ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic D.Gray-man] TNB 2: The Dawn Goddess บุ๊คแมนของเหล่าโนอา ภาค เทพธิดาแห่งรุ่งอรุณ (ฟิคแปล)

    ลำดับตอนที่ #26 : Chapter 24: It should be snowing here (ที่นี่ควรจะมีหิมะตก)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 340
      22
      24 มิ.ย. 63

    Title: The Noahs Bookman 2: The Dawn Goddess บุ๊คแมนของเหล่าโนอา ภาค เทพธิดาแห่งรุ่งอรุณ

    Story: Saturnalius

    Translator: KITDS

     

    Chapter 24: It should be snowing here (ที่นี่ควรจะมีหิมะตก)

    การเปลี่ยนโอนอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่น จากเหตุเสียชีวิตจองผู้ว่าฯปารีสในสภาพศพที่บิดพันเหมือนเพรซเซล สารวัตรเชอริลได้กลายเป็นผู้สืบทอดอย่างรวดเร็ว ข่าวนี้ได้พาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์หลายเจ้าทั่วยุโรป ดังไปถึงอังกฤษด้วย เหตุฆ่าล้างบางถูกป้ายเป็นความผิดของกลุ่มหัวรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับโบสถ์ที่บิดเบี้ยวไปอัญเชิญปิศาจเพื่อล้มล้างรัฐบาลแทน

    บุ๊คแมนหนุ่มกลั้นหัวเราะเมื่อเขาไล่อ่านหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และอ่านเรื่องเล่าถึงสิ่งที่เรียกว่าสุนัขซาตาน ผู้คนเหล่านี้ช่างโง่งม และเรื่องเล่าของพวกเขาก็โง่เขลาพอกัน หลายข่าวอธิบายถึงสัตว์ประหลาดได้ค่อนข้างตรง แต่ความเข้าใจของพวกเขานั้นมันบิดเบือนมากเกินไปเหมือนกำลังอธิบายถึงโลกท่ามกลางหมู่ดาว เขาคิดเล่น ๆ ว่าเอ็กโซซิสท์พวกนั้นจะสนใจเรื่องนี้และมาตามหาข้อมูลเกี่ยวกับโนอาหรือเปล่า

    นอกเหนือจากการปรากฏตัวของทิกี้ในลา แมงกา เอ็กโซซิสท์ก็ไม่เจอข้อมูลอะไรอีกนอกจากนั่งไล่ตามอาคุม่าพเนจรและพยายามปกป้องประชาชนทั่วไป โร้ดเริ่มเบื่อจากการที่ไม่ได้เล่นกับเอ็กโซซิสท์เลย แต่ความเบื่อหน่ายนั้นก็หายไปเมื่อเชอริลปรากฏตัว โร้ดเทความรักเอาใจใส่ให้กับเขา และเชอริลก็อ้าแขนรับมันทั้งหมด

    ราวี่พับหนังสือพิมพ์ วางมันลงบนโต๊ะในห้องน้ำชาทันเวลากับที่ทิกี้เดินเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เขานั่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ก่อนจะกวาดเศษขนมบนโต๊ะทิ้ง

    “นายดูเหนื่อยๆ นะ” ราวี่เอ่ยพลางหยิบแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ ทิกี้คนนี้มักจะดูสุขุมและรักษามาดตลอดเวลา การได้เห็นเขาเหนื่อยจนโทรมแบบนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย

    ทิกี้เหลือบมองราวี่ พยายามจะจัดเสื้อกั๊กให้ดูเรียบร้อย “มันอัศจรรย์มากที่ตัวฉันคนก่อนสามารถรับมือกับดีไซร์ได้ตลอดเวลา”

    “จริงๆ แล้วเขาไม่ได้รับมือนะ” ราวี่บอกออกไป “เขาไม่ได้รับมือ เขาออกไปใช้เวลานอกบ้านมากกว่า”

