ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TIMELESS (NewJiew TS1)

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 4 : เงาอดีต

    • อัปเดตล่าสุด 8 ม.ค. 57


    บทที่

     







     

    นิวเดินเข้ามาในห้องพักอันแสนคุ้นเคยด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากทุกที แต่ละก้าวที่เหยียบย่างมันหนักหน่วงจนแทบยกเท้าไม่ขึ้น ตั้งแต่จิ๋วเปิดประตูต้อนรับด้วยความใบหน้าเฉยชาใจของเธอก็หล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้า สิ่งที่จะได้รับรู้ต่อจากนี้ไปคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนิวแน่ ๆ

     

                ถึงเวลาที่จะต้องรับคำตัดสินหลังการทะเลาะกันครั้งใหญ่เมื่อหลายวันก่อน…

     

    นักโทษประหารรู้สึกอย่างไรก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะปลิดปลิว นิวเชื่อว่าคงไม่ต่างไปจากเธอในตอนนี้นัก

     

    “นั่งก่อนสิ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบเหมือนคลื่นลมที่สงบเงียบก่อนพายุจะมา

     

    “ทานอะไรมารึยัง?” จิ๋วถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอึดใจใหญ่

     

    “ยังหรอก ไม่หิวน่ะ” นิวตอบออกไปด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ

     

    “จิ๋วตัดสินใจได้แล้วล่ะ…/ นิวขอโทษนะเรื่องวันนั้น” สองเสียงพูดออกมาพร้อมกันก่อนมองหน้ากันนิ่งเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดก่อน

     

    “ช่างมันเถอะนิว” จิ๋วไม่ได้บอกว่าจะให้อภัย เธอคงไม่อยากนึกถึงถ้อยคำทำร้ายจิตใจที่ออกจากมาจากปากของคนที่พูดไม่รู้จักคิด

     

    “จิ๋วยังโกรธนิวอยู่ใช่มั้ย? ขอโทษนะ นิวจะไม่ใจร้อนอีกแล้ว” พยายามยื้อโอกาสสุดท้ายเอาไว้ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่ามันไม่มีผลอะไรหากคนตรงหน้าได้ตัดสินใจบางอย่างลงไปแล้ว

     

    “กี่ครั้งแล้วล่ะที่พูดแบบนี้ เคยทำได้รึเปล่า?” คำพูดที่ย้อนกลับมาทำให้นิวสะอึก พูดอะไรไม่ออก แม้แต่คำร้องขอความเห็นใจก็ถูกกลืนหายไปในลำคอ ใบหน้าซูบซีดจากการนอนไม่หลับมาหลายคืนบัดนี้ยิ่งซีดกว่าเดิมไม่ต่างจากกระดาษเปล่า

     

    “แล้ว… นิวควรจะทำยังไง”

     

    “เราอย่าเจอกันเลยดีกว่า มันน่าจะดีกับเราทั้งคู่” คนตรงหน้าเอ่ยวาจาเชือดเฉือนหัวใจคนฟังอย่างใจเย็น จิ๋วพูดด้วยสีหน้าปกติแบบคนที่ไตร่ตรองทุกอย่างมาดีแล้ว ตรงข้ามกับนิวที่รู้สึกเจ็บเหมือนกำลังจะขาดใจ อยากร้องไห้แต่ความเสียใจมาจุกอยู่ตรงลำคอจนร้องไม่ออก มีเพียงสายตาปวดร้าวเท่านั้นที่มองไปยังอีกคน

     

    “มันดีกับเราทั้งคู่หรือดีกับจิ๋วแค่คนเดียวกันแน่” เสียงนั้นแหบโหยเหมือนคนสิ้นเรี่ยวแรง นิวแทบจะจำเสียงตนเองไม่ได้ นอกจากความเสียใจแล้วยังมีความโกรธปะปนอยู่มากมายในน้ำเสียง

     

    “จิ๋วเชื่อว่ามันจะดีกับเราทั้งคู่ จะได้ไม่ต้องมาถ่วงกันเองอยู่แบบนี้ไง”

     

    “แต่ละคำที่พูดออกมาน่ะ ….จิ๋วคิดดีแล้วใช่มั้ย”  เสียงของนิวขาดเป็นห้วง ๆ เธอนึกอยากให้สิ่งที่ได้ยินเป็นแค่เรื่องล้อเล่น แต่คำภาวนาของนิวไม่อาจเป็นจริงได้เมื่อจิ๋วพยักหน้าและมองกลับมาด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว หากตอนนี้ไม่ได้นั่งอยู่บนโซฟานิวคงทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดท่า

     

    “นั่นของของนิว” จิ๋วชี้ไปที่กระเป๋าเป้ใบโตที่ข้างในบรรจุเสื้อผ้าข้าวของของนิวที่ทิ้งไว้ในห้องพักของเธอหลายชิ้น

     

    “ในเมื่อเตรียมทุกอย่างไว้ขนาดนี้… ก็คงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วมั้ง”  นิวมองตามด้วยหัวใจที่ร้าวราน แค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นที่สุดในชีวิต ดวงตาที่ก่อนหน้านี้เคยสดใสกลับหมองหม่นเหมือนท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอก เจ็บจนน้ำตาตกใน

     

    “ขอตัวนะ จิ๋วมีงาน” จิ๋วผุดลุกขึ้นท่าทางรีบร้อนเหมือนไม่อยากให้นิวอยู่ตรงนี้นาน หมุนตัวจะกลับเข้าไปในห้องนอน หากไม่ถูกเสียงของนิวรั้งเอาไว้เสียก่อน และคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังมีสิทธิ์เห็นได้เพียงแผ่นหลังเล็ก ๆ ที่กำลังตั้งตรงเท่านั้น

     

    “จิ๋วพูดอะไรออกมา รู้ตัวบ้างมั้ย”

     

    “รู้สิ และตัดสินใจดีแล้วด้วย”

     

    “ที่ผ่านมาจิ๋วก็เห็นงานสำคัญกว่านิวมาตลอด และจนวินาทีสุดท้ายของเรา มันก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่สินะ”

     

    “ขอบคุณนะ…ขอบคุณจริง ๆ ที่ทำให้รู้ว่า นิวมันไม่เคยสำคัญกับชีวิตคุณเลยสักนิด” จิ๋วหันมาเมื่อได้ยินคำพูดที่เค้นออกมาลำคออย่างรวดร้าว และคงจะได้เห็นแววตาสุดท้ายของนิวที่มองเธออย่างตัดพ้อและเจ็บปวด

     

    “จากวันนี้ไปเราจะไม่เจอกันอีก” นิวทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ก่อนหยิบเป้ใบใหญ่ขึ้นสะพายหลังแล้วเดินออกไปจากห้อง พร้อมความร้าวรานที่แบกกลับไปเต็มหัวใจ แม้นัยน์ตาคู่สวยกำลังแดงก่ำแต่จนวินาทีสุดท้ายนิวก็ยังไม่มีน้ำตาเลยสักหยด คงจะทรมานน้อยกว่านี้หากมันยอมไหลออกมาบ้าง ความเจ็บปวดในใจจะได้บรรเทาเบาบาง

     

               

     

     

     

    January 2, 2014 | (THU)

     

     

                ติ๊ด ๆ ติ๊ด ๆ

     

                ร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ที่ตั้งไว้ฉุดกระชากให้ตื่นจากฝันร้าย เปลือกตาบางเปิดขึ้นอย่างกะทันหัน ลมหายใจหอบถี่เหมือนคนเพิ่งออกกำลังกายมาเป็นเวลานาน นิวพยายามพลิกตัวขึ้นเพื่อเปลี่ยนท่านอนด้วยความยากลำบาก เพราะอาการวิงเวียนศีรษะจากแอลกอฮอล์ที่ยังตกค้างในร่างกายเป็นอุปสรรคสำคัญ

     

                “โอย…”  อาการปวดศีรษะเล่นงานจนจนต้องนิ่วหน้าพร้อมโอดครวญออกมาเบา ๆ ก่อนยกมือขึ้นนวดขมับคลายความเจ็บปวด

     

                ความรู้สึกย่ำแย่จากเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนตามมาหลอกหลอนถึงในฝัน เช้าที่ควรจะสดใสแต่นิวกลับรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเจ้าของเตียงหลังน้อยไม่อยู่ข้างกายนิวยิ่งรู้สึกใจหายเหมือนขาดที่พึ่ง มือคว้าเอาหมอนข้างมากอดสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอีกคนจนเต็มปอด เผื่อว่าอาการโหวงเหวงในช่องอกจะบรรเทาเบาลงบ้าง

     

                “จะฝันถึงเรื่องนั้นอีกทำไมนะ” นิวปรารภกับตนเองอย่างไม่เข้าใจ บางทีอาจเป็นเพราะความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ กำลังสำแดงอาการ กลัวว่าสิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดในตอนนี้จะเป็นเพียงภาพฝัน พอตื่นมาแล้วความสุขที่กกกอดไว้จะหายไป อนาคตระหว่างเธอและจิ๋วก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ตั้งแต่คืนปีใหม่ก็ไม่เคยได้คุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที

     

                แอด…

     

                ประตูห้องถูกแง้มเปิดอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวจะรบกวนคนข้างใน นิวเองก็ไม่ทันได้ยินเพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง

     

                 “ตื่นแล้วเหรอนิว” เสียงหวานเอ่ยทัก นิวหันไปมองก็พบกับรอยยิ้มสดใสที่คนตัวเล็กตั้งใจส่งมาให้ หัวใจที่หม่นเศร้าค่อยรู้สึกแช่มชื่นขึ้นมาบ้าง

     

                “จิ๋ว ไปไหนมา” ทันทีที่อีกคนทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ นิวก็ทิ้งหมอนข้างใบนั้นเพื่อที่สองมือจะได้ว่างกอดคนตัวเล็กได้เต็มอ้อมแขน ใบหน้าใสซุกซบกับอกอุ่นเพื่อขอกำลังใจ

     

                “ไปทำความสะอาดพื้นที่พวกนิวนั่งกินเหล้ากันมื่อคืนไงล่ะ… แล้วนี่เป็นอะไรรึเปล่า?” จิ๋วมองอาการของนิวอย่างผิดสังเกต อ้อมกอดที่รัดรอบเอวแนบแน่นทำให้เธอแปลกใจ มือเล็กลูบผมสีสว่างของอีกคนอย่างอ่อนโยน

     

                “นิวฝันร้าย”

     

                 “ฝันว่าไง เล่าให้จิ๋วฟังได้มั้ย”

     

                คำตอบที่ได้รับจากนิวคือการส่ายศีรษะ ก่อนที่เสียงอู้อี้จะดังตามมา “ไม่มีอะไรหรอก ฝันไร้สาระเหมือนเดิมนั่นแหละ แค่ให้นิวกอดก็หายแล้วล่ะ” นิวเลือกที่จะโกหกเพราะไม่อยากให้จิ๋วมาแบกรับความรู้สึกผิดเอาไว้อีก ยิ่งเป็นคนคิดมากอยู่ด้วย

     

                “แน่ใจนะ?”

     

                “อื้อ”

     

                จิ๋วถอนหายใจแล้วยิ้มอย่างเอ็นดูราวกับมองเห็นนิวเป็นเด็กไม่กี่ขวบ โอบกอดร่างของนิวตอบหลวม ๆ เพื่อปลอบโยนคนขวัญเสีย

     

                “ไม่เป็นไรแล้วนะ แค่ฝัน ลืมมันไปซะเถอะ”

     

                ถ้าเป็นไปได้นิวก็อยากจะบอกจิ๋วเหมือนกันว่า การลืมเป็นสิ่งที่นิวพยายามทำมันมาตลอด แต่โชคร้ายที่ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง

     

                แต่ก็จำต้องรับคำไปอย่างนั้นเพื่อให้จิ๋วสบายใจ “อื้อ”

     

                “แล้วนี่หิวรึยัง?”

     

                “ยังเลย นิวปวดหัวอยากนอนต่ออีกหน่อย”

     

                “เมาค้างล่ะสิ เมื่อคืนดื่มไม่บันยะบันยังเลยนี่” จิ๋วขยี้ผมนุ่มแรง ๆ อย่างหมั่นไส้

     

                “ก็แค่นาน ๆ ทีน่า”

     

                “นาน ๆ ทีเลยจัดเต็มสินะ แล้วเมื่อคืนน่ะจำได้มั้ยว่าทำอะไรไว้ก่อนนอน” จิ๋วประคองใบหน้าซีดเซียวของอีกคนขึ้นสบตา นิวหรี่ตาลงทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกออก

     

                “นิวจูบจิ๋วไง”

     

                “ไม่ใช่ย่ะ ก่อนหน้านั้น” แม้จะเขินอายกับเรื่องที่นิวพูดแต่จิ๋วก็ซ่อนมันไว้ได้อย่างแนบเนียน

     

                “อืม… เหมือนจะทำอะไรแตกซักอย่าง”

     

                “ใช่ นิวทำขวดเหล้ากับแก้วแตก แล้วยังทำตัวงอแงเป็นเด็กสามขวบอีก มันน่าอัดคลิปไว้นัก” จิ๋วย่นจมูกใส่อีกคน แล้วดีดหน้าผากเบา ๆ

     

                “อา….นิวคิดออกแล้ว” นิวโอดครวญแล้วผละไปนั่งพิงหัวเตียง กุมขมับด้วยความรู้สึกอับอายเมื่อนึกถึงตอนที่เธองอแงเป็นเด็กสามขวบต่อหน้าจิ๋ว “ทำอะไรลงไปเนี่ย”

     

                “จิ๋วลืมมันไปได้มั้ย” หันไปขอร้องอีกคนผ่านทางสายตา

     

                “คิดอะไรมาก เมื่อก่อนจิ๋วก็เคยเห็น นิวเป็นออกบ่อย”

     

                “แต่ปัจจุบันมันควรจะดีกว่านั้นนี่”

     

                “ไม่เป็นหรอกน่า ก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายนี่” จิ๋วคลี่ยิ้มอ่อนโยน

     

                “จริงนะ”

     

                “จริงสิ นิวนอนต่อเถอะเดี๋ยวจิ๋วไปหาอะไรมาให้กินแก้แฮงค์แล้วจะได้กินข้าวด้วย”

     

                “ขอบคุณนะ” นิวรั้งมือจิ๋วเอาไว้มองใบหน้าสวยด้วยแววตาหวานซึ้งจนอีกคนสะเทิ้นอายจนต้องหลบสายตา

     

                “เรื่องแค่นี้เอง ขอบคุณทำไม” จิ๋วหัวเราะเบา ๆ กลบเกลื่อนความเขิน

     

                “นิวหมายถึงทุกอย่างในตอนนี้ ขอบคุณที่กลับมานะ”

     

                “เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนี้อีกทีแล้วกัน ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก นอนพักซะเถอะ” ดวงตาที่ไม่มีแววล้อเล่นของนิวทำให้เธอทนมองได้ไม่นาน ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วเลิกผ้าห่มมาคลุมตัวให้นิวเพื่อตัดบท ก่อนออกไปจากห้องยังพูดทิ้งท้ายไว้ให้คนบนเตียงได้คิด

     

                “ฝันร้าย มันก็แค่ฝัน อย่าเก็บมาคิดมากเลยนะ ลืมได้ก็ลืมเถอะ อย่าไปเอาอะไรกับมันนักเลย” จิ๋วอาจจะตีความไปอีกอย่างเพราะรู้ดีว่านิวเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อเรื่องโชคลาง แต่ปล่อยให้เข้าใจไปอย่างนั้นก็ดีแล้ว

     

                เสียงประตูปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่เลือนหายไป มันคงจะง่ายกว่านี้หากสิ่งที่นิวฝันมันไม่เคยเกิดจริง ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นติดค้างอยู่ในใจมาเนิ่นนานจนยากจะลบเลือน

     

    “นิวไม่เคยอยากจะจำเลยนะจิ๋ว แต่มันก็ลืมไม่ลงซักที”

     

    .

    .

    .

     

    ตกบ่ายพออาการเมาค้างทุเลาลง นิวก็พาตัวเองลงมาจากห้องเพื่อร่วมวงสังสรรค์กับญาติของเธอที่ยังอยู่ต่อจนถึงสุดสัปดาห์ ห้ามก็แล้วดุก็แล้วแต่นิวก็ไม่ยอมฟัง แต่ยังดีที่อุตส่าห์รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ดื่มมากเหมือนเมื่อวาน  และเท่าที่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ก็เห็นว่านิวทำอย่างที่พูดจริง ๆ ความถี่และปริมาณในการดื่มน้อยลงพอ ๆ กับคำพูดที่หลุดจากปาก ดูนิวเงียบ ๆ ไปเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง บ่อยครั้งที่ความสนใจของนิวไม่ได้จดจ่ออยู่ในบทสนทนา สายตาเหม่อมองออกไปนอกวงอยู่เรื่อย ๆ

     

    “เป็นอะไรของเค้า” จิ๋วก็ได้แต่ตั้งคำถามกับตนเอง เพราะยังไม่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะคุยกัน

     

    ไม่แน่ว่า… อาจจะเป็นเพราะความฝันที่นิวบอกเมื่อเช้า จะว่าเป็นเพราะเมาค้างก็ไม่น่าใช่ เพราะใบหน้าของนิวเริ่มมีสีเลือดเป็นปกติ ไม่ได้ซีดเซียวเหมือนก่อนหน้านี้

     

    “นิว… ยังปวดหัวอยู่มั้ย” จิ๋วขยับเข้ามากระซิบถาม

     

    “นิวหายแล้ว อีกสักพักก็เลิกดื่มแล้วล่ะ ไม่อยากเป็นเหมือนเมื่อคืนอีก” นิวให้คำมั่น ทำให้จิ๋วยิ้มออก แม้จะยังไม่คลายความกังวลไปเสียทั้งหมดก็ตาม

     

    “งั้นก็ดีแล้ว”

     

    จิ๋วเอ๊ย หยังปล่อยหื้อนิวไปกิ๋นเหล้าแหมล่ะ ปวดหัวอยู่บ่ะใจ้ก๋า  (จิ๋วเอ๊ย ทำไมปล่อยให้นิวกินเหล้าอีกล่ะ ปวดหัวอยู่ไม่ใช่เหรอ)” เสียงแม่ของจิ๋วดังมาจากในบ้านเมื่อเหลือบมาเห็นนิวและจิ๋วนั่งอยู่ในวงเหล้าทั้งคู่

     

    เดี๋ยวก่อเลิกละแม่ บ่ต้องห่วงหรอก (เดี๋ยวก็เลิกแล้วแม่ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า)”

     

    แล้วแหมเมินก่อจะเลิกน่ะ บ่ผ่อเปื้อนเลย เมาก้าห่วงกิ๋นห่วงเล่น….. (แล้วอีกนานเท่าไหร่จะเลิกล่ะ ไม่ดูแลเพื่อนเล้ย มัวแต่ห่วงกินห่วงเล่น…….)”

     

    เสียงบ่นของแม่ยังแว่วมาให้ได้ยินอยู่สักพักก่อนจะเงียบไป

     

    “เอาอีกละ จิ๋วผิดตลอดเลยเห็นมั้ย เนี่ยล่ะน้าดูแลลูกสาวเค้าไม่ดี” จิ๋วบ่นแม่ตัวเองโดยไม่วายเหน็บแนมคนข้าง ๆ

     

    “ก็นิวเป็นลูกรักนี่นา ต้องทำใจนะ จิ๋วตกกระป๋องแล้ว” นิวหลุดขำกับท่าทางหัวเสียของจิ๋ว ทำให้อีกคนหยุดมองหน้ายิ้ม ๆ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ตื่นมาที่นิวหัวเราะได้เต็มเสียงสักที

     

    “หัวเราะได้แล้วเหรอ”

     

    “ทำไมล่ะ เรื่องปกตินี่” หันไปถามจิ๋วกลั้วหัวเราะด้วยสีหน้างุนงง

     

    “แต่วันนี้นิวผิดปกติ”

     

    “นิวน่ะเหรอ ไม่ปกติยังไง?” นิวถามหน้าซื่อ แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

     

    เล่าขวัญไค๋ อยู่หา?  (นินทาใครอยู่ หา?)” โป้งผู้เป็นญาติผู้พี่ของจิ๋วท้วงเสียงดังเมื่อเห็นทั้งคู่ซุบซิบกันมาได้สักพัก

     

    บ่ใจ้อ้ายละกั๋น (ไม่ใช่พี่แล้วกัน)” จิ๋วหันไปแขวะ

     

    เอ้า ๆ อั้นก่อฝั้งยกนิวยก  (เอ้า ๆ งั้นก็รีบยกนิวยก)” โป้งคะยั้นคะยอให้นิวดื่ม

     

    จิ๋วค่อย ๆ ถอยออกมาจากวงเหล้าอย่างเงียบ ๆ จำต้องหยุดบทสนทนาระหว่างเธอกับนิวเอาไว้ก่อน คืนนี้คงได้มีโอกาสซักถามนิวอย่างละเอียดอีกที 






     

     



    ตัวหนังสือสีน้ำตาลออกเขียวนั่นเป็นพาร์ทของอดีต (ความฝันของพี่นิวด้วย) นะคะ

    ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ เจอกันตอนหน้าฮับ



    ไฟล์ pdf ของตอนนี้ค่ะ หากต้องการโหลดคลิกเลย
    V
    V
    บทที่ ๔ เงาอดีต (Full shot)


     

     
     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×