ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สังขละในความทรงจำ

    ลำดับตอนที่ #1 : ทรมานบันเทิงสู่สังขละ

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.พ. 49


    จากยอดเขาตะนาวศรี
    สบายดีไหม  เพื่อนรักของฉัน  ฉันหวังว่านายคงจะสบายดีนะ  สำหรับตัวฉันเองตอนนี้สบาย  น่าจะเรียกได้ว่า สบายมากเลยก็คงได้นะ  
    นายทำอะไรอยู่ที่ไหนเหรอ  ตอนนี้   อากาศที่กรุงเทพฯยังร้อนเหมือนเคยละมั๊ง  ฉันเดาได้ว่านายจะต้องทำหน้าเบ้ทุกทีที่เราคุยกันเรื่องนี้   แต่ก็ช่างมันเถอะ   ฉันมีอะไรที่สนุกกว่านั้นจะเล่าให้นายฟังนะ เพื่อนรัก นายคงจะงงล่ะสิว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน   ถ้าฉันบอกไปนายจะรู้จักหรือเปล่านะ...อย่าทำหน้าอย่างนั้น  ตอนนี้ฉันอยู่ที่สังขละบุรี  เมืองกาญจน์ไงล่ะ
    ตอนที่ฉันเขียนบันทึกฉบับนี้  ก็แปลว่าฉันมาถึงสังขละอย่างสวัสดิภาพแล้ว  อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีส่วนใดในร่างกายของฉันบุบสลายไป  นอกจากอาการเวียนหัวที่ได้แถมมาบ้างเล็กน้อย  นายคงอยากรู้แล้วล่ะสิ  ว่าฉันมาที่นี่ได้ยังไง  หรือถึงนายไม่อยากรู้  ฉันก็จะบังคับให้นายรู้จนได้นั่นแหละ
    ฉันออกจากกรุงเทพตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 4 ธันวาคม  เพื่อจะจับรถกรุงเทพ – กาญจนบุรีและนั่งไปกับมัน   ด้วยระยะทางร่วมๆ250 กิโลจากกรุงเทพเมืองฟ้าอมร(!!??) ฉันก็มาถึงเมืองกาญจน์อย่างไม่สู้จะยากเย็นอะไรนัก  มันจะยากก็มีอยู่อย่างเดียวคือกระเป๋าที่แบกสมบัติบ้าของฉันขึ้นไหล่มานี่ล่ะ  อีตอนที่ออกจากกรุงเทพมานั้นมันก็ยังไม่กระไรนัก  แต่ทำมี ทำไมพอมาถึงเมืองกาญจน์มันดันหนัก Ship – หาย 
    เฮ่อ!!
    เอาเถอะ  ยังไงฉันก็มาถึงเมืองกาญจน์แล้วล่ะนะ
    รถที่ไปสังขละ – ทองผาภูมินั้นมีวันละเที่ยว ซึ่งก็เป็นโชคดีที่ฉันมาทันมันพอดี  นายคงสงสัยสินะว่าทำไมมันมีรถน้อยจัง  ก็ถ้ามันเหมือนเวลาเรไปเดินเซ็นทรัลลาดพร้าวกับสยามมันคงไม่เท่าไรหรอก  แต่นี่พอฉันขึ้นไปแล้วถึงเข้าใจว่า ทำไมมันถึงวิ่งวันละเที่ยวเท่านั้น
    ก็นะแก   รถมันต้องไต่เขาน่ะสิ  สุดๆเลยนะเพื่อนเอ๋ย  ตอนแรกๆมันยังไม่เท่าไรหรอก  แต่พอเริ่มเข้าช่วงเขาแล้วนี่สิ  โอ้โหแก  มันทรมานบันเทิงเลยนะ   และก็เพราะรถมันมีวันละเที่ยวไงคนมันเก๊าะเลยมากันเสียแน่นไปหมด  แล้วทีนี้พอช่วงขึ้นเขาชันๆ  ปรากฏว่ามันไม่ขึ้น!!!  ก้ทำไงล่ะทีนี้  ช่วยกันดันช่วยกันรองสิ  สรุปคือต้องใช้ขอนไม้(ลืมบอกไป  เขามีประจำไว้ในรถอยู่แล้ว  สงสัยเป็นเรื่องธรรมดา)คอยหนุนล้อไปเรื่อยๆจนกระทั่งพ้นช่วงอันตรายนั่นน่ะ
    แต่ถึงอย่างนั้นจะว่าพ้นช่วงอันตรายมันก็ไม่เชิงนัก  เพราะเพียงไม่นานฉันกับเจ้ารถคันนี้ก็จรลีมาถึงโคเงสุดยอดอีกโค้งหนึ่งเข้าให้จนได้  มันโค้งจริงๆนะ ชนิดที่เรียกว่าโค้งอ้อมผาเลยล่ะ  ก้ช่วงลับโค้งกับช่วงถนนน่ะ มองไม่เห็นกันหรอก  เล่นเอาต้องวัดใจกันเลยล่ะ  ชนิดที่ว่าถ้าใครมันทะเล้นแลบผ่านมาไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะก็...