    “ฉันคิดว่านี่คงจะช่วยฝึกความอดทนของฉัน” ทิกี้ยักไหล่ เสื้อกั๊กเขาเข้าที่และติดกระดุมเรียบร้อย เรายกมือขึ้นสางผมให้เรียบก่อนจะดันแว่นเข้าที่ “แต่ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อบอกนายถึงเรื่องไร้สาระหรือความลำบากของฉัน และฉันก็ไม่คิดว่าจะต้องบอกถึงความสำเร็จของปฏิบัติการครั้งก่อนของเราด้วย”

    “นายจะให้ฉันเดาว่านายจะมาบอกอะไรอย่างงั้นเหรอ?” ราวี่ขัดขึ้นพร้อมเหยียดยิ้มบาง

    ทิกี้นิ่งไป คำพูดนั้นทำเขาแปลกใจเล็กน้อย “ฉันจะให้นายเดาก็ได้” เขายักไหล่ และเอียงหัวไปด้านหนึ่งน้อยๆ “แต่นายอาจจะพลาดโอกาสสำคัญไป”

    “งั้นฉันก็คงไม่อยากทำแบบนั้น” บุ๊คแมนพยักหน้าพลางลุกขึ้นยืน เขาจัดเสื้อเล็กน้อยและเคาะปลายเท้าเพื่อดันรองเท้าบู๊ทให้เข้าที่ “แล้วเราจะรออะไรกันอยู่ล่ะ?”

    เป็นอีกครั้งที่ราวี่ทำให้เขาประหลาดใจ “นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะไปไหนกัน” ทิกี้กล่าว

    บุ๊คแมนยักไหล่พร้อมเคาะปลายรองเท้าบู๊ทอีกข้าง “มันสำคัญด้วยเหรอ?”

    “ก็คงไม่” ทิกี้ลุกขึ้นยืนและจัดปลายแขนเสื้อให้ตึง “มาเถอะ ท่านเอิร์ลกำลังรอพวกเราอยู่”

    ++++++++++++++++

    !” ท่านเอิร์ลหมุนตัวด้วยปลายเท้าข้างขวา ขาข้างซ้ายยืดออกเช่นเดียวกับแขนข้างซ้ายที่ยืดออกเหมือนกัน เธอยังคงถือร่มสีชมพูคันเดิมขณะเคลื่อนไหว

    ราวี่จ้องมองเธอทรงตัวในร่างโนอาอ้วนกลมบนลูกบอลใต้เท้า หญิงสาวดูดีใจกับอะไรบางอย่างเมื่อเธอเรียกสมาชิกโนอาในปัจจุบันทั้งหมดมายังห้องโถงหลักภายในอาร์ค ราวี่เคยเดินผ่านโถงนี้หลายครั้ง แม้ว่าจะไม่เคยเข้ามา สถานที่แห่งนี้ทำให้เขานึกถึงจัตุรัสที่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน พื้นถนนเรียงด้วยก้อนอิฐตามทางที่พวกเขาเดินขึ้นเนิน ตัวตึกเองก็ให้ความรู้สึกสไตล์นีโอคลาสสิกจากประตูและหน้าต่างทรงโค้งประดับสองทางเดินด้วยเสาแบบโครินเธียน ด้านในกว้างขวางและมีเพดานโดมโค้งที่มีช่องโอคูลุส*ด้านบน หน้าต่างมอบแสงสว่างเข้ามาภายในห้อง ท้องฟ้าใสด้านบนแทบมองไม่เห็นผ่านช่องว่างนั้น

    ราวี่คิดว่าอาร์คมันน่าทึ่งในตัวมันเองเสมอ เมืองทั้งเมืองที่อยู่ภายในห้วงมิติ และมีสภาพอากาศและท้องฟ้าเป็นของตัวเอง พระอาทิตย์ขึ้นและตก ดวงดาวประดับฟากฟ้า แม้ว่าเมืองนี้จะสวยงามและดูสดใส แต่ไม่มีใครอื่นที่อาศัยอยู่ที่นี่จึงทำให้มันดูน่าขนลุกในบางครั้ง

