คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2...ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อน
หวานใจนายมนุษย์หมาป่า
บทที่ 2
“คุณบุษบา...คุณบุษบา”
หัวหน้าเดินมาตบโต๊ะทำงานเรียกฉันเสียงดังปัง พร้อมกับตะโกนเรียกอีกครั้ง
“นี่!...คุณบุษบา”
“อ๊ะ! หัวหกตกหล่น” ฉันสะดุ้งเฮือก พร้อมกับร้องอุทานด้วยความตกใจ
“หัว...หัวหน้านี่เอง โอ้ย! หนูตกใจหมดเลย”
“ผมเรียกคุณตั้งนานแล้ว ไม่เห็นคุณตอบรับสักที มัวแต่นั่งเหม่ออะไรอยู่ได้” เขาบ่น พลางส่ายหน้าอย่างระอา
ฉันหันซ้าย หันขวา มองดูรอบๆ ด้วยท่าทางตื่นตกใจ
“เฮ้ย! นี่มันที่ทำงานนี่นา” พึ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ทำงาน
“เอ๊ะ! แล้วฉันมาทำงานได้ยังไง ก็จำได้ว่ากำลังจะกลับบ้านนี่นา” พึมพำด้วยความสงสัย พร้อมกับเกาหัวแกรกๆ เพราะนั่นคือความทรงจำครั้งสุดท้ายที่นึกออกจริงๆ
หัวหน้าหัวเราะขำๆ กับท่าทางเอ๋อๆ ของลูกน้อง “ฮะ ฮะ คุณเนี่ยท่าจะเพี้ยน อุตสาห์ลงทุนตื่นแต่เช้ามาทำงานเป็นคนแรก แต่ดันลืมเอาสติสตังมาด้วย สงสัยจะยังไม่ตื่นซินะ”
“ขอ...ขอโทษค่ะหัวหน้า” ฉันรีบละล่ำละลักกล่าวขอโทษทันที เมื่อสติสัมปชัญญะเริ่มกลับคืนมา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่แวะมาทักทาย” หัวหน้าพึมพำ แล้วเดินกลับไปนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะทำงานของตัวเองต่อ
ตายแล้วเรา ทำไมถึงได้ประสาทขนาดนี้เนี่ย มาถึงที่ทำงานได้อย่างไงก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะรู้สึกตัวเลย แล้วเมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ไอ้หมาตัวนั้นล่ะ มันตายหรือยัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหัวของฉันตอนนี้มันมึนตึ๊บไปหมด จนไม่รู้จะจับต้นชนปลายอย่างไงดีแล้ว
ฉันพยายามนั่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวานอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก เพราะความทรงจำครั้งสุดท้ายที่จำได้ ก็คือเหตุการณ์ตอนขับรถกลับบ้านท่ามกลางสายฝนพรำ จากนั้นก็ขับรถไปชนหมาตัวใหญ่ จนรถล้มเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง ตัวเองก็จำไม่ได้เลย
เอ หรือว่าตอนเกิดอุบัติเหตุเมื่อคืน หัวเราจะไปกระแทกกับอะไรเข้า ก็เลยความจำเสื่อมชั่วคราว เหมือนอย่างที่เคยดูในหนัง สงสัยต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ
ฉันสันนิษฐาน พร้อมกับยกมือขึ้นสำรวจบาดแผล หรือร่องรอยอะไรสักอย่างบนหัวตัวเอง เพราะถ้าไปกระแทกกับอะไรเข้าจริงๆ จนถึงขั้นความจำเสื่อม มันก็น่าจะมีรอยโนที่หัว หรือไม่อย่างนั้นมันก็น่าจะมีอาการเจ็บที่ศีรษะบ้าง แต่นี่ ฉันกลับไม่มีอาการอะไรเลยสักอย่างเดียว ไม่มีทั้งรอยโน ไม่มีทั้งบาดแผล แถมยังไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรด้วย