    แถมที่สำคัญ   สักพักคนขับแกก็บีบแตรเสียลั่นทีเดียว  ไอ้เรารึก็นึกว่าจะบอกทาง เปล๊า  บอกทางเหมือนกัน  แต่บอกทางแบบนี้ฉานม่ายอาวด้วยล่ะแก  ก็แกดันบอกทางกับบรรดาศาลเพียงตาทั้งหลายที่ตั้งอยู่แทบจะนับศาลไม่ถ้วนเลยนะ  ที่แถวๆตรงโค้งนั้นน่ะ  แล้วพอมองไปอีกข้าง โอ...หนาววูบตั้งกะหัวยันหัวแม่เท้าเลย   ซาก  แก  ซากรถ  ทั้งเล็กทั้งใหญ่เลยนะ  เป้นชิ้นบ้างเป็นคันบ้าง  วางกองซ้อนกันอยู่แถวนั้นน่ะ  โห  แค่เหลือบไปมองแว่บเดียวเท่านั้นน่ะ  เสียววูบเลย
    เห็นซากก็ไม่อยากนึกถึงเจ้าของแร๊วววววววว
    ...ไม่รู้นั่งแอบดูอยู่ตรงไหนบ้าง  บรื๋อว์
    แต่ก็นั่นแหละ  โบราณเขาว่าไว้ว่า  บนเส้นทางเดียวกันมันอาจจะมีทั้งสิ่งที่สวยงามและน่าหวาดหวั่น  ตอนนี้ฉันเล่าให้แกฟังเรื่องน่าหวาดหวั่นแล้ว  ก็เจอกะอะไรที่มันสวยงามซะที
    พอรถเริ่มไต่ระดับลง  เขื่อนศรีนครินทร์ก็เผยโฉมให้เห็นเต็มตาเลยล่ะ  มันเหมือนกับทะเลสาบที่อยู่บนยอดเขาเลยนะ    สวยมากๆ  ยิ่งตอนที่แสงแดดสะท้อนกับน้ำในทะเลสาบน่ะ  ฉันว่านะ  มันดูเหมือนเราเอาเพชรไปโปรยไว้เลยทีเดียว  ยิ่งตอนที่มองลงไปจากภูเขาเนี่ย  มันละลานตาไปหมด
    รถพาเราลงต่ำมาเข้าในช่วงหุบ  ป่าแถวนี้ยังเขียวสดนะ  ทั้งๆที่เข้าหน้าแล้งแล้ว  คงเป็นเพราะได้น้ำนั่นเอง  อากาศไม่ร้อนเลยล่ะ  ทั้งๆที่มันเป็นเวลาใกล้เที่ยง  มันทำให้เราเข้าใจอะไรบางอย่างนะ
    ที่ไหนมีป่า  ที่นั่นย่อมมีวามชุ่มชื้น  และความชุ่มชื้นก็จะย้อนมาให้คุณกับป่า  เหมือนอย่างที่เขาว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่ายังไงล่ะ   แต่ก็นะ  ทั้งๆที่แค่เรื่องให้ความชุ่มชื่นนี่น่ะ  ป่าก็มีคุณอเนกอนันต์แล้วนะ  ไม่รู้ทำไม มันถึงขอบจะตัดป่ากันจริงๆ
    ไว้สักวันป่าหมดละจะรู้สึก
    เส้นทางคดโค้งราวกับเราวิ่งไปบนสันหลังของงูใหญ่  ผ่านป่าไปตลอดทาง  ป่าแถวนี้นะแก  เป็นป่าผสมระหว่างป่าดิบกับป่าเบญจพรรณ  ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ขนาดกลางๆถึงใหญ่ทั้งนั้นเลย  แต่ที่ทึ่งคือ  ไผ่น่ะ  มันแทงยอดจากใต้หุบขึ้นมาแย่งแสงแดดกับเขาด้วย แล้วลองนึกสิว่า  มันจะสูงสักขนาดไหนน่ะ
    กว่าจะมาถึงสังขละเอาก็บ่ายแล้ว  สิ่งแรกเลยที่ฉันทำก็คือหาที่ซุกหัวนอน  โชคดีที่คนรู้จักที่นี่เขายังอยู่   เขาเป็นเกษตรอำเภอน่ะ ชื่อน้าไก่   และก็ด้วยน้าเขานี่ล่ะ  ทำให้ฉันมีที่นอนอย่างสบายแถมประหยัดอีกด้วยยยย
    ลองทายดูสิ  ว่าที่ไหน
    เพราะฉันตั้งใจว่า จะไม่เสียเงินค่าโรงแรมเด็ดขาด(เนื่องจากงบน้อย)  ก็เลยต้องเล่นง่ายเข้าว่าล่ะ...และคราวนี้ฉันเชื่อแล้วว่า  หน่วยราชการเป็นที่พึ่งของประชาชนจริงๆ...
    ก็ในที่ทำการเกษตรอำเภอไงเล่า...
    เพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด  ฉันเลยได้อาศัยที่นี่เป็นที่คุ้มกะลาหัวกันหนาวกันน้ำค้างอย่างสบายอารมณ์สมบูรณ์พร้อมด้วยหมอนและเสื้อตลอดจนผ้าห่มกันหนาว  มันไม่เลวทีเดียวล่ะกับการที่ไม่ต้องเสียตังค์นอนในโรงแรมน่ะนะ
    ตอนนี้เข็มนาฬิกาบอกฉันว่า เกือบห้าโมงเย็นแล้ว  อากาศเย็นเยือกลงเร็วมากเมื่อเทียบกับตอนที่ขึ้นมา  หมอกบางๆเริ่มลอยจับกับขอบฟ้าและขุนเขาแล้ว  ฉันยอมรับว่าเพลียเอาการทีเดียวสำหรับการเดินทาง  ข้าวเย็นวันนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าอาหารในตลาด  แต่มันอร่อยมากจริงๆทั้งความสดของผักและปลาที่เอามาทำ  ที่สำคัญ  ฉันหิวมากด้วย  แต่ที่สุดยอดอีกอย่างคือการอาบน้ำไง  ที่นี่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นนะ  เพรางั้นเราสามารถมาฝึกความอดทนที่นี่ได้อย่างสบายถ้าใครอยากฝึกทนหนาวน่ะ แต่ฉันขอผ่าน  เพราะพอตักอาบไปขันแรก ก็สะดุ้งเฮือกเลย  หนาวจิ๊บ
    คืนแรกของฉันในสังขละมาถึงอย่างช้าๆแต่เงียบงัน  พอรู้ตัวฟ้าก็มืดคลุมครอบเสียแล้ว  ดาวเต็มไปหมดบนท้องฟ้าชนิดทีว่าแกต้องตะลึงแน่ๆถ้าได้มาเห็น แต่คืนนี้ฉันคงไม่มีแรงจะดูแล้วล่ะ  เอาไว้พรุ่งนี้นะ  ฉันจะเล่าให้แกฟังต่อว่าฉันทำอะไรไปบ้าง...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×