ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Wolf Trap สยบร้าย! ยัยจอมวางแผน

    ลำดับตอนที่ #4 : 3.ค็อกเทลเป็นเหตุ

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 58


                “คิดว่าไงบ้างที่นี่ สวยไหม ?

                พี่มายาแอบสะกิดหลังเริ่มเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ พอได้ยินคำถามฉันก็หันไปพยักหน้าสองสามที พลางมองรอบๆ ทางเดินนั้นก็เป็นทางเดินกว้างพอประมาณที่ห้าคนตัวใหญ่จะเดินพร้อมกันได้ และทางเดินก็จะมีประตูเป็นระยะๆ ห่างกันค่อนข้างไกล ซึ่งนายโลเวลนั่นก็อธิบายว่ามันเป็นห้องผับ ที่เข้าไปนั้นก็จะใหญ่พอๆ กับผับอื่นๆ หนึ่งที่ทีเดียว

                ตอนแรกก็ไม่คิดจะเชื่อหรอกนะ แต่พอนายนั่นเหมือนอ่านใจฉันออกก็เปิดให้ดูห้องหนึ่ง มันเป็นประตูสีแดง มีผีเสื้อสีน้ำเงินตัวใหญ่ตรงกลาง บ่งบอกว่าเป็นห้องธรรมดา ที่ใครหลายคนมานั่งคุยกันเล่น ซึ่งพอเปิดให้ดูฉันก็ต้องตาโตขึ้นเป็นสองเท่า เพราะมันใหญ่มากจริงๆ ซึ่งตรงที่พวกเราสามคนยืนอยู่ก็คือข้างบน สรุปว่าที่นี่ลงทุนเจาะดินลึกลงไปข้างล่าง ดูก็รู้ว่าลงทุนไม่น้อยทีเดียว

                ในระหว่างที่นายโลเวลเหมือนจะร่วมมือด้วย ฉันก็ชำเหลืองมองพี่สาวที่ชอบอกชอบใจที่นี่ไม่น้อย เหมือนอยากจะได้ที่นี่เป็นที่ประกอบฉาก การที่พี่ชอบก็ไม่แปลกใจเท่าไรหรอก ขนาดฉันยังคิดว่ามันคุ้มค่าจะเอามาโปรโมทที่สวยๆ ยังไม่เห็นจะแปลก เพราะมันสวยจริง ทุกอย่างถูกประดับไปด้วยของแพง สีก็ถูกคัดเลือกมาอย่างดี แถมมีการไล่สีตามการแบ่งออกเป็นโซนๆ อีกด้วย ยิ่งลึกก็ยิ่งเข้ม จากสีเลือดหมู แล้วมาสีน้ำเงิน แล้วมาสีดำ แถมจะมีลายเล็กๆ จำพวกผีเสื้อ แมงมุม กุหลาบ ที่เปล่งแสงออกมาได้ ก็ไม่รู้ว่าที่นี่นั้นมีมูลค่าเท่าไรกัน

                “พามาได้ถึงแค่นี้ครับ” นายโลเวลหยุดเดิน แล้วหันมาบอกทางฉันกับพี่สาว เขาหรี่ตาลงแล้วจ้องมาทางฉันเหมือนกับรู้ว่าฉันมีอะไรข้องใจอยู่นิดหน่อย ก็ฉวยตอบก่อนฉันจะเอ่ยขึ้นก่อน “การที่ผมพาเข้ามาดู ไม่ได้แปลว่าจะตกลงให้มาถ่ายที่นี่ประกอบละครหรอกนะครับ พวกคุณคงไม่คิด...”

