ผิดหรอกคับ...ผมผิดเองที่เกิดมาเป็นแบบนี้”เชนจ์เอื้อมมือเช็ดคราบน้ำตาของป้าตัวเอง
“ผมทำให้ตระกูลนี้ได้เสียชื่อเสียง ผมทำให้คุณป้าคุณลุงและคนในตระกูลต้องอับอาย...ผมผิดเองแหละคับ”เด็กน้อยกล่าวอย่างไม่โทษชาตะกรรมของตัวเอง และนั้นทำให้หล่อนยิ่งสงสารเชนจ์มากยิ่งขึ้น และรู้สึกปลาบปลื้มกับความเข้มแข็งของของเด็กน้อย วัยแค่ 10 ปีตรงหน้า ที่ดูเข้มแข็งแม้ชะตากรรมของตัวเองที่เผชิญอยู่มันโหดร้ายมาก เพราะต้องเผชิญอยู่สังคม สัมคมที่ไม่ยอมรับในตัวเค้า มีแต่คำดูถูกและสายตาที่เหยียดหยาม ยากที่จะครณานับที่ได้รับจากสังคมนี้
สนามเด็กเล่นพื้นปูนเรียบสนิท มีเครื่องเล่นหลากหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งมีเด็กเล่นอยู่และเกาะไปตามของเล่นต่างๆทั่วไปเว้น...ชิงช้า
ชิงช้าสีน้ำเงินอมม่วงซึ่งเครื่องเล่นที่ไม่มีสนใจ นั้นอาจเป็นเพราะเค้ากำลังนั่งมันอยู่ รู้ได้จากปฏิกิริยาและสายตาของเด็กทั้งหลายที่มองมายังเค้าอย่างเหยียดหยามพยายามตีห่างจากเค้าให่มากที่สุดอย่างรังเกียจ และมีเสียงกระซิบไปทั่วสนาม
‘นั้นไง...เจ้านั้นที่ไม่มีพลังเวทย์ ไม่อยากเชื่อเลยเนอะ’เสียงกระซิบที่ดังลอยมาอย่างจงใจให้เค้าได้ยิน เจ้าของเสียงคือเด็กชายร่างอ้วนซึ่งนั่งอยู่เครื่องเล่นที่ปีนป่ายหันมองเชนจ์ด้วยความเหยียมหยามต้องการขอความคิดเห็นจากเพื่อนข้างๆที่ผอมซึ่งไม่ผอมมากใส่แว่นตาหนาและกำลังอ่านหนังสือการ์ตูน ซึ่งเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือการ์ตูยและมองไปที่เชนจ์อย่างสงสัย
‘มีคนอย่างงั้นอยู่ด้วยเหรอ...ไม่อยากเชื่อ’เด็กชายแว่นที่ผอม กล่าวอย่างไม่เชื่อ
‘ก็นั้นไง...เจ้านั้นแหละ..ที่ไม่มีพลังเวทย์’เด็กชายอ้วนชี้ไปยังเชนจ์ที่นั่งแกว่งเชือกไปมาอย่างโดดเดี่ยว
‘หึ...น่าสมเพชชะมัด’เด็กชายร่างผอมมองเค้าด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากเด็กอ้วนเท่าไหร่
‘ช่าย...น่าสมเพช ชะมัดเลย...ไอ้คนที่ไม่มีพลังเวทย์น่ะ ฮะๆๆๆ’เด็กอ้วนหัวเสียงยาวมองไปทางเชนจ์ที่ก้มหน้ามองพื้น พยายามที่จะไม่ฟังไม่สนใจเสียงต่างๆที่อยู่รอบตัว เค้ารู้สึกชินช้าเสียแล้ว กับสังคม...ที่รังเกียจเค้า
........
เชนจ์ผ่านเหตุการณ์นี้มาอย่างเจ็บปวดและทรมานใจจนแทบขาดใจ แต่เค้าก็ยังฝืนทน และไม่นานนี้เค้าก์ถูกฝึกให้ใช้พลังเวทย์มนต์ โดยพยายามบีบให้พลังมันออกมาแต่ไม่มีแม้ไอพลังเวทย์แม้เสี้ยวเดียวที่จะออกมา
ก็อดสังเวชใจไม่ได้
“นั้นไม่ใช่ความผิดของเธอเลยนะเชนจ์ แต่ยังไงซะป้าก็ต้องขอโทษแทนดิออสด้วยล่ะกันนะ”หล่อนลูบหัวเชนจ์อย่างเบามือ
“คับ...”เชนจ์ทำตาใสฉีกยิ้ม
สำหรับเชนจ์ที่ไม่มีแม่แล้ว เค้ารู้สึกได้ว่า ป้ารินร่าเป็นแม่คนที่สองของเค้า
รินร่าพาเชนจ์ออกจากห้องที่มืดมิดนี้ และจัดการพาเชนจ์ไปอาบน้ำอาบท่าและกินข้าว แม้เชนจ์จะกินข้าวได้น้อยลงไปกว่าเดิมก็ตาม แต่เค้าก็ยังยิ้มแย้มเหมือนเดิม แล้วจะมีใครคิดกันสักกี่คนว่ารอยยิ้มนั้นเป็นเพียงรอยยิ้มที่เติมแต่ง ที่เค้าสร้างขึ้น...
ความคิดเห็น