คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3...มนุษย์ต่างสายพันธุ์
หวานใจนายมนุษย์หมาป่า
บทที่ 3
ขณะที่กำลังยืนรวบรวมกำลังใจ เพื่อเผชิญหน้ากับผีหมา (ก็ฉันไม่รู้จะเรียกไอ้หมาปิศาจที่กลายร่างเป็นคนว่าอะไร ก็เลยเรียกมันว่าผีหมาแทน เพราะคงมีแต่ผีเท่านั้นแหละ ถึงแปลงร่างเป็นคนได้)
จริงๆ แล้ว มันก็น่าแปลกใจเหมือนกัน ที่คนธรรมดาสามัญอย่างฉัน จู่ๆ ก็มีพลังทางวิญญาณ สามารถมองเห็นผี หรือสิ่งที่คล้ายๆ กันกับผีได้ แต่ด้วยความที่หลงตัวเองอยู่นิดหน่อย บวกกับความที่เป็นคนมองโลกในแง่ดีตลอด (แต่คนที่รู้จักฉันดี กลับเห็นพ้องต้องกันว่า ฉันบ๊องส์ตื้นเกินมนุษย์มนา มันไม่ใช่การมองโลกในแง่ดีหรอก)
ฉันไม่ค่อยตกใจสักเท่าไรกับความจริงนี้ มันกลับทำให้ฉันรู้สึกปลาบปลื้ม และภาคภูมิใจที่มีพลังพิเศษเหนือคนอื่น ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป (เห็นไหมว่าฉันมีความคิดบ๊องส์ๆ ไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ)
เพราะจากการที่ฉันดูหนังไซไฟมาเยอะ อย่างเรื่อง X-MEN หรือ FANTASTIC 4 พวกตัวเอกในหนังเหล่านั้น ต่างก็มีพลังพิเศษแบบฉัน และพวกเขาก็ได้ปฏิบัติภารกิจกอบกู้โลก จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ถ้าหากฉันมีพลังพิเศษเหมือนในหนังจริงๆ เผลอๆ ในอนาคต ฉัน ยัยต้นหญ้า จอมเป๋อคนนี้ ก็อาจจะได้เป็นฮีโร่โดยไม่รู้ตัวก็ได้ ใครจะรู้
“โฮะ โฮะ โฮะ แหมเรานี่ เก่งใช่ย่อยเลยแฮะ”
ฉันยืนยิ้มหวาน ฝันกลางวัน อยู่หน้าบ้านคนเดียว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง โชคดีที่ไม่มีใครผ่านมาเห็น ไม่อย่างนั้นคงเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคนบ้าแน่ๆ
แต่ก่อนที่จะไปปราบเหล่ามารร้าย เพื่อกอบกู้โลกใบนี้ ฉันต้องไปขับไล่ผีหมาให้สำเร็จก่อน นี่อาจจะเป็นภารกิจแรก เพื่อทดสอบความสามารถของฉันก็ได้ (เพ้อเจ้ออีกแล้ว)
ผีหมา มันช่างบังอาจมาก ที่ฉวยโอกาสตอนฉันหมดสติ เข้ามาสิงอยู่ในบ้านที่เป็นมรดกตกทอดของฉัน แถมยังมาลบความทรงจำฉันทิ้งซะด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้อย่างไง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาค้นหาคำตอบ เพราะต้องหาทางขับไล่มันออกไปให้ได้สถานเดียว
ตอนนี้เป็นโอกาสลงมือที่ดีที่สุด เพราะมันคงชะล่าใจอยู่ ด้วยไม่ทันคิดว่าฉันจะหลุดจากมนต์สะกดของมันได้