ไม่น่าเชื่อเลยว่า หลังเกิดอุบัติเหตุ ฉันจะไม่เป็นอะไรเลย ร่างกายยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกอย่าง เพียงแต่ว่า ยังจำเหตุการณ์เมื่อคืน กับเมื่อเช้าไม่ได้เท่านั้นเอง แต่เรื่องนี้นี่แหละที่เป็นปัญหาใหญ่
ขณะที่กำลังนั่งนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน เพื่อนร่วมงานหญิงที่อยู่แผนกเดียวกันก็เดินเข้ามาทักทาย เมื่อเธอเดินเข้ามาในห้องแล้วเห็นว่าฉันมาถึงที่ทำงานก่อนแล้ว
“สวัสดี ต้นหญ้า พึ่งมาเหรอ แต่แหม วันนี้มาแต่เช้าเลยนะจ๊ะ”
“เอ่อ จ้ะ แหะ แหะ” ฉันทักทายตอบ พร้อมกับยิ้มให้ แต่มันคงดูเห่ยๆ อย่างไงชอบกล เพราะตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยหรือยิ้มแย้มกับใครทั้งนั้น
“อุ๋ย!..ต๊าย ตาย...ต้นหญ้า แต่งตัวซะสวยเชียว มีอะไรพิเศษหรือเปล่าจ๊ะ หรือว่าวันนี้มีนัดกับผู้ชายที่ไหน” หล่อนส่งเสียงวี๊ดว้ายกระตู้วู้ตามสไตล์ แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
ฉันจึงก้มมองตัวเอง แล้วพึ่งสังเกตเห็นว่าวันนี้ตัวเองแต่งตัวแปลกไปกว่าทุกวันจริงๆ เพราะทุกวันที่มาทำงานฉันจะต้องรวบผมเรียบร้อย เนื่องจากขับรถมอเตอร์ไซด์มาทำงาน หากไม่รวบผม ผมมันก็จะพันกันยุ่งเหยิง ส่วนเสื้อกับกระโปรงก็ไม่เคยใส่ประเภทที่มีลายลูกไม้กระจุ๋มกระจิ๋มแบบนี้เลยสักครั้ง เพราะรู้สึกว่าใส่ชุดแบบนี้แล้ว มันไม่เป็นตัวของตัวเอง จะลุกจะนั่งก็ลำบาก ต้องคอยระวังตลอด ฉันก็เลยไม่ชอบ แต่ที่มีเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า ก็เพราะว่าชุดนี้ เพื่อนสนิทเป็นคนซื้อให้ในวันเกิด ก็เลยไม่กล้าทิ้ง ได้แต่แขวนเอาไว้ในตู้เฉยๆ เหมือนเอาไว้ดูต่างหน้าเพื่อนเท่านั้น
“บ้าจริง! ดันใส่ชุดแบบนี้เข้าไปได้อย่างไงเนี่ย?” ฉันพึมพำอย่างหัวเสีย
“อ้าว?”
เพื่อนร่วมงานมองท่าทางฉุนเฉียวของฉันด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าฉันไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะเสวนาดีๆ ด้วย เจ้าหล่อนก็เลยเดินกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ปล่อยให้ฉันนั่งบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้งอยู่คนเดียว
นี่ มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น ทำไม ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้เลย แล้วทำไมฉันถึงแต่งชุดเสร่อๆ แบบนี้มาทำงาน แล้วแว่นตาล่ะ อุปกรณ์ที่ฉันต้องใส่ติดตัวตลอด เสมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ฉันกลับลืมใส่มันมาทำงาน ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่ฉันจะลืมมัน
โอ้ย จะบ้าตาย เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันกันเนี่ย ตอนนี้ในหัวของฉันมีแต่คำถามว่า ทำไม ทำไม อยู่เต็มไปหมดแล้ว
“คุณบุษบา เป็นอะไรไป หน้าซีดๆ นะ หรือว่าไม่สบาย” หัวหน้าทักด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะหัวหน้า”
ตายแล้ว เกือบโดนหัวหน้าเขม่นแล้วซิ ฉันนึกในใจและรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว
“เอ่อ แล้วหัวหน้ามีอะไรจะใช้หนูเหรอคะ”
“คือว่า ผมมีข่าวดีจะแจ้งให้ทุกคนทราบ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แผนกเราจะถูกยุบ อ๊ะ! อย่าพึ่งตกใจไป” หัวหน้าหยุดพูดไปนิดหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าอึ้งตะลึงงังของลูกน้อง
“บริษัทเขาไม่เลิกจ้างพวกคุณหรอก แต่พวกคุณจะถูกย้ายไปทำงานแผนกอื่นแทน ใครย้ายไปอยู่แผนกไหนก็ตรวจดูตามรายชื่อนี้นะ” หัวหน้าบอก พร้อมกับยื่นเอกสารมาตรงหน้าลูกน้องด้วยสีหน้าแป้นแร้น
“อ้อ! แล้ววันนี้ผมจะมาทำงานเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ คือพรุ่งนี้ผมก็จะเกษียณแล้ว ขอให้ทุกคนโชคดีนะครับ ตั้งใจทำงานกันล่ะ” เขากล่าวทิ้งท้าย จากนั้นก็เดินไปเก็บกวาดข้าวของส่วนตัวแพ็คใส่กล่อง เตรียมพร้อมจะละทิ้งหน้าที่และลูกน้องอย่างเต็มที่แล้ว
ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรเหมือนกับคนอื่นเขาเลยจริงจริ๊ง ฉันคิดกระแนะกระแหนหัวหน้าในใจ
ตลอดทั้งวันฉันกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ อีกสามคน ก็เลยยุ่งวุ่นวายกับการขนย้ายข้าวของ และไปรายงานตัวที่แผนกใหม่ (แต่อยู่ในบริษัทเดิม) ถึงแม้พวกเราจะตกใจกับการถูกเปลี่ยนงานอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครมานั่งเศร้าโศกเสียใจ กับการจากลาเลยสักคน เพราะต่างคนต่างก็ต้องรีบแยกย้ายกันไปรายงานตัวที่แผนกใหม่ ให้ทันก่อนเวลาเข้างาน (เรื่องนี้ต้องโทษหัวหน้า มัวแต่นั่งอมพะนำอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมบอกซะตั้งแต่ทีแรก จะได้ไม่วุ่นวายขนาดนี้) ความเสียใจที่แผนกถูกยุบ ก็เลยเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นผสมกับความประหวั่นพรันพรึงที่จะได้ย้ายไปทำงานแผนกอื่นแทน และเรื่องนี้มันก็ทำให้ฉันลืมเรื่องกลุ้มใจที่จำอะไรไม่ได้เลยไปเสียสนิท
“อ้าว ทุกคน ตั้งแต่นี้ต่อไป คุณบุษบาจะย้ายมาทำงานแผนกเดียวกับเรานะ รู้จักกันไว้” หัวหน้าแผนกธุรการที่ฉันพึ่งมาแนะนำตัวกับเขา เอ่ยปากตะโกนเสียงดัง เพื่อแนะนำตัวฉันต่อหน้าพนักงานทุกคนในห้องอย่างรวบรัดทันที
“เอ่อ คุณบุษบา เดี๋ยวคุณไปนั่งตรงนั้นนะ...ว่าแต่พิมพ์เวิลด์ เอ็กซ์เซล เป็นใช่ไหม”
“เป็นค่ะ”
“ดีมาก ถ้างั้นผมจะให้คุณมฆวัน สอนงานให้คุณก็แล้วกันนะ...คุณมฆวันครับ เชิญทางนี้หน่อย”
หลังจากแนะนำตัวเสร็จ ฉันก็ถูกใช้ให้ทำงานทันที ดูเหมือนแผนกนี้ทุกคนต่างมีงานยุ่งรัดตัวกันหมด แทบจะไม่มีเวลาทักทายปราศรัยกันเลย ต่างคนต่างก้มหน้าทำงานกันงกๆ ไม่สนใจใครทั้งสิ้น โอกาสที่ฉันจะได้คุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็เลยไม่มี