                “ที่นี่มีแต่ผับจริงเหรอ ?” ฉันไม่ได้ฟังที่นายโลเวลพูดเลยสักนิด กลับทำเป็นเมินแล้วมองรอบๆ ก่อนจะยักไหล่แล้วพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ฉันนึกว่าที่นี่จะมีคาสิโนเสียอีก...พี่ว่าไหม”

                “อ่าๆ เอ้ย! ไม่ใช่...พูดอะไรของเธอน่ะยัยจ้าวฟ้า” พี่มายารีบลากฉันห่างกับโลเวล แล้วกระซิบถามเหมือนไม่เห็นด้วย

                “ทำไมอ่ะ ก็มันน่าคิดยิ่งกว่าอะไร ที่นี่ไม่เห็นเหมือนผับเลย เอาจริงๆ นะ แค่บรรยากาศก็ไม่ใช่แล้วอ่ะ ถึงแม้ว่าตอนที่นายโลเวลนั่นพาเราไปดูแล้วห้องหนึ่งก็เถอะ แต่ที่นี่ลงทุนเยอะกว่าจะมาทำแค่ผับ ยิ่งมันเป็นผับพิเศษอีกต่างหาก พี่ไม่คิดว่ามันเหมาะเหรอ”

                “ก็จริงนะ! แต่ว่าพี่ไม่อยากจะรู้หรอก สิ่งเดียวที่พี่อยากจะรู้ก็คือ...”

                “จะทำยังไงให้เขายอมตกลงยอมให้สถานที่นี้ใช้เป็นฉากประกอบในละคร” ฉันพูดดักพี่ แล้วยักไหล่ “-__- น้องพูดถูกไหม”

                “อือ (-__-) (___) (-__-)”

                “พี่ก็รู้จักใช้สิทธิพิเศษในฐานะว่าที่ เจ้าสาว กับเขาซะสิ” พูดจบพี่ก็ขมวดคิ้วเหมือนจะไม่เข้าใจในความหมายที่ฉันสื่อเท่าไรนัก (เฮ้อ~ ที่ฉันเคยบอกก่อนหน้านี้ว่าพี่ฉลาด เรื่องจริงนะ แต่ตอนที่ฉันไม่อยู่เท่านั้น) ทำให้ฉันกำลังจะอธิบาย แต่พี่ก็รีบพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่เอา (จะเอายังไงของพี่เนี่ย -*-;;)

                “ถ้าพี่ทำแบบนั้นก็ถือว่าพี่ตกลงจะคบหาดูใจกับนายนั่นน่ะสิ”

                ก็ใช่น่ะสิ...

                “ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือยังไง เขาก็ดูเป็นผู้ชายที่ใช้ได้อยู่นะ เป็นถึง CEO ค่ายสังกัดนักแสดงอันดับต้นๆ ของประเทศด้วย ไม่ดีตรงไหน”

                “ถ้าดีก็เอาเองสิ จะมาให้พี่ทำไม”

                “เอ๊ะ! พี่นิ!! นี่เป็นวิธีสุดท้ายแล้วนะ อีกอย่างก็แค่ทำออดอ้อนไปก่อน เหมือนชอบๆ อ่ะ คราวนี้จบละครเมื่อไร ก็เลิกรากันไป ดีจะตาย ^_^

                อ๊า~ ทำไมฉันฉลาดขนาดนี้ สมแล้วที่ได้ตำแหน่งเจ้าแม่แห่งความคิดของครอบครัว ^__^

                “รู้ไหมว่าละครไม่ได้ถ่ายแค่เดือนหรือสองเดือนเสร็จหรอกนะ มันถ่ายกันเป็นปี! -__-;;

                “อ้าว! ก็ไม่เห็นอยากเลย พี่ก็มาถ่ายฉากที่มีผับไปก่อนสิ หลังจากนั้นก็ทิ้งเขาเลย ง่ายจะตายไป” ฉันยักคิ้วไปมา ก่อนจะเห็นพี่เริ่มเคลิ้มตาม แต่แป๊บหนึ่งพี่ก็ส่ายหน้าไปมาอีกแล้ว จะเอายังไงของพี่กันเนี่ย!

                “พี่ไม่ชอบทำตัวออดอ้อน และไม่ได้จบการแสดงมา เล่นละครว่าชอบไม่เป็น ฟ้าก็รู้นิว่าพี่เป็นคนอารมณ์ร้อน แป๊บเดียวก็เผยไต๋แล้ว ฟ้านั่นแหละต้องแกล้งทำเป็นชอบเขา แล้วทำให้เขาชอบเธอให้ได้ อีกอย่างนะถ้าได้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา เวลาพี่อยากได้นักแสดงคนนั้นก็ไม่ต้องเปลืองค่าตัวแสดงมาก ดีจะตายไป...”