คอยดูซิ เดี๋ยวจะไล่ตะเพิดให้วิ่งหางจุกตูดออกจากบ้านไม่ทันเลยทีเดียว คิดในใจ พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบสร้อยประคำ พระพุทธรูป กระเทียม ไม้กางเขน ยันต์กันผี น้ำมนต์ ออกมาถือเตรียมพร้อมเอาไว้
“นี่...หนูต้นหญ้า”
“อ๊ะ! กลัวแล้ว กลัวแล้วจ้า อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย”
ฉันหลับหูหลับตาร้องส่งเดชพลางพนมมือไหว้ทันที เพราะเสียงเรียกของคุณป้าข้างบ้าน ทำให้สติสะตังของฉันกระเจิดกระเจิงไปหมด จนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
“นี่! ต้นหญ้า! ป้าเอง ป้าแจ่มไง แหม ร้องเสียงดังซะจนป้าตกใจแทน ป้าแค่เรียกเฉยๆ ไม่ได้จะทำอะไรหนูสักหน่อย”
เมื่อได้สติ ฉันก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง พร้อมกับยิ้มเขินๆ ให้กับคุณป้าข้างบ้าน อย่างอับอายขายหน้าสุดขีด แทบจะเอาหน้ามุดดินเลยก็ว่าได้ ที่ร้องเอะอะโวยวายเสียงดัง โดยไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีก่อน
“แหะ แหะ ป้า...ป้าแจ่มนี่เอง โธ่! ป้าก็ อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไม่เห็นจะต้องตะโกนเสียงดังเลย หนูตกใจหมด”
ฉันยังมีหน้าไปต่อว่าป้าแจ่มเสียงอ่อย พลางเดินเข้าไปคุยกับป้าแกใกล้ๆ ที่ริมรั้วไม้ระแนง ซึ่งกั้นระหว่างบ้านของป้าแจ่มกับบ้านของฉัน
“พักนี้ป้าไม่ค่อยเจอหนูเลย คงกลับดึกทุกวันซิท่า”
“ก็ช่วงนี้งานมันยุ่งนี่จ๊ะ ป้าก็รู้ว่าหนูพึ่งได้งานใหม่”
“อย่ามาแก้ตัวเลย ป้ารู้ หนูอยู่คนเดียว คงจะเหงาซินะ ถึงไม่อยากรีบกลับบ้าน เมื่อก่อนเคยมีกันสามคนพ่อแม่ลูกแท้ๆ พ่อกับแม่หนูต้นหญ้า ไม่น่าจากไปเร็วอย่างนี้เลยนะ” ป้าแจ่มพูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ พลอยทำให้ฉันรู้สึกเศร้ากับการจากไปของพ่อกับแม่ด้วย ถึงแม้จะคิดว่าตัวเองทำใจได้กับการจากไปของพวกท่านแล้วก็ตาม
“แต่ระยะนี้ ป้าว่าหนูอย่ากลับบ้านดึกๆ ดีกว่านะ มันอันตราย”
“ทำไมเหรอป้า? ซอยบ้านเราไม่เคยมีเรื่องอะไรนี่นา”
“เมื่อก่อนไม่เคยมี แต่ตอนนี้มีแล้ว หนูคงยังไม่รู้เรื่องซินะ”
“เรื่องอะไรเหรอป้า?”
“ก็เมื่อวานนี้ มีคนถูกปล้นฆ่าใกล้ๆ กับบ้านเรานี่เอง เห็นเขาว่ากันว่า คนตายเป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวด้วย ป้าก็เลยเป็นห่วง มาเตือนให้หนูระวังตัวเอาไว้ เพราะหนูก็อยู่บ้านคนเดียวเหมือนกัน อย่าชะล่าใจเกินไปนะต้นหญ้า เพราะตำรวจ เขายังจับตัวคนร้ายไม่ได้”
“เหรอ...เหรอจ๊ะป้า?”