ซึ่งจริงๆ แล้ว ตั้งแต่เข้ามาทำงานบริษัทนี้ ฉันก็ยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน พวกที่เคยทำงานอยู่แผนกเก็บรวบรวมเอกสารด้วยกัน ก็ไม่ค่อยสนิทสนมกันมากนัก เพราะฉันพึ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน ส่วนเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันต่างก็แยกย้ายไปทำงาน และก็ค่อยๆ ห่างเหินกันไป อีกอย่างฉันก็ย้ายงานบ่อย จึงไม่ค่อยสนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานจากที่ทำงานเก่า ฉันในตอนนี้จึงเหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบไม่มีผิด
ชีวิตคนเรามันสามารถผันแปรได้ตลอดเวลาจริงๆ จู่ๆ จากที่เคยนั่งว่างงาน เซ็งแล้ว เซ็งอีก กลับต้องมาถูกใช้งานแบบมือไม่ให้วางหางไม่ให้เว้น ฉันก็เลยมึนไปหมด
บริษัทเดียวกันแท้ๆ แต่ทำไมวิธีการทำงานถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้เนี่ย ตอนอยู่แผนกเก่า พวกฉันทำงานกันสบายๆ เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะกินขนม ทานกาแฟ หรือนั่งอ่านการ์ตูนก็ยังได้ แต่มีข้อเสียตรงที่พวกฉันต้องทำความสะอาดห้องเอง เพราะแผนกเราไม่มีแม่บ้านมาคอยจัดการทำความสะอาดให้เหมือนแผนกอื่นในบริษัท ไม่มีเครื่องชงชา กาแฟ ไว้บริการพนักงานฟรีด้วยเหมือนกัน เบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการต่างๆ ก็ผิดกันลิบลับ หากคิดในแง่ดี การถูกย้ายมาแผนกที่ทำงานกันยุ่งๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าถูกไล่ออก เพราะฉันจะได้แอ็กทีฟตัวเองด้วย มัวแต่นั่งง่วงเหงาหาวนอนมานาน ทีนี้จะได้เรียนรู้งานอย่างจริงๆ จังๆ เพื่อเอามาพัฒนาตัวเองสักที ฉันพยายามคิดให้กำลังใจตัวเอง
อะไรๆ มันก็สามารถทำใจยอมรับได้อ่ะนะ มีแต่ตัวหนังสือที่คุณมฆวันร่างมาให้ฉันพิมพ์เท่านั้น ที่ฉันรับไม่ได้
ทำไมมันยุ่งเหมือนยุ่งตีกันขนาดนี้เนี่ย นี่มันลายมือคนหรือเปล่าวะ แล้ววันนี้ จะพิมพ์เสร็จทันเหรอ ฉันคิดด้วยความขุ่นเคือง หลังจากพยายามเร่งพิมพ์งาน เพื่อจะได้เสร็จภายในวันนี้ ตามที่คุณมฆวันสั่งไว้ เนื่องจากมันเป็นงานที่ได้รับมอบหมายชิ้นแรก ฉันก็เลยอยากจะทำให้มันออกมาดีที่สุด
กว่าจะทำงานเสร็จก็เล่นเอาฉันอ่อนละเหียเพลียแรง มือไม้หงิกงอไปหมด เพราะไหนจะพิมพ์งาน ไหนจะวิ่งถ่ายเอกสาร จากนั้นก็เอางานไปส่งแผนกอื่น แล้วกลับมาพิมพ์งานอีก แล้วงานแต่ละชิ้นที่ไอ้คุณมฆวันมอบหมายให้ฉันทำ ก็ล้วนแต่เป็นงานเร่งด่วนทั้งนั้น จะเอาภายในสิบนาทีบ้างล่ะ อีกสิบห้านาทีบ้างล่ะ แล้วไหนจะให้แทรกตาราง แทรกกราฟ ทำแผ่นพับอีก แผนกนี้ใช้งานพนักงานได้คุ้มค่ากับเงินเดือนจริงๆ
ขากลับจากทำงาน ฉันก็ไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยในห้างสรรพสินค้าตามเคย แต่ครั้งนี้ ฉันไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่การไปเดินเตร็ดเตร่อย่างไร้สาระเหมือนเช่นทุกวัน
และถ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาเดินเล่นที่ห้างในวันพรุ่งนี้ได้ ก็แสดงว่าแผนการที่วางไว้ประสบผลสำเร็จ แต่ถ้าไม่ ฉันคงไม่มีโอกาสได้มาเดินเล่นที่ห้างนี้อีกแล้ว