                ไหงกลายมาเป็นแบบนี้อ่ะ ไม่เอาหรอก! ถ้าฉันแกล้งทำเป็นชอบเขา แล้วเผลอดันรักจริง มันจะเป็นอุปสรรคแน่นอน เพราะการทำงานเขาและฉันมันต้องเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว ไม่เอาๆๆ เป็นแค่พี่เขยหรือน้องเขยก็พอแล้ว ไม่ต้องเอามาเป็นสามี TToTT

                “ไม่เอาอ่ะ! ฟ้าไม่ทำเด็ดขาด! !

                “ต้องทำ!

                “ไม่ทำ!

                “เอ๊ะ! สาวๆ ตระกูลบดีรักษ์วิกุล ลูกคนโตกับคนที่สามใช่ไหมนั่น”

                บุรุษคนใหม่เข้ามายืนข้างหลังตอนไหนก็ไม่ทราบ ทำเอาฉันกับพี่มายาหยุดเถียงกันไม่ทัน ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ แล้ว ถ้าจำไม่ผิดผู้ชายคนนี้คือลูกคนสุดท้องของตระกูลนธารากูล เป็นนักแสดงชื่อ แจคเกิล แปลว่า สุนัขจิ้งจอก เอาจริงๆ นะ คนที่ตั้งชื่อต้องตาถึงมากๆ เพราะตั้งให้แต่ละคนนิสัยเข้ากันสุดๆ ทั้งพี่คนโตที่ดูเหมือนร้ายเงียบ และน้องคนเล็กที่ดูเจ้าเล่ห์ออกหน้าเหมือนสุนัขจิ้งจอกไม่ผิดเพี้ยน

                “สวัสดีครับผู้กำกับ ^^” ผู้ชายที่ชื่อแจคเกิลทักทายพี่มายาอย่างสนิทสนม เขาดูเหมือนจะจงใจหว่านเสน่ห์ใส่พี่ของฉันแบบเด็กประถมดูก็รู้แล้ว

                “อย่าบอกนะว่า เขาคนนี้เล่นเป็นพระเอกในละครของพี่” ฉันถามเหมือนจะรู้ทัน เพราะเคยแอบจิ๊กบทของพี่มาอ่านผ่านๆ พระเอกจะออกฉลาดแกมโกงหน่อยเหมือนกับสุนัขจิ้งจอก

                “ผู้กำกับมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ ผมนี่คาดไม่ถึงเลยว่าลูกคุณหนูผู้มีความสามารถและมีนิสัยเย่อหยิ่งจะมาเหยียบที่ที่แบบนี้ ผมแปลกใจมากกกกก”

                “นายจะลาก ก ไก่ไปถึงปัตตานีเลยมั้ยห๊ะ!” พี่มายาแอบประชดประชันตามสไตล์ของหญิงผู้รักศักดิ์ศรีตัวเองเป็นเลิศ นี่ถ้าเขาไม่อายุน้อยกว่าพี่สองปี ฉันนึกว่าเป็นเพื่อนกันซะอีก...จากนั้นพวกเขาสองคนก็คุยกันเหมือนลืมฉันและโลเวลที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นปลิดทิ้ง เอ่อ...โลเวลไม่เป็นอะไรหรอก เพราะนายนั่นก็คงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคนอื่นเขา

                “อ้อ! ที่ผู้กำกับมาเพราะอยากได้ที่นี่ใช้เป็นฉากที่พระ-นางได้กันครั้งแรกใช่ไหมครับ ^^

                “จะบ้าเหรอ! แค่เจอกันก็พอแล้ว นี่นายได้อ่านบทบ้างหรือเปล่า >O<

                “อ่านครับๆ ผมล้อเล่นเฉยๆ ผู้กำกับก็จริงจังไปได้ แต่ทำไมเมื่อกี้นี้ดูเหมือนผู้กำกับจะทะเลาะกับคุณจ้าวฟ้าอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ไม่ทราบว่าทะเลาะเรื่องอะไรอยู่ ^_^