    ราวี่ไม่เคยมาที่นี่คนเดียว เขารู้ว่าบ้านบางหลังเป็นบ้านปลอม บันไดบางแห่งไม่ได้พาไปไหน หรือพาไปยังมิติอื่น แม้เขาจะสามารถจำสถานที่และโครงสร้างของอาร์คได้ แต่ความไม่แน่นอนของอาร์คก็ทำให้ราวี่ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนคนเดียวได้

    เชอริลงอเข่าลงเล็กน้อย และเอนตัวไปด้านหน้าเป็นท่าโพสทำมุม ท่านเอิร์ลหยุดหมุนเพื่อนั่งบนแผ่นหลังของเขา ราวี่และทิกี้ต่างมองค้าง พวกเรารู้ว่าชุดของท่านเอิร์ลหนักแค่ไหน แต่เชอริลก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยขณะที่เธอนั่งลงบนตัวเขา หญิงสาวไขว่ห้าง วางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของเขา ส่วนอีกข้างก็ถือร่ม

    ทิกี้ตั้งสติได้ก่อนและดันแว่นขึ้นตามนิสัย แสงจากหน้าต่างโดมโอคูลุสสะท้อนบนแว่น “ข่าวที่น่ายินดีนี้คืออะไรอย่างงั้นเหรอ ท่านเอิร์ล?”

    “โอะโฮะโฮ่~” ท่านเอิร์ลหลุดหัวเราะร้าย “เหมือนว่าอินโนเซนส์จะเริ่มเกิดขึ้นอีกแล้ว ตัวตนน่ารังเกียจนั่นกำลังตามหาเหล่าคนโง่งม~ มันยังไม่มีเจ้าของและเอ็กโซซิสท์ก็ยังหามันไม่เจอ มันถึงเวลาที่เราจะดับความหวังและความฝันของคนโง่งมไร้พระเจ้าพวกนั้นแล้วล่ะ~” เธอคล้องก้านร่วมระหว่างข้อศอกและร่างกายของเธอเพื่อปรบมืออย่างตื่นเต้น “ทิกี้ปอน~ พาราวี่ปอน โรนัลด์ปอนและสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของเขาไปผจญภัยซะนะ~ เชอริลปอนกับฉันยังมีธุระเกี่ยวกับเมืองปารีสให้ต้องจัดการอยู่~

    ++++++++++++++++++

    มันควรจะหนาว แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่ตอนเหนือของประเทศในนอร์ดิกมักจะมีอากาศหนาวเสมอ โดยเฉพาะหมู่เกาะออกมาทางเหนือกลางมหาสมุทรอาร์คติค แต่สำหรับวันนี้กลับไม่ใช่แบบนั้นเมื่อบุ๊คแมน โนอาทั้งสอง และสุนัขอาคุม่าตัวใหญ่ก้าวออกมาจากประตูอาร์ค มันให้ความรู้สึกเหมือนฤดูร้อนแถบแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนเลย

    “นี่มันไม่ปกติแล้ว” บุ๊คแมนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เขาดึงขยับปกเสื้อแขนยาวของเขา ถึงราวี่จะไม่เคยเดินทางมายังเกาะนี้มาก่อน เขาก็ค่อนข้างแน่ใจว่ายิ่งเข้าใจขั้วโลกเหนือเท่าไหร่ บริเวณแถบนั้นก็จะยิ่งหนาวตลอดทั้งปีมากเท่านั้น อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น

    รอยยิ้มบนใบหน้าขิงทิกี้กว้างขึ้นผิดมนุษย์มนา “อินโนเซนส์”