“ก็ใช่น่ะซิ ชาวบ้านชาวช่องเขาลือกันให้แซ่ด มีแต่หนูคนเดียวล่ะมั้ง ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย”
จากนั้นป้าแจ่มก็ยังยืนคุยเรื่องนี้กับฉันต่ออีกสักพัก ก่อนจะขอตัวกลับเข้าบ้านตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงรถลูกชาย แสดงว่าเขาก็พึ่งกลับบ้านเหมือนกัน
ฉันเองก็เกือบจะหลุดปากบอกความจริงกับป้าแจ่มไปตั้งหลายครั้ง อยากจะขอให้แกช่วย แต่ฉันก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้คงไม่มีใครเชื่อหรอก ถ้าขืนพูดไป ป้าแกก็คงจะหาว่าฉันบ้าเปล่าๆ อีกอย่างถึงมันจะเป็นเรื่องจริง ฉันก็ไม่ต้องการให้ป้าแจ่มต้องมาเดือดร้อนด้วย บางทีถ้าผีหมาตนนั้นทำให้ป้าแจ่มตกใจจนช็อกตาย ฉันจะรับผิดชอบอย่างไงไหว คิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว ฉันก็เลยเลือกที่จะไม่บอกป้าแจ่มดีกว่า
พอลับหลังแก ฉันก็เลยต้องกลับมายืนคิดจนหัวแทบระเบิด ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหนีดี เรื่องที่ป้าแจ่มเล่าให้ฟังทำให้ฉันคิดฟุ้งซ่าน ว่าคืนที่เกิดเรื่องปล้นฆ่า มันก็คืนเดียวกับที่ฉันเจอผีหมาตัวนี้พอดี หรือว่ามันฆาตรกรตัวจริงที่ฆ่าคนตาย และฉันก็อาจจะเป็นเหยื่อรายต่อไปของมันก็ได้ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งกลัวจนอยากจะล้มเลิกแผนการกำจัดผีหมา
ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภูตผีปิศาจเลยสักนิด และอยากจะหนีไปให้พ้นๆ ด้วยซ้ำ เพราะไหนๆ ก็อุตสาห์ออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ โดยสวัสดิภาพ และความทรงจำก็กลับคืนมาแล้วด้วย ไม่มีเหตุผลอะไร ที่ต้องหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเองเลย
แต่พอคิดว่า ทำไมเราช่างขี้ขลาดเหลือเกิน เจอปัญหาแค่นี้ ก็คิดจะหนีซะแล้ว ยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรเพื่อพิทักษ์และปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเลยสักอย่าง หากหนีไปเฉยๆ เรามันก็หมาขี้แพ้ตัวจริงน่ะซิ พ่อกับแม่ที่อยู่บนสวรรค์คงเสียใจแย่ ที่ฉันไม่สามารถดูแลรักษาตัวเองได้ ทั้งๆ ที่สัญญาไว้กับพวกท่านก่อนตายแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้นหญ้าต้นนี้ก็จะยืนหยัดต่อสู้อย่างเข้มแข็งเสมอ เมื่อคิดอย่างนี้ ฉันก็รู้สึกฮึกเหิม จนอยากจะต่อกรกับผีหมาที่สิงอยู่ในบ้านขึ้นมาทันที
จะปล่อยให้มันมาครอบครองบ้านของพ่อกับแม่เราไม่ได้เด็ดขาด ต้องตัดสินให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่า ผีกับคน ใครมันจะแน่กว่ากัน ตายเป็นตาย
“เอ๋ ไม่เห็นมีเลย? หรือว่ามันจะไม่อยู่แล้วนะ?”
ฉันนึกในใจ ขณะลอบๆ มองๆ เข้าไปในบ้านของตัวเอง ทางหน้าต่างบานเกล็ด โชคดีที่ฉันอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นทุกซอกทุกมุมของบ้านหลังนี้ ฉันจึงรู้จักดี
แต่หลังจากที่สอดส่องจนทั่วทั้งบ้านเหมือนพวกถ้ำมองแล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีวี่แววของผีหมาตัวร้ายตนนั้นเลย
“จะอยู่ที่ชั้นบนหรือเปล่านะ?” ฉันยืนเอากัดเล็บด้วยท่าทางเครียดจัด พลางเงยหน้ามองไปยังชั้นสองของตัวบ้านที่เงียบสงัด
ถึงจะหลีกเลี่ยงต่อไป ก็ไม่มีทางหนีการเผชิญหน้ากับมันได้หรอก สู้ทำให้มันเสร็จๆ ไปเลยดีกว่า เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ฉันพยายามเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมา แล้วค่อยๆ ไขกุญแจเข้าไปในบ้าน
จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องเข้าไปในบ้านของตัวเองอย่างระมัดระวัง สายตาก็คอยมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอด เผื่อว่าผีหมาโผล่ออกมาปุบปับจะได้รับมือกับมันได้ทันท่วงที อาศัยว่าคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี มันก็เลยทำให้ฉันรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง แม้จะไม่มีแสงสว่างก็ตาม
“หนอยแน่ะ! ไอ้หมาผี มานอนหลับสบายอยู่บนเตียงฉันนี่เอง นึกว่าหนีไปแล้วซะอีก”
ฉันค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ๆ มันอย่างเงียบเชียบที่สุด เพื่อไม่ให้มันตื่น เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่จะจัดการมันโดยที่มันไม่รู้ตัว
เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ในระยะกระชั้นชิดได้สำเร็จ ฉันก็จัดการเอาสร้อยพระ สร้อยไม้กางเขน พวงกระเทียม คล้องคอมันทันที จากนั้นก็รีบถอยห่างออกมา เพื่อดูผลงานของตัวเอง คาดว่าจะได้เห็นหมาผีตนนี้ดิ้นทุรนทุราย ส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด เพราะอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แน่ๆ
แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน ไม่เป็นไปอย่างที่ฉันคาดการณ์ไว้เลยสักนิด เพราะเจ้าหมาปิศาจแค่ลืมตาตื่นขึ้นมองหน้าฉัน พร้อมกับเหยียดแข้งเหยียดขาอย่างเกียจคร้านเท่านั้น ไม่ได้มีท่าทางทุกข์ทรมานกับเครื่องมือปราบผีของฉันเลย
“อืม...หาว” มันอ้าปากหาวกว้าง
“นี่เธอหลุดจากอำนาจสะกดของฉันแล้วซินะ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างเธอจะจิตแข็งขนาดนี้ แต่คงเป็นเพราะว่าฉันกำลังบาดเจ็บอยู่ด้วยมากกว่า เลยใช้พลังได้ไม่เต็มที่”
ฉันไม่ได้ดีใจกับคำชมของผีหมาเลยสักนิด เพราะมัวแต่ตกใจที่ผีหมาพูดภาษามนุษย์ได้ อีกทั้งข้าวของที่เตรียมมาปราบผี ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย
ก่อนที่มันจะฟื้นตัวยิ่งกว่านี้ และเล่นงานฉันกลับ ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว โดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลาอีก ฉันก็เลยสาดน้ำมนต์ที่เตรียมมาใส่หน้ามันแบบเต็มๆ อีกครั้ง
“ยัยบ้า! กล้าดีอย่างไงถึงได้เอาน้ำสกปรกมาราดใส่ฉัน อยากตายนักหรือไง ห๊า!”
เจ้าหมาป่าตัวใหญ่ตะโกนใส่ฉันอย่างโกรธเกรี้ยว แววตาวาววับที่จับจ้องมาเต็มไปด้วยพลังอำนาจและการคุกคามอย่างสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด
ฉันพึ่งรู้ตัวว่าการสาดน้ำใส่หน้ามัน ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้มันโกรธ จนอาจจะฆ่าฉันให้ตายคามือเลยก็ได้ เพราะดูจากท่าทางของมันแล้ว คงไม่ได้ตัวสั่นเพราะอำนาจจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ฉันสรรหามาปราบมันหรอก แต่สั่นเพราะความโมโหต่างหาก
ทันใดนั้น เจ้าหมาป่าก็กระโดดลงจากเตียงแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าของฉันพอดี ด้วยสัญชาติตะญาณการเอาชีวิตรอด ฉันก็เลยรีบหยิบอาวุธลับชิ้นสุดท้ายออกมาขู่มันด้วยมือที่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
“อย่า...อย่า เข้ามานะ ไม่งั้น...ฉันแทง แทงจริงๆ ด้วย”
