คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1...คืนพระจันทร์เต็มดวง
หวานใจนายมนุษย์หมาป่า
บทที่ 1
เคยดูโฆษณาในทีวีอยู่เหมือนกันว่าสาวๆ สมัยนี้ เป็นโสดขึ้นคานกันเยอะ เพราะประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นผู้หญิง และครึ่งหนึ่งของผู้ชายก็แต่งงาน มีภรรยาแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็เป็นกระเทย เป็นตุ๊ด เป็นแต๋ว และเป็นอีแอบ ส่วนน้อยนิดที่เหลืออยู่ก็ดันเป็นพวกเห่ยๆ โรคจิต บ้างาน ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรหากฉัน ต้นหญ้าซึ่งอายุปาเข้าไปตั้ง 28 ปีแล้ว จะยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน อย่าว่าแต่มีแฟนเลย แค่เพื่อนชายธรรมดา ฉันก็ยังไม่มี สงสัยฉันคงเป็นผู้หญิงที่โชคร้ายที่สุดในโลก
“หัวหน้าคะ ผลการตรวจสอบทรัพย์สินประจำปี ที่หัวหน้าให้หนูตรวจสอบ เรียบร้อยแล้วนะคะ”
“อืม ขอบใจนะ”
ฉันยังคงเมียงๆ มองอยู่หน้าโต๊ะหัวหน้า เผื่อเขาจะไหว้วานให้ทำงานอื่นอีก
“เอ่อ...หัวหน้าคะ แล้วหัวหน้ามีอะไรให้หนูช่วยอีกหรือเปล่าคะ”
“อืม ไม่มีอะไรแล้วมั้ง เธอไปนั่งพักก่อนก็แล้วกัน”
พอได้ยินหัวหน้าตอบแบบนี้ หน้าฉันก็ซีดเป็นไก่ต้มทันที ก็จะไม่ให้ซีดได้อย่างไง ในเมื่อตลอดทั้งเดือนนี้ แผนกของเราแทบจะไม่มีงานอะไรทำเลย เมื่อไม่มีงาน ก็ไม่มีผลงานไปเสนอผู้บริหาร เมื่อไม่มีงานไปเสนอผู้บริหาร มันก็แสดงว่าแผนกนี้ทั้งแผนกเป็นพวกว่างงานและไร้ประโยชน์ แล้วอย่างนี้ผู้บริหารเขาจะจ้างพวกเราไว้ทำไม ให้มันสิ้นเปลืองงบประมาณของบริษัท
จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่แอบได้ยินมา เขาว่ากันว่า ไม่นานนี้แผนกของเราอาจจะถูกยุบ และเมื่อนั้น ฉันซึ่งเป็นพนักงานกินเงินเดือนกระจอกๆ คนนี้ก็จะตกงาน
“โอ้ มายก๊อด ฉันยังไม่อยากตกงาน” ฉันกลับมานั่งประจำที่ พร้อมกับเอามือขยี้หัวด้วยความกลุ้มใจ เพื่อนร่วมงานอีกสามคนที่นั่งทำงานอยู่ห้องเดียวกัน มันคงสงสัยว่าไอ้หญ้ามันเป็นบ้าอะไรของมันแน่ๆ เลย
ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ งานช่างหายากหาเย็นเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร เพราะตั้งแต่เรียนจบมา ฉันเปลี่ยนงานมา 30 ครั้งได้แล้ว (ส่วนใหญ่ที่เปลี่ยนเพราะบริษัทมันเจ๊ง) และถ้ารวมครั้งนี้ด้วยมันก็จะเป็นครั้งที่ 31 แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเรามันจะโชคร้ายซ้ำๆ ซากๆ ได้ขนาดนี้ นอกจากเรื่องรักจะไม่รุ่งแล้ว เรื่องงานก็จะปิ้วอีกต่างหาก
“เฮ้อ แล้วทีนี้จะทำยังไงดี ไหนจะค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่ากินค่าอยู่ ชีวิตของต้นหญ้าคงจะพังพินาศแน่คราวนี้”
ขณะที่กำลังนั่งรำพึงรำพันถึงโชคชะตาอันโหดร้ายของตัวเอง หัวหน้าก็ส่งเสียงเรียกทำให้ฉันซึ่งกำลังสติแตกถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“คุณบุษบา”
“คะ อะไรคะหัวหน้า”
“เอาแฟ้มนี่ไปให้แผนกธุรการทีซิ”