    ทั้งโรนัลด์และราวี่ต่างจ้องไปยังทิกี้ ช่างรองเท้าหนุ่มยังไม่เคยเจออินโนเซนส์ไร้เจ้าของมาก่อน แต่ขณะที่เขากอดอกพร้อมขมวดคิ้ว เขาก็รู้ทันทีว่าเขาเกลียดมัน

    “มันเปลี่ยนสภาพอากาศได้ด้วยเหรอ?” ราวี่มองไปยังทิกี้อย่างตกใจแต่ก็เปี่ยมไปด้วยความสงสัย เขาเกลียดอินโนเซนส์พอๆ กับโนอา แต่มันก็ยังทำให้เขาสงสัยเกี่ยวกับขอบเขตความสามารถของมันนอกจากการพยายามฟันร่างเขาให้ขาดเป็นชิ้นๆ เขารู้เกี่ยวกับมันน้อยมาก และรู้เท่าที่เขาเคยเห็น เขาเคยเห็นอินโนเซนส์ไร้เจ้าของแค่อันที่หน้าตาเหมือนลูกบาศก์ประหลาดๆ ตอนที่บุกไปยังศาสนจักรสาขาอเมริกาเหนือเท่านั้น สิ่งนั้นที่อยากจะเชื่อมต่อกับเขา อยากจะทำให้เขากลายเป็นตัวตนที่เขาเกลียด

    มันต้องถูกสร้างมาจากบางแห่ง และมีอยู่ที่นี่หนึ่งชิ้น ท่ามกลางโลกภายนอกนี่ ราวี่เคยคิดว่ามันถูกสร้างโดยเอ็กโซซิสท์ แต่ตอนนี้เขาให้เหตุผลว่ามันน่าจะมาจากที่อื่น และเอ็กโซซิสท์ต้องเก็บรวบรวมมันก่อนจะหาผู้เชื่อมต่อ เกาะแห่งนี้ปลีกวิเวกมาก กระทั่งเอ็กซิสท์เองก็คงจะหามันเจอด้วยความยากลำบาก

    ราวี่มองไปรอบๆ ไม่มีสิ่งมีชีวิตให้เห็น ไม่มีบ้านหรือถนนหรือสัญญาณของความศิวิไลซ์ ต้นไม้โค้งงอด้วยน้ำหนักของหิมะที่กำลังละลาย พื้นเฉอะแฉะ หิมะและน้ำแข็งที่ละลายตัวอย่างรวดเร็วรวมตัวกับพื้นหินขรุขระเย็บเฉียบ ลมเย็นพัดลงมาจากภูเขาและผ่านหุบเขาที่พวกเขาอยู่ บุ๊คแมนไม่แน่ใจว่าเขาควรจะสั่นจากลมนั่นหรือถอดเสื้อจากความร้อนแปลกประหลาดนี่ดี

    สุนัขอาคุม่ากระสับกระส่ายไม่สบายตัวจากหิมะที่ละลายลง มันพยายามไม่ให้อุ้งเท้าติดเหนอะตามพื้น โรนัลด์วางมือบนบ่าของเจ้าสุนัขเป็นเชิงปลอบ เนื่องจากตัวมันขณะนั่งก็ยังสูงกว่าเขาที่ยืนอยู่

    “มันทำอะไรร้ายกาจได้หลายอย่าง” ทิกี้ตอบ เขามองไปรอบบริเวณเพื่อหาที่มา “เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุด” แสงกระพริบไกลๆ เตะตาเขา มันเป็นสัญญาณของอินโนเซนส์ไร้เจ้าของ สัญญาณของแสงที่นำไปสู่พระเจ้าจอมปลอม “ทางนั้น”

