ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ONCE AGAIN : 04 ร่องรอยของความจริง
สีดำ = เหตุการณ์ในปัจจุบัน
สีเทา = เหตุการณ์ในอดีต
04 ร่องรอยของความจริง
“แกง่วงก็ไปนอนไปยุนอา มายืนหาวหวอด ๆ อยู่ได้ ทำงานก็อืดอาดอีก เกะกะว่ะ”
จงฮยอนยกกล่องบรรจุแอปเปิ้ลไปเก็บในโรงโกดัง
หลังจากที่ตนและเพื่อน ๆ ได้ช่วยกันคัดเลือกตามที่เจ้าของสวนสอนไว้
ไหล่แข็งแรงกระแทกใส่คนที่ผอมบางกว่าอย่างจงใจ
ซ้ำยังเอี้ยวคอกลับมาต่อว่าทั้งที่เดินห่างออกไปแล้วหลายเมตร
ยุนอาชักสีหน้าใส่จงฮยอนอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
แค่ไม่ยอมทำตามที่เขาบอกเท่านั้นเอง นั่นคือวิธีการต่อต้านเงียบ ๆ ในฉบับของยุนอา
เหลือบมองไปยังม้านั่งในมุมหนึ่งของโกดัง เห็นแทยอนกำลังนั่งพิงผนังเอาแจ็คเก็ตคลุมหน้าเหมือนกำลังหลับอยู่
นั่นทำให้ยุนอาตัดสินใจง่ายขึ้น จะไม่ยอมนั่งพักแน่ ๆ แต่อาการหวัดกับง่วงนี่มันก็เล่นงานหนักเอาเรื่องอยู่
ก้าวต่ออย่างเชื่องช้าไปยังกองกล่องแอปเปิ้ลที่แทอุนกำลังลำเลียงเข้ามาวางไว้ให้จงฮยอน
อยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการคันจมูกยิบ ๆ จนทนไม่ไหว จามใส่เพื่อนตัวสูงที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ไปหนึ่งที
“ฮัดชิ่ว!!”
“เฮ่ย! อะไรของแกวะ เดี๋ยวฉันก็ติดหวัดหรอก ไปนอนไป”
แทอุนเหล่มองแล้วโบกมือไล่หลังจากวางกล่องแอปเปิ้ลลง
ก่อนใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า
“ไม่ง่วง จะไล่อะไรนักหนา” เสี้ยงอู้อี้เถียงกลับคอเป็นเอ็น
แม้ว่าความจริงจะไม่ผิดจากที่แทอุนพูดนักก็ตาม
“ไม่อยากนอนอะไร แค่เดินแกก็จะหลับอยู่แล้ว” แทอุนส่ายศีรษะระอาแล้วเดินหนีไปเพื่อตัดรำคาญ
“ฉันว่าแกไปพักก่อนเถอะ นะ ทางนี้พวกฉันทำเองได้”
ฮโยยอนสนับสนุนความคำพูดของแทอุน ยุนอาก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อจนกระทั่งมีมือคู่หนึ่งยื่นมาแตะไหล่สองข้าง
“ไปเถอะยุนอา พักซะ อีกหน่อยก็เสร็จแล้ว จะได้กินข้าวกลางวันกัน”
ซอนฮวาเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน ไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่น้ำเสียงกระด้างไม่น่าฟัง
จึงทำให้ยุนอาลังเล
“เชื่อฉันนะ พักเอาแรงตอนบ่ายต้องไปช่วยปลูกชาที่ไร่พี่ซุนกยูอีก”
“โอเค ก็ได้” ยุนอาคล้อยตามซอนฮวาอย่างง่ายดาย
ยอมให้เพื่อนพาไปที่ม้านั่งตัวเดียวกันกับแทยอน แต่ยุนอานั่งอยู่อีกฝั่งห่างกันเป็นเมตร
ไม่แม้แต่จะเหลือบมองคนหลับ หมางเมินเหมือนอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ
ควานมือหาขวดน้ำบนม้านั่งขึ้นมาดื่มดับกระหาย ถอดเสื้อตัวนอกออกคลุมศีรษะ
ขาเหยียดยาวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอนพิงกับผนังซีเมนต์อย่างที่แทยอนกำลังทำ
เมื่อคืนแทยอนก็คงไม่ค่อยได้นอนเหมือนกันกับยุนอาถึงได้หลับจนไม่รู้เรื่อง
บทสนทนาสั้น ๆ ที่คุยกับแดฮุนในสวนแอปเปิ้ลยังวนเวียนรบกวนจิตใจ
อยากรู้รายละเอียดมากกว่านั้นแต่ไม่กล้าถาม
แต่จะให้ถามแทยอนแทนน่ะเหรอ? ไม่มีทางซะล่ะ
ครุ่นคิดวุ่นวายอยู่เพียงไม่กี่นาทีก็ผล็อยหลับ ลมหายใจของยุนอาก็ผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ
ต่างกันที่แทยอนรู้สึกตัวตื่นได้สักพักแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่ยุนอากับแทอุนทุ่มเถียงกันอยู่
ได้ยินชัดทุกคำพูด เพียงแต่ไม่ได้ขยับตัว ลมหายใจอุ่นถูกผ่อนออกมายืดยาวอย่างหนักใจ
“ดูพวกมันดิ” ซุนกยูชี้ชวนให้เพื่อนกับน้อง ๆ มองไปทางยุนอากับแทยอน ทุกคนทำหน้าเหนื่อยหน่ายไม่ต่างกัน
“กูล่ะเบื่อ” ฮโยยอนสบถอย่างระอาก่อนก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
.
.
.
แดดยามบ่ายจัดจ้าจนต้องหรี่ตาลงเมื่อมองออกไปในที่ไกล ๆ
หมวกปีกกว้างที่สวมกันแดดไม่ได้ช่วยลดความร้อนระอุลงเท่าไหร่
ไร่ชาแบบขั้นบันไดที่เพิ่งเอาต้นอ่อนมาลงปลูกเสร็จสิ้นไปเกินครึ่งแล้ว
เหลือก็แต่ส่วนที่แทยอนกับเพื่อน ๆ ยืนอยู่ หลายคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่เหนือหลุมปลูก
แม้จะเหงื่อไหลจนชุ่มแต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
มีคุยเล่นหยอกล้อกันบ้างตามประสา
จะเว้นก็แต่ยุนอาที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอย่างคนอื่น ปลูกชาเงียบ ๆ อยู่คนเดียว
ทั้งที่ตนเองก็กำลังเป็นหวัด ตากแดดแรง ๆ เดี๋ยวก็ล้มป่วยลงไปอีก
พวกแทอุนห้ามไว้แล้วก็ดื้อดึงไม่ยอมฟัง ดึงดันทำตามใจตนเองอย่างน่าโมโห
ขยันขนาดนี้ให้ปลูกเองคนเดียวทั้งไร่ดีกว่ามั้ง แทยอนแอบค่อนขอดอยู่ในใจ
“อากาศร้อนเนอะ” ซุนกยูบ่น เอามืออังหน้าผากเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์อย่างค้อนเคือง
“เอาน้ำหน่อยมั้ยซุนกยู” ฮโยยอนเอ่ยถาม ยื่นขวดน้ำที่เริ่มจะหายเย็นไปให้เจ้าของไร่ชา
“ขอบใจนะ” ซุนกยูฉวยขวดน้ำจากมือเพื่อนสนิทมาดื่มดับกระหาย ก่อนพูดต่อ
“เออนี่พวกแก เสร็จจากนี่พ่อฉันบอกจะเลี้ยงใหญ่แหละ เหล้ายาปลาปิ้งไม่อั้น”
ประโยคบอกเล่าที่ทำให้คนทั้งหมดเฮลั่นไร่ชาด้วยความยินดี
ทำงานหนักมาทั้งวันได้กับข้าวอร่อย ๆ บวกกับสุราอีกสักนิดสักหน่อยคงลืมความเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“สมกับที่ถูกใช้แรงงานมาทั้งวันหน่อย” ซูยองกระเซ้า
เหล่มองแทยอนและซุนกยูด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แก ไม่ต้องมองพี่อย่างนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเลี้ยงเอง”
แทยอนตัดบทเหมือนรู้เท่าทันความคิดของรุ่นน้องจอมตะกละ
“มันต้องอย่างนี้สิครับพี่สาวที่รักของผม”
จงฮยอนเข้าไปกระแซะแทยอนอย่างกหยอกล้อตามประสาคนคุ้นเคย
แต่บางคำในประโยคสร้างความไม่พอใจให้คนที่บังเอิญได้ยินจนเผลอย่นหัวคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากชาต้นอ่อนที่นำมาปลูกต่อในหลุม
“ไม่ต้องเลยแก เห็นแก่น้ำเมาล่ะสิ” แทยอนเบะปากเหน็บแนม
“ไม่ใช่ซักหน่อย กองทัพต้องเดินด้วยท้องต่างหาก”
จงฮยอนยักคิ้วให้หนึ่งทีก่อนเดินกลับไปประจำที่ของตนอย่างเดิม
“เงียบไปมั้ยครับคุณ เหนื่อยล่ะสิ พักมั้ย? จะเป็นลมบอกผมได้นะ”
แทอุนเดินมาสัพพอกใกล้ ๆ พอให้ยุนอาหงุดหงิดเล่นแล้วเดินโฉบหนีไปเฉย ๆ
“ไอ้....” ยุนอาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทำปากขมุบขมิบไล่หลังเพื่อนตัวโต ด้วยนึกคำต่อว่าไม่ทัน
สายตาเผลอเหลือบไปมองร่างเล็ก ๆ ของใครอีกคนอยู่เรื่อย ๆ ด้วยความเคยชิน
ก็ดูยิ้มแย้มมีความสุขดี ไม่ได้มารับรู้ว่าใครกำลังจะเป็นจะตายหรอก
.
