ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SHORT FICTION] ゙KRIS ❤ SICA •{EXO SNSD}•

    ลำดับตอนที่ #5 : [Short Fic] Magic Moment [Kris x Sica] :: 02 นาทีสิ้นคำสาป

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 56


    02 นาทีสิ้นคำสาป

     

     

                เคหะสถานอันโอ่อ่าของจอมขมังเวทย์ในเวลากลางวันนั้นมีเพียงความเงียบเหงา เหล่าข้ารับใช้ดูเหมือนไม่ค่อยกล้ามาสุงสิงด้วยนัก อาจเป็นเพราะฐานันดรที่แตกต่างคนเหล่านั้นถึงได้เว้นระยะห่างกับนางอย่างเคร่งครัด มาอยู่ในฐานะอาคันตุกะคนพิเศษของท่านริวเมอร์รัสย่อมถูกปฏิบัติเช่นเดียวกันกับผู้เป็นนายอันนั้นนางทราบดี แต่เป็นเช่นนี้แล้วก็ออกจะเกินไปสักหน่อย

     

    กว่าสัปดาห์ที่แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าเบื่อหน่าย สวนสวยด้านหลังคฤหาสน์หลังงามนางก็เดินสำรวจไปจนทั่วทุกตารางเมตร ให้หลับตาเดินก็ยังได้ คราแรกก็รู้สึกว่าสวนพฤกษชาติที่เต็มไปด้วยหมู่ไม้นานาพรรณนั้นกว้างขวางและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แต่พอผ่านสามสี่วันแรกไปเท่านั้นก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อพบแต่สิ่งซ้ำซากจำเจ

     

    ส่วนผู้เป็นเจ้าของนั้นก็มักหายตัวไปในเวลากลางวัน กลับมาทีก็เมื่อเวลาล่วงเข้าพลบค่ำ นางไม่อาจล่วงรู้ว่าเขามีกิจธุระอันใด เพราะไม่เคยถามและไม่คิดยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ที่ทำให้กลัดกลุ้มจนคิ้วเรียวบางขมวดเป็นปมยุ่งนั่นก็เพราะนางคาดเดาชะตากรรมของตนไม่ได้ คริสไม่เคยเอ่ยถึงการถอนคำสาปที่นางนึกกลัวเลยนับตั้งแต่วันนั้น จนคิดว่าเขาคงเปลี่ยนใจและคงจะปล่อยเธอไปในเร็ววัน ทว่าจนแล้วจนรอดก็ยังติดอยู่ในอาณาเขตแห่งมนตราที่คริสร่ายเอาไว้ แม้ตัวจะอยู่ไกล หากแต่พลังเวทย์นั้นยังคงอยู่และเจสสิก้าไม่มีกำลังพอที่จะต้านทานมันได้

     

    ลมหายใจร้อนระบายออกมาอย่างกลัดกลุ้ม นัยน์ตาสีอ่อนกำลังสำรวจเทวรูปของเหล่าทวยเทพที่สถิตบนยอดเขาโอลิมปัสและเทพชั้นรองที่ประดับตกแต่งรอบน้ำพุเล็ก ๆ กลางสวน รวมไปถึงรูปปั้นของสรรพสัตว์ในตำนาน ประติมากรรมชั้นยอดที่เห็นอยู่ต่อหน้าคงเป็นผลงานของประติมากรฝีมือดีในเฮลิออส สีสันที่แต่งแต้มลงไปทำให้รูปปั้นคล้ายกำลังเคลื่อนไหวได้ ผู้มีอาคมแก่กล้าหลายคนเล่าว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีอยู่จริง หากแต่นางไม่เคยประสบพบเจอด้วยตนเองมาก่อนในชีวิต ด้วยพลังเวทย์อันน้อยนิดจึงไม่อาจดั้นด้นไปถึงแหล่งที่อยู่ของบรรดาสรรพสัตว์ได้

     

    เสียงกำไลข้อมือทองคำขาวที่สวมใส่อยู่ประจำกระทบกันทุกคราวที่ขยับกาย ร่างอรชรเคลื่อนเข้าใกล้ศาลาหลังงามที่ตั้งโดดเด่นท่ามกลางหมู่พฤกษชาติ ตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำลงทางทิศตะวันตก คาดว่าอีกไม่นานความมืดคงเข้าปกคลุม พระจันทร์ข้างขึ้นจะโผล่พ้นขอบฟ้าเพื่อทำหน้าที่แทนพระอาทิตย์ที่อับแสง  คริสคงใกล้จะกลับมาแล้วเช่นกัน

     

    บนยอดสูงสุดของหลังคาศาลาหลังนั้นมีรูปปั้นนกฟีนิกซ์สยายปีกอย่างสง่างามประดับอยู่ สีทองสว่างที่อาบผิวนอกของรูปปั้นสะท้อนกับลำแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ปรากฏเป็นภาพที่งดงามจับตา ยิ่งเป็นสัตว์ในตำนานที่นางหลงใหลด้วยแล้วยิ่งถอนสายตาได้ยาก หากรูปปั้นนั้นเคลื่อนไหวแม้เพียงนิดเจสสิก้าคงคิดว่านั่นคือนกฟีนิกซ์จริง ๆ