ลาก่อน ร้านหนังสือที่รัก ฉันทำตาละห้อยมองไปในร้านหนังสือที่มักจะเข้าไปยืนอ่านฟรีอยู่เป็นประจำ หากไม่ติดว่ามีภารกิจจะต้องไปจัดการ ฉันคงได้เข้าไปยืนฟรีเหมือนอย่างเคย แต่ถ้าเข้าไปแล้ว ก็คงติดลมอีกแน่ๆ ซึ่งมันอาจจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง จนถึงขั้นทำให้แผนการที่วางไว้เสียหายได้ ก็เลยต้องตัดใจ เดินคอตกออกห่างมาจากร้านหนังสือซะ ท่าทางของฉันตอนนี้คงดูเหมือนคนอกหัก ไม่สมหวังในความรักแน่ๆ เลย
อา...ถ้าฉันจากไป จะมีใครคิดถึงฉันไหมเนี่ย พ่อ แม่ก็เสียไปหมดแล้ว ญาติพี่น้องที่ไหนก็ไม่มี เพราะเป็นลูกสาวคนเดียว โทรหาเพื่อน เพื่อนก็ดันไม่รับสายบ้าง ไม่ว่าง ต้องเลี้ยงลูกบ้าง และที่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือ ดันมาขอยืมเงินกันหน้าด้านๆ แล้วถ้าหากฉันเป็นอะไรไป จะมีใครสนใจบ้างหรือเปล่านะ
เฮ้อ ช่างเถอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ฉันคิด หลังจากยืนระงับสติอารมณ์อยู่ชั่วครู่หน้าประตูรั้วบ้านของตัวเอง พลางนึกเสียดายว่าวันนี้ทำไมระยะทางระหว่างที่บ้านกับที่ทำงานมันใกล้กันจัง ไม่อยากจะถึงบ้านเร็วอย่างนี้เลย ปกติ ถ้าไฟข้างทางยังไม่สว่าง ฉันก็ยังไม่กลับบ้านหรอก ต้องหาเรื่องเถลไถลไปเที่ยวที่ไหนสักที่ เพื่อฆ่าเวลาให้มันหมดไปวันๆ
เมื่อไม่มีหนทางหลีกเลี่ยงแล้ว ฉันก็ไขกุญแจรั้ว และผลักประตูเข้าไป เพื่อจะได้เผชิญหน้ากับบางสิ่งบางอย่างที่รออยู่ในบ้านสักที ซึ่งถ้าฉันเลือกที่จะหนี ฉันก็ทำได้ แต่เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง เพื่อให้ไอ้นั่นมันสมใจกันล่ะ
โธ่เอ้ย! แค่หมาตัวเดียว มันจะสักเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจะเข้าไปจัดการให้มันรู้สมนึกซะบ้าง จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ฉันกำหมัดแน่นอย่างฮึกเหิม และเดินอาดๆ เข้าไปในบ้านตัวเอง
ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจู่ๆ ความทรงจำที่หายไป มันจะกลับคืนมาอย่างง่ายดาย หลังจากช่วงเช้าที่ฉันพยายามนึกแทบเป็นแทบตาย แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่พอเลิกงานเตรียมตัวจะกลับบ้าน จู่ๆ มันก็นึกขึ้นมาได้ทันที อาจจะเป็นเพราะความกลัวว่าจะกลับไปเจอตัวอะไรที่บ้าน มันไปกระตุ้นจิตใต้สำนึกให้นึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมาก็ได้
เหตุการณ์เมื่อคืนวาน หลังจากที่ฉันหันหลังกลับไปดูอาการบาดเจ็บของเจ้าหมาจรจัดตัวนั้น ด้วยความสงสารกลัวว่ามันจะถูกรถใหญ่ทับตาย ก็เลยว่าจะดูอาการของมันซักหน่อย และเพื่อจะตรวจดูบาดแผลของมันได้ทั่วๆ ฉันก็เลยตัดสินใจยื่นมือไปแตะตัวมันด้วยความกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อไอ้หมาสกปรกตัวนั้นมันได้กลายร่างเป็นมนุษย์ต่อหน้าต่อตา แถมยังเป็นมนุษย์ผู้ชายที่มีร่างกายเปล่าเปลือยล่อนจ้อนซะด้วย
เมื่อเจอแบบนี้ ใครจะไม่สติแตก กรี๊ดสลบไปเลยเล่า
ความคิดเห็น