                O[]O ฉันล่ะทึ่งไปเลย กล้าถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่นกลับยิ้มหน้าด้านๆ ไม่เคยเห็นคนแบบนั้นมาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมา

                “ก็ดูเหมือนพี่นายจะไม่ยอมให้เราใช้สถานที่นี้ถ่ายทำน่ะสิ”

                O[]O;; พี่ก็ตอบหน้าตาเฉยเลย (ดีนะที่เป็นเรื่องของต้นเหตุ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยงกันว่าใครจะแสดงบทออดอ้อนนายโลเวลนั่น)

                “ถ้าเรื่องนั้นเดี๋ยวผมช่วยอีกแรงก็ได้ ^O^” นายแจ็คเกิลนั่นผละจากพี่สาวคนสวยของฉัน เดินตรงดิ่งมาทางนายโลเวลแล้วเหมือนเขาจะพูดต่อรองกับพี่ของตัวเอง แล้วสักพักก็หันมายิ้มให้กับพี่สาวของฉัน พร้อมกับยกนิ้วโป้งเหนือศีรษะ “พี่ตกลงแล้วครับ ^^

                ช่างเหมือนเด็กอะไรเช่นนี้... บอกตรงๆ ว่านี่เป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับพี่ที่ดูเหมือนกับผู้ใหญ่อย่างโลเวล ถ้าโกหกว่าไม่ใช่พี่น้องกันยังเชื่อเลย เพราะมันต่างมากกกกก ไม่เชื่อเลย ผู้ชายครอบครัวนี้จะต่างกันไปถึงไหน อืม...พี่น้องฉันก็ต่างนะ ไม่น่าว่าครอบครัวคนอื่นเขาเลย -__-;;

                “เดี๋ยวผมจะพาไปสำรวจที่นี่เอง เผื่อว่าจะถูกใจตรงไหนเป็นพิเศษ ^^” แจ็คเกิลยื่นข้อเสนอกับพี่ แล้วดูเหมือนพี่จะเห็นด้วยสุดๆ ก็หันมาถามข้อเสนอคิดเห็นจากฉัน

                “คิดว่าไง”

                “ก็แล้วแต่พี่เถอะค่ะ ฟ้าไม่ค่อยมีรสนิยมเรื่องสถานที่ที่สวยๆ ซะด้วย ถ้าพี่มีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนก็เป็นการดีกว่าอยู่แล้ว”

                “แล้วเราจะไปด้วยไหม” พี่มายายังคงถามต่อ

                “ไม่ล่ะ! ฟ้าไม่ชอบเดินไปไหนที่มืดๆ เดี๋ยวฟ้าไปรอตรงที่ลานจอดรถดีกว่า...”

                “ผมว่าให้พี่โลเวลพาไปรอที่ห้องพิเศษของพวกเราดีกว่าครับ” นายแจ็คเกิลยื่นข้อเสนออีกครั้ง แถมครั้งนี้เขายังพยักหน้าให้ฉันเชื่อตามที่เขาพูดอีกต่างหาก “เดี๋ยวพอผมพาผู้กำกับเดินชมสถานที่เสร็จ จะพาตรงดิ่งไปยังห้องนั้นทันทีเลยครับ แบบนั้นว่าไงครับ”

                “แบบนั้นก็ได้ค่ะ...”