    พวกเขาเดินลุยหิมะไป กลุ่มคนไร้ซึ่งความกลัวค่อยๆ มุ่งไปยังที่มาของแสงอย่างช้าๆ แต่มั่นคง มันเป็นการเดินที่ยากลำบากสำหรับทุกชีวิต ยกเว้นแต่ทิกี้ที่โกงโดยการใช้พลังของตัวเองในการเดินทะลุผ่านหิมะที่กำลังละลายเป็นก้อนเขลอะ แล้วพวกเขาก็มาถึงเหมืองร้าง พวกเขามองเห็นรางรถรางเหมืองที่เริ่มเห็นชัดท่ามกลางหิมะที่ค่อยๆ ละลาย รางนี่น่าจะพาพวกเขาเป็นยังรางกระเช้าลอยฟ้าใกล้ๆ ที่ดูเหมือนถูกหยุดเวลาไว้กับน้ำแข็งย้อยที่ย้อยลงมาตามสายเคเบิ้ลและกระเช้าที่จอดนิ่ง มีรถรางบางส่วนจอดอยู่ลึกเข้าไปบริเวณทางเข้าเป็นเงาตะคุ่มๆ จากแสงของอินโนเซนส์ที่กะพริบจ้า สถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างไว้น่าจะประมาณ 30 ปีก่อนตอนที่ถ่านหมดไปจากเหมือง

    บุ๊คแมนหนุ่มลองเหยียบคลำทางให้มั่นคงก่อนเดินตามทิกี้ลึกเข้าไปตามเนินลาดลงสู่ตัวเหมือง โรนัลด์เองก็ตามมาติดๆ โดยใช้สุนัขอาคุม่าช่วยพยุงขณะเดินเข้าไป

    แสงสว่างนั้นกะพริบอยู่ไกลๆ เป็นจังหวะเหมือนไฟบนยอดประภาคาร ก่อนจะดับวูบไป ราวี่กะพริบตา พยายามมองในความมืด บุ๊คแมนคว้ามือหาอะไรสักอย่างเพื่อจับทรงตัว เขาควานหากำแพงและวาดมือผ่านใบแมงมุมที่แข็งเย็น เขานิ่วหน้าและสะบัดมือไล่ความรู้สึกเมื่อครู่

    บุ๊คแมนไม่พอใจกับการอยู่แบบไร้แสงไฟ แต่เขายังไม่มองไม่เห็นไปเสียทีเดียว ชายหนุ่มขยับผ้าปิดตา ดวงตาข้างขวาเขาเพ่งอยู่สักพักแต่ก็มองเห็นเค้าโครงของบริเวณโดยรอบได้อย่างรวดเร็ว เขามองเห็นการเคลื่อนไหวนิดหน่อยของทิกี้ด้านหน้าเขาไม่กี่เมตรขณะที่พยายามมองหาเป้าหมาย โรนัลด์ไม่ขยับจากที่เดิมและพิงสุนัขอาคุม่าที่ตอนนี้นั่งนิ่งบนพื้นเย็น พื้นที่บริเวณนั้นดูดซึมความร้อนจากร่างของสุนัขอาคุม่า แต่บริเวณอื่นๆ ก็ยังคงแข็งยะเยือกเหมือนเดิม

    บุ๊คแมนหนุ่มพอมองเห็นกลุ่มก้อนพลังงานบางอย่างเคลื่อนที่อยู่ลึกเข้าไปจากปากเหมือง มันกำลังซ่อนตัว เหมือนจะอยู่ในรถรางหรือไม่ก็ในทางแร่เหมือง “มันยังอยู่ที่นี่”

    โรนัลด์มองมาทางบุ๊คแมน หรืออย่างน้อยก็ในทางที่เขาคิดว่าบุ๊คแมนอยู่ “นายมองเห็นมันเหรอ บุ๊คแมน? ได้ยังไง? มันมืดสนิทเลยนะ!