ฉันรีบยื่นมือไปรับด้วยความดีใจ ที่มีงานทำเป็นชิ้นเป็นอันซักที “ค่ะ ได้ค่ะหัวหน้า หนูจะทำให้ดีที่สุดเลยค่ะ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น เสมือนว่างานที่ได้รับมอบหมายมามันเป็นงานยิ่งใหญ่ระดับชาติ
พอเดินออกมาจากแผนกซ่อมซอของตัวเอง ก็เหมือนหลุดออกมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าภายนอกห้องทำงานเล็ก รก และแคบเหมือนรูหนูของแผนกเรา จะหรูหรา ไฮโซ อย่างกับเดินอยู่ในโรงแรมระดับห้าดาว พวกพนักงานแผนกอื่นๆ ก็ล้วนแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ นำแฟชั่นกันทุกคน แต่พอหันมาดูตัวเอง รองเท้าคัทชูส้นเตี้ยสีดำคู่ละ 199 กระโปรงทรงสอบ ยาวครึ่งแข้ง ผ่าหลัง ตัวละ 79 เสื้อเชิ้ตพับแขนยาวถึงข้อศอก ตัวละ 159 ทั้งเนื้อทั้งตัวของฉันรวมกันราคายังไม่ถึง 500 บาทเลยด้วยซ้ำ
ทำไม๊ ทำไม พวกเขาถึงได้แตกต่างกับฉันราวฟ้ากับเหวขนาดนี้เนี่ย ทำงานอยู่บริษัทเดียวกันแท้ๆ ฉันคิดด้วยความอิจฉาริษยา
บริษัทที่ฉันทำงานอยู่ เป็นบริษัทใหญ่ชั้นแนวหน้าของประเทศ ที่ร่วมทุนระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติ โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองผู้ดีเก่า ประเทศอังกฤษ ว่ากันว่าถ้าบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเครือข่ายไปทั่วโลกแห่งนี้เจ๊ง เศรษฐกิจของโลกก็คงพังพินาศไปด้วย นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แท้ๆ ที่ทำให้ฉันเข้างานบริษัทนี้ได้ (ต้องไปตามแก้บนตั้งเจ็ดวัดกว่าจะครบ)
เมื่อไปส่งเอกสารให้หัวหน้าที่แผนกธุรการเสร็จเรียบร้อย ฉันก็กลับมาที่แผนกของตัวเอง ซึ่งติดป้ายว่าแผนกเก็บรวบรวมเอกสาร
พอเห็นป้ายหน้าห้องของตัวเอง ฉันก็ยิ่งอเน็จอนาจใจ เพราะขนาดป้ายชื่อยังมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้ แผนกอื่นใช้ตัวอักษรสีทองสลักบนแผ่นหินอ่อนหรูหรา ไม่มีคราบฝุ่นสกปรกและคราบหยากไย่เกาะรกรุงรัง เหมือนป้ายแผนกหน้าห้องฉันเลย แถมตัวหนังสือชื่อแผนกยังตกๆ หล่นๆ ขาดการซ่อมแซม
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเปิดประตูเข้าไป พร้อมทั้งรายงานตัวกับหัวหน้า
“เรียบร้อยแล้วค่ะ หัวหน้า”
หัวหน้าซึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟเพลินๆ เงยหน้าขึ้นมาตอบ “อืม ขอบใจนะ”
“ก็หัวหน้าใจเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างนี้เนี่ยน๊า แล้วอนาคตพวกเราจะรุ่งได้อย่างไง” ฉันคิดอย่างท้อแท้ใจ
เมื่อกลับมานั่งประจำที่ของตัวเอง ฉันก็อยากจะหันไปคุยกับเพื่อนร่วมงานเพื่อแก้เซ็ง แต่อีกสามคนที่เหลือ ก็นั่งหลับคาโต๊ะบ้าง อ่านการ์ตูนบ้าง และสุดท้ายก็กำลังมัวเมาอยู่กับการคุยโทรศัพท์ฉอเลาะกับแฟน ฉันก็เลยต้องหันกลับมาหางานให้ตัวเองทำ เพื่อจะได้ไม่เซ็งตายไปซะก่อน