     

    “ทำอะไรอยู่ล่ะเจ

     

    “อุ๊ย”

     

    เป็นอีกครั้งที่คริสเข้าหานางโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า กระไออุ่นจากร่างกำยำและวงแขนแกร่งโอบรัดรอบลำตัวจนแน่นจากเบื้องหลัง ยังผลให้ร่างน้อยในอ้อมกอดสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ กระนั้นยังทราบว่าผู้ทำลายความเป็นส่วนตัวของนางคือใคร จากน้ำเสียงและชื่อที่เขาเรียกนั้นแตกต่างจากคนอื่น พอเอี้ยวคอมองเตรียมจะต่อว่ากลับถูกเรียวปากอุ่นกดทาบลงมาขโมยจุมพิตแนบแน่นจนนางนิ่งค้างตัวแข็งทื่อ ประทับเนิ่นนานโดยไม่ล่วงล้ำเกินกว่านั้นแล้วผละห่าง ทิ้งรอยยิ้มบาง ๆ ให้นางเหมือนกำลังหยอกเย้า สร้างความไม่พอใจให้คนมองเป็นกำลัง

     

    “ท่าน...”  ใบหน้างดงามงอง้ำ ผิวแก้มเจือด้วยสีชมพูระเรื่อด้วยแรงโทสะและความขวยเขินระคนกัน ริมฝีปากสีกุหลาบเม้มแล้วคลายอยู่หลายหนเพราะอยากต่อว่าเขาแต่นึกคำพูดไม่ออก

     

    “อย่าเพิ่งโมโหสิ... นี่สำหรับเจ้า” บอกด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยดูไม่ทุกข์ร้อนกับสีหน้าของนางแม้แต่น้อย กุหลาบสีน้ำเงินแสนงดงามถูกยื่นมาตรงหน้ายังความประหลาดใจเป็นคำรบที่สอง เจสสิก้าเห็นแล้วปั้นสีหน้าไม่ถูก ปรับเปลี่ยนอารมณ์ตามเขาไม่ทัน

     

    “ให้ข้า?” พินิจมองดอกไม้งามเพียงดอกเดียวในมือของเขาสลับกับใบหน้าคมเข้ม

     

    “ใช่ เราเอามาให้เจ้า สวยมั้ย?” แววตาของเขากำลังคะยั้นคะยอให้นางรับมันไปจากมือ เจสสิก้าจึงรับมาแม้ยังรู้สึกแคลงใจ

     

    “ขอบคุณท่านมาก เอ่อ... ท่านริวเมอรัส”

     

    “หืม? บอกแล้วไงให้เรียกชื่อเรา”

     

    เขาออกคำสั่งกลาย ๆ แขนทั้งสองข้างยังโอบกระชับเอวบางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ปลายจมูกโด่งเสียดสีกับแก้มระเรื่อ สูดเอากลิ่นกายหอมละมุนอย่างไม่เกรงใจเจ้าของ นับตั้งแต่คืนแรกที่พบกันเขาก็ไม่เคยเข้าใกล้นางเกินจำเป็น แต่วันนี้กลับผิดแปลกไป พฤติกรรมที่แปรเปลี่ยนทำให้นางเริ่มหวั่นใจ กายสูงสง่าที่แนบชิดอยู่เบื้องหลังให้ความรู้สึกอบอุ่นจนรุมร้อน กายเล็กสั่นน้อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ

     

    “ท่าน ท่านคริส... ปล่อยข้าได้แล้ว” ความรู้สึกจากเบื้องลึกผลักดันให้เสียงใสสั่นตามไปด้วย แต่คริสกลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น ซ้ำยังกระชับอ้อมกอดรัดนางแน่นขึ้นอีก

     

    “เจ้ามองอะไรบนนั้น” คริสเหลือบมองขึ้นไปยังรูปปั้นนกฟีนิกซ์ที่อยู่บนหลังคาไม่ใส่ใจอาการขัดขืนน้อย ๆ ของเจสสิก้า “ฟีนิกซ์ เจ้าชอบมันหรือ?”

     

    “ช.. ใช่ ข้าชอบนกฟีนิกซ์ แต่....ได้โปรดปล่อยข้าก่อนสิท่าน”

     

    “อยู่นิ่ง ๆ สิเจ” คริสปรามนางด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เอ่ยเรียกด้วยชื่อที่ไม่เคยมีใครเรียกนางมาก่อน ถึงจะได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่เจสสิก้าก็ยังไม่คุ้นชินเสียที

     

    “เหตุใดเจ้าถึงชื่นชอบนกฟีนิกซ์ เพราะมันสง่างามหรือ?” เขาถามต่อเมื่อนางลดอาการขัดขืนลง ด้วยทราบดีว่าออกแรงไปก็เหนื่อยเปล่า เจสสิก้าถอนหายใจก่อนตอบ