    ราวี่ส่ายหัว เขารู้ตัวว่าเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่มองเห็นในที่มืดนี้ “บุ๊คแมนไม่บอกความลับของเขาหรอกนะ” เขาดุ เขาเองก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน ดวงตาข้างขวาเขาไม่ปกติ และมันก็เป็นความผิดปกติที่ทำให้ปู่บุ๊คแมนเลือกเขาเป็นลูกศิษย์

    ตาขวาข้างนี้ทำให้เขาเห็นสิ่งที่เขาอธิบายไม่ถูก เขามองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น แต่ปกติแล้วเขาก็ไม่ค่อยได้ใช้มันสักเท่าไหร่ คนส่วนมากจะมองเห็นมันเป็นแค่ดวงตาที่มืดบอด สีเทาขุ่นมัวและดูเหมือนใช้งานไม่ได้ แต่ในตอนนี้ที่เขายืนอยู่ในความมืดมิดและปิดตาข้างซ้ายด้วยมือของเขา ดวงตาข้างขวาจะทำให้เขารับรู้ข้อมูลพิเศษและมุมมองที่ปกติแล้วคงจะมองไม่เห็น เขามองเห็นในที่มืด มันไม่ได้ชัดเจนเหมือนตอนที่มองในที่สว่าง แต่มันก็เพียงพอสำหรับการนำทางและสำรวจโดยรอบ

    ทิกี้ยิ้มกว้าง เขาดันแว่นขึ้นตามนิสัย เขาเองก็มองไม่เห็นพอๆ กับโรนัลด์ แต่เขารู้จากความทรงจำที่ตัวเขาคนก่อนทิ้งไว้ว่าบุ๊คแมนคนนี้เป็นตัวตนปริศนา เขามีพลังของผู้เชื่อมต่อ แต่ไม่อยากจะเป็นเอ็กโซซิสท์ และบุ๊คแมนทั่วไปก็เป็นกลุ่มคนแปลกๆ อยู่แล้ว บางครั้งพวกเขาก็ดูเหนือมนุษย์ โดยเฉพาะกับความสามารถในการสังเกตของพวกเขา เขาไม่ตั้งคำถามใดๆ เขาแค่อยากจะรู้ว่าเป้าหมายของเขาอยู่ไหน “มันไปทางไหนล่ะ ราวี่~?” เขาถาม แต่ความเจ้าเล่ห์ของจอยด์ก็อาบย้อมอยู่ในน้ำเสียงของเขา เขากำลังสนุกสนานกับความท้าทายนี้

    “มันซ่อนตัวอยู่” ราวี่ตอบ “ประมาณ 10 ไม่ก็ 15 เมตรข้างหน้า ชิดขวาไว้ มันมีรถรางไม่ก็กล่องสักอย่างอยู่ทางซ้าย” เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร มันอาจจะเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ก็ได้

    พอก้าวอย่างระมัดระวังไปทางขวาสองสามก้าว ทิกี้ก็เจอกับกำแพง มือที่สวมถุงมือไม่ช่วยปกป้องมือเขาจากชั้นน้ำแข็งหจาที่กำลังละลายและทำบริเวณโดยรอบชื้นแฉะ ทิกี้ใช้ความสามารถทะลุชั้นผิวลงไป สายเลือดโนอาในกายเขาเดือดพล่าน เขาสัมผัสได้ว่ากำลังเข้าใกล้เป้าหมาย “ฉันรู้ว่าแกอยู่ตรงนั้น อินโนเซนส์ตัวน้อย”

    อินโนเซนส์ขยับและส่องแสงสว่างจ้า มันพุ่งขึ้นมาจากที่ซ่อนในกล่องและสาดแสงไปทั่วถ้ำ ก่อนจะพุ่งตัวหนีออกไปจากเหมือง เมื่อมันจากไป ถ้ำก็กลับสู่ความมืดอีกครั้ง ราวี่ป้องปิดตาทั้งสอง แต่ก็เอามือออกและลืมตาเมื่อสัมผัสได้ว่าแสงสว่างหายไปแล้ว เขามองไปรอบๆ อินโนเซนส์ สิ่งที่เป็นต้นตอของแสงประหลาดนั่นไม่อยู่แล้ว “มันหายไปแล้ว”