ที่จริงแล้ว ฉันพึ่งทำงานที่นี่ได้สามเดือน ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานดีนัก แถมยังไม่ค่อยได้เรียนรู้งานจากที่นี่เลย ส่วนใหญ่งานที่ทำ ก็มีแต่งานเก็บรวบรวมเอกสารเข้าแฟ้มเท่านั้น ฉันจึงไม่ว่ารู้บริษัทนี้เขาทำงานกันอย่างไงมั่ง เพราะฉะนั้นฉันจึงตั้งใจพยายามเรียนรู้งานให้มากๆ เพื่อจะได้ทำประโยชน์ให้บริษัทมากที่สุด
ฉันกำมือแน่น พร้อมทั้งตั้งหน้าตั้งตากรีดกระดาษที่ใช้แล้ว เพื่อเอามาทำกระดาษโน้ตด้วยความกระตือรือร้นแบบสุดขีด นี่แหละคืองานที่ทำประโยชน์ให้บริษัทมากที่สุดสำหรับฉัน เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ นั่งมองฉันกรีดกระดาษด้วยท่าทางมุ่งมั่น แล้วอ้าปากหาวอย่างไม่กลัวว่าแมลงวันจะบินเข้าไปวางไข่ พร้อมทั้งนึกในใจว่าพนักงานคนใหม่คนนี้น่าจะเพี้ยนแน่ๆ
ตกเย็นหลังเลิกงาน ฉันก็แวะไปเดินเล่นเถลไถลในห้างสรรพสินค้าต่อ เพราะบ้านของฉันอยู่ใกล้กับที่ทำงาน และที่ทำงานก็อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ถึงรีบร้อนกลับบ้านไปตอนนี้มันก็ไม่มีค่าอะไร นอกจากจะต้องไปนั่งเหงาคนเดียวในบ้านไม้สองชั้นครึ่ง แต่พอเดินดูนู่นดูนี่จนเพลิน รู้สึกตัวอีกทีก็ปาไปสามทุ่มกว่าแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเวลามันจะผ่านไปเร็วขนาดนี้ แค่อ่านหนังสือในร้านนายอินทร์จบไปสิบเล่มเอง (นอกจากจะอ่านหนังสือในร้านเป็นชั่วโมงๆ แล้ว ยังไม่ยอมซื้อหนังสือเขากลับมาซักเล่ม)
ฉันเดินไปลานจอดรถ เพื่อขับรถคันเก่งกลับบ้าน แต่พอเดินออกมานอกห้าง ถึงได้รู้ว่าตอนนี้ฝนกำลังตกพรำๆ และไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดตกง่ายๆ ด้วย ฉันก็เลยยอมลงทุนขับรถลุยฝนกลับบ้านเลย ดีกว่าจะมานั่งคอย ยืนคอยให้ฝนหยุดตก แล้วค่อยขับรถกลับ ที่ต้องยอมเปียกฝนกลับบ้าน ก็เพราะว่ารถคันเก่งของฉัน มันเป็นแค่รถ ป๊อบ คันเก่าๆ เท่านั้น อัตราเร่งสูงสุดไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอขับๆ ไป เสียงมันก็จะดัง แท่ก...แท่ก...แท่ก เหมือนจะดับแหล่มิดับแหล่ แต่ฉันก็ยังไม่อยากโละมันทิ้ง เพราะรักมันมาก มันอยู่กับฉันมานานแล้วก็เลยกลายเป็นความรักความผูกพันที่อยากจะรักษามันไว้นานๆ (ที่จริงไม่มีตังค์ซื้อมอเตอร์ไซด์คันใหม่)
ไม่น่าเชื่อเลยว่าซอยเข้าบ้านฉัน ตอนสามทุ่มมันจะมืด และดูวิเวกวังเวงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ปกติมันต้องพลุ่นพล่าน เต็มไปด้วยผู้คน รถราวิ่งกันขวักไขว่ โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง แต่ทำไมคืนนี้ คืนที่มีฝนตกพรำๆ ลงมาไม่ยอมหยุด จะทำให้ที่นี่ กลายสภาพเป็นป่าช้าไปได้ในชั่วพริบตา
ฉันขับรถป๊อบอีแก่ไปพลาง สอดส่ายสายตาไปรอบๆ พลาง ภาวนาขอให้มีรถวิ่งผ่านไปผ่านมาซักคันสองคันบ้าง จะได้อุ่นใจ ดีกว่าจะขับรถกลับบ้านคนเดียวในความมืดมิด ท่ามกลางความเงียบสงัดแบบนี้ แถมไฟข้างถนนยังติดๆ ดับๆ ชวนให้นึกถึงหนังฆาตกรรมสยองขวัญทุกที เพราะบรรยากาศอย่างนี้ มันดูเป็นใจให้นึกถึงเรื่องอย่างว่าอย่างไงชอบกล
เพราะความมืดและฝนที่ตกลงมา ทำให้วิสัยทัศน์ในการมองไม่ค่อยดี เมื่อมีบางอย่างวิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด ฉันก็เลยหักหลบไม่ทัน ชนเข้ากับสิ่งนั้นแบบจังๆ จนรถป๊อบอีแก่พร้อมทั้งตัวฉันลงไปนอนกลิ้งโคโร่อยู่ในพงหญ้าข้างทาง
