ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SHORT FICTION] ゙KRIS ❤ SICA •{EXO SNSD}•

    ลำดับตอนที่ #6 : [Short Fic] Magic Moment [Kris x Sica] :: 03 กำราบจนสิ้นท่า

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 56


    03 กำราบจนสิ้นท่า


     

              เรือนร่างแน่งน้อยนอนสลบไสลอยู่บนเตียงกว้างอย่างสิ้นเรี่ยวแรง สงครามรักที่ผ่านพ้นเมื่อราตรีที่แล้วมาคงลิดรอนพลังจากนางไปไม่น้อย แพรเนื้อบางที่ใช้เป็นผ้าห่มแนบกายอรชรเผยสัดส่วนชัดเจน หัวไหล่มลและเรียวขาโผล่พ้นจากแพรผืนนั้น ...ขาวผุดผาดไร้รอยตำหนิ

     

    แสงแรกแห่งอรุณรุ่งสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ผิวขาวกระจ่างตา คริสปิดกั้นแสงนั้นด้วยม่านผืนหนาอย่างเบามือ เกรงจะทำให้นางตื่นทั้งที่ยังพักผ่อนไม่เต็มที่

               

    ร่างสูงสง่าในกางเกงผ้าผืนเดียวยืนพิงกรอบหน้าต่างพินิจมองอดีตจิ้งจอกสาวด้วยสีหน้าเป็นกังวล คำขอร้องจากบิดามารดาของนางไม่ได้สิ้นสุดแค่การถอนคำสาปให้นางเท่านั้น ยังต้องให้ที่พักพิงแก่นางไปอีกหลายเดือนเพื่อยืดเวลาให้ทางเตรียมที่อยู่ใหม่สำหรับนางในอีกเมืองหนึ่ง และหาวิธีรับมือกับข้อครหาที่อาจจะตามมาหากนางกลับสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ทั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้เขาได้ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมให้นางแกร่งกล้าขึ้นเพื่อทดแทนพลังเวทย์ที่ถดถอยจากการถอนคำสาป ดูเหมือนจะกินระยะเวลายาวนานกว่าที่คิดและคงจะเป็นงานหนักเอาเรื่อง

     

                “ไม่น่าเลยนะเจ้า” จอมขมังเวทย์หนุ่มส่ายศีรษะอย่างนึกเสียดาย กับอนาคตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบของนางที่ต้องสะดุดลงเพราะความดื้อรั้น

     

                “อือ” เสียงเล็กครางรับการพลิกกายโดยอัตโนมัติของตน แพรผืนบางเลื่อนหลุดลงมาถึงช่วงเอวอวดความเต่งตึงของอิสตรี ภาพบนเตียงพาให้คนมองใจสั่นด้วยความปรารถนา นางกำลังฟื้นจากนิทราในสภาพที่เย้ายวนเหลือเกิน เรือนผมสีทองที่กระจายเต็มหมอนไม่ได้ลดความน่ามองของนางลงไปด้วยเลยแม้แต่น้อย เขาภาวนาให้นางได้สติโดยไว จะได้ลุกขึ้นมาหาสิ่งปิดบังเรือนร่างให้พ้นสายตาของเขาเสียที

     

                กว่าที่เปลือกตาบางจะเปิดขึ้นอย่างเต็มที่แพรผืนนั้นก็เกือบพ้นไปจากสะโพกเปลือยเปล่า แม้เวลานี้ก็คลุมอยู่อย่างหมิ่นเหม่เหลือเกิน ความหนาวเย็นที่ได้รับจากอากาศยามเช้าตรู่ส่งผลให้นางต้องควานมือหาเครื่องนอนเพื่อห่มกายให้ความอบอุ่น ก่อนร่างน้อยนั้นจะดันกายขึ้นนั่งบนเตียงอย่างทุลักทุเล เพียงขยับเล็กน้อยกลางกายสาวก็รวดร้าวจนต้องนิ่วหน้า

     

    “เจ... ”

     

    นางหยุดใคร่ครวญเพียงอึดใจเดียวก็จดจำทุกเรื่องราวที่ผ่านพ้นในค่ำคืนอันยาวนานได้ และน้ำเสียงทุ้มกังวานที่ได้ยินนั้นกำลังจุดโทสะให้นางอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่คนตรงหน้านั้นยังไม่ทันได้ขยับกายจากจุดที่ยืนอยู่ด้วยซ้ำ เพียงเหลือบเห็นเงาร่างกึ่งเปลือยของคริสนางก็หลุบตาต่ำเพื่อซ่อนความขุ่นเคืองไว้หลังเปลือกตาบาง ความมืดสลัวทำให้เห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มของร่างสูงใหญ่ทรงอำนาจ ร่างที่ข่มให้นางด้อยลงไปอีกเท่าตัว

     

    ”ไม่นอนต่อหรือ”

     

    “....” นางไม่ตอบคำถามเขา ซ้ำยังเบือนหน้าหนีพลางลากเอาผ้าแพรอีกผืนขึ้นมาห่มกายจนมิดถึงลำคอ ริมฝีปากบางถูกเจ้าของขบกัดเอาไว้แน่นโดยไม่กลัวความเจ็บปวด คล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ

     

     “เจ... เจ้าเป็นอะไร”  คริสขยับเข้าใกล้นางจนชิดขอบเตียง เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าเอาไหล่บอบบางใต้แพรผืนงาม ทว่านางกลับสะบัดกายหนีอย่างไม่เกรงใจ ความไร้เหตุผลของคนสตรีตรงหน้ากำลังทำให้จอมเวทย์หนุ่มเริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาเช่นกัน

     

    “ข้าอยากอยู่คนเดียว” นางตอบเสียงห้วน บัดนี้ความเสียใจที่สูญเสียพรหมจรรย์สังเวยความใคร่แก่จอมเวทย์แห่งเฮลิออสเริ่มชัดเจนขึ้น รู้สึกถึงก้อนแข็ง ๆ ที่แล่นมาจุกอยู่ตรงลำคอ แม้นางจะได้รับประโยชน์จากผลของการกระทำนั้นก็ตามที ทว่าผลประโยชน์ที่ถูกยัดเยียดให้เช่นนี้นางไม่ปรารถนา

     

    “เจ้าไม่สบายหรอกหรือ” เขาถามอย่างเอื้ออาทร กิริยาที่ปฏิบัติต่อนางก็อ่อนโยนพอ ๆ กับแววตาและน้ำเสียง มืออุ่นยื่นไปแตะหน้าผากนวลเพื่อวัดอุณหภูมิอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่พ้นถูกนางปัดออกแรง ๆ อย่างไม่ใยดี

     

    “ข้าสบายดี หากว่าถ้าท่านจะออกไปจากห้องนี้เสียที”

     

    “เหตุใดเราต้องทำตามความประสงค์ของเจ้า ในเมื่อห้องนี้เราเป็นเจ้าของ” น้ำเสียงเข้มและห้วนจัดต่างไปจากคราแรกราวพลิกฝ่ามือ สาเหตุก็มาจากอารมณ์ที่ยากจะเข้าใจของเจสสิก้านั่นเอง

     

    “ข้าเองก็ลืมไป งั้นข้าจะออกไป” สิ้นประโยคร่างน้อยที่ห่มด้วยแพรลายวิจิตรก็เตรียมขยับอย่างทุลักทุเล หากไม่ถูกมือแข็งแรงของเขาคว้าร่างนางเอาไว้ ก่อนจะได้ทันก้าวขาลงจากเตียง

     

    “เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นหากไม่คุยกับเราให้รู้เรื่องเสียก่อน” หัวไหล่บอบบางถูกบีบแน่นจนมือน้อยแทบไร้แรงกระชับแพรผืนบางให้มั่นดังเดิม ผ้าผืนนั้นร่นลงมาจนทรวงอกอวบอิ่มเกือบเปิดเผยต่อสายตาสีมรกตนั่นอีกครั้ง โชคยังดีที่พอมีสติตะครุบชายผ้าเอาไว้ได้ทัน

     

    “ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับท่าน” เสียงเล็กยังไม่ลดความกระด้างลง ประกอบกับวิธีการที่นางมองเขาด้วยหางตายิ่งทำให้คนฟังอารมณ์เดือดดาลขึ้นมาง่าย ๆ

     

    “ดูท่าเจ้าจะสติฟั่นเฟือนไปแล้ว หรือเพราะคำสาปนั่นถูกถอนออกไปเจ้าจึงดูผิดปกติ” จอมเวทย์พยายามข่มอารมณ์อย่างที่สุด เป็นเหตุให้เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นทุ้มต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

     

    “คนที่ฟั่นเฟือนไม่ใช่ข้าแน่”

     

    “ถึงเจ้าจะปฏิเสธอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นหรอกในเมื่อเจ้ายังขาดสติอยู่เช่นนี้”

     

    เจสสิก้าเบือนหน้าหนีจากเขาราวกับเหม็นเบื่อโดยไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ อึดใจเดียวหลังจากนั้นเขาจึงยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระ ร่างน้อยรวบผ้าแพรห่มกายไว้มั่นแล้วกอดเข่าคุดคู้อยู่บนเตียง ปล่อยให้ความเงียบทอดเวลาออกไปเนิ่นนาน ก่อนเปรยขึ้นมาลอย ๆ

     

    “ข้าควรจะไปจากที่นี่เสียที”

     

    “เราอนุญาตเจ้าแล้วหรือ” คริสสวนกลับทันควัน คำพูดราวกับนางเป็นข้าทาสบริวารของเขาทำให้นางอยู่เฉยไม่ได้

     

    “ท่านไม่ใช่เจ้าชีวิตข้า ข้าไม่จำเป็นต้องรายงานท่านทุกอย่าง”

     

    “บิดามารดาเจ้าฝากเจ้าไว้กับเราโดยไม่มีกำหนด คราวนี้เรามีสิทธิ์จะออกคำสั่งกับเจ้าหรือยัง” เพียงไม่กี่ประโยคก็ตัดข้อสงสัยในใจเจสสิก้าได้หลายข้อ แต่ก็ใช่ว่านางจะยอมปฏิบัติตามเสียทีเดียว

     

    “ครอบครัวเราไม่ควรรบกวนท่านอีก ข้าจะไม่อยู่ที่นี่”

     

    “อัลเลน.. เราบอกให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ควรจะเชื่อฟังเรา เด็กน้อยอย่างเจ้าไม่สามารถอยู่รอดได้แน่เมื่อออกไปเผชิญโลกภายนอก” คริสพยายามอธิบาย แต่เสียงนั้นยังถูกกดให้ต่ำจนเกือบกลายเป็นคำราม ดวงตาสีมรกตแวววาวขึ้นมาด้วยแรงโทสะ หากแต่นางไม่ทันสังเกตเห็นด้วยมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตน

     

    “คำสาปถูกถอนไปแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดต้องหวั่นเกรง” น้ำเสียงเศร้าสร้อยทอดอาลัยให้กับพรหมจรรย์ที่สูญเสีย นัยน์ตาของจอมเวทย์เปล่งแสงวาวโรจน์เมื่อจับได้ว่านางรู้สึกแย่กับการที่ต้องร่วมเสพสังวาสกับเขา ที่ผ่านมาไม่เคยมีหญิงใดแสดงท่าทีหยามเกียรติกันเช่นนี้

     

    “เจ้ารังเกียจเรานักหรือไง” ไหล่บอบบางถูกกระชากด้วยแรงมหาศาล ร่างน้อยปลิวติดมือเขาราวกับกระดาษ แพรที่เคยใช้ห่มกายหลุดร่วงลงจนคว้าไว้ไม่ทัน เปิดเปลือยความงดงามต่อหน้าเขาจนหมดสิ้น แววตาที่เพิ่งได้สบประสานประกอบกับเสียงคำรามที่ดังก้องในห้องนอนโอ่อ่าทำให้นางเริ่มสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว ความขุ่นเคืองค่อย ๆ มลายหายไป

     

    “ข้า...ม.. ไม่ได้หมายความเช่นนั้น” นางฝืนประสานสายตาด้วย ทั้งยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการบังคับเสียงไม่ให้สั่น ลืมกังวลกับสภาพเปลือยเปล่าของตนในเวลานี้

     

    “แต่ท่าทีและคำพูดของเจ้ามันฟ้องว่าเจ้ารู้สึกอย่างไร ”  แรงบีบที่ต้นแขนทำให้นางเจ็บปวดจนกระดูกแทบร้าว คริสโกรธจัดจนลืมนึกถึงข้อได้เปรียบด้านพละกำลังของตน จนเมื่อเห็นประกายของหยาดน้ำตาคลอคลองนัยน์ตาคู่หวานจึงได้สติ เขาผ่อนแรงลงแต่ยังไม่ปล่อยให้นางได้รับอิสระ

     

    “ท่านคิดไปเองทั้งนั้น” นัยน์ตาคู่หวานสั่นระริกไม่ต่างไปจากน้ำเสียงที่กำลังสั่นไหว

     

    “หึ.. ไม่ว่าเจ้าจะคิดเช่นไร แต่ความจริงที่ว่าเจ้าต้องอยู่กับเราไปอีกนานก็ไม่เปลี่ยนแปลง” ระหว่างที่พูดนั้นจอมเวทย์หนุ่มกลับเผลอให้สายตาของตนเคลื่อนเป้าหมายต่ำลงสู่เนินอกขาวสล้างที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ภาพตรงหน้ากระตุ้นความรู้สึกบางอย่างที่ดับมอดไปเมื่อคืนให้หวนกลับมาอีกครั้ง คริสเสือกไสร่างกึ่งเปลือยออกห่างจากตัว จนร่างน้อยกระแทกกับฟูกนุ่ม เพียงเพราะต้องการหยุดความปรารถนาที่ปะทุรุนแรงอยู่ภายใน แม้นางจะหลุดอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวดเขาก็ไม่แยแส ดึงสายตาคมให้พ้นจากเรือนร่างที่แสนเย้ายวน หมุนตัวถอยห่างออกมาหลายก้าวจนอยู่ในระยะปลอดภัย

     

    “จากนี้ไปเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งเรา หากยังดื้อดึงก็อย่าหวังว่าเราจะใจดีด้วยอีก เราจะกลับมาอีกครั้งตอนพลบค่ำเพื่อฝึกฝนพลังเวทย์ให้เจ้า” สิ้นประโยคร่างสูงสง่าก็หายวับไปในพริบตา

     

    มือข้างที่ว่างจากการกุมท้องน้อยควานหาแพรผืนบางขึ้นมาคลุมร่าง มือน้อยกำชายผ้าไว้แน่นขณะตะแคงร่างคุดคู้อยู่กลางเตียง น้ำตาไหลรินเป็นสายปลดปล่อยความรู้สึกที่ที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ

     

     

     

    .

    .

    .

               

     

     

    เหตุการณ์ซ้ำเดิมดำเนินไปอย่างเชื่องช้าจนนับวันเวลาได้กว่าสองสัปดาห์ การพบปะพูดคุยระหว่างเจสสิก้าและคริสลดน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก มีโอกาสพบหน้ากันเพียงเวลาพลบค่ำเพื่อศึกษาวิชาเวทย์หลังจากนั้นแล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อนในห้องนอนของตน วนเวียนอยู่เช่นนี้เสมอมา แม้แต่เวลาอาหารเช้าก็ยังไม่เห็นแม้เงาของจอมเวทย์แห่งเฮลิออส เหมือนเขาต้องการหลบหน้านาง

     

    เมื่อหน้าที่ถอนคำสาปสำเร็จลุล่วงความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งคู่ก็แปรเปลี่ยนไป

     

                กลิ่นหอมรวยรินของดอกแดฟโฟดิลสีเหลืองอร่ามที่นางเคยเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโชยเข้ามาจากช่องหน้าต่างที่เปิดกว้าง สองเท้าเก้าตามกลิ่นหอมนั้นไปราวต้องมนต์สะกด ในมือมีกุหลาบสีน้ำเงินดอกเดิมที่คริสเคยให้ไว้เมื่อสองสัปดาห์ก่อน กลีบดอกยังไม่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ยังชูช่ออวดความงดงามของมันอย่างภาคภูมิ ต่างกับเจ้าของมือน้อยที่ประคับประคองมันอยู่โดยสิ้นเชิง

               

    นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหม่อมองออกไปยังสวนพฤกษชาติท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวในเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลาลับขอบฟ้าจนไม่เห็นแม้แสงรำไร ทว่าค่ำคืนนี้คงมืดมิดไร้ซึ่งแสงแห่งจันทราเฉกเช่นเดียวกัน มีเพียงท้องฟ้าที่มืดครึ้มด้วยหมู่เมฆปรากฏอยู่ไกลออกไป เสียงฟ้าคำรามลั่นพาให้คนไกลบ้านบังเกิดความเศร้าสลดในหัวใจ การดำรงอยู่ของนางในคฤหาสน์หลังนี้คงสร้างความหนักใจให้จอมเวทย์ผู้เลื่องชื่ออยู่ไม่น้อย เป็นดั่งภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ไม่แปลกเลยหากเขาไม่ต้องการพบหน้านางอีก แค่ไม่ขับไล่ไสส่งนางออกไปจากคฤหาสน์ของเขาก็นับว่าเป็นพระคุณยิ่ง

     

                ลมหายใจอุ่น ๆ ถูกระบายออกมารินรดกลีบอันแสนบอบบางของกุหลาบในมือ แววตาหม่นเศร้าก้มมองดอกแดฟโฟดิลที่ปลูกชิดกรอบกำแพงอย่างทอดอาลัย  เวลาที่ผ่านพ้นไปในแต่ละวันนางพยายามให้มันให้คุ้มค่าที่สุด พลังเวทย์ที่เขาสอนไว้นางก็หมั่นฝึกฝนจนเริ่มแก่กล้า ยิ่งนางเข้มแข็งได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับตนเองและคริสมากขึ้นเท่านั้น ท่าทีเฉยชาที่เขาปฏิบัติต่อนางนั้นบอกได้ดียิ่งกว่าถ้อยคำนับหมื่น ว่าเขาจำใจต้องดูแลนางเพียงใด ทว่าคงตกอยู่ในสภาพนี้อีกไม่นาน นางเชื่อเช่นนั้น

     

                “....”

     

                ภวังค์ความคิดสะดุดลง เมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างจากเบื้องหลัง  ตกใจจนแทบปล่อยดอกกุหลาบในมือร่วงหล่นแต่ก็สงบใจได้ในเวลาต่อมา เมื่อตระหนักได้ว่าไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำเข้ามาในสถานที่รโหฐานของท่านริวเมอรัสได้นอกจากผู้เป็นเจ้าของ อากาศภายในห้องคล้ายไม่เพียงพอให้สองชีวิตหายใจร่วมกัน นางจึงรู้สึกตีบตันอยู่ในช่องอก มือน้อยซ่อนกุหลาบไว้เบื้องหลังให้พ้นจากสายตาคมกล้าของจอมเวทย์หนุ่มพร้อมทั้งหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับเขา

     

                “ท่าน”

     

                เจสสิก้าหยุดความคิดที่จะกล่าวคำทักทาเอาไว้เพียงเท่านั้นเมื่อเห็นร่างบุรุษผู้สง่างามทอดกายอยู่บนเตียงนอนกว้าง เสี้ยวหน้าที่อยู่ในแสงสลัวของโคมไฟส่องให้เห็นความอิดโรยได้อย่างชัดเจน เปลือกตาหนาปิดลงบดบังนัยน์สีเขียวมรกตที่มีแววดุดันอยู่เสมอในพักหลัง  นางได้แต่เฝ้าสังเกตอาการเขาอยู่เงียบ ๆ โดยไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนกายออกห่างจากกรอบหน้าต่าง หลังจากเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ตนหลุดพ้นคำสาปร้าย การวางตัวต่อหน้าเขาก็เป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที

     

                “วันนี้เจ้าไม่ต้องฝึกพลังเวทย์นะ”  เสียงทุ้มกังวานดังแทรกขึ้นมาในความเงียบ เจสสิก้าสะดุ้งน้อย ๆ ด้วยกำลังใช้ความคิด อึดใจใหญ่กว่าที่นางจะคิดหาคำพูดมาตอบโต้กับเขาได้

     

                “ถ้าเช่นนั้น .. ข้าต้องขอตัว ท่านคงอยากพักผ่อน” พอกล่าวจบก็เดินเลี่ยงจากเตียงนอนหลังใหญ่ตรงไปยังกรอบประตู

     

                “เจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น อยู่ในนี้เถอะ” เขาออกคำสั่งโดยไม่ใส่ใจความประสงค์ของนาง น้ำหนักของเสียงบังคับให้นางต้องปฏิบัติตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

                เจสสิก้าชะงักฝีเท้า หันมองจอมเวทย์ที่กำลังพลิกร่างนอนคว่ำ บนเตียงอันเป็นที่หลับนอนของนางมาตลอด บัดนี้ถูกเจ้าของเดิมกลับมาครอบครองอีกครั้ง

     

    “เรามีบางอย่างจะขอร้องให้เจ้าช่วย”  แม้จะใช้คำว่าขอร้องแต่เขาคงไม่ให้โอกาสนางปฏิเสธเช่นเคย

     

    “ว่ามาเถอะ ข้ายินดีตอบแทนบุญคุณของท่าน” เสียงหวานตอบอย่างสุภาพ

     

    “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เข้ามาใกล้ ๆ เราสิ”  โชคยังดีที่จอมเวทย์หนุ่มผินหน้าไปคนละด้านกับจุดที่นางยืนอยู่ ไม่เช่นนั้นคงได้เห็นสีหน้าลำบากใจที่นางแสดงออกอย่างชัดเจน

     

    รอนานเข้าเขาก็สิ้นความอดทนเมื่อคนในปกครองไม่ยอมเคลื่อนตัวจากตำแหน่งเดิม จอมเวทย์ผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมเสียงถอนหายใจแรงด้วยความขัดใจ

     

    “จะต้องให้เรากราบกรานขอร้องเจ้าหรืออย่างไร” โทสะที่คุกรุ่นยังผลให้น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาห้วนสั้นและดุดันจนนางหวั่นใจ

     

    “....” ไร้ซึ่งคำตอบใดจากริมฝีปากสีกุหลาบ มีเพียงร่างอรชรที่กำลังเคลื่อนไหว สืบเท้าเข้าใกล้เขาอย่างเชื่องช้าจนคนรอเริ่มชักสีหน้า

     

    “มานั่งบนเตียงด้วยกันสิ เราไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” คริสกดดันนางด้วยสายตา จ้องดวงหน้าหวานนิ่งจนกระทั่งนางยอมขยับมานั่งบนเตียงเดียวกัน โดยเว้นระยะห่างไว้จนเกินพอดี  

     

    เหนื่อยเกินไปที่จะออกคำสั่งซ้ำซากจอมเวทย์หนุ่มจึงเอื้อมมือไปกระชากร่างน้อยเข้ามาแนบกาย นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก บริเวณที่ฝ่ามืออุ่นเกาะกุมอยู่รู้สึกร้อนวูบวาบราวกับถูกนาบด้วยเหล็กร้อน สองร่างแนบชิดแม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้น ทว่ากระไออุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากเรือนกายของฝ่ายตรงข้ามก็แทรกซึมเข้ามาปั่นป่วนความรู้สึกจนกายบอบบางสั่นเทา

     

    “ท..ท่านริวเมอรัส” เมื่อชื่อนั้นหลุดจากริมฝีปากบาง นัยน์ตาสีมรกตก็เปล่งประกายดุดันด้วยความไม่พอใจ

     

    “เราเคยบอกให้เจ้าเรียกชื่อเราไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังเรียกสกุลเราอยู่อีก” เสียงทุ้มต่ำคำรามเป็นคำพูด ชวนให้คนฟังสะท้านด้วยความหวาดกลัว

     

    “ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านไม่พอใจ” นางพึมพำเบา ๆ ลอดริมฝีปาก ดวงตาหลุบต่ำอย่างสำนึกผิด  ปฏิบัติตนราวกับเป็นหนึ่งในข้าทาสบริวารของเขาอย่างไรอย่างนั้น

     

    “ช่างเถอะ วันนี้เราเหนื่อยเต็มที เจ้าช่วยนวดให้เราหน่อย ทำได้หรือไม่”  หันมองใบหน้าที่เงยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ดวงตาคู่หวานเบิกกว้างคล้ายไม่อยากจะเชื่อหูตนเองนัก ก่อนที่นางจะพยักหน้ารับด้วยท่าทีสงบนิ่งในเวลาต่อมา

     

    “ข้าพอทำได้ แต่อาจไม่ดีนัก เกรงว่าท่านจะไม่พอใจ”

     

    “เรื่องนั้นเราจะตัดสินเองทีหลัง เจ้าทำตามที่เราสั่งก็พอ” เขาเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ จากนั้นจึงขยับไปนั่งอยู่กลางเตียงรอคอยให้การปรนนิบัติจากดรุณีน้อยในปกครอง

     

     เจสสิก้าลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ โดยไม่ให้เขาจับสังเกตอาการกลัดกลุ้มของนางได้ ร่างอรชรขยับขึ้นไปบนเตียงอย่างระมัดระวัง การเคลื่อนไหวของนางนั้นเชื่องช้าอืดอาดเหลือเกินในความรู้สึกของคนเฝ้ารอ ขัดใจแต่ก็ต้องข่มใจไว้แม้อยากจะเข้าไปกระชากร่างน้อยเข้ามาใกล้ ๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอด

     

    สัมผัสแผ่วจากฝ่ามือบอบบางแตะลงบริเวณลาดไหล่ แรงอันน้อยนิดที่เจสสิก้ากดย้ำลงมาไม่อาจทำให้จอมเวทย์พึงพอใจได้ จึงออกปากตำหนินางโดยไม่อ้อมค้อม

     

    “นี่เจ้านวดหรือลูบไหล่เราเล่นกันแน่ ออกแรงอีกหน่อยสิ” คำสั่งของเขาได้ผลในทันทีเมื่อแรงบีบนวดนั้นเพิ่มขึ้น กลิ่นกายหอมละมุนของนางและสัมผัสจากมือน้อยช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้ดีกว่าที่คาดไว้ แม้บริวารที่คอยรับใช้ใกล้ชิดมาเนิ่นนานก็มิอาจสร้างความพึงพอใจให้เขาได้เทียบเท่านาง

     

     “อืม....ถ้าตั้งใจก็ทำได้เหมือนกันนี่เจ้า” เขากล่าวชมพร้อมเสียงครางเบา ๆ ที่ดังลอดจากลำคอ นางยังตกประหม่าด้วยไม่มั่นใจในฝีมือของตนนัก เกรงจะสร้างความรำคาญให้เขาเสียมากกว่า

     

    “เจ...” สัมผัสอบอุ่นที่แตะลงบนหลังมือยังผลให้ร่างน้อยสะดุ้งเฮือกราวถูกจี้ด้วยเหล็กร้อน นางรีบชักมือกลับในทันที

     

    “เจ้ากลัวอะไร เราแค่จะเปลี่ยนท่าเท่านั้น นั่งอยู่อย่างนี้เราเมื่อย” ปรายตามองด้วยสีหน้าเหมือนรำคาญ ก่อนขยับกายลงไปนอนคว่ำหน้าบนเตียงนอนนุ่ม กลิ่นกายหอมกรุ่นของนางติดอยู่บนเครื่องนอนทุกชิ้น ราวกับเขาได้โอบกอดร่างอรชรนั้นไว้ในอ้อมแขน แนบชิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งที่พยายามหักห้ามใจไม่ให้เผลอไผลไปสัมผัสนางอีก ทว่าวันนี้เขากลับเดินเข้าหาความเสี่ยงนั้นด้วยตนเอง

     

    จอมเวทย์หนุ่มกระแอมดัง ๆ เพื่อเตือนสติตน และยังส่งผลถึงเจ้าของกลิ่นกายหอมกรุ่นนั้นด้วย นางรีบขยับเข้ามาใกล้หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ วางมือลงบนแผ่นหลังกว้างก่อนออกแรงกดลงไปอย่างพอเหมาะพอดี เสียงครางแห่งความพึงพอใจที่เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินนั้นทวีความประหม่าให้นางอีกเท่าตัว มือน้อยเกิดสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ขณะที่สัมผัสผิวเนื้อแน่นของบุรุษเพศ แม้จะมีอาภรณ์ขวางกั้นก็ตามที กระนั้นนางก็สามารถประคับประคองสติมาได้จนตลอดลอดฝั่ง กระทั่งเสียงทุ้มกังวานสั่งให้นางหยุดมือ เจสสิก้ารู้สึกโล่งใจราวกับยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก

     

    “พอแล้วล่ะ เราดีขึ้นมากแล้ว” เขาบอกพร้อมกับพลิกกายขึ้นนอนหงาย นางไม่ทันหลบเลี่ยงดวงตาสีมรกตที่มองมา อึดใจใหญ่ที่ดวงตาสองคู่สบกัน ก่อนที่เจสสิก้าจะเป็นฝ่ายทำลายมนต์ขลังนั้นด้วยการขยับกายออกห่าง

     

                “ท่านคงเหนื่อยมาก เชิญท่านพักผ่อนเถอะ คืนนี้ข้าจะไปนอนที่อื่น” 

               

    “เราอนุญาตให้เจ้าไปแล้วงั้นหรือ?” คริสตั้งคำถาม นางหลุบตาต่ำมองผ้าปูเตียงโดยไม่เขยื้อนจากตำแหน่งเดิม สำนึกได้ว่าตนกำลังทำเรื่องขัดใจเขาเข้าอีกจนได้  ไม่มีคำตอบใดจากริมฝีปากสีกุหลาบที่กำลังเม้มแน่น

     

                คริสชันกายขึ้นพิงหัวเตียงวางแขนข้างหนึ่งพาดไปบนตักของฮิวเมอรี่น้อยข้างกาย สัมผัสได้ถึงอาการเกร็งอย่างปัจจุบันทันด่วนของนาง

     

                “ระหว่างรออาหารค่ำ เจ้าช่วยนวดแขนเราไปพลาง ๆ ก่อนจะได้หรือไม่?”

     

                เจสสิก้าตอบรับคำขอร้องกึ่งบังคับนั้นด้วยการบีบนวดขึ้นลงตามท่อนแขนแข็งแรง แม้จะอึดอัดใจกับการต้องเผชิญหน้ากับเขาตามลำพัง ทว่านางเองก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องปฏิเสธเช่นกัน เมื่อผิวกายถูกสัมผัสโดยไม่ผ่านอาภรณ์ อุณหภูมิอบอุ่นจึงถูกถ่ายทอดมาสู่ฝ่ามือโดยตรง หลายครั้งที่นางอยากจะชักมือกลับเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าสายตาคมกล้าที่กดดันนางอยู่นั้นไม่เอื้ออำนวยให้ทำอย่างที่ปรารถนาได้

     

                เห็นเพียงปลายจมูกเล็กและเรียวปากระเรื่อเมื่อนางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างนั้น บรรยากาศละมุนละไมท่ามกลางแสงสีนวลของโคมไฟพาให้จิตใจที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผาเผลอโอนอ่อนโดยไม่ยากเย็น จากที่ให้คำมั่นไว้กับตนว่าจะไม่แตะต้องนางอีก ก็เริ่มพ่ายแพ้ให้ความงดงามของสตรีวัยแรกรุ่นที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ความปรารถนาจากเบื้องลึกที่ถูกสะกดกลั้นเอาไว้กำลังสำแดงอำนาจข่มความรู้สึกผิดชอบจนราบคาบ

     

                “เจ... ” เสียงที่เปล่งออกไปฟังดูเว้าวอนจนเขาเองยังไม่อยากเชื่อว่านั่นคือเสียงตน ดวงหน้าหวานเงยขึ้นมอง เรียวคิ้วบางเลิกสูงเป็นเชิงถาม ก่อนที่วงแขนแข็งแรงจะยื่นไปคว้าเอวบางเอาไว้หลวม ๆ เพียงเท่านั้นก็ทำให้ร่างน้อยผวา สีหน้าหวานแลดูตื่นตระหนก เขามองว่ากิริยาเหล่านั้นช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินเมื่อนางเป็นผู้กระทำ มุมปากกระตุกน้อย ๆ พยายามซ่อนรอยยิ้มพึงใจเอาไว้ไม่ให้นางสังเกตเห็น

     

                “เจ้ากลัวเราหรือ?”

     

                “ป.. เปล่า ข้าเพียงแต่..”

     

                “เพียงแต่อะไรล่ะ”

     

                นางไม่ได้โกหก เพราะไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเขาเพียงแต่สับสนในท่าทีที่เปลี่ยนไปปุบปับเท่านั้น  หลังจากที่เมินเฉยต่อนางมานานจนต้องแอบไปร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง ทว่าในวันนี้เขากลับกลายเป็นจอมเวทย์ผู้ใจดีเหมือนเมื่อแรกพบ

     

    ดวงตาคู่หวานต้องแสงไฟเป็นประกายแวววาวเมื่อนางสบตากับเขาด้วยความฉงน คริสเคลื่อนสายตาสำรวจทั่วเรือนร่างอรชรที่โหยหาอยู่ลึก ๆ จนมาหยุดอยู่ที่กลีบปากสีกุหลาบ นางยังคงอ้ำอึ้งเมื่อหาเหตุผลมาตอบข้อสงสัยของเขาไม่ได้

     

                “ข้าประหลาดใจที่ท่านเข้ามาถึง... บนเตียงนอนของข้า”

     

                “เจ้าอย่าลืม เตียงของเจ้าก็คือเตียงของเรา” ปลายนิ้วซุกซนเกี่ยวพันเส้นผมนุ่มสลวยของนางเล่นอย่างเพลิดเพลิน ท่าทีผ่อนคลายของเขากลับสร้างความอึดอัดให้แก่นางได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงเนื้อผ้าที่เสียดสีกันยามที่เขาเปลี่ยนอิริยาบถนางก็ระแวดระวังไปเสียหมด

     

                “ข้าขออภัยที่ลืมตัว”

     

                “อย่าทำหน้าเศร้านักสิ มันไม่เหมาะกับเจ้าเลย” นิ้วเรียวยาวแตะแผ่วเบาที่ปลายคาง เชยขึ้นเพื่อให้สบสายตากับนางได้ถนัด

     

    ใบหน้าคมขยับเข้าไปใกล้กับดวงหน้าหวานทีละน้อย .....ดุจต้องมนต์สะกด นางไม่กล้าปฏิเสธความต้องการของจอมเวทย์แห่งเฮลิออส นางหลับตาลงพร้อมหัวใจดวงน้อยที่สั่นระรัว แม้จิตสำนึกร่ำร้องให้ถอยหนีทว่าร่างกายกลับควบคุมไม่ได้อย่างใจ

     

    เรียวปากสีกุหลาบถูกประทับด้วยจุมพิตแผ่ว เริ่มแรกก็อ่อนหวานจนแปรเปลี่ยนเป็นร้อนเร่าในนาทีต่อมา เรียวลิ้นถูกเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้าจากผู้แก่ประสบการณ์กว่า จากนั้นเจสสิก้าก็แทบไม่รู้สติเมื่ออีกฝ่ายรุกเร้าจนตั้งตัวไม่ติด เรือนกายรุมร้อนราวถูกไฟสุมเมื่อฝ่ามืออบอุ่นกำลังปัดป่ายไปทั่วร่างอย่างไม่เกรงใจเจ้าของ เขาคล้ายคนกระหายในรสสวาทมาแรมปี ดุดันกว่าครั้งแรกที่เคยประสบจนนางเริ่มสั่น

     

    ด้วยความอ่อนเดียงสาจึงสนองตอบเขาอย่างผิด ๆ ถูก ๆ ทว่าอาการเหล่านั้นยิ่งทำให้จอมเวทย์หนุ่มแทบคลั่ง ใจหนึ่งอยากทะนุถนอมนางเอาไว้ไม่ให้บอบช้ำ อีกใจกลับอยากขย้ำให้แหลกคามือโทษฐานที่ทำให้เขาสูญเสียความยับยั้งชั่งใจ พอได้สัมผัสแล้วก็ไม่อยากปล่อยมือ ไฟสวาทลุกลามรวดเร็วจนยากจะมอดดับ ฝ่ามือใหญ่เคลื่อนไหวอยู่ใต้อาภรณ์สวยเพื่อสำรวจความนุ่มละมุนของผิวกายผุดผาด ดรุณีน้อยได้แต่ผวาตามสัมผัสเพราะช่วยเหลือตนเองไม่ได้ กระทั่งแผ่นหลังบอบบางแนบไปกับเตียงนุ่ม

     

    “อ...อื้อ...” เสียงหวานครางประท้วงอู้อี้เมื่อนางขาดอากาศ กำปั้นเล็กระดมทุบลงไปบนไหล่กว้างเพื่อขอความปราณี ใบหน้างามสะบัดหนีจุมพิตหนักหน่วงที่ไม่ปล่อยโอกาสให้นางได้หายใจ  ริมฝีปากอุ่นค่อย ๆ ผละห่างอย่างแสนเสียดาย ทิ้งเพียงความชื้นฉ่ำไว้บนเรียวปากบาง

     

    จอมเวทย์ดันกายขึ้นเพื่อเว้นระยะห่างจากร่างน้อยใต้อาณัติ ดวงตาสีมรกตเรืองรองด้วยอารมณ์ที่คั่งค้าง เรือนผมสีสว่างสยายทั่วหมอน ริมฝีปากระเรื่อแดงจัดจากการถูกจุมพิตรุนแรง นัยน์ตาสีอ่อนที่กำลังปรือมองเขาช่างหวานฉ่ำและเชิญชวนจนอยากโน้มกายลงไปสานต่อบทรัก สภาพเย้ายวนของนางเกือบทำให้เขาควบคุมตนเองไม่ได้

     

    .....แต่ทว่า เขาต้องตัดใจ

     

    ปึก! คริสทุบกำปั้นลงไปบนเตียงหนัก ๆ เพื่อสะกดอารมณ์ เสียงนั้นช่วยเรียกสติของเจสสิก้าที่หลุดลอยจากร่างให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง แววตาสุดท้ายที่เขามองมาก่อนผละออกไปคือแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง เจสสิก้าไม่เข้าใจว่านางมีความผิดอะไรเขาถึงได้แสดงท่าทีเช่นนั้น ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ที่ผ่านมานางเป็นฝ่ายผิด สัมผัสได้ถึงกำแพงที่เขาสร้างขึ้นมาอีกครั้งหลังจากทลายลงไปเพียงชั่วครู่ 

     

    คริสก้าวออกไปจากเงียบเชียบ ทิ้งให้นางคับข้องใจอยู่ในห้องโดยลำพัง เจสสิก้าค่อย ๆ พยุงกายขึ้นจากเตียงจัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยให้เรียบร้อย ขอบตาร้อนผะผ่าว รู้สึกตีบตันในลำคอ คงไม่ผิดหากนางอยากจะร้องไห้กับตนเองเงียบ ๆ

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    “ฟาราเด เรียกอัลเลนมาพบเราที” คริสสั่งการกับบริวารคนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  ผู้เป็นข้ารับใช้รับคำแข็งขันเมื่อเห็นท่าทีของนายตน บุรุษรูปร่างสันทัดกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องของจอมเวทย์ก่อนร่างจะจางหายหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับอากาศ

     

    ฝ่ามือหนาตบลงไปบนกรอบหน้าต่างแรง ๆ เพื่อระบายความขุ่นเคือง ข่าวสารที่ได้รับมาจากมารดาของเจสสิก้าทำให้หัวใจของจอมเวทย์หนุ่มร้อนรุ่ม อยากกำจัดความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์นี้ออกไปเสีย ก่อนจะต้องเผชิญหน้ากับนางเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดให้นางได้รับฟัง

     

     

     

               

     

    “ท่านริวเมอรัส ท่านหญิงอัลเลนอาบน้ำอยู่ หญิงรับใช้บอกให้ท่านรอก่อนจะได้หรือไม่” ฟาราเดก้มหน้านิ่งหลังจากรายงานจบ ไม่บ่อยนักที่เขาจะเห็นอาการร้อนรนของผู้เป็นนาย และกลัวเหลือเกินกับผลที่จะตามมาหลังจากที่คำสั่งไม่ได้รับการตอบสนองทันท่วงที

     

                “นางอยู่ที่ห้องใช่มั้ย เราจะไปพบนางเอง” ฟาราเดเงยหน้ามองประมุขแห่งสกุลริวเมอรัสอย่างไม่อยากเชื่อสายตา สุภาพบุรุษอย่างเขากำลังบุกรุกห้องส่วนตัวของสตรีโดยไม่ได้รับอนุญาต ทว่าคำคัดค้านที่กำลังจะหลุดจากปากถูกกลืนลงคอเมื่อเห็นแววตาวาววับและสันกรามที่บดกันแน่นของจอมเวทย์หนุ่ม

     

    พริบตาเดียวร่างสูงสง่าก็หายวับไปต่อหน้าต่อหน้าราวกับหมอกควัน ทิ้งความหนักใจไว้ให้ข้ารับใช้คนสนิท

     

     

     

     

    อ่างหินขัดอันกว้างขวางขนาดที่เจสสิก้าสามารถแหวกว่ายในนั้นได้หากต้องการ หากแต่ในนาทีนี้นางอ่อนล้าเกินกว่าจะนึกรื่นรมย์ไปกับการละเล่นแบบเด็ก ๆ ทอดร่างเปลือยเปล่าเอนพิงอ่างด้านหนึ่ง วางศีรษะราบลงไปบนขอบอ่างพร้อมดวงตาที่หลับพริ้ม นางนอนนิ่งอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ปล่อยให้กลิ่นเครื่องหอมที่อบอวลอยู่รอบกายช่วยบรรเทาความทุกข์ที่กำลังกัดกร่อนหัวใจ แม้ปอยผมยาวสยายจะเปียกชุ่มเพราะจุ่มลงไปในน้ำนางก็หาได้ใส่ใจไม่

     

    ทว่า... เงาทะมึนที่เคลื่อนมาบดบังแสงสว่างจากเชิงเทียนทำให้หัวใจหล่นวูบ แม้ดวงตาจะปิดสนิทแต่นางก็รับรู้ได้จากประสาทสัมผัส ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างพร้อมกระถดกายหนี กอดเข่าคุดคู้เพื่อป้องกันตนเองจากผู้บุกรุก

     

    “สบายใจจริงนะอัลเลน” ลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหน้านางอย่างจงใจ น้ำเสียงอันคุ้นเคยทำให้นางโล่งใจไปพร้อมกับหวั่นใจ คริสเข้าใกล้นางถึงเพียงนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ ซ้ำยังโน้มกายค้ำอยู่เหนือร่างนาง ใกล้... จนน่ากังวล

     

    จากความตื่นตระหนกเปลี่ยนเป็นโกรธเคืองด้วยถูกล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัว จริงอยู่ที่เขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้และวัตถุทุกชิ้น ทว่านางไม่ใช่สิ่งของเหล่านั้นของเขา!

     

    “ท่านเข้ามาได้อย่างไร” เสียงหวานกำลังสั่นด้วยโทสะ ตวัดสายตามองเขาอย่างตำหนิติเตียน ทว่าจอมเวทย์เลือกที่จะไม่ใส่กับมัน

     

    “เรื่องนั้นเราต้องตอบเจ้าด้วยหรือ?”

     

    “ไม่จำเป็น แต่มารยาทท่านก็ควรมีเช่นกัน” ระหว่างที่โต้ตอบเขาอย่างเผ็ดร้อนนางก็ไม่ละสายตาจากร่างสูงสง่าแม้เสี้ยววินาที พร้อมกันนั้นก็เบียดกายเข้าหาขอบอ่างจนแทบจะหลอมร่างเป็นเนื้อเดียวกัน

     

    “เจ้านี่ยังปากดีจนแก้ไม่หายจริง ๆ” คริสกระชากเรียวแขนเล็กแล้วบีบแรง ๆ เมื่อลุแก่โทสะ “ถ้าได้ฟังเรื่องที่เราเล่า เจ้ายังจะปากดีอย่างนี้อยู่มั้ยฮึ” เขากระซิบขู่ พยายามประคองสายตาของตนให้อยู่ในที่ทางอันสมควร

     

    “เรื่องอะไร?” นางชิงถามเสียงกระชาก

     

    “มารดาของเจ้าบอกกับเราว่าจะส่งเจ้าไปอยู่กับจอมเวทย์ผู้มั่งคั่งในเซลานาสหลังเจ้าออกไปจากที่นี่ และจอมเวทย์ผู้นั้นมีภรรยาอยู่แล้ว คงไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะผ่านอะไรมาบ้าง เพียงเจ้าปรนเปรอความสุขให้ในฐานะนางบำเรอเขาก็ยินดีจะรับอุปการะเจ้าอย่างดีเลยทีเดียว” ยิ่งพูดแรงบีบที่ข้อมือก็รุนแรงมากขึ้นตามอารมณ์

     

    เจสสิก้าไม่อยากจะเชื่อหูตนเองนักเมื่อฟังจบ เหตุใดมารดาของตนจึงได้หาทางออกที่เลวร้ายให้นางเช่นนี้ หัวใจดวงน้อยถูกความจริงบีบรัดจนปวดร้าว ความเจ็บปวดทางกายถูกลืมเลือนไปจนสิ้น

     

    “ท่านพูดจริงหรือ?” ถามด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตารื้นด้วยหยาดน้ำใส

     

    “เราจะปดเจ้าไปเพื่ออะไร”

     

    นางลดสายตามองผิวน้ำอย่างเลื่อนลอย ค่อย ๆ ดึงแขนของตนให้พ้นจากพันธนาการของจอมเวทย์หนุ่มเมื่อเขาผ่อนแรงลง

     

    “ขอบคุณท่านที่แจ้งข่าวแก่ข้า ข้าขออยู่ลำพังได้หรือไม่”

     

    “นี่เจ้าไม่มีความเห็นเลยหรือ?” เขาไม่พอใจกับอาการยอมรับอย่างสงบนิ่งของนาง ผิดจากที่เจอกันครั้งแรกลิบลับ ยิ่งร้อนรนราวกับมีไฟสุมอกเมื่อตระหนักได้ว่านางอาจจะยอมรับชะตากรรมที่ผู้ให้กำเนิดหยิบยื่นให้

     

    นางเงียบไปนานจนคริสต้องถอนใจแรง ๆ ด้วยความขัดใจ ร่างสูงสง่าหมุนตัวกลับตั้งท่าจะเดินจากไปหากนางไม่พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาเสียก่อน

     

    “ข้าคงขัดพวกท่านไม่ได้อีก” ท่าทีสิ้นหวังของนางทำให้ความอดทนของจอมเวทย์สิ้นสุดลง ความเกรี้ยวกราดที่ถูกสะกดไว้ภายใต้สีหน้าเยือกเย็นถูกปลดปล่อยออกมาในนาทีนั้น เขาหันกลับมาอีกครั้งก่อนกระชากร่างอรชรเข้าหาตัวด้วยแรงมหาศาล ลดใบหน้าลงมาบดขยี้ริมฝีปากนุ่มอย่างไร้ความปราณี แม้อาภรณ์จะเปียกปอนชุ่มโชกก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะใส่ใจ เพียงได้ระบายความโกรธเคืองที่อัดแน่นในอกเท่านั้นก็เพียงพอ

     


     

    ตัดไปที่ฉากโคมไฟค่ะ

    หากอยากอ่านต่อก็ส่งเมลล์มาที่ YoonTae-_-@hotmail.com

    ระบุหัวข้อว่า 03 กำราบจนสิ้นท่า - Magic Moment  [Kris x Jessica] ด้วยค่ะ

    ไม่รับแปะเมล์นะคะ ส่งเมล์มาขออย่างเดียวแล้วจะส่งฉากโคมไฟกลับไปให้โดยเร็วค่ะ
     

     

    ______________________________________________________________

       

                

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×