                ฉันตอบอย่างจำยอม ก่อนที่ฉันกับพี่มายาจะแยกกัน โลเวลก็พาฉันตรงดิ่งมายังประตูบานหนึ่งมันเป็นประตูที่มีสีผสมปนเปกันไปหมด เหมือนเด็กที่เพิ่งใช้สีน้ำ ซึ่งจะแยกออกเป็นทั้งสี่สี มีสีน้ำเงินซึ่งตรงกลางก็มีรูปหมาป่า ถัดมาเป็นสีแดงออกส้มตรงกลางคือรูปสิงโต เลื่อนลงมาเป็นสีออกน้ำตาลส้มตรงกลางคือเสือ และสุดท้ายเป็นสีส้มเข้มตรงกลางคือรูปสุนัขจิ้งจอก ดูก็รู้เลยว่าเป็นห้องของสี่พี่น้องครอบครัวนธารากูล

                “เข้ามาก่อนครับ” นายโลเวลเปิดประตูออก ทำให้เห็นข้างในที่กว้างขวาง เพียงแต่ที่นี่เป็นแค่ห้องธรรมดา ไม่ได้มีความลึกอยู่ ซึ่งในห้องก็ประกอบไปด้วยโต๊ะทำงานที่อยู่มุม มีโทรทัศน์ มีโซฟา ผ้าม่านหน้าต่างสีน้ำเงินเข้ม ที่นี่ดูเหมือนจะธรรมดาที่สุดในสถานที่ผับแห่งนี้ พอเข้ามาอยู่จะไม่มีความรู้สึกว่าเป็นผับเลยสักนิด เหมือนกับอยู่ห้องหนึ่งของโรงแรมมากกว่า

                “ถ้าอยากได้อะไรก็กดปุ่มสีแดงตรงผนังแล้วพูดบอกได้เลย เดี๋ยวมีคนเอามาให้” เขาพูดบอกอย่างรวดเร็ว แล้วตรงดิ่งไปนั่งยังโต๊ะทำงาน ที่เหมือนจะเป็นของเขาเพียงคนเดียว

                “ค่ะ” ฉันว่านอนสอนง่ายอยู่แล้ว พูดจบก็ตรงไปนั่งยังโซฟาสีดำ ดีนะที่เขาเปิดม่านเอาไว้ ไม่งั้นฉันคงมองไม่เห็นแน่ๆ แต่จะว่าไป ที่นี่ประกอบไปด้วยโทนมืดๆ ซะส่วนใหญ่ อ๊ะ! มีประตูข้างในอีกบานด้วยเหรอ? “นั่นห้องอะไรเหรอคะ” ฉันชี้ไปยังประตูบานนั้น ห่างจากหลังโซฟาพอสมควร

                “ห้องนอน”

                มีห้องนอนที่นี่ด้วยเหรอ! แน่ใจนะว่าที่นี่คือผับ ไม่ใช่โรงแรม ฉันชักอยากจะได้ที่นี่ซะแล้วสิ แบบว่าไงอ่ะ ทำงานเหนื่อยๆ ก็ไปร้องเพลง สร้างสรรค์กับเพื่อนๆ คงจะดีน่าดูเลย >_< อ่า~ มันเริ่มเงียบขึ้นแล้วนะ ฉันไม่ชอบเลยบรรยากาศที่อยู่กับผู้ชายสองต่อสอง แล้วเงียบๆ แบบนี้

                ฉันไม่ชอบเลยน้า~~ แต่นะ เขาบอกว่าให้ฉันสั่งอะไรก็ได้ ยังไงก็หาอะไรกินรองท้องก่อนเถอะ ตั้งแต่ตื่นมาฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย แถมนอนก็ยังไม่พออีกต่างหาก คิดดูว่าถูกพี่ทรมานขนาดไหน -*-

                “ฉันสั่งอะไรก็ได้ใช่ไหมคะ” ฉันถามเขาเพื่อความแน่ใจ และเขาก็เงยหน้าจากเอกสารหันมาพยักหน้าให้ฉันสั่งได้ตามสบาย “ที่นี่มีข้าวขายไหมคะ ?

                “มีครบหมดครับ”

                “อ้อ! ค่ะ” ฉันหัวเราะแห้งๆ แล้วกดเจ้าปุ่มสีแดงที่ติดกับผนัง ก่อนจะกะแอ้มสองสามครั้ง “ขอข้าวผัดหนึ่งที่ค่ะ ไม่เอามะเขือเทศนะคะ และขอน้ำเปล่าแก้วหนึ่งด้วยค่ะ”

                “เอาค็อกเทลสูตรพิเศษมาหนึ่งแก้วด้วย”

                “O_O? ?