ความเด็ดเดี่ยว เข้มแข็งทั้งหมดของฉันพังทลายไม่มีชิ้นดี ตั้งแต่ได้ยินหมาผีตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดแบบสุดๆ แล้ว ยิ่งได้เผชิญหน้ากับมันตรงๆ ฉันก็ยิ่งกลัวจนอยากจะหันหลังกลับ และวิ่งหนีออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด แต่ร่างกายมันกลับขยับไม่ได้ เพราะกลัวจนก้าวขาไม่ออก ได้แต่ยืนจ้องหน้ามันเขม็งด้วยกำลังใจเฮือกสุดท้ายที่ตนเองมีอยู่
“โทษทีนะ สาวน้อย แต่นั่นมันมีดกับส้อมไม่ใช่หรือไง นี่เธอเพี้ยนซะจนคิดจะสู้กับฉันด้วยของพรรค์นั้นน่ะเหรอ” มันแสยะยิ้มจนเห็นเขี้ยวขาวๆ แหลมคมภายใน ร่างกายฉันคงขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ แน่ ถ้าถูกมันเล่นงาน ฉันนึกภาพตนเองนอนตายอย่างสยดสยอง
“อย่า!...เข้ามานะ! ฉันบอกว่าอย่าเข้ามาไงล่ะ! ถึงนี่มันจะเป็นแค่มีด กับส้อมธรรมดา แต่แกรู้ไหม นี่มันทำมาจากเงินบริสุทธิ์เชียวนะ ถ้าถูกแทงด้วยไอ้นี่ รับรอง แกไม่รอดแน่”
ฉันยังมีหน้าไปตะโกนขู่ เพื่อข่มขวัญมันอีก ทั้งๆ ที่กลัวจนหน้าซีด ปากสั่นไปหมดแล้วแท้ๆ
“นี่ หนูน้อย” มันทำเสียงเหมือนเวทนาฉันเต็มที
“ฉันจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ เธอไม่มีทางเอาชนะฉันได้ ด้วยของกระจอกๆ พรรค์นั้นหรอก แต่ถ้าเธอยอมแพ้ แล้วคุกเข่าขอร้องฉันดีๆ ฉันอาจจะเห็นใจ ยอมไว้ชีวิตเธอก็ได้”
“หนวกหู ฉันไม่เชื่อแกหรอก ไอ้หมาผี แน่จริงก็ออกไปจากบ้านของฉันซิ บ้านของฉันไม่ใช่ที่พักพิงของวิญญาณเร่ร่อนอย่างแกนะ”
ทำเป็นปากเก่ง อวดดี ไปอย่างนั้นเอง จริงๆ แล้วฉันกลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว แต่เพราะเกียรติยศศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่ ฉันก็เลยไม่อยากก้มหัวให้มันง่ายๆ ถ้าต้องตายจริงๆ ก็อยากจะตายอย่างห้าวหาญ สมกับเป็นลูกของพ่อกับแม่
เจ้าหมาป่าดูท่าจะโกรธมากที่ฉันทำท่าอวดเก่งใส่มัน
“ยัย...ยัยบ้า! นี่เธอบังอาจมาออกคำสั่งกับฉันอย่างนั้นเหรอ จะดูถูกมนุษย์หมาป่าอย่างฉันเกินไปหน่อยแล้ว ตายซะเถอะ!”
ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น เจ้าหมาป่าตัวร้ายมันยังกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพื่อเล่นงานฉันด้วย
ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งพร้อมกับหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัว ไม่มีสิ่งใดจะใช้ป้องกันตัวได้เลย นอกจากมีดกับส้อมเงิน ที่อยู่ในมือเท่านั้น
“โอ้ย!”
เจ้าหมาป่าส่งเสียงร้อง พร้อมกับล้มฟุบลงบนตัวฉันอย่างกะทันหัน ร่างกายบอบบางของฉันรับน้ำหนักของหมาป่าตัวใหญ่ที่รูปร่างเหมือนกับหมีควายไม่ไหวก็เลยเสียหลัก หงายหลังหกล้มหัวกระแทกประตูเสียงดังโครม
สุดท้ายคนที่ต้องเจ็บตัวก็เป็นฉันอยู่ดี แต่ความดีใจที่สามารถเอาชนะหมาปิศาจตัวนี้ได้ ทำให้ฉันไม่สนใจอาการปวดแปล๊บๆ ที่หัวของตัวเองสักเท่าไหร่ รีบลืมตาขึ้นมาดูผลงานของตัวเองทันที
เมื่อลืมตาขึ้นดู ฉันก็ได้เห็นว่ามีเลือดสีแดงฉานไหลซึมไปทั่วเส้นขนที่ปกคลุมอยู่บนตัวมัน นอกจากจะเห็นแล้ว มือของฉันยังสัมผัสได้ถึงของเหลวขุ่นข้นที่ไหลออกมาอย่างไม่ยอมหยุดด้วย ทั้งที่หัว ที่ท้อง และที่ขา บาดแผลเหล่านั้นฉกาจฉกรรจ์มาก แต่สาเหตุคงไม่ได้มาจากมีดและส้อมเงินที่ฉันถืออยู่ในมือแน่ๆ ในเมื่อของทั้งสองอย่างยังสะอาดเอี่ยมอรทัยอยู่ในมือของฉันเลย อาวุธลับที่ฉันเตรียมพร้อมเอาไว้จัดการมัน ยังไม่ได้ถูกตัวมันเลยสักแอะ แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำร้ายมันให้บาดเจ็บได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย?
ความคิดเห็น