.
.
บ้านของซุนกยูดูจะวุ่นวายกว่าทุกวันเมื่อมีแขกกลุ่มใหญ่มาเยี่ยมเยือน
เสียงร้องรำทำเพลงเริ่มขึ้นตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน
จนกระทั่งตอนนี้ที่ความมืดเริ่มโรยตัว บรรยากาศโดยรอบมืดสนิท
ไฟในบ้านก็ถูกเปิดไว้หลายดวงเพื่อให้แสงสว่างและอำนวยความสะดวกแก่เหล่านักดื่ม
โดยมีประมุขของบ้านอีเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงขนาดย่อมครั้งนี้
กีตาร์โปร่งกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่งถูกแทอุนใช้เคาะแทนกลอง
ส่วนอีกตัวที่ดูใหม่กว่าถูกบรรเลงโดยฝีมือของจงฮยอน
ม้านั่งหน้าบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่มีที่มากพอให้คนนับสิบได้ร่วมสังสรรค์กันอย่างไม่ต้องเบียดเสียด
บทเพลงร่วมสมัยอาจไม่เหมาะกับกลุ่มที่มีผู้สูงวัยรวมอยู่ด้วย
นักดนตรีจำเป็นจึงเลือกเฉพาะเพลงเก่า ๆ ที่เคยโด่งดังในอดีตมาขึ้นมาขับร้อง
เพื่อทำให้ทุกคนร่วมสนุกไปด้วยกันได้โดยแบ่งแยกวัย
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากชนิดวางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ
ทั้งโซจู เบียร์ และไวน์คูลเลอร์ ส่วนน้ำอัดลมที่ไร้แอลกอฮอล์ก็มีอยู่บ้างแต่ถือเป็นส่วนน้อย
ใต้ม้านั่งมีขวดเปล่ากองทับถมกันสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
“แดฮุน แกจำได้มั้ย เพลงที่แกร้องจีบเมียแกสมัยก่อนน่ะ ตอนเจอกันใหม่ ๆ”
อี ซุนโฮ ผู้อาวุโสสุดในกลุ่มกล่าวขึ้น มือเหี่ยวย่รยกขึ้นชี้หน้าแดฮุน
รุ่นน้องที่เคยคบหากันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น ชายสูงวัยผู้มากด้วยอารมณ์ขันเริ่มพูดเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
จากระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“จำได้ครับ ไม่ลืมหรอก จำได้แม้กระทั่งตอนที่จินฮีไล่ตะเพิดผมด้วย”
แดฮุนหัวเราะร่วน กระดกเหล้าในจอกขึ้นดื่มขณะรำลึกความหลัง
เด็กรุ่นลูกที่รายล้อมอยู่ต่างประหลาดใจกับคำบอกเล่าของผู้สูงวัย
จะมีก็แต่แทยอนเท่านั้นที่อมยิ้มขบขัน
เพราะเรื่องน่าอับอายของบิดาเมื่อครั้งที่พบรักกับมารดาของเธอใหม่ ๆ แทยอนได้ฟังมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง
อีกคนที่ดูจะสนุกสนานไปกับวีรกรรมในอดีตของแดฮุนก็คือซุนโฮผู้เริ่มเรื่องนั่นเอง
“ทำไมล่ะครับ แค่ร้องเพลงจีบทำไมถึงถูกไล่กลับมาล่ะ?”
จงฮยอนเอามือวางบนกีตาร์ ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ
ซุนโฮระเบิดหัวเราะลั่นจนน้ำหูน้ำตาไหลเหมือนจงฮยอนพูดจี้จุด
พลอยทำให้แทยอนและแดฮุนขำตามไปด้วย กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ก็เกือบนาที
“ก็แดฮุนมันขี้เมาไง ดึกดื่นค่อนคืนไปตะโกนร้องเพลงโหวกเหวกอยู่หน้าบ้านเค้า
ไม่โดนลูกปืนก็ดีเท่าไหร่ ห้ามแล้วมันก็ไม่ยอมฟัง”
ซุนโฮซับน้ำตาที่เล็ดออกมาทางหางตาหลังจากเล่าเรื่องน่าขายหน้าของแดฮุนด้วยเสียงอันดัง
ก่อนจะระเบิดหัวเราะทิ้งท้ายอีกรอบ ชวนให้คนรุ่นลูกขำตามอย่างอดไม่อยู่
จากนั้นแดฮุนจึงปรบมือขึ้นต้นเพลงรักจังหวะสนุก ๆ ในช่วงกลางยุค 80
เพลงที่เขาเคยใช้ร้องจีบมารดาของแทยอน แม้คราวนั้นจะล้มไม่เป็นท่าก็ตาม
แทยอนอดที่จะเหลือบมองคนที่นั่งชิดกับบิดาของตนไม่ได้
ในใจก็นึกห่วงเมื่อเห็นรอยยิ้มฝืด ๆ บนใบหน้าซีดเซียว
คล้ายกับว่ายุนอากำลังอดทนอยู่กับความทรมานบางอย่าง
บางครั้งก็นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดยามที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
อยากเข้าไปถามไถ่อาการอยู่หรอก
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อยุนอาไม่ยอมรับความหวังดีใด ๆ ที่แทยอนหยิบยื่นให้
เธอเองก็ต้องสร้างเกราะป้องกันความรู้สึกของตนเองบ้าง
เรื่องอะไรจะเสนอหน้าไปให้คนอื่นทำลายน้ำใจของตนบ่อย ๆ
บทเพลงจากอดีตถูกนำมาขับขานผสานกับเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงจากปากของผู้อาวุโส ทำให้วงสนทนายิ่งออกรส
สีหน้าของผู้สูงวัยดูอิ่มเอิบราวกับได้ย้อนกลับไปอยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้นอีกครั้ง
เรื่องตลกขบขัน ตื่นเต้นผจญภัยไปจนถึงเรื่องราวสยองขวัญน่าสะพรึงกลัว
กำลังพรั่งพรูออกมาจากประมุขของสองตระกูลเหมือนเปิดสวิตช์
ทั้งที่ประสบพบพานด้วยตนเองและเรื่องที่ฟังมาจากญาติสนิทมิตรสหายอีกต่อหนึ่ง
ยิ่งยามที่เหล้าเข้าปากด้วยแล้วอะไรก็ห้ามไม่อยู่
ลมเอื่อย ๆ ในหน้ามรสุมพัดเอาความเย็นชื้นผ่านมาเป็นครั้งคราว
ลำแสงเล็กแลบแปลบปลาบอยู่ลิบ ๆ บนขอบฟ้าทางทิศตะวันตก
เสียงฟ้าคำรามแว่วมาจากทิศทางเดียวกันเหมือนยังอยู่อีกไกล
แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงสายลมคงพัดพาเอาเม็ดฝนสาดซัดมาถึงที่นี่
บรรยากาศในยามค่ำคืนของแถบชานเมืองคงเงียบเหงากว่านี้
หากปราศจากกลุ่มคนที่ร้องรำทำเพลงดังสนั่นจากบ้านของซุนกยู
ความสนุกสนานที่เจือกลิ่นอายของความทรงจำลอยอบอวลอยู่รอบกาย
กระทั่งคนที่เกิดทีหลังยังรู้สึกอย่างเดียวกัน
.
.
.
2 ปีก่อน
แทยอนรับถาดมาจากแม่ครัวในโรงอาหารมาถือไว้แล้วถอยห่างจากหน้าร้าน
ยืนชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังรอคอยใครสักคน
เห็นหน้ากันแทบทุกวันจนกลายเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว ต้องคอยมองหาทุกทีที่ห่างสายตา
“หาใครวะแทยอน ไม่กินข้าวเรอะ?“ จินกิถือถาดอาหารผ่านมาพอดี
เห็นเพื่อนยืนหันรีหันขวางอยู่กลางโรงอาหารจึงสะกิดแล้วชี้ไปยังโต๊ะที่มีเพื่อนของตนนั่งอยู่รายรอบ
“เปล่า ๆ ไปละ ๆ” ว่าแล้วก็เดินตามหลังชายหนุ่มไป แต่ไม่วายกวาดตาไปทั่วโรงอาหารอีกหน
“มาเลย นั่งนี่ ๆ” พอเดินมาถึงโต๊ะแทยอนก็ถูกลากไปนั่งข้างจาง อูยอง
เพื่อนร่วมคณะที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกันนัก แต่พอรู้จากท่าทีว่าเขากำลังตามจีบเธออยู่ และเป็นมาได้สักระยะแล้ว
แทยอนเหลือบมองคนข้าง ๆ ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
ก่อนไล่สายตามองเพื่อนสนิทในกลุ่มเพื่อจับพิรุธ
เพื่อหาว่าใครเป็นคนชวนอูยองมาทานข้าวกลางวันด้วย
“แทยอน หวัดดี นั่งด้วยคนนะ” อูยองเอ่ยทักเพื่อกู้สถานการณ์เมื่อเห็นว่าแทยอนมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
แทยอนกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อถูกทักทายไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะตอบรับในวินาทีถัดมา
“เอ้อ หวัดดี อูยอง เอาสิกินด้วยกัน .. แต่แปลกเนอะไม่ไปกับเพื่อนเหรอวันนี้?”
อดไม่ได้ต้องถามออกไปเพราะความอยากรู้ ในใจแอบเคืองอยู่นิดหน่อยที่ยังจับตัวผู้ต้องหาในกลุ่มเพื่อนไม่ได้
แกล้งตีหน้าซื่อได้แนบเนียนเหลือเกินนะแต่ละคน
“ไม่ล่ะ เบื่อพวกมัน อยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ”
แทยอนฟังที่อูยองตอบแล้วต้องรีบเบือนหน้าหนี
แสร้งทำเป็นสนใจข้าวกลางวันในถาดแทน
แม้สายตาที่มองมาไม่ได้หวานหยดจนน่าขนลุก
แต่ก็มากพอที่จะทำให้แทยอนรู้สึกกระอักกระอ่วน
แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางโรงอาหารห่างออกไปไกลพอสมควร
เห็นแล้วก็อดมองไม่ได้
ยุนอาคงจะหิวมากถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาจ้วงข้าวเข้าปากโดยไม่สนใจเพื่อนที่ส่งเสียงคุยกันจอแจรอบข้าง
แทยอนเผลอระบายยิ้มบาง ๆ อย่างนึกเอ็นดู กับข้าวในโรงอาหารอย่างเดิม ๆ เริ่มอร่อยขึ้นมาบ้าง
ยุนอาเหมือนจะรู้สึกตัวว่าถูกแอบมองอยู่ ใบหน้าใสเงยขึ้นจากถาดอาหารแล้วสบตากับแทยอนเข้าพอดี
หลบตาไม่ทันก็จำต้องส่งยิ้มไปให้แก้เก้อ ยุนอาชะงักนิดหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มหวากว่าส่งกลับมาให้
คนมองหัวใจพองโตจนล้นอก ชนิดที่ไม่ต้องทานข้าวก็อิ่ม
“แกยิ้มให้ใครวะยุนอา”
จงฮยอนเอ่ยถามแล้วมองหน้ายุนอาสลับกับทิศทางที่ดวงตาใสจดจ้องอยู่
แต่กลับไม่พบใครเลยสักคนในบริเวณนั้น
“ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนน่ะ”
ยุนอาโกหกคำโตแล้วก้มหน้าทานอาหารกลางวันของตนต่อไป
แต่ใบหน้าที่ก้มต่ำยังเจือรอยยิ้มบาง ๆ ด้วยความปลาบปลื้ม
“อ้าว นั่นพี่แทยอนกับพี่ฮโยยอนนี่”
จงฮยอนท้วงทำให้ยุนอาแทบสำลักที่เพื่อนของตนตาไวเกินจำเป็น
ร้อนตัวเพราะคิดไม่ซื่อกับเจ้าของชื่อ
ทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีใครตั้งข้อสังเกต เพราะยุนอาเก็บอาการได้แนบเนียนทุกครั้ง
“ไหนอะ” ซูยองเอ่ยถาม ชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่นไง”
“โอ๊ะ.. อยู่กับพี่อูยองซะด้วย ได้ข่าวว่าคนนี้แหละที่ตามจีบพี่แทยอน”
ซูยองเจ้ากรมข่าวลือประจำกลุ่มเริ่มกระซิบกระซาบ
“จริงเหรอ แล้วพี่แทยอนชอบพี่อูยองไหม?”
ดูเหมือนซูยองจะได้เพื่อร่วมนินทาอีกคนเมื่อซอนฮวาขยับเข้าใกล้และถามด้วยความสนใจ
ยุนอาทำเป็นไม่อยากรู้ไปอย่างนั้นแต่ในใจกลับร้อนรุ่มจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้
ผิดจากท่าทีที่แสดงออกอย่างสิ้นเชิง
“ไม่รู้สิ แต่มานั่งกินข้าวด้วยกันนี่ชักจะยังไง ๆ อยู่นา..” ซูยองตั้งข้อสังเกต
ประโยคบาดความรู้สึกนั้นทำให้ข้าวกลางวันของยุนอาฝืดคอขึ้นมาทันที
ความอยากอาหารลดลงไปกว่าครึ่ง
“งี้รุ่นพี่แทยอนก็ขายออกแล้วดิ”
แทอุนสัพยอกรุ่นพี่ร่วมชมรมที่นั่งทานข้าวไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่อีกฝั่งของโรงอาหาร
“ฉันว่าคู่นี้ก็เหมาะกันดีนะ น่าจะได้กันไว ๆ นะ
จะได้ไม่ต้องมาฟังไอ้พวกนี้มันนั่งซุบซิบกันเป็นแมงหวี่แมงวันอยู่แถวนี้”
จงฮยอนว่ากระทบเพื่อนขาเมาท์
ขณะตักข้าวเข้าปาก ทำให้คนพูดได้รับแจกค้อนวงใหญ่จากสองสาวผู้เป็นเจ้าทุกข์
แต่คำที่พูดออกไปส่ง ๆ เพราะความรำคาญนั้นกลับสร้างความกังวลให้ยุนอามากเป็นทวีคูณ
หากว่าเขาต้องคนคบกันจริง ๆ ล่ะ?
คิดแล้วก็ทอดถอนใจอยู่คนเดียวอย่างทดท้อเมื่อนึกถึงสภาพความเป็นจริง
เธอไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวแทยอนเลยสักนิด
หากสองคนนั้นคบกันแล้วยังไงล่ะ? แกจะห้ามเค้าได้เหรอยุนอา?
.
.
.
“ถ้าใครกลับไม่ไหวก็นอนนี่นะ ในบ้านยังพอจะมีที่ว่างให้พวกแกซุกหัวนอนอยู่”
ซุนกยูผ่ากลางวงเหล้าด้วยความคะนองปาก คนพูดคงกำลังตึงได้ที่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
โซจูที่ซื้อมาตุนไว้ตั้งแต่ช่วงกลางหมดไปเกินสองโหล
และบางคนในกลุ่มก็คอพับคออ่อนจนแทบฟุบหลับคาโต๊ะ นั่นก็คือซอนฮวากับซูยอง
ส่วนผู้อาวุโสดูเหมือนจะคุยกันจนติดลม เสียงเพลงจากกีตาร์ลดความถี่ลงและหันมาสนทนากันมากขึ้น
“ซุนกยู ฉันว่าพาพวกมันไปนอนเหอะ ดูสิ มันไปโลกอื่นแล้วนั่น”
แทยอนมองรุ่นน้องของตนอย่างระอา เห็นภาพแล้วอนาถแทน อีกอย่างเธอก็เกรงใจผู้ใหญ่ด้วย
“งั้นมาช่วยกันหน่อย” ซุนกยูผุดลุกขึ้นพรวดพราด
ตรงเข้าไปหาซอนฮวาแล้วขอความช่วยเหลือจากเพื่อน
“มาผมช่วย” จงฮยอนอาสาหิ้วปีกซอนฮวาอีกข้าง
เขาเป็นผู้ชายมีแรงมากกว่าช่วยผ่อนกำลังซุนกยูได้เยอะทีเดียว
ร่างของซอนฮวาถูกพาออกไปทั้งที่คนเมายังทำท่าจะคว้าแก้วไม่อยากเลิกรา
ส่วนซูยองกำลังถูกแทอุนกล่อมให้ยอมเข้าไปพักในบ้านของซุนกยูด้วยกัน
“ไปเหอะ พรุ่งนี้ยังมีอีกนะเว่ย เชื่อฉัน ค่อยกินอีก”
“ม่าย.. ไม่ ไม่ไป” ซูยองโบกมือไปมากลางอากาศไม่ยอมท่าเดียวจนแทอุนอ่อนใจ
หันไปมองพี่สาวอีกสองคนเพื่อขอความช่วยเหลือ
“งั้นแกพาพี่ไปเอาของกินในครัวหน่อยสิ ในจานหมดแล้วเห็นมั้ย?”
ฮโยยอนล่อหลอก ยกจานเปล่าขึ้นให้ซูยองดู ก่อนขยับเข้าไปกระตุกแขนยาว ๆ เพื่อคะยั้นคะยอ
คนเมาเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่คนสนิท ตาปรือ ๆ จะหลับมิหลับแหล่ ก่อนพยักหน้าหงึกหงัก
พยายามดันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยอาการโซซัดโซเซ
แทอุนกับฮโยยอนรีบถลาเข้าไปช่วยแล้วพาออกไปจากวงเหล้าอีกคน
“โล่งอกไปที” แทยอนพึมพำหลังจากนั่งลุ้นแทบแย่
แอบเหลือบมองคนที่ไม่เมาแต่อาการน่าเป็นห่วงพอกัน
“พอพวกนั้นไปก็เงียบเชียว แทยอน ทำไมวันนี้ไม่ค่อยคุยเลยล่ะ”
ซุนโฮตั้งข้อสังเกตกับหลานสาว มือหยาบกร้านตบลงไปบนไหล่เล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก
แทยอนถึงกับสะดุ้งนิ่วหน้าน้อย ๆ ด้วยความเจ็บ
แต่ผู้สูงวัยคงไม่ทันเห็น เธอรีบปรับสีหน้าส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้แทน
“เริ่มมึนนิดหน่อยค่ะคุณลุง”
“มึนอะไรกัน ไม่ค่อยเห็นดื่มอะไรเลย” ซุนโฮส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมหัวเราะร่วนอย่างไม่อยากเชื่อ
ยุนอาเหลือบมองสีหน้าแทยอนแว้บเดียวก่อนนั่งจับเจ่ามองไปที่แก้วของตนอย่างเดิม
รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนไม่ค่อยสบาย เริ่มปวดหัวนิด ๆ จนต้องยกมือขึ้นเท้าคางเพื่อพยุงศีรษะไว้
แต่ก็ปลีกตัวไปไหนไม่ได้อีกเพราะแดฮุนรั้งตัวไว้ไม่ยอมปล่อย
ลำแขนแข็งแรงยกขึ้นมาพาดไหล่ยุนอาอยู่บ่อยครั้ง
ทำเหมือนเธอเป็นน้องสาวของเขาจริง ๆ ยังไงอย่างงั้น
“หนูดื่มไม่ค่อยเก่งน่ะค่ะ สู้ซุนกยูมันไม่ได้หรอก”
“อันนี้ผมเห็นด้วย แทยอนมันไม่ค่อยชอบแอลกอฮอล์ ไม่เหมือนพ่อมัน”
พูดแล้วก็ระเบิดหัวเราะลั่นจนดังเข้าไปถึงในบ้าน แทยอนอมยิ้มตาม
นานแล้วที่เธอไม่เห็นบิดาดูมีความสุขอย่างวันนี้
และถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่เห็นผู้เป็นบิดาดื่มจนเมามายไม่ได้สติก็เมื่อห้าปีก่อน
ตอนที่คุณปู่เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา แต่หลังจากนั้นก็แค่ดื่มเพื่อเข้าสังคมพอเป็นพิธีเท่านั้น
คงเป็นเพราะยุนอามาที่นี่ถึงได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น เลยถือโอกาสนี้ดื่มฉลองเสียเลย
“แหงล่ะ ตอนน้องแกตายแกติดเหล้าเลยนี่หว่า
เพิ่งมาเลิกเอาตอนคบกับจินฮี ไม่งั้นป่านนี้แทยอนกับจีอุงไม่ได้เกิดหรอก”
ยุนอายืดตัวขึ้นเหลือบมองซุนโฮสลับกับแดฮุนอย่างสนใจ รอฟังเรื่องราวที่ตนสงสัยจากผู้อาวุโส
“พี่ก็พูดเกินไป อายเด็กมัน” แดฮุนส่ายหน้ายิ้ม ๆ
ก่อนหยิบโซจูมากระดกดื่มทั้งขวดหลายอึก ยุนอาเห็นแล้วยังต้องเบ้หน้า
“ยุนอาอยากรู้รึเปล่าว่ายุนฮีตายยังไง?”
แดฮุนเอ่ยถามขึ้นไม่ทันตั้งตัวหลังจากวางโซจูขวดเล็กลง เหมือนล่วงรู้ความคิดของยุนอา
“ค่ะ” ยุนอาตอบหลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ถึงไม่อยากจะไปแตะต้องบาดแผลในใจของแดฮุน
แต่ยุนอาก็อยากรู้ความเป็นมาเช่นกัน
ในเมื่อเจ้าของเรื่องเสนอทางเลือกมาให้ ยุนอาก็ขอรับเอาไว้
“รู้ใช่มั้ยว่าปี 1980 เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
“รู้ค่ะ” ยุนอาพยักหน้ารับ นึกถึงเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งประเทศ
ปีที่คนกวางจูรวมพลังต่อต้านเผด็จการทหารกันอย่างแข็งขัน
จนเกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ของพลเมืองและกองกำลังทหารติดอาวุธ
เหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยนองเลือดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเกาหลีใต้ที่ไม่มีใครกล้าลืม
แดฮุนหันมาจ้องหน้ายุนอา
ลึกลงไปในดวงตาเรียวเล็กที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายทศวรรษยังหลงเหลือความปวดร้าวจากเรื่องราวในอดีต
ยุนอาพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกที่เห็นผ่านนัยน์ตาคู่นั้นทำให้ริมฝีปากของเธอหนักอึ้ง
ทำได้แค่รอฟังคำบอกเล่าจากคนสูงวัยกว่าเท่านั้น
ซุนกยูและเพื่อน ๆ ที่ช่วยกันไปส่งคนเมาเข้านอนก็กลับมาทันประโยคถัดไป
เห็นความเงียบผิดปกติในวงเหล้าก็นึกแปลกใจ
แต่ซุนโฮและแทยอนให้ส่งสัญญาณให้ทั้งหมดเงียบเสียง
“วันสุดท้ายก่อนสลายการชุมนุม ....ยุนฮีตายวันนั้น” แดฮุนบีบขวดโซจูแน่นขึ้น
“ลุงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายุนฮีอยู่ที่ศาลากลาง ฯ คิดว่าเค้าปลอดภัยแล้ว
เพราะลุงเป็นคนขังยุนฮีไว้ในห้องเองกับมือ
ครั้งสุดท้ายที่เจอ เราทะเลาะกันแรงมาก
ลุงกับแม่ไม่ยอมให้เค้ามาร่วมขบวนประท้วงด้วย แค่ลุงคนเดียวก็เกินพอ”
น้ำเสียงของแดฮุนเริ่มสั่นเครือเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้
ภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตหวนกลับมาในความทรงจำเป็นฉาก ๆ
ลำคอตีบตันจนต้องผ่อนลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนเล่าต่อ
“แต่สุดท้าย เค้าก็หาทางหนีออกมาจนได้ ....ตอนเค้าตาย ไม่ได้สั่งลาใครสักคน....
พี่ชายกับน้องสาวมาเจอกันอีกทีก็ตอนที่คนหนึ่งกลายเป็นศพไปแล้ว”
แดฮุนปิดท้ายด้วยประโยคประชดประชันพร้อมแค่นยิ้มอย่างขมขื่น
หันมองยุนอาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ หากแต่ปราศจากหยดน้ำตา
บาดแผลกัดกินหัวใจเขาลึกจนเกินเยียวยา
ช่วงเวลาแค่สามทศวรรษไม่เพียงพอที่จะทำให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นถูกลืมเลือน
ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้าวูบหนึ่ง....
“ครบรอบวันตายของยุนฮีทุกปี แม่ยังร้องไห้กอดหลุมศพเค้าอยู่เลย”
ไม่มีการชดเชยใดที่คุ้มค่ากับการสูญเสียของครอบครัวผู้เคราะห์ร้าย
เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตลอดกาล
เหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไปนานแล้ว แต่ยังคงบาดแผลฉกรรจ์ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูต่างหน้า
แปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนชั่วชีวิต
“ขอบคุณจริง ๆ นะที่มา” แดฮุนวาดแขนขึ้นโอบไหล่ยุนอาแล้วกระชับแน่น
ราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกที่กักเก็บไว้มาที่เธอ ยุนอายังคิดคำพูดไม่ออก
พอ ๆ กับบรรดาคนรุ่นลูกที่นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ทำได้เพียงฉีกยิ้มกว้างให้แล้วพยักหน้ารับคำเท่านั้น
แดฮุนกระดกโซจูขวดเดิมอีกครั้งเหมือนต้องการชำระล้างความปวดร้าวในวันวานที่ยังฝังแน่นในใจ
“พวกเอ็งเงียบกันทำไม หือ?” ซุนโฮยื่นมือออกไปตบหลังแทอุนที่นั่งอยู่ใกล้มือที่สุด
ลดบรรยากาศหม่นหมองให้เบาบางลง โดยมีแดฮุนเป็นลูกคู่
“นั่นสิ ฟังจบแล้วก็เอากีตาร์มาร้องเพลงสิ จงฮยอน แทอุน” แดฮุนบอก
จงฮยอนกับแทอุนปั้นหน้าไม่ถูกในนาทีแรกก่อนหันไปมองหน้าปรึกษากันแล้วทำอย่างที่ผู้สูงวัยบอก
แทยอนมองใบหน้าที่เริ่มมีด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นอย่างไม่เข้าใจ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยหลุดออกจากปากของผู้เป็นบิดาแม้แต่ครั้งเดียว
แม้กระทั่งแทยอนเองก็ได้ฟังเรื่องนี้มาจากมารดาที่ถ่ายทอดให้ฟังอีกต่อหนึ่ง
วงเหล้ากลับมาครึกครื้นอีกหนพร้อมกับสมาชิกที่เหลืออยู่
ยุนอาหาจังหวะปลีกตัวออกมาเงียบ ๆ เพราะปวดศีรษะจนทนไม่ไหว
ซ้ำยังมีอีกหลายเรื่องต้องให้คิด อาศัยโซฟารับแขกในบ้านของซุนกยูแทนเตียงนอน
ดนตรีสดจากหน้าบ้านในยามค่ำคืนเสียงเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อสติดำดิ่งสู่ความมืดมิด
____________________________
สีเทา = เหตุการณ์ในอดีต
04 ร่องรอยของความจริง
“แกง่วงก็ไปนอนไปยุนอา มายืนหาวหวอด ๆ อยู่ได้ ทำงานก็อืดอาดอีก เกะกะว่ะ”
จงฮยอนยกกล่องบรรจุแอปเปิ้ลไปเก็บในโรงโกดัง
หลังจากที่ตนและเพื่อน ๆ ได้ช่วยกันคัดเลือกตามที่เจ้าของสวนสอนไว้
ไหล่แข็งแรงกระแทกใส่คนที่ผอมบางกว่าอย่างจงใจ
ซ้ำยังเอี้ยวคอกลับมาต่อว่าทั้งที่เดินห่างออกไปแล้วหลายเมตร
ยุนอาชักสีหน้าใส่จงฮยอนอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร
แค่ไม่ยอมทำตามที่เขาบอกเท่านั้นเอง นั่นคือวิธีการต่อต้านเงียบ ๆ ในฉบับของยุนอา
เหลือบมองไปยังม้านั่งในมุมหนึ่งของโกดัง เห็นแทยอนกำลังนั่งพิงผนังเอาแจ็คเก็ตคลุมหน้าเหมือนกำลังหลับอยู่
นั่นทำให้ยุนอาตัดสินใจง่ายขึ้น จะไม่ยอมนั่งพักแน่ ๆ แต่อาการหวัดกับง่วงนี่มันก็เล่นงานหนักเอาเรื่องอยู่
ก้าวต่ออย่างเชื่องช้าไปยังกองกล่องแอปเปิ้ลที่แทอุนกำลังลำเลียงเข้ามาวางไว้ให้จงฮยอน
อยู่ดี ๆ ก็เกิดอาการคันจมูกยิบ ๆ จนทนไม่ไหว จามใส่เพื่อนตัวสูงที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ไปหนึ่งที
“ฮัดชิ่ว!!”
“เฮ่ย! อะไรของแกวะ เดี๋ยวฉันก็ติดหวัดหรอก ไปนอนไป”
แทอุนเหล่มองแล้วโบกมือไล่หลังจากวางกล่องแอปเปิ้ลลง
ก่อนใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า
“ไม่ง่วง จะไล่อะไรนักหนา” เสี้ยงอู้อี้เถียงกลับคอเป็นเอ็น
แม้ว่าความจริงจะไม่ผิดจากที่แทอุนพูดนักก็ตาม
“ไม่อยากนอนอะไร แค่เดินแกก็จะหลับอยู่แล้ว” แทอุนส่ายศีรษะระอาแล้วเดินหนีไปเพื่อตัดรำคาญ
“ฉันว่าแกไปพักก่อนเถอะ นะ ทางนี้พวกฉันทำเองได้”
ฮโยยอนสนับสนุนความคำพูดของแทอุน ยุนอาก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อจนกระทั่งมีมือคู่หนึ่งยื่นมาแตะไหล่สองข้าง
“ไปเถอะยุนอา พักซะ อีกหน่อยก็เสร็จแล้ว จะได้กินข้าวกลางวันกัน”
ซอนฮวาเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน ไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่น้ำเสียงกระด้างไม่น่าฟัง
จึงทำให้ยุนอาลังเล
“เชื่อฉันนะ พักเอาแรงตอนบ่ายต้องไปช่วยปลูกชาที่ไร่พี่ซุนกยูอีก”
“โอเค ก็ได้” ยุนอาคล้อยตามซอนฮวาอย่างง่ายดาย
ยอมให้เพื่อนพาไปที่ม้านั่งตัวเดียวกันกับแทยอน แต่ยุนอานั่งอยู่อีกฝั่งห่างกันเป็นเมตร
ไม่แม้แต่จะเหลือบมองคนหลับ หมางเมินเหมือนอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ
ควานมือหาขวดน้ำบนม้านั่งขึ้นมาดื่มดับกระหาย ถอดเสื้อตัวนอกออกคลุมศีรษะ
ขาเหยียดยาวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นกอดอกแล้วเอนพิงกับผนังซีเมนต์อย่างที่แทยอนกำลังทำ
เมื่อคืนแทยอนก็คงไม่ค่อยได้นอนเหมือนกันกับยุนอาถึงได้หลับจนไม่รู้เรื่อง
บทสนทนาสั้น ๆ ที่คุยกับแดฮุนในสวนแอปเปิ้ลยังวนเวียนรบกวนจิตใจ
อยากรู้รายละเอียดมากกว่านั้นแต่ไม่กล้าถาม
แต่จะให้ถามแทยอนแทนน่ะเหรอ? ไม่มีทางซะล่ะ
ครุ่นคิดวุ่นวายอยู่เพียงไม่กี่นาทีก็ผล็อยหลับ ลมหายใจของยุนอาก็ผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ
ต่างกันที่แทยอนรู้สึกตัวตื่นได้สักพักแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่ยุนอากับแทอุนทุ่มเถียงกันอยู่
ได้ยินชัดทุกคำพูด เพียงแต่ไม่ได้ขยับตัว ลมหายใจอุ่นถูกผ่อนออกมายืดยาวอย่างหนักใจ
“ดูพวกมันดิ” ซุนกยูชี้ชวนให้เพื่อนกับน้อง ๆ มองไปทางยุนอากับแทยอน ทุกคนทำหน้าเหนื่อยหน่ายไม่ต่างกัน
“กูล่ะเบื่อ” ฮโยยอนสบถอย่างระอาก่อนก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
.
.
.
แดดยามบ่ายจัดจ้าจนต้องหรี่ตาลงเมื่อมองออกไปในที่ไกล ๆ
หมวกปีกกว้างที่สวมกันแดดไม่ได้ช่วยลดความร้อนระอุลงเท่าไหร่
ไร่ชาแบบขั้นบันไดที่เพิ่งเอาต้นอ่อนมาลงปลูกเสร็จสิ้นไปเกินครึ่งแล้ว
เหลือก็แต่ส่วนที่แทยอนกับเพื่อน ๆ ยืนอยู่ หลายคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่เหนือหลุมปลูก
แม้จะเหงื่อไหลจนชุ่มแต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
มีคุยเล่นหยอกล้อกันบ้างตามประสา
จะเว้นก็แต่ยุนอาที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาอย่างคนอื่น ปลูกชาเงียบ ๆ อยู่คนเดียว
ทั้งที่ตนเองก็กำลังเป็นหวัด ตากแดดแรง ๆ เดี๋ยวก็ล้มป่วยลงไปอีก
พวกแทอุนห้ามไว้แล้วก็ดื้อดึงไม่ยอมฟัง ดึงดันทำตามใจตนเองอย่างน่าโมโห
ขยันขนาดนี้ให้ปลูกเองคนเดียวทั้งไร่ดีกว่ามั้ง แทยอนแอบค่อนขอดอยู่ในใจ
“อากาศร้อนเนอะ” ซุนกยูบ่น เอามืออังหน้าผากเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์อย่างค้อนเคือง
“เอาน้ำหน่อยมั้ยซุนกยู” ฮโยยอนเอ่ยถาม ยื่นขวดน้ำที่เริ่มจะหายเย็นไปให้เจ้าของไร่ชา
“ขอบใจนะ” ซุนกยูฉวยขวดน้ำจากมือเพื่อนสนิทมาดื่มดับกระหาย ก่อนพูดต่อ
“เออนี่พวกแก เสร็จจากนี่พ่อฉันบอกจะเลี้ยงใหญ่แหละ เหล้ายาปลาปิ้งไม่อั้น”
ประโยคบอกเล่าที่ทำให้คนทั้งหมดเฮลั่นไร่ชาด้วยความยินดี
ทำงานหนักมาทั้งวันได้กับข้าวอร่อย ๆ บวกกับสุราอีกสักนิดสักหน่อยคงลืมความเหน็ดเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“สมกับที่ถูกใช้แรงงานมาทั้งวันหน่อย” ซูยองกระเซ้า
เหล่มองแทยอนและซุนกยูด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แก ไม่ต้องมองพี่อย่างนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเลี้ยงเอง”
แทยอนตัดบทเหมือนรู้เท่าทันความคิดของรุ่นน้องจอมตะกละ
“มันต้องอย่างนี้สิครับพี่สาวที่รักของผม”
จงฮยอนเข้าไปกระแซะแทยอนอย่างกหยอกล้อตามประสาคนคุ้นเคย
แต่บางคำในประโยคสร้างความไม่พอใจให้คนที่บังเอิญได้ยินจนเผลอย่นหัวคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากชาต้นอ่อนที่นำมาปลูกต่อในหลุม
“ไม่ต้องเลยแก เห็นแก่น้ำเมาล่ะสิ” แทยอนเบะปากเหน็บแนม
“ไม่ใช่ซักหน่อย กองทัพต้องเดินด้วยท้องต่างหาก”
จงฮยอนยักคิ้วให้หนึ่งทีก่อนเดินกลับไปประจำที่ของตนอย่างเดิม
“เงียบไปมั้ยครับคุณ เหนื่อยล่ะสิ พักมั้ย? จะเป็นลมบอกผมได้นะ”
แทอุนเดินมาสัพพอกใกล้ ๆ พอให้ยุนอาหงุดหงิดเล่นแล้วเดินโฉบหนีไปเฉย ๆ
“ไอ้....” ยุนอาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันทำปากขมุบขมิบไล่หลังเพื่อนตัวโต ด้วยนึกคำต่อว่าไม่ทัน
สายตาเผลอเหลือบไปมองร่างเล็ก ๆ ของใครอีกคนอยู่เรื่อย ๆ ด้วยความเคยชิน
ก็ดูยิ้มแย้มมีความสุขดี ไม่ได้มารับรู้ว่าใครกำลังจะเป็นจะตายหรอก
.
.
.
บ้านของซุนกยูดูจะวุ่นวายกว่าทุกวันเมื่อมีแขกกลุ่มใหญ่มาเยี่ยมเยือน
เสียงร้องรำทำเพลงเริ่มขึ้นตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน
จนกระทั่งตอนนี้ที่ความมืดเริ่มโรยตัว บรรยากาศโดยรอบมืดสนิท
ไฟในบ้านก็ถูกเปิดไว้หลายดวงเพื่อให้แสงสว่างและอำนวยความสะดวกแก่เหล่านักดื่ม
โดยมีประมุขของบ้านอีเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงขนาดย่อมครั้งนี้
กีตาร์โปร่งกลางเก่ากลางใหม่ตัวหนึ่งถูกแทอุนใช้เคาะแทนกลอง
ส่วนอีกตัวที่ดูใหม่กว่าถูกบรรเลงโดยฝีมือของจงฮยอน
ม้านั่งหน้าบ้านใต้ต้นไม้ใหญ่มีที่มากพอให้คนนับสิบได้ร่วมสังสรรค์กันอย่างไม่ต้องเบียดเสียด
บทเพลงร่วมสมัยอาจไม่เหมาะกับกลุ่มที่มีผู้สูงวัยรวมอยู่ด้วย
นักดนตรีจำเป็นจึงเลือกเฉพาะเพลงเก่า ๆ ที่เคยโด่งดังในอดีตมาขึ้นมาขับร้อง
เพื่อทำให้ทุกคนร่วมสนุกไปด้วยกันได้โดยแบ่งแยกวัย
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากชนิดวางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ
ทั้งโซจู เบียร์ และไวน์คูลเลอร์ ส่วนน้ำอัดลมที่ไร้แอลกอฮอล์ก็มีอยู่บ้างแต่ถือเป็นส่วนน้อย
ใต้ม้านั่งมีขวดเปล่ากองทับถมกันสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
“แดฮุน แกจำได้มั้ย เพลงที่แกร้องจีบเมียแกสมัยก่อนน่ะ ตอนเจอกันใหม่ ๆ”
อี ซุนโฮ ผู้อาวุโสสุดในกลุ่มกล่าวขึ้น มือเหี่ยวย่รยกขึ้นชี้หน้าแดฮุน
รุ่นน้องที่เคยคบหากันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น ชายสูงวัยผู้มากด้วยอารมณ์ขันเริ่มพูดเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
จากระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“จำได้ครับ ไม่ลืมหรอก จำได้แม้กระทั่งตอนที่จินฮีไล่ตะเพิดผมด้วย”
แดฮุนหัวเราะร่วน กระดกเหล้าในจอกขึ้นดื่มขณะรำลึกความหลัง
เด็กรุ่นลูกที่รายล้อมอยู่ต่างประหลาดใจกับคำบอกเล่าของผู้สูงวัย
จะมีก็แต่แทยอนเท่านั้นที่อมยิ้มขบขัน
เพราะเรื่องน่าอับอายของบิดาเมื่อครั้งที่พบรักกับมารดาของเธอใหม่ ๆ แทยอนได้ฟังมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง
อีกคนที่ดูจะสนุกสนานไปกับวีรกรรมในอดีตของแดฮุนก็คือซุนโฮผู้เริ่มเรื่องนั่นเอง
“ทำไมล่ะครับ แค่ร้องเพลงจีบทำไมถึงถูกไล่กลับมาล่ะ?”
จงฮยอนเอามือวางบนกีตาร์ ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ
ซุนโฮระเบิดหัวเราะลั่นจนน้ำหูน้ำตาไหลเหมือนจงฮยอนพูดจี้จุด
พลอยทำให้แทยอนและแดฮุนขำตามไปด้วย กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ก็เกือบนาที
“ก็แดฮุนมันขี้เมาไง ดึกดื่นค่อนคืนไปตะโกนร้องเพลงโหวกเหวกอยู่หน้าบ้านเค้า
ไม่โดนลูกปืนก็ดีเท่าไหร่ ห้ามแล้วมันก็ไม่ยอมฟัง”
ซุนโฮซับน้ำตาที่เล็ดออกมาทางหางตาหลังจากเล่าเรื่องน่าขายหน้าของแดฮุนด้วยเสียงอันดัง
ก่อนจะระเบิดหัวเราะทิ้งท้ายอีกรอบ ชวนให้คนรุ่นลูกขำตามอย่างอดไม่อยู่
จากนั้นแดฮุนจึงปรบมือขึ้นต้นเพลงรักจังหวะสนุก ๆ ในช่วงกลางยุค 80
เพลงที่เขาเคยใช้ร้องจีบมารดาของแทยอน แม้คราวนั้นจะล้มไม่เป็นท่าก็ตาม
แทยอนอดที่จะเหลือบมองคนที่นั่งชิดกับบิดาของตนไม่ได้
ในใจก็นึกห่วงเมื่อเห็นรอยยิ้มฝืด ๆ บนใบหน้าซีดเซียว
คล้ายกับว่ายุนอากำลังอดทนอยู่กับความทรมานบางอย่าง
บางครั้งก็นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดยามที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
อยากเข้าไปถามไถ่อาการอยู่หรอก
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อยุนอาไม่ยอมรับความหวังดีใด ๆ ที่แทยอนหยิบยื่นให้
เธอเองก็ต้องสร้างเกราะป้องกันความรู้สึกของตนเองบ้าง
เรื่องอะไรจะเสนอหน้าไปให้คนอื่นทำลายน้ำใจของตนบ่อย ๆ
บทเพลงจากอดีตถูกนำมาขับขานผสานกับเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงจากปากของผู้อาวุโส ทำให้วงสนทนายิ่งออกรส
สีหน้าของผู้สูงวัยดูอิ่มเอิบราวกับได้ย้อนกลับไปอยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้นอีกครั้ง
เรื่องตลกขบขัน ตื่นเต้นผจญภัยไปจนถึงเรื่องราวสยองขวัญน่าสะพรึงกลัว
กำลังพรั่งพรูออกมาจากประมุขของสองตระกูลเหมือนเปิดสวิตช์
ทั้งที่ประสบพบพานด้วยตนเองและเรื่องที่ฟังมาจากญาติสนิทมิตรสหายอีกต่อหนึ่ง
ยิ่งยามที่เหล้าเข้าปากด้วยแล้วอะไรก็ห้ามไม่อยู่
ลมเอื่อย ๆ ในหน้ามรสุมพัดเอาความเย็นชื้นผ่านมาเป็นครั้งคราว
ลำแสงเล็กแลบแปลบปลาบอยู่ลิบ ๆ บนขอบฟ้าทางทิศตะวันตก
เสียงฟ้าคำรามแว่วมาจากทิศทางเดียวกันเหมือนยังอยู่อีกไกล
แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงสายลมคงพัดพาเอาเม็ดฝนสาดซัดมาถึงที่นี่
บรรยากาศในยามค่ำคืนของแถบชานเมืองคงเงียบเหงากว่านี้
หากปราศจากกลุ่มคนที่ร้องรำทำเพลงดังสนั่นจากบ้านของซุนกยู
ความสนุกสนานที่เจือกลิ่นอายของความทรงจำลอยอบอวลอยู่รอบกาย
กระทั่งคนที่เกิดทีหลังยังรู้สึกอย่างเดียวกัน
.
.
.
2 ปีก่อน
แทยอนรับถาดมาจากแม่ครัวในโรงอาหารมาถือไว้แล้วถอยห่างจากหน้าร้าน
ยืนชะเง้อคอมองไปรอบ ๆ เหมือนกำลังรอคอยใครสักคน
เห็นหน้ากันแทบทุกวันจนกลายเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว ต้องคอยมองหาทุกทีที่ห่างสายตา
“หาใครวะแทยอน ไม่กินข้าวเรอะ?“ จินกิถือถาดอาหารผ่านมาพอดี
เห็นเพื่อนยืนหันรีหันขวางอยู่กลางโรงอาหารจึงสะกิดแล้วชี้ไปยังโต๊ะที่มีเพื่อนของตนนั่งอยู่รายรอบ
“เปล่า ๆ ไปละ ๆ” ว่าแล้วก็เดินตามหลังชายหนุ่มไป แต่ไม่วายกวาดตาไปทั่วโรงอาหารอีกหน
“มาเลย นั่งนี่ ๆ” พอเดินมาถึงโต๊ะแทยอนก็ถูกลากไปนั่งข้างจาง อูยอง
เพื่อนร่วมคณะที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกันนัก แต่พอรู้จากท่าทีว่าเขากำลังตามจีบเธออยู่ และเป็นมาได้สักระยะแล้ว
แทยอนเหลือบมองคนข้าง ๆ ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
ก่อนไล่สายตามองเพื่อนสนิทในกลุ่มเพื่อจับพิรุธ
เพื่อหาว่าใครเป็นคนชวนอูยองมาทานข้าวกลางวันด้วย
“แทยอน หวัดดี นั่งด้วยคนนะ” อูยองเอ่ยทักเพื่อกู้สถานการณ์เมื่อเห็นว่าแทยอนมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ
แทยอนกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อถูกทักทายไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะตอบรับในวินาทีถัดมา
“เอ้อ หวัดดี อูยอง เอาสิกินด้วยกัน .. แต่แปลกเนอะไม่ไปกับเพื่อนเหรอวันนี้?”
อดไม่ได้ต้องถามออกไปเพราะความอยากรู้ ในใจแอบเคืองอยู่นิดหน่อยที่ยังจับตัวผู้ต้องหาในกลุ่มเพื่อนไม่ได้
แกล้งตีหน้าซื่อได้แนบเนียนเหลือเกินนะแต่ละคน
“ไม่ล่ะ เบื่อพวกมัน อยากเปลี่ยนบรรยากาศน่ะ”
แทยอนฟังที่อูยองตอบแล้วต้องรีบเบือนหน้าหนี
แสร้งทำเป็นสนใจข้าวกลางวันในถาดแทน
แม้สายตาที่มองมาไม่ได้หวานหยดจนน่าขนลุก
แต่ก็มากพอที่จะทำให้แทยอนรู้สึกกระอักกระอ่วน
แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางโรงอาหารห่างออกไปไกลพอสมควร
เห็นแล้วก็อดมองไม่ได้
ยุนอาคงจะหิวมากถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาจ้วงข้าวเข้าปากโดยไม่สนใจเพื่อนที่ส่งเสียงคุยกันจอแจรอบข้าง
แทยอนเผลอระบายยิ้มบาง ๆ อย่างนึกเอ็นดู กับข้าวในโรงอาหารอย่างเดิม ๆ เริ่มอร่อยขึ้นมาบ้าง
ยุนอาเหมือนจะรู้สึกตัวว่าถูกแอบมองอยู่ ใบหน้าใสเงยขึ้นจากถาดอาหารแล้วสบตากับแทยอนเข้าพอดี
หลบตาไม่ทันก็จำต้องส่งยิ้มไปให้แก้เก้อ ยุนอาชะงักนิดหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มหวากว่าส่งกลับมาให้
คนมองหัวใจพองโตจนล้นอก ชนิดที่ไม่ต้องทานข้าวก็อิ่ม
“แกยิ้มให้ใครวะยุนอา”
จงฮยอนเอ่ยถามแล้วมองหน้ายุนอาสลับกับทิศทางที่ดวงตาใสจดจ้องอยู่
แต่กลับไม่พบใครเลยสักคนในบริเวณนั้น
“ไม่มีอะไรหรอก เพื่อนน่ะ”
ยุนอาโกหกคำโตแล้วก้มหน้าทานอาหารกลางวันของตนต่อไป
แต่ใบหน้าที่ก้มต่ำยังเจือรอยยิ้มบาง ๆ ด้วยความปลาบปลื้ม
“อ้าว นั่นพี่แทยอนกับพี่ฮโยยอนนี่”
จงฮยอนท้วงทำให้ยุนอาแทบสำลักที่เพื่อนของตนตาไวเกินจำเป็น
ร้อนตัวเพราะคิดไม่ซื่อกับเจ้าของชื่อ
ทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีใครตั้งข้อสังเกต เพราะยุนอาเก็บอาการได้แนบเนียนทุกครั้ง
“ไหนอะ” ซูยองเอ่ยถาม ชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่นไง”
“โอ๊ะ.. อยู่กับพี่อูยองซะด้วย ได้ข่าวว่าคนนี้แหละที่ตามจีบพี่แทยอน”
ซูยองเจ้ากรมข่าวลือประจำกลุ่มเริ่มกระซิบกระซาบ
“จริงเหรอ แล้วพี่แทยอนชอบพี่อูยองไหม?”
ดูเหมือนซูยองจะได้เพื่อร่วมนินทาอีกคนเมื่อซอนฮวาขยับเข้าใกล้และถามด้วยความสนใจ
ยุนอาทำเป็นไม่อยากรู้ไปอย่างนั้นแต่ในใจกลับร้อนรุ่มจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้
ผิดจากท่าทีที่แสดงออกอย่างสิ้นเชิง
“ไม่รู้สิ แต่มานั่งกินข้าวด้วยกันนี่ชักจะยังไง ๆ อยู่นา..” ซูยองตั้งข้อสังเกต
ประโยคบาดความรู้สึกนั้นทำให้ข้าวกลางวันของยุนอาฝืดคอขึ้นมาทันที
ความอยากอาหารลดลงไปกว่าครึ่ง
“งี้รุ่นพี่แทยอนก็ขายออกแล้วดิ”
แทอุนสัพยอกรุ่นพี่ร่วมชมรมที่นั่งทานข้าวไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่อีกฝั่งของโรงอาหาร
“ฉันว่าคู่นี้ก็เหมาะกันดีนะ น่าจะได้กันไว ๆ นะ
จะได้ไม่ต้องมาฟังไอ้พวกนี้มันนั่งซุบซิบกันเป็นแมงหวี่แมงวันอยู่แถวนี้”
จงฮยอนว่ากระทบเพื่อนขาเมาท์
ขณะตักข้าวเข้าปาก ทำให้คนพูดได้รับแจกค้อนวงใหญ่จากสองสาวผู้เป็นเจ้าทุกข์
แต่คำที่พูดออกไปส่ง ๆ เพราะความรำคาญนั้นกลับสร้างความกังวลให้ยุนอามากเป็นทวีคูณ
หากว่าเขาต้องคนคบกันจริง ๆ ล่ะ?
คิดแล้วก็ทอดถอนใจอยู่คนเดียวอย่างทดท้อเมื่อนึกถึงสภาพความเป็นจริง
เธอไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวแทยอนเลยสักนิด
หากสองคนนั้นคบกันแล้วยังไงล่ะ? แกจะห้ามเค้าได้เหรอยุนอา?
.
.
.
“ถ้าใครกลับไม่ไหวก็นอนนี่นะ ในบ้านยังพอจะมีที่ว่างให้พวกแกซุกหัวนอนอยู่”
ซุนกยูผ่ากลางวงเหล้าด้วยความคะนองปาก คนพูดคงกำลังตึงได้ที่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
โซจูที่ซื้อมาตุนไว้ตั้งแต่ช่วงกลางหมดไปเกินสองโหล
และบางคนในกลุ่มก็คอพับคออ่อนจนแทบฟุบหลับคาโต๊ะ นั่นก็คือซอนฮวากับซูยอง
ส่วนผู้อาวุโสดูเหมือนจะคุยกันจนติดลม เสียงเพลงจากกีตาร์ลดความถี่ลงและหันมาสนทนากันมากขึ้น
“ซุนกยู ฉันว่าพาพวกมันไปนอนเหอะ ดูสิ มันไปโลกอื่นแล้วนั่น”
แทยอนมองรุ่นน้องของตนอย่างระอา เห็นภาพแล้วอนาถแทน อีกอย่างเธอก็เกรงใจผู้ใหญ่ด้วย
“งั้นมาช่วยกันหน่อย” ซุนกยูผุดลุกขึ้นพรวดพราด
ตรงเข้าไปหาซอนฮวาแล้วขอความช่วยเหลือจากเพื่อน
“มาผมช่วย” จงฮยอนอาสาหิ้วปีกซอนฮวาอีกข้าง
เขาเป็นผู้ชายมีแรงมากกว่าช่วยผ่อนกำลังซุนกยูได้เยอะทีเดียว
ร่างของซอนฮวาถูกพาออกไปทั้งที่คนเมายังทำท่าจะคว้าแก้วไม่อยากเลิกรา
ส่วนซูยองกำลังถูกแทอุนกล่อมให้ยอมเข้าไปพักในบ้านของซุนกยูด้วยกัน
“ไปเหอะ พรุ่งนี้ยังมีอีกนะเว่ย เชื่อฉัน ค่อยกินอีก”
“ม่าย.. ไม่ ไม่ไป” ซูยองโบกมือไปมากลางอากาศไม่ยอมท่าเดียวจนแทอุนอ่อนใจ
หันไปมองพี่สาวอีกสองคนเพื่อขอความช่วยเหลือ
“งั้นแกพาพี่ไปเอาของกินในครัวหน่อยสิ ในจานหมดแล้วเห็นมั้ย?”
ฮโยยอนล่อหลอก ยกจานเปล่าขึ้นให้ซูยองดู ก่อนขยับเข้าไปกระตุกแขนยาว ๆ เพื่อคะยั้นคะยอ
คนเมาเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่คนสนิท ตาปรือ ๆ จะหลับมิหลับแหล่ ก่อนพยักหน้าหงึกหงัก
พยายามดันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยอาการโซซัดโซเซ
แทอุนกับฮโยยอนรีบถลาเข้าไปช่วยแล้วพาออกไปจากวงเหล้าอีกคน
“โล่งอกไปที” แทยอนพึมพำหลังจากนั่งลุ้นแทบแย่
แอบเหลือบมองคนที่ไม่เมาแต่อาการน่าเป็นห่วงพอกัน
“พอพวกนั้นไปก็เงียบเชียว แทยอน ทำไมวันนี้ไม่ค่อยคุยเลยล่ะ”
ซุนโฮตั้งข้อสังเกตกับหลานสาว มือหยาบกร้านตบลงไปบนไหล่เล็กด้วยแรงที่ไม่เบานัก
แทยอนถึงกับสะดุ้งนิ่วหน้าน้อย ๆ ด้วยความเจ็บ
แต่ผู้สูงวัยคงไม่ทันเห็น เธอรีบปรับสีหน้าส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้แทน
“เริ่มมึนนิดหน่อยค่ะคุณลุง”
“มึนอะไรกัน ไม่ค่อยเห็นดื่มอะไรเลย” ซุนโฮส่ายหน้าช้า ๆ พร้อมหัวเราะร่วนอย่างไม่อยากเชื่อ
ยุนอาเหลือบมองสีหน้าแทยอนแว้บเดียวก่อนนั่งจับเจ่ามองไปที่แก้วของตนอย่างเดิม
รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนไม่ค่อยสบาย เริ่มปวดหัวนิด ๆ จนต้องยกมือขึ้นเท้าคางเพื่อพยุงศีรษะไว้
แต่ก็ปลีกตัวไปไหนไม่ได้อีกเพราะแดฮุนรั้งตัวไว้ไม่ยอมปล่อย
ลำแขนแข็งแรงยกขึ้นมาพาดไหล่ยุนอาอยู่บ่อยครั้ง
ทำเหมือนเธอเป็นน้องสาวของเขาจริง ๆ ยังไงอย่างงั้น
“หนูดื่มไม่ค่อยเก่งน่ะค่ะ สู้ซุนกยูมันไม่ได้หรอก”
“อันนี้ผมเห็นด้วย แทยอนมันไม่ค่อยชอบแอลกอฮอล์ ไม่เหมือนพ่อมัน”
พูดแล้วก็ระเบิดหัวเราะลั่นจนดังเข้าไปถึงในบ้าน แทยอนอมยิ้มตาม
นานแล้วที่เธอไม่เห็นบิดาดูมีความสุขอย่างวันนี้
และถ้าจำไม่ผิดครั้งสุดท้ายที่เห็นผู้เป็นบิดาดื่มจนเมามายไม่ได้สติก็เมื่อห้าปีก่อน
ตอนที่คุณปู่เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา แต่หลังจากนั้นก็แค่ดื่มเพื่อเข้าสังคมพอเป็นพิธีเท่านั้น
คงเป็นเพราะยุนอามาที่นี่ถึงได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น เลยถือโอกาสนี้ดื่มฉลองเสียเลย
“แหงล่ะ ตอนน้องแกตายแกติดเหล้าเลยนี่หว่า
เพิ่งมาเลิกเอาตอนคบกับจินฮี ไม่งั้นป่านนี้แทยอนกับจีอุงไม่ได้เกิดหรอก”
ยุนอายืดตัวขึ้นเหลือบมองซุนโฮสลับกับแดฮุนอย่างสนใจ รอฟังเรื่องราวที่ตนสงสัยจากผู้อาวุโส
“พี่ก็พูดเกินไป อายเด็กมัน” แดฮุนส่ายหน้ายิ้ม ๆ
ก่อนหยิบโซจูมากระดกดื่มทั้งขวดหลายอึก ยุนอาเห็นแล้วยังต้องเบ้หน้า
“ยุนอาอยากรู้รึเปล่าว่ายุนฮีตายยังไง?”
แดฮุนเอ่ยถามขึ้นไม่ทันตั้งตัวหลังจากวางโซจูขวดเล็กลง เหมือนล่วงรู้ความคิดของยุนอา
“ค่ะ” ยุนอาตอบหลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ถึงไม่อยากจะไปแตะต้องบาดแผลในใจของแดฮุน
แต่ยุนอาก็อยากรู้ความเป็นมาเช่นกัน
ในเมื่อเจ้าของเรื่องเสนอทางเลือกมาให้ ยุนอาก็ขอรับเอาไว้
“รู้ใช่มั้ยว่าปี 1980 เกิดอะไรขึ้นที่นี่”
“รู้ค่ะ” ยุนอาพยักหน้ารับ นึกถึงเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งประเทศ
ปีที่คนกวางจูรวมพลังต่อต้านเผด็จการทหารกันอย่างแข็งขัน
จนเกิดการปะทะกันครั้งใหญ่ของพลเมืองและกองกำลังทหารติดอาวุธ
เหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยนองเลือดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเกาหลีใต้ที่ไม่มีใครกล้าลืม
แดฮุนหันมาจ้องหน้ายุนอา
ลึกลงไปในดวงตาเรียวเล็กที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายทศวรรษยังหลงเหลือความปวดร้าวจากเรื่องราวในอดีต
ยุนอาพูดอะไรไม่ออก ความรู้สึกที่เห็นผ่านนัยน์ตาคู่นั้นทำให้ริมฝีปากของเธอหนักอึ้ง
ทำได้แค่รอฟังคำบอกเล่าจากคนสูงวัยกว่าเท่านั้น
ซุนกยูและเพื่อน ๆ ที่ช่วยกันไปส่งคนเมาเข้านอนก็กลับมาทันประโยคถัดไป
เห็นความเงียบผิดปกติในวงเหล้าก็นึกแปลกใจ
แต่ซุนโฮและแทยอนให้ส่งสัญญาณให้ทั้งหมดเงียบเสียง
“วันสุดท้ายก่อนสลายการชุมนุม ....ยุนฮีตายวันนั้น” แดฮุนบีบขวดโซจูแน่นขึ้น
“ลุงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายุนฮีอยู่ที่ศาลากลาง ฯ คิดว่าเค้าปลอดภัยแล้ว
เพราะลุงเป็นคนขังยุนฮีไว้ในห้องเองกับมือ
ครั้งสุดท้ายที่เจอ เราทะเลาะกันแรงมาก
ลุงกับแม่ไม่ยอมให้เค้ามาร่วมขบวนประท้วงด้วย แค่ลุงคนเดียวก็เกินพอ”
น้ำเสียงของแดฮุนเริ่มสั่นเครือเมื่อเล่ามาถึงตรงนี้
ภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดในชีวิตหวนกลับมาในความทรงจำเป็นฉาก ๆ
ลำคอตีบตันจนต้องผ่อนลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนเล่าต่อ
“แต่สุดท้าย เค้าก็หาทางหนีออกมาจนได้ ....ตอนเค้าตาย ไม่ได้สั่งลาใครสักคน....
พี่ชายกับน้องสาวมาเจอกันอีกทีก็ตอนที่คนหนึ่งกลายเป็นศพไปแล้ว”
แดฮุนปิดท้ายด้วยประโยคประชดประชันพร้อมแค่นยิ้มอย่างขมขื่น
หันมองยุนอาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ หากแต่ปราศจากหยดน้ำตา
บาดแผลกัดกินหัวใจเขาลึกจนเกินเยียวยา
ช่วงเวลาแค่สามทศวรรษไม่เพียงพอที่จะทำให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นถูกลืมเลือน
ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้าวูบหนึ่ง....
“ครบรอบวันตายของยุนฮีทุกปี แม่ยังร้องไห้กอดหลุมศพเค้าอยู่เลย”
ไม่มีการชดเชยใดที่คุ้มค่ากับการสูญเสียของครอบครัวผู้เคราะห์ร้าย
เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตลอดกาล
เหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไปนานแล้ว แต่ยังคงบาดแผลฉกรรจ์ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ให้ดูต่างหน้า
แปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนชั่วชีวิต
“ขอบคุณจริง ๆ นะที่มา” แดฮุนวาดแขนขึ้นโอบไหล่ยุนอาแล้วกระชับแน่น
ราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกที่กักเก็บไว้มาที่เธอ ยุนอายังคิดคำพูดไม่ออก
พอ ๆ กับบรรดาคนรุ่นลูกที่นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ทำได้เพียงฉีกยิ้มกว้างให้แล้วพยักหน้ารับคำเท่านั้น
แดฮุนกระดกโซจูขวดเดิมอีกครั้งเหมือนต้องการชำระล้างความปวดร้าวในวันวานที่ยังฝังแน่นในใจ
“พวกเอ็งเงียบกันทำไม หือ?” ซุนโฮยื่นมือออกไปตบหลังแทอุนที่นั่งอยู่ใกล้มือที่สุด
ลดบรรยากาศหม่นหมองให้เบาบางลง โดยมีแดฮุนเป็นลูกคู่
“นั่นสิ ฟังจบแล้วก็เอากีตาร์มาร้องเพลงสิ จงฮยอน แทอุน” แดฮุนบอก
จงฮยอนกับแทอุนปั้นหน้าไม่ถูกในนาทีแรกก่อนหันไปมองหน้าปรึกษากันแล้วทำอย่างที่ผู้สูงวัยบอก
แทยอนมองใบหน้าที่เริ่มมีด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นอย่างไม่เข้าใจ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยหลุดออกจากปากของผู้เป็นบิดาแม้แต่ครั้งเดียว
แม้กระทั่งแทยอนเองก็ได้ฟังเรื่องนี้มาจากมารดาที่ถ่ายทอดให้ฟังอีกต่อหนึ่ง
วงเหล้ากลับมาครึกครื้นอีกหนพร้อมกับสมาชิกที่เหลืออยู่
ยุนอาหาจังหวะปลีกตัวออกมาเงียบ ๆ เพราะปวดศีรษะจนทนไม่ไหว
ซ้ำยังมีอีกหลายเรื่องต้องให้คิด อาศัยโซฟารับแขกในบ้านของซุนกยูแทนเตียงนอน
ดนตรีสดจากหน้าบ้านในยามค่ำคืนเสียงเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อสติดำดิ่งสู่ความมืดมิด
____________________________
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น