                ที่เขาสั่งมากินเมื่อกี้คงจะสั่งมากินเองสินะ แต่ว่า! ผู้ชายกินสุราไม่ว่าประเภทอะไรก็ตาม ไม่ควรจะอยู่ด้วย เพราะมันอาจจะเกิดเรื่องบัดสีบัดเถลิงได้...คุณแม่สอนไว้! ทำยังไงดีอ่ะ ตะ...แต่ว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก เพราะเขาทำเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนี้ก็น่าจะพอกินเป็น ไม่น่าจะมีเรื่องแบบนั้นหรอก อย่ากลัวเกินเหตุสิยัยจ้าวฟ้า!!

                ไม่ให้กลัวได้ไง! >O< จูบแรกฉันยังไม่เคยเสียเลยนะ แถมยังเคยตั้งกฎเหล็กับตัวเองไว้แล้วด้วยว่าถ้าใครเป็นเจ้าของจูบแรกของฉัน ฉันจะเอาคนนั้นมาเป็นแฟนให้ได้ เพราะงั้นเรื่องนี้เรื่องใหญ่มากกกกก ฉันจะทำยังไงดี

                ครืด~

                มาแล้ว OoO ตายๆๆ ต้องใช้จังหวะนี้แหล่ะหนีไป บอกว่าจะไปทำธุระ

                “ข้าวผัด น้ำเปล่า และค็อกเทลของคุณค่ะ”

                “เอ๋ O_o?” เมื่อกี้นี้พนักงานบอกฉันหรือเปล่า ก็น่าจะบอกอ่ะนะ เพราะคุณเธอเขาวางข้าว น้ำเปล่า และค็อกเทลบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วด้วย ก่อนจะส่งยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร แล้วเตรียมตัวจะหมุนกลับ ถ้าฉันไม่จับคุณเธอเอาไว้ “ค็อกเทลไม่ใช่ของฉันค่ะ”

                “ของคุณนั่นแหล่ะค่ะ เพราะคุณโลเวลไม่ดื่มค็อกเทลค่ะ สงสัยว่าจะให้เอามาให้คุณลองชิมดู เพราะเป็นสูตรพิเศษ ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ มันมีแอลกอฮอล์น้อยมาก ส่วนมากจะเป็นผลไม้ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” คุณเธอรีบชิ่งเดินออกไป ทิ้งให้ฉันยืนกระพริบตาปริบๆ มองอากาศ

                “สั่งมาให้ฉันเหรอคะ” ฉันหันไปถามเจ้าของคนสั่งดู ซึ่งเขาก็ดูไม่ใส่ใจสักนิด แถมหันไปมองวิวทิวทัศน์ข้างนอกอีกต่างหาก ก็สรุปได้เลยว่าเขาจงใจสั่งมาให้ฉันชัดๆ

                จะให้ดื่มมันคงไม่เป็นปัญหาหรอกนะ แต่เพราะเครื่องดื่มเป็นแอลกอฮอล์ถึงเป็นปัญหาหนัก เพราะอะไรน่ะเหรอ! เพราะฉันไม่เคยดื่มเลยน่ะสิ ทางบ้านฉันนะดูแลดีมากกกกก เรื่องพวกนี้ไม่รอดมาถึงปากฉันหรอก นี่ก็เลยเป็นครั้งแรก กะว่าจะปฏิเสธแต่ก็เห็นว่าเป็นสูตรพิเศษ (ที่น่าจะยังไม่ทำขึ้นมาขาย) อาจจะอยากให้ฉันลองชิมแล้วให้วิจารณ์ คำว่าปฏิเสธก็เลยไม่หลุดจากปากออกไป

                เฮ้อ~ มันก็แค่ค็อกเทลที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่น้อย คงไม่เป็นอะไรหรอก (มั้ง) แค่จิบเดียวเท่านั้น มันคงจะไม่เกิดเหตุบ้าบออะไรขึ้น...ลางสังหรณ์เริ่มกระตุกขึ้นมา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×