“อูย” ฉันร้องคราง พร้อมกับพยุงตัวลุกขึ้นมา
“แม่งเอ้ย ตัวอะไรวะ อย่าให้แม่จับได้เชียวนะ จะเจี๋ยนทำลูกชิ้นปิ้งกินซะเลย” ฉันบ่นพึมพำด้วยความแค้นใจ ชั่วแวบก่อนจะเกิดอุบัติเหตุ ฉันก็พอจะเห็นลางๆ ว่ามันเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ขนปุยๆ วิ่งมาตัดหน้ารถ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสุนัขมากกว่า เพราะเคยมีประสบการณ์ขับรถชนหมามาครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนั้นตัวเองต้องบาดเจ็บถลอกปอกเปิกไปทั้งตัว แถมยังต้องเข้าเฝือกอยู่เป็นเดือน ส่วนไอ้หมาตัวนั้น ดันไม่เป็นอะไรเลย ยังแข็งแรงดี เห่าเก่งมาจนทุกวันนี้
อีกอย่าง ในซอยนี้ก็มีสุนัขจรจัดเพ่นพ่านอยู่เยอะแยะด้วย จึงไม่น่าแปลกอะไร หากประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ฉันไม่บาดเจ็บสาหัสเท่าตอนนั้น มีแค่รอยถลอกเล็กน้อยที่หัวเข่าข้างซ้าย อาจจะเป็นเพราะว่ารถล้มไปในพงหญ้าข้างทาง และพื้นดินมันก็ชุ่มน้ำ ร่างกายก็เลยไม่ได้กระแทกพื้นแข็งๆ โดยตรง
“ไอ้หมาบ้า แกนี่เองที่บังอาจมาวิ่งตัดหน้ารถฉัน สมน้ำหน้า ตาย ตาย ไปซะเถอะ” ฉันเอาปลายเท้าเขี่ยๆ สุนัขตัวใหญ่ ที่นอนนิ่งอยู่ แต่เป็นเพราะความมืดทำให้ฉันมองเห็นตัวมันไม่ค่อยชัด เห็นแต่เงาตะคุ่มๆ ขนปุกปุย ขะมุกขะมอมของมันเท่านั้น
เมื่อมันไม่กระดุกกระดิกก็หัวเราะอย่างสาสมใจที่ไอ้หมาตัวแสบมันตายไปแล้ว “ฮ่า ฮ่า สมน้ำหน้า อยู่ดีไม่ว่าดี”
จากนั้นก็หันหลังกลับเพื่อมาตรวจสภาพรถคู่บุญของตัวเอง ว่ามันเป็นตายร้ายดีอย่างไงมั่ง โชคดีที่มันก็ไม่บาดเจ็บสาหัสซักเท่าไหร่ ยังสตาคร์ติด ฉันก็เลยบิดคันเร่งเตรียมออกตัว อยากจะกลับบ้านเต็มทีแล้ว
แต่จิตใต้สำนึกในส่วนที่ดี มันสั่งให้ต้องหันไปมองไอ้หมาตัวนั้นอีกที จะทิ้งมันไว้แบบนี้น่ะหรือ หากมันยังไม่ตายล่ะ เผื่อมันยังมีโอกาสรอดได้ แต่ถ้าทิ้งมันไว้แบบนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นการฆ่ามันทางอ้อมทันที เพราะถ้ามีรถผ่านมา ต้องวิ่งทับมันตายแหง๋แก๋แน่ๆ
ฉันนิ่งคิดอยู่นานอย่างลังเลใจว่าจะช่วยมันดีหรือเปล่า แต่ในที่สุดความดีก็เอาชนะความเลวจนได้ ฉันตัดสินใจจะลากมันมาไว้ข้างๆ ทางแทน อย่างน้อยมันก็จะได้ไม่ถูกรถทับตาย
คิดได้อย่างนี้ก็เลยเดินกลับไปเมียงๆ มองๆ ดูไอ้หมาตัวแสบนั่นอีกหน สักพักก็ลองเอามือค่อยๆ ยื่นไปแตะตัวมันอย่างกล้าๆ กลัว เพื่อจะตรวจดูว่าชีพจรมันยังเต้นอยู่หรือเปล่า หวังว่าถ้ามันยังไม่ตายนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงรู้สึกบาปแย่ ที่ฆ่ามันโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเจ้าหมาตัวใหญ่ที่คิดว่ามันตายแล้ว กลับลืมตาโพลงขึ้นมาจ้องหน้าฉัน ทำให้ฉันถึงกับสะดุ้งสุดตัว ด้วยความตกใจกับดวงตาแวววับที่กำลังจ้องมองมา แล้วสติสัมปชัญญะของฉันก็ดับวูบทันที
ความคิดเห็น