     

    “นั่นก็ใช่ส่วนหนึ่ง อีกอย่างก็คือข้ารู้สึกว่าเรื่องราวของมันงดงามและน่าเศร้านักในความรู้สึกข้า” เจสสิก้าระบายยิ้มอ่อน ๆ ปนความขมขื่น เสียงที่แผ่วลงบ่งบอกอารมณ์ที่แปรเปลี่ยน

     

    “เจ้านี่สมกับเป็นหญิง อ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้เหลือเกิน”  

     

    “ก็จริงนี่ท่าน คิดดูสิ การที่เป็นอมตะไม่ได้ช่วยให้ฟีนิกซ์คงความหนุ่มแน่นได้ตลอดไป เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีก็ล่วงเข้าสู่วัยชรา อ่อนระโหยโรยแรงจนร้องเพลงขับกล่อมองค์สุริยะเทพไม่ไหว เมื่อครบห้าร้อยปีก็ต้องเผาตนเองจนกลายเป็นเถ้าธุลีเพื่อกลับสู่วัยเยาว์อีกหน ถึงจะเป็นอมตะแต่ก็ยังต้องทุกข์ทน

     

    จอมขมังเวทย์หนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนโดยไม่รู้ตัวขณะฟังเสียงกังวานใสรำพึงถึงนกฟีนิกช์ด้วยอารมณ์อ่อนไหว นัยน์ตาคู่หวานพิศมองรูปปั้นนกสีเพลิงที่อ่อนแสงลงตามความมืดที่เริ่มโรยตัวเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ

     

    “ด้วยวัยเท่านี้เจ้าคิดอะไรได้ลึกซึ้งทีเดียว” คริสกล่าวชมอย่างจริงใจ

     

    “ไม่ขนาดนั้นหรอกท่าน”

     

    “เจ้าก็อย่าเศร้าไปนัก ยังอ่อนเยาว์มีสิ่งต้องเรียนรู้อีกมากบนโลกใบนี้” น้ำเสียงอบอุ่นกระซิบบอกข้างหู “เจ้าเดินเล่นอยู่ในนี้หลายวันแล้วไม่เบื่อบ้างหรือ?”

     

    “เบื่อจะแย่อยู่แล้วล่ะท่าน” ความระอาปรากฏชัดในน้ำเสียงโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม

     

    “งั้นคืนนี้เราจะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง เจ้าต้องชอบมันอย่างแน่นอน” คริสกระซิบบอกอย่างมั่นใจ นัยน์ตาคมมองตามเจสสิก้าไปยังรูปปั้นไร้ชีวิตบนหลังคา

     

    “ที่ใดหรือ?” เจสสิก้ามีอาการยินดีอย่างปิดไม่มิด หน่วยตาสีอ่อนทอประกายแห่งความหวังอย่างเต็มเปี่ยม

     

    “คงไม่ใช่ห้องนอนของเราอย่างที่เจ้าหวัง” คริสสัพยอกเอาแรง ๆ ทำให้คนฟังชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ

     

    “นี่ท่าน!  เสียงเล็กแหวใส่อย่างเหลืออด หากว่าคริสไม่รีบแก้คำพูดของตนเสียก่อนเขาคงถูกข่วนเอาเป็นหนที่สอง

     

    “อย่าเพิ่งโมโหน่า เราล้อเจ้าเล่นหรอก ถึงเวลาเดี๋ยวจะรู้เองว่าเราจะพาเจ้าไปที่ใด”

     

    เจสสิก้าเหลียวมองใบหน้าคมสันในเงาตะคุ่มหลังจากแสงอาทิตย์ยามอัสดงลับหายไป แสงสีทองอร่ามจากรูปปั้นเสมือนจริงของนกฟีนิกซ์ก็ไม่เหลืออยู่แล้วเช่นกัน

     

    “ตกลงข้าจะรอ”

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    หลังจากที่คริสนำเจสสิก้าเข้าไปในห้องชั้นใต้ดินแล้ว เขาก็พานางลัดเลาะไปในทางเดินซึ่งเป็นอุโมงค์คับแคบ ยังดีที่อากาศในนั้นไม่ชื้น แต่กระนั้นยังได้กลิ่นของความอับทึบจนหายใจไม่สะดวกนัก ภายในอุโมงค์นั้นมืดมิดไร้ลำแสงส่องถึง สายตาของเขาคงมองเห็นในที่มืด แต่นางกลับตรงกันข้าม หากไม่มีมืออุ่น ๆ ของเขากุมไว้แน่นนางอาจกลัวจนขาดสติและไม่กล้าเดินต่อแม้เพียงก้าวเดียว ทว่าผู้นำทางนั้นก็สงวนคำพูดเหลือเกิน มีเพียงเสียงหายใจเบา ๆ เท่านั้นที่บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ถามว่าทางเดินนี้จะสิ้นสุดที่ใดเขาก็ไม่ยอมตอบ ซ้ำยังบอกให้นางสงบปากแล้วเดินตามเขