ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    H O M E L E S S [YoonTae Feat.Yeon(hee)Sic,WenRene]

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 6 : เพื่อนใหม่ [Rewrite 18.08.2015]

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 58


    Chapter 6
    เพื่อนใหม่

     

     

        เก้าอี้หนังราคาแพงที่วางอยู่หลังโต๊ะสีขาวสะอาดบัดนี้ว่างเปล่า แม้ป้ายบอกตำแหน่งก็ถูกเก็บเรียบไม่เหลือ เมื่อผู้ที่เคยจับจองเป็นเจ้าของถูกเชิญให้ออกจากตำแหน่งพร้อมกับลูกทีมจำนวนหนึ่ง จากการปฏิบัติงานอันไม่โปร่งใสและส่อไปในทางทุจริต อันเป็นสาเหตุของการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง


                ผ่านมาปีกว่าตั้งแต่ที่ยุนอาได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ นับตั้งแต่วันแรกที่ได้รับโจทย์ยากจากบิดา ยุนอาก็ถูกจับโยนมาในที่ซึ่งประสบปัญหามากที่สุดและเป็นจุดอ่อนที่สุดในบรรดาสำนักงานย่อยทุกสาขา การบริหารงานที่เต็มไปด้วยช่องโหว่เป็นเรื่องที่จัดการได้ลำบาก เมื่อยุนอาเข้ามาในตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจในการบริหารมากมายนัก การตัดสินใจทั้งหมดยังนั้นขึ้นอยู่กับผู้จัดการใหญ่คนเก่าหาใช่เด็กจบใหม่อย่างยุนอา ที่ในตอนนั้นมีดีอย่างเดียวคือเป็นบุตรสาวของประธานบริษัท เมื่อมองผ่านสายตาของทุกคน


    ทว่าปัจจุบันเมื่อตำแหน่งสูงสุดของที่นี่ว่างลงยุนอากลายเป็นคนที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารจัดการทุกอย่าง แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะหากว่ายุนอาไม่สามารถฟื้นฟูสภาพง่อนแง่นของที่นี่ได้ และหาบุคลากรมาทดแทนในตำแหน่งเดิมที่ว่างลงไม่ทันตามกำหนดการ ก็จะมีคนที่เหมาะสมเข้ามาดำรงตำแหน่งสูงสุดที่ควรจะเป็นของยุนอาทันที


    บททดสอบที่ไม่เคยมีคำว่าผ่อนปรนถูกส่งตรงมาจากผู้เป็นบิดาทั้งชีวิต คุณอิมก็ยังเป็นคุณอิมที่เข้มงวดกับยุนอาเสมอมา


    ไฟในห้องที่เคยสว่างจ้าถูกปิดลงพร้อมกับความอ้างว้างที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ แม้ผู้บริหารคนเดิมจะไม่ใช่คนที่ดีนัก แต่พอหมดอำนาจลงจริง ๆ ยุนอาก็อดที่จะรู้สึกเคว้งคว้างไม่ได้เมื่อต้องโบยบินเพียงลำพังโดยไร้คนประคับประคอง พนักงานที่มีอยู่เดิมและที่เพิ่งรับเข้ามาก็ล้วนแต่เป็นเด็กรุ่นใหม่ ไฟแรง แต่ประสบการณ์น้อยแทบจะทั้งสิ้น


    ยุนอาเท้ามือลงบนโต๊ะเย็นเฉียบแล้วถอนหายใจยืดยาว ความกลัดกลุ้มที่มีถูกบรรเทาลงอย่างเงียบ ๆ ในห้องอ้างว้าง ที่พึ่งเดียวคงหนีไม่พ้นเลขานุการวัยใกล้ห้าสิบซึ่งเป็นคนเก่าแก่และอายุงานมากที่สุดเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ตำแหน่งผู้บริหารดูเหมือนยังอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับยุนอาในตอนนี้


    ประตูถูกปิดลงก่อนที่ยุนอาจะพาตัวออกมาจากห้องว่างเปล่านั้น จังหวะเดียวกับที่ใครอีกคนเดินสวนมา


    “ท่านรอง วันนี้ผมขอตัวนะ จะห้าโมงแล้วว่ะ” ภาษาต่างระดับที่ยังโยซอบใช้กับยุนอาหากคนไม่รู้จักมาได้ยินคงรู้สึกขัดหูอยู่ไม่น้อย แต่มันคือความเคยชินสำหรับทั้งคู่ขณะที่อยู่กันเพียงลำพัง เพราะหากไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันมาก่อนก็คงไม่กล้าพูดแบบนี้


    “เฮ้ย จะรีบไปไหนวะ ช่วยกันก่อนดิ” ยุนอารั้งคนที่ตั้งท่าตรงดิ่งไปที่ลิฟต์เอาไว้


    “ผมบอกคุณไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะครับว่ามีธุระ ไม่จำบ้างหรือไง” โยซอบพูดด้วยภาษาสุภาพแต่น้ำเสียงประชดประชัน ก่อนจะตบท้ายด้วยคำตำหนิตรง ๆ ให้คนฟังถอนหายใจเฮือกใหญ่


    “เออ งั้นช่วยเอาเอกสารไปส่งห้องบัญชีหน่อย ค่อยกลับ”


    “เสียใจด้วยว่ะ ตอนนี้ห้าโมงตรงแล้ว” โยซอบชูโทรศัพท์ในมือให้ยุนอาดูเวลา “เมื่อกี๊ฉันเป็นลูกน้องแก แต่ตอนนี้หมดเวลางานแล้ว ฉันก็คือเพื่อนแก เพราะงั้น... แกไม่มีสิทธิ์มาใช้งานฉัน” พูดจบก็วิ่งหน้าตั้งไปที่ลิฟต์ไม่อยู่ฟังเสียงด่าไล่หลังจากยุนอา


    “ไอ้เลวเอ๊ย”




     

    กลับเข้าไปในห้องประชุมเล็กที่มีเอกสารมากมายวางกองอยู่ พร้อมกับร่างเลขาวัยกลางคนและยูริเพื่อนร่วมทีมผู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมานานนับปี


    “วันนี้น่าจะยาว ใครมีธุระก็กลับไปก่อนได้นะคะ”


    “ไม่หรอก พี่อยู่ได้ทั้งคืน”


    ยุนอาแค่นยิ้มแล้วมองไปยังกองเอกสารบนโต๊ะ วันนี้ก็คงจะทั้งคืนอย่างที่ยูริว่าไว้จริง ๆ

     


     


     


                ในคอนโด ฯ ที่แทยอนคิดว่ามันมีพื้นที่พอดีสำหรับสองคน แต่พอเหลือเพียงเธอคนเดียวเมื่อไหร่ความอ้างว้างก็แวะเวียนมาทักทายอยู่เสมอ แทยอนไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ของตนนัก คล้ายจะต้องพึ่งพายุนอาไปเสียทุกอย่างจนเหมือนเป็นลูกแหง่ ไม่ว่าจะเป็นเพลงจากเครื่องเล่น หรือรายการทีวีก็ไม่อาจลบเลือนความเงียบเหงาที่ย่ำเท้าเข้ามาในใจลงไปได้  


    เปิดเทอมวันแรก ผู้ปกครองของเธอก็เกเรไม่ยอมกลับบ้านตรงเวลา ซ้ำยังให้นั่งรถกลับคอนโด ฯ เพียงลำพังอีกต่างหาก แทยอนหยิบหมอนใบเล็กมากอดไว้แล้วถอนใจอย่างเบื่อหน่าย มองนาฬิกาที่บอกเวลาสามทุ่มเศษ แต่ก็ยังไม่เห็นแม้เงาของเจ้านายคนสวย อาหารมื้อค่ำที่ตั้งโต๊ะไว้ก็เย็นชืดจนต้องเก็บไว้อุ่นใหม่ ห้องที่เคยรกรุงรังของยุนอาก็ถูกเก็บเรียบร้อยไปเมื่อสองสามวันก่อน จนไม่เหลืออะไรให้หยิบจับฆ่าเวลา บ่อยครั้งที่แทยอนขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงกอกแกกภายในห้อง เสียงที่ทึกทักว่าเป็นการกลับมาของยุนอา แต่ทุกครั้งก็ว่างเปล่า


    จนกระทั่งโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น แทยอนรีบวิ่งไปตะครุบมันขึ้นมารับแทบไม่ทัน เธอไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้น


    “สวัสดีค่ะ”


    [แทยอน วันนี้ฉันคงกลับดึกหน่อยนะ อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?]


    “ค่ะ ฉันอยู่ได้” ริมฝีปากแดงอิ่มเม้มเบา ๆ ด้วยความผิดหวังน้อย ๆ ที่เจืออยู่ในน้ำเสียง


    [เธอไม่กลัวนะ? นอนไปก่อนเลยไม่ต้องรอ ฉันเองก็ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่]


    “ค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะ” แทยอนลอบถอนหายใจระหว่างที่ฟังยุนอาพูดผ่านสายโทรศัพท์ ก่อนทิ้งท้ายด้วยคำที่แสดงความเป็นห่วงให้คนปลายสายได้มีรอยยิ้ม ยินดีที่เด็กในปกครองก็ทำตัวเป็นคนมีหัวใจกับคนอื่นเขาเป็นเหมือนกัน


    [อื้อ ฝันดีล่วงหน้านะ]


    “เช่นกันค่ะ”


    แทยอนถอนหายใจอีกครั้งหลังจากวางสายจากไป  หยิบรีโมทปิดทีวีปิดแอร์แล้วหอบหนังสือเรียนเข้าไปในห้องนอนของตนอย่างเซื่องซึม โชคยังดีที่มีเรื่องที่โรงเรียนแทรกเข้ามาในความคิดบ้าง ไม่เช่นนั้นก็คงจะฟุ้งซ่านอย่างเดิมจนไม่เป็นอันกินอันนอน


    ใช้เวลาทบทวนบทเรียนในหนังสืออยู่ไม่ถึงชั่วโมงแทยอนก็ต้องยอมแพ้ให้กับความง่วงที่เข้ามาเยี่ยมเยือน หวังจะถ่วงเวลารอการกลับมาของยุนอา แต่ยิ่งดึกก็ยิ่งรู้ว่าเปล่าประโยชน์ จึงปิดหนังสือลงแล้วล้มตัวลงนอนอย่างยอมแพ้

     

     



    แทยอนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เหมือนที่เคยทำเป็นประจำ ร่างที่อยู่ในชุดเสื้อยืดตัวหลวมและกางเกงขาสั้นเดินงัวเงียออกมาจากห้องนอนเพื่อเตรียมอาหารเช้าสำหรับเธอและเจ้านายสาว ทว่ายังไม่ทันก้าวไปในส่วนของห้องครัวปลายสายตาก็เหลือบไปเห็นกับร่างคุ้นตาที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา โดยมีผ้าห่มผืนบางคลุมเอาไว้อย่างลวก ๆ และที่สำคัญเจ้าตัวยังคงอยู่ในชุดเดียวกันกับเมื่อวาน


    ใบหน้ายามหลับดูอิดโรยจนแทยอนไม่กล้าส่งเสียงดัง ทำเพียงยืนครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ ว่างานอะไรจะหนักหนาจนแทบไม่ได้หลับได้นอน คาดว่าแม้แต่จะเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องคงไม่มีแรง ถึงได้ใช้โซฟาต่างเตียงนอน


    เด็กสาวตัดสินใจหลบไปทำหน้าที่ประจำของตนโดยไม่รบกวนเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของเจ้านายสาว จนกระทั่งภารกิจในช่วงเช้าเสร็จสิ้นและอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนเรียบร้อยจึงได้มายืนลังเลอยู่หน้าโซฟาอีกครั้ง ว่าควรจะปลุกยุนอาดีหรือว่าจะปล่อยให้นอนต่อไปดี ทว่าไม่ถึงนาทีการเคลื่อนไหวของยุนอาก็ช่วยให้แทยอนไม่ต้องตัดสินใจเอง ผ้าห่มถูกสะบัดลงมาก่อนที่เอวก่อนมือที่ก่ายหน้าผากจะยันร่างของตนขึ้นอย่างยากลำบาก


    ดวงตาเรียวปิดปรือคล้ายจะลืมไม่ขึ้น ก่อนจะปรับสภาพสายตาได้ในเวลาต่อมา


    “แทยอน.... แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ? กี่โมงแล้วล่ะ?”


    “หกโมงครึ่งค่ะ”


    พอเห็นแทยอนยืนอยู่ต่อหน้าก็ยิงคำถามไม่เว้นช่วง ก่อนจะเหวี่ยงผ้าห่มไปกองบนโซฟาอีกตัวใกล้กัน


    “ยังพอมีเวลา รอฉันแป๊บนึง ไปเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวฉันไปส่งที่โรงเรียน”


    “เอ่อ ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ ฉันไปเองได้ รบกวนคุณเปล่า ๆ”


    แทยอนบอกอย่างเกรงใจ เพราะเห็นสภาพของอีกคนแล้วก็นึกเห็นใจขึ้นมา


    “เธอยังไม่คุ้นเส้นทาง เดี๋ยวไปโรงเรียนสายหรอก เมื่อวานฉันก็ทิ้งเธอไว้คนเดียวทีนึงแล้ว วันนี้ให้ฉันไปส่งดีกว่า”


    “....”


    “กินอะไรรอเลยก็ได้ไม่ต้องรอฉัน ขอเวลาสิบห้านาที”


    ยุนอาเดินผ่านเข้าห้องไปโดยไม่ให้โอกาสแทยอนปฏิเสธ ร่างเล็กจึงจำต้องรับคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ มองตามร่างสูงโปร่งเจ้านายที่ทำตัวเหมือนเป็นผู้ปกครองของเธอเข้าไปทุกวันจนลับหายเข้าไปในห้อง




     


     


    มีปัญหาอะไรก็ทักมาแล้วกันนะ บางทีฉันไม่ว่างรับสาย


    แทยอนมองข้อความที่ถูกส่งเข้ามาใน Kakao Talk จากเจ้านายผู้เอาแต่ใจด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก สมาร์ทโฟนที่ยุนอายัดเยียดให้แม้ไม่ใช่ของใหม่แต่ก็อยู่ในสภาพดีเกือบเท่าตอนเพิ่งออกจากร้าน แทยอนไม่เคยนึกต้องการเครื่องมือสื่อสารใด ๆ เพราะไม่จำเป็นสำหรับเธออีกต่อไป เมื่อไม่มีใครที่จะให้โทรหาอีกแล้ว ทว่ายุนอากลับไม่คิดอย่างเดียวกัน อ้างเหตุผลสารพัดให้เธอรับมันมาจนได้


    เลยกลายเป็นว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีเพียงชื่อของยุนอาเป็นผู้ติดต่อเพียงคนเดียวสำหรับเธอ


    หลังจากที่เปิดอ่านข้อความนั้นแทยอนก็เก็บมันไว้อย่างเดิมโดยไม่คิดตอบกลับไป เสียงจอแจของเพื่อนร่วมชั้นพลันเงียบลงเมื่อถึงเวลาเรียนคาบบ่าย แม้กระทั่งเด็กผู้หญิงตาโตแก้มป่องที่นั่งถัดไปด้านหลัง คนที่เคยส่งเสียงโหวกเหวกกว่าใครเพื่อนก็เงียบลงไปเช่นกัน ตั้งแต่คาบแรกยันคาบสุดท้ายของช่วงเช้าที่แทยอนได้ยินเสียงของซนซึงวานไม่เว้นชั่วโมง หวังว่าคงคงปล่อยให้เพื่อน ๆ ได้พักหูบ้าง


    “ครูคะ” แต่ยังไม่ทันไรเสียงที่แทยอนเริ่มคุ้นเคยก็ดังฝ่าความเงียบมาจากหลังห้อง


    “มีอะไรเหรอ ซน ซึงวาน” อาจารย์สาวเอ่ยถามลูกศิษย์เจ้าปัญหาที่ยกมือค้างกลางอากาศ สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ก่อนที่ปลายนิ้วจะชี้ไปยังโต๊ะแถวกลางที่เยื้องไปด้านหน้าของตนเล็กน้อย  


    “พัค ชานยอลเค้าหลับค่ะ”


                คนที่ถูกกล่าวหายังนั่งกอดอกก้มหน้านิ่งอย่างไม่รู้สึกตัว ทำให้อาจารย์ประจำวิชารู้ทันทีว่าชานยอลแอบหลับในห้องอย่างที่ซึงวานว่าไว้จริง แล้วเพื่อนคู่อริก็ถูกลงโทษสมใจคนฟ้อง แม้จะถูกสายตาคาดโทษของชานยอลมองอย่างอาฆาตแต่ไม่ทำให้ซึงวานสะทกสะท้าน ซ้ำยังเอาแต่หัวเราะคิกคักชอบใจไม่หยุด


    แทยอนได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสาแก่ใจของซึงวานแล้วได้แต่ศีรษะระอา เริ่มรู้ชะตากรรมของตนแล้วว่าคงหาความสงบสุขได้ยากหากยังนั่งอยู่ใกล้กัน เมื่อซึงวานและชานยอลเอาแต่แกล้งกันไปแกล้งกันมาจนบางวิชาแทบไม่เป็นอันเรียน


    “ทำใจเถอะแทยอน มันก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ไม่มีใครยอมลงให้ใคร” จียองที่นั่งข้างกันคงเข้าใจความรู้สึกของแทยอนในขณะนี้ดีกว่าใคร จึงเปรยขึ้นมาลอย ๆ ให้ได้ยิน


    “เดี๋ยวก็คงชิน” แต่ก็คงอีกนานกว่าคนขี้รำคาญอย่างเธอจะทำใจได้


    “ปีก่อนซึงวานมันนั่งเกือบหน้าสุด แต่เพราะอะไรรู้ไหมมันถึงย้ายไปข้างหลังสุด”


    “ทำไมเหรอ?”


    “ก็เพราะมันเป็นที่ที่มองเห็นไอ้ชานยอลได้ไง เทอมก่อนเสียเปรียบที่นั่งหลังชานยอลเลยโดนแกล้งไว้เยอะ”


    “มีงี้ด้วย”


    “โคตรจะไร้สาระเลยว่าป่ะ”


    แทยอนเพียงยิ้มรับบาง ๆ แทนคำตอบ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยฝีมือของสองคู่อริเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าเหตุผลที่จียองยกมาอ้างนั้นถูกต้องทุกคำ ทว่าหลังจากที่คู่กัดถูกลงโทษแล้วแทยอนก็ยังไม่ได้รับความสงบสุขจากซึงวานเสียที เมื่ออยู่ ๆ คนข้างหลังก็อุทานลั่นกลางห้องค่อนข้างเงียบเพราะอาจารย์ประจำวิชาเพิ่งสั่งงานให้ทำในระหว่างคาบ และยังไม่ทันได้ก้าวออกไปจากห้องด้วยซ้ำ


    “เฮ้ย!


    “คุณซน เป็นอะไรอีก” อาจารย์คิมที่ทำท่าจะก้าวจากห้องหันกลับมาถาม เมื่อเพื่อนทั้งห้องมองไปในทิศทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ซึงวานรีบซ่อนบางสิ่งในมืออย่างว่องไวแล้วฉีกยิ้มกว้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


    “เปล่าค่ะครู หนูแค่ตกใจกลัวเก้าอี้ล้ม”


    ฟังดูก็รู้ว่าโกหก แต่ไม่อยากจะซักไซ้จึงเดินจากไปพร้อมสีหน้าเอือมระอา คาดว่าคงชินกับพฤติกรรมของลูกศิษย์ตัวป่วนแล้วเช่นกัน


    แต่คงเป็นเรื่องยากที่แทยอนจะชินกับความน่ารำคาญของเพื่อนหลังห้องคนนี้เช่นอาจารย์คิม

     

     



     


     

    ตึก...


    ตึก ตึก ตึก


    ตึก ตึก  


    เสียงนั้นแทยอนได้ยินมาสักพัก แม้ไม่ดังนักแต่ก็สร้างความรำคาญให้คนฟังอย่างสม่ำเสมอ


    พอแทยอนตัดสินใจหันไปมองก็พบกับรอยยิ้มแห้ง ๆ ของตัวต้นเหตุอย่างลุแก่โทษ สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยค่อนไปทางตำหนิติเตียนของแทยอนคงทำให้รู้ตัว ปลายนิ้วจึงละจากพื้นผิวของโต๊ะแล้ววางไว้บนหนังสือเรียนอย่างเรียบร้อย แต่ก็เว้นช่วงไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อลืมเลือนก็เผลอตัวเคาะนิ้วลงไปบนโต๊ะเรียนอีกครั้ง ราวกับคนทำกำลังร้อนใจ


     

    Baechu : เย็นนี้มีเรื่องให้ช่วยหน่อย


    Son_SWan : เรื่องอะไร


    Baechu : พอดีมีคนมาตื๊อขอเดตเลยตกลงไป


    Son_SWan : เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?


    Baechu  : เกี่ยวสิ ก็แกเป็นแฟนฉันนี่


    Son_SWan : บ้าดิ! เลิกฉันเอาไปอ้างได้แล้ว


    Baechu  : ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยไม่ได้หรือไง?


    Son_SWan : แล้วทำไมไม่ปฏิเสธไปล่ะ ไม่เห็นยากเลย

    Son_SWan : จะทำให้มันวุ่นวายทำไม


    Baechu  : ปฏิเสธจนขี้เกียจแล้ว แต่ยังตื๊อไง ต้องทำให้เห็นถึงจะยอมเลิก


    Son_SWan : แล้วถ้าฉันไม่ไปล่ะ


    Baechu  : ก็ไม่มีอะไรมาก

    Baechu  : Sent Picture.....

    Baechu  :ก็แค่รูปพวกนี้จะกระจายไปทั่วโรงเรียนแก เท่านั้นเอง


    Son_SWan : What the F***** !!

    Son_SWan : พี่เอารูปพวกนี้มาจากไหนเนี่ย

    Son_SWan : ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้อะ

    Son_SWan : อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ


    Baechu  : ไม่คิด แต่จะทำเลยล่ะถ้าแกไม่ยอมมา


    Son_SWan : โอ๊ย ไปก็ได้


    Baechu  : ร้านเดิม ห้ามเกินสี่โมงครึ่ง ถ้าเลทชีวิตแกจบ


    Son_SWan : เออ!! รู้แล้ว

     


    ซึงวานเลื่อนปลายนิ้วดูบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและพี่สาวไม่แท้ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายโมงด้วยสีหน้ายุ่งยาก ภาพวัยเด็กที่จูฮยอนส่งมาข่มขู่ทำให้เธออยู่ไม่เป็นสุข กับคนอื่นอาจจะเป็นแค่เรื่องขำ ๆ หากภาพในอดีตจะถูกเปิดเผย แต่กับซึงวานมันไม่ใช่ อุตส่าห์ย้ายมาเรียนไกลจากที่เดิมเพราะว่าอยากหนีพ้นฉายาเก่า ๆ ซึ่งที่นี่ก็ไม่มีใครเคยรู้ ลำพังแค่เรื่องชื่อพวกเพื่อน ๆ ก็ล้อกันเอาเป็นเอาตาย ไม่อยากให้มีเรื่องอื่นมาเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตอีกแล้ว


    นั่นเป็นสาเหตุให้เสียงเคาะนั้นยังดังขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งหมดคาบเรียนในช่วงบ่าย


    “อย่าลืมการบ้านเย็นนี้นะ เจอกันใหม่พรุ่งนี้นักเรียนทุกคน”


    สิ้นเสียงอาจารย์ประจำรายวิชาพร้อมออดหมดเวลาดังขึ้น คนเจ้าปัญหาผุดลุกขึ้นยืนเก็บข้าวของอย่างว่องไวจนเกิดเสียงดังครืดคราด ก่อนจะรีบวิ่งไปหาเป้าหมายจนแทบทำโต๊ะเรียนล้ม


    “จุนฮี วันนี้แกอยู่ประชุมชมรมใช่ไหม?”   


    “อือ” เจ้าของชื่อที่ง่วนกับการเก็บสัมภาระเข้ากระเป๋าตอบเรียบ ๆ ไม่เดือดร้อนกับท่าทีของเพื่อนร่วมชั้น


    “งั้นยืมรถหน่อย เดี๋ยวฉันกลับมา”


    “เอาไปสิ อย่านานนักนะ” เจ้าของรถมอเตอร์ไซด์ผู้ใจดียื่นกุญแจให้อย่างไม่คิดอะไร กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ซึงวานวิ่งออกไปจวนจะพ้นประตูห้องอยู่แล้ว


                “เฮ้! ซึงวาน จะไปไหน วันนี้แกก็มีประชุมกับฉันไม่ใช่เหรอ”


                “ไปธุระ เดี๋ยวมา” ตอบคำถามแบบส่ง ๆ พอให้พ้นตัวแล้วก็ออกวิ่งไม่เหลียวหลังกลับมามองสีหน้าหงุดหงิดของเจ้าของรถ




     




    จูฮยอนเหลือบเห็นซึงวานอยู่บนรถมอเตอร์ไซด์สีหวานตั้งแต่สี่แยกก่อนถึงคาเฟ่ที่เธอนั่งอยู่กับอีแทมินหนุ่มรุ่นน้องหน้าเป็น ที่นานวันเข้าชักจะกลายเป็นหน้าด้านหน้าทนไปแล้วสำหรับเธอ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพร้อมเม้มริมฝีปากแน่นอย่างไม่ชอบใจกับบางอย่างที่ได้เห็น แต่จำต้องเก็บเอาไว้สะสางกับตัวต้นเหตุในภายหลัง


    กระทั่งซึงวานผลักประตูร้านเข้ามาด้วยอาการเหนื่อยหอบ รอยยิ้มหวานระบายทั่วใบหน้าที่หวานไม่ต่างกัน ช่วยไม่ได้หากคนที่ได้รับรอยยิ้มนั้นจะเกิดความรู้สึกขนลุกขนพอง เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือการเสแสร้งล้วน ๆ ผิดกับหนุ่มน้อยบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่หลงใหลได้ปลื้มไปกับจูฮยอนทุกอย่าง


    “วานอา~ ทางนี้” เอ่ยเรียกซึงวานด้วยชื่อที่เรียกให้หวานและดูสนิทชิดเชื้อกว่าปกติ พร้อมโบกไม้โบกมือให้ ยังไม่ทันถึงโต๊ะดีก็ถูกมือนุ่ม ๆ นั้นฉุดลงมาให้นั่งข้างกัน ซึงวานแอบแยกเขี้ยวให้คนอายุมากกว่า แต่อีกคนก็ทำเป็นมองไม่เห็นไป


    “วานนี่อา~ นี่ อี แทมิน ปีสามโรงเรียนพยองฮวานี่เอง”


    “สวัสดีค่ะรุ่นพี่” ซึงวานโค้งให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าตนอายุน้อยกว่า


    “ส่วนนี่ ซน ซึงวาน น้องสาวคนพิเศษของพี่เอง”  จูฮยอนจงใจทิ้งสายตาหวานเชื่อมมาให้มองซึงวานและเน้นคำต่อท้ายสถานะระหว่างทั้งคู่เป็นพิเศษ ซึงวานแอบเห็นแทมินเหวอไปเล็กน้อยกับสถานการณ์ที่จูฮยอนสร้างขึ้น


    แม้จะรู้สึกอยากเบือนหน้าหนีจากภาพตรงหน้าเท่าไหร่แต่ซึงวานก็ทำไม่ได้อย่างใจ เพราะเท้าของพี่สาวที่คอยสะกิดให้เล่นตามน้ำอยู่ใต้โต๊ะ ประกอบคำขู่ที่ได้รับใน Kakao Talk  ซึงวานเลยต้องฉีกยิ้มหวานแบบฝืน ๆ กลับไปให้อย่างช่วยไม่ได้


    “เอ่อ.. ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แทมินสีหน้าเจื่อนลงเมื่อเห็นภาพความสนิทชิดเชื้อที่มองยังไงก็เกินคำว่าพี่น้องของทั้งคู่ จูฮยอนทั้งป้อนขนมป้อนน้ำให้คนน้องจนแทบไม่ต้องหยิบจับอะไร แทมินเลยกลายเป็นส่วนเกินสำหรับทั้งคู่ไปโดยปริยาย


    “ซึงวานอา~ อะนี่” ช้อนที่ตักเค้กถูกยื่นมาจ่ออยู่ที่ริมฝีปากอีกหนทั้งที่ยังกลืนคำแรกไม่หมด ซึงวานถลึงตาโตใส่คนเป็นพี่เป็นเชิงบอกว่าให้หยุด เพราะซึงวานเริ่มจะรับไม่ไหวกับความหวานที่เริ่มเลี่ยนของทั้งเค้กและคนป้อน


    “อะไรอะ อิ่มแล้วเหรอ.. งั้น อีกคำนะ นะ ๆ” ยิ่งท่าทางออดอ้อนนั้นยิ่งทำให้ซึงวานกล้ำกลืนรับเค้กจากช้อนของจูฮยอนด้วยความยากลำบาก มือข้างหนึ่งแทบจะจิกลงไปบนเก้าอี้ของทางร้านเพราะความจำใจ ความที่เห็นกันมาตั้งแต่จำความได้อยู่ ๆ มาทำท่าออดอ้อนออเซาะใส่ทั้งที่ในชีวิตประจำวันไม่เคยทำก็ออกจะน่าขนลุกไปหน่อยสำหรับซึงวาน


    และท้ายที่สุดบรรยากาศของคู่รักจอมปลอมก็กดดันให้แทมินผู้ไร้ตัวตนเอ่ยปากพูดในสิ่งที่จูฮยอนและซึงวานอยากได้ยินเสียที


    “พี่จูฮยอนครับ ผมขอตัวนะครับ มีธุระ” แทมินเอ่ยกับผู้หญิงที่ตนหมายปองอย่างสุภาพ แต่ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างกระด้างกว่าตอนมาขายขนมจีบใส่เธออยู่มาก


    “อ้าว.... ไหนว่าจะไปดูหนังกันต่อไงล่ะ ไม่ไปแล้วเหรอ” จูฮยอนแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจทั้งที่ในใจกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง ซึงวานแอบเบ้หน้าให้กับการแสดงที่สมบทบาทเหลือเกินของพี่สาว


    “ไว้โอกาสหน้าแล้วกันครับ วันนี้ผมต้องกลับบ้านแล้ว สวัสดีครับ” แทมินโค้งให้จูฮยอนและบอกลาซึงวานตามมารยาทก่อนเดินห่อเหี่ยวออกจากคาเฟ่ไปอย่างน่าสงสาร


    แต่ดูจากสีหน้าแล้วความรู้สึกนั้นคงไม่เกิดกับจูฮยอนอย่างแน่นอน


    “วานอา~ น่ารักที่สุดเลยน้องรัก” แก้มนุ่ม ๆ ของคนเป็นน้องถูกดึงอย่างมันเขี้ยวด้วยฝีมือคนพี่ที่ยังดูอินกับบทบาทคู่รักไม่หาย


    “โอ๊ย พอแล้ว เค้าไปแล้ว เลิกสร้างกระแสได้แล้ว” เป็นซึงวานที่ทนกับหมั่นไส้คนเป็นพี่ไม่ไหว ปัดมือนั้นออกจากใบหน้าของตนอย่างหงุดหงิด


    “แค่นี้ทำหวงนะแก” ไม่พูดเปล่ายังแกล้งดึงแก้มข้างหนึ่งของซึงวานแรง ๆ อย่างหมั่นไส้จนต้องอุทานลั่น


    “โอ๊ย!!


    “จะร้องทำไม คนเค้ามองกันใหญ่แล้ว” จูฮยอนตำหนิคนเป็นน้องทั้งน้ำเสียงและสายตา ทั้งที่ตนคือตัวต้นเหตุ แต่คนที่รับกรรมกลับกลายเป็นซึงวานไปเสียอย่างนั้น


    “ก็พี่แหละ เล่นอะไรไม่เข้าท่า”


    “ไม่ต้องมาพูดดีเลย แกเอารถใครมาขับ” จูฮยอนเปลี่ยนน้ำเสียงจริงจัง มองคนที่กำลังดื่มน้ำในแก้วอย่างกระหายด้วยสายตาคาดคั้น


    “ก็รถเพื่อนไง”  


    “แล้วขับซะเร็ว จะรีบร้อนไปไหนฮะ?”


    “อ้าว ก็พี่ไงเร่งฉัน ถ้ามาไม่ทันฉันก็ซวยสิ” ซึงวานชักฉุนที่โดนต่อว่าอยู่ฝ่ายเดียวทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย


    “ฉันบอกแกว่าก่อนสี่โมงครึ่ง ยังมีเวลาอีกถมเถ แกจะรีบร้อนมาทำไม มันอันตรายไม่ใช่เหรอ”


    “เร็วก็ว่า ช้าก็บ่น จะเอาไงแน่” ซึงวานบ่นอย่างเซ็ง ๆ เมื่อทำอะไรก็ผิดไปหมด


    “หรือว่าจะให้ฉันโทร ฯ บอกคุณลุงคุณป้าว่าแกแอบเอารถเพื่อนมาขับ”


    “เฮ้ยไม่เอานะพี่ จะไปกวนเค้าทำไม เมืองนอกค่าโทร ฯ แพงนะ อย่าเลย” ซึงวานรีบห้ามอย่างร้อนรนก่อนจะตบท้ายด้วยคำตักเตือนแกมข่มขู่เล็ก ๆ ถ้าเรื่องไปถึงหูผู้ให้กำเนิดคงได้ฟังเสียงบ่นข้ามประเทศจนสายโทรศัพท์ไหม้ไปข้างหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


    “อินเตอร์เน็ตมีกลัวอะไร”




     

    ปึ้ง!


    แต่ก่อนที่บทสนทนาจะยืดยาวไปกว่านั้นก็มีเสียงจากโต๊ะใกล้เคียงเบนความสนใจจากทั้งคู่ไป จูฮยอนกับซึงวานหันไปมองผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะรู้ในนาทีถัดมาว่าผู้ที่ทำให้เกิดเสียงนั้นคือคนที่เด็กนักเรียนและนักศึกษาในแถบนี้รู้จักเป็นอย่างดี ในโต๊ะนั้นมีผู้หญิงหน้าตาดีอีกคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว


    “อ้าว นั่นรุ่นพี่คนดังของม.พี่นี่ ม....” ซึงวานเอ่ยทักด้วยเสียงไม่เบานัก ทำให้คนถูกพูดถึงตวัดมองตาเขียวปั๊ด ลำบากจูฮยอนที่ต้องรีบยกมือขึ้นตะครุบปากน้องสาวตัวแสบเอาไว้ แล้วค้อมศีรษะขอโทษรุ่นพี่ปลก ๆ แทนคนก่อเหตุ


    “แกจะปากไวไปไหนวะเนี่ย” ก่อนจะปล่อยมือจูฮยอนก็ตีปากไปเบา ๆ หนึ่งทีเป็นการลงโทษ


    “เอ้า แล้วมาตีฉันทำไมอะ”


    กับคนที่ไม่รู้ตัวว่าผิดจึงไม่สำนึกจูฮยอนเลยจัดการปิดปากด้วยของหวานคำโตจนไม่มีทางอ้าปากพูดได้อีกเป็นนาที




     


    ©
    t
    b
    u
    t
    t
    e
    r

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×