    “ให้ตายสิ” โรนัลด์ขมวดคิ้ว เขาพยายามจับทิศทาง “สป็อต ตามมันไป! กินใครก็ตามที่มันพยายามจะเชื่อมต่อทิ้งซะ” สุนัขอาคุม่าทำตามพร้อมขานรับอย่างอารมณ์ดี มันรีบลุกขึ้นและพุ่งตัวออกจากเหมืองไปอย่างรวดเร็วผิดธรรมชาติ

    “สป็อตเหรอ?” ทิกี้ทวนด้วยรอยยิ้มกว้าง

    “อแมนด้าตั้งชื่อให้มัน” โรนัลด์ยักไหล่ “อีกอย่าง นายจะเรียกหมาปิศาจสูง 7 ฟุตว่าอะไรล่ะ?”

    TBC…

     

    ll WORDS FROM AUTHOR ll

    มันถึงเวลาไล่ล่าอินโนเซนส์แล้ว! พูดยากมากเลยว่าใครจะได้เปรียบกว่ากันระหว่างโนอากับเอ็กโซซิสท์! ศาสนจักรมีสมาชิกใหม่ แต่โนอาก็มาถึงก่อน

    และถ้าอาคุม่าวิวัฒนาการขึ้น แล้วอินโนเซนส์ล่ะ? เป็นเรื่องที่ยังบอกไม่ถูกเหมือนกัน

    แต่อินโนเซนส์ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ มันคือดวงตาข้างขวาของราวี่ที่ในที่สุดก็เผยให้เราเห็นความสามารถตามความคิดของฉัน! มันไม่ถูกพูดถึงในต้นฉบับเลย ยกเว้นแค่เรื่องที่ดวงตาข้างนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ปู่บุ๊คแมนเลือกราวี่เป็นผู้สืบทอด และมันก็ถูกพูดถึงเฉพาะในนิยายภาค Reverse ภาคที่ราวี่เจอดั๊กด้วย

    ฉันก็เลยเติมที่เหลือเองค่ะ

    Saturnalius


    ll LITTLE TALK WITH TRANSLATOR ll

    สวัสดีครับ กลับมาได้ไม่นานก็หายไปอีกแล้ว 55555

    ความจริงตอนนี้ครึ่งตอนแรกแปลเสร็จไปตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนแล้ว แต่หลังจากนั้นก็เจองานนอกนิดหน่อย แถมยังเรื่องที่เคยเปิดใจไปก่อนหน้านี้อีกส่วนด้วยล่ะครับ น่าจะอีกสักพักเลยจนกว่าผมจะกลับเป็นปกติ แหะๆ ยังไงก็จะพยายามอัพเรื่อยๆครับผม

    ถ้าเจอคำผิดหรือคำไหนแปลกๆก็บอกได้นะครับผม!

    *โดมแบบมีช่องโอคูลุส เป็นโดมที่มีช่องกลมเหมือนภาพด้านล่างครับ โดยช่องกลมนี้แหละที่เรียกว่า โอคูลุส (Oculus) เป็นทางให้แสงเข้าภายในตัวอาคารได้ครับ

    ที่มาของภาพ

    **ตัวละครต้นแบบของเชอริลคนใหม่ครับ Hildibrand จากเกม Final Fantasy XIV

    Final Fantasy XIV - Patch 3.5 - Hildibrand Quest 1 - RPGValiaNt

     **ส่วนอันนี้ผมเดาเองว่าน่าจะเป็นที่มาของท่าที่เชอริลโพสครับ 5555

    Hildibrand Manderville | Final Fantasy Wiki | Fandom

    ไว้พบกันใหม่ตอนหน้าครับ

    ด้วยรัก

    พาร์ท 

    Killer in the Dark Shadow


     

     

     

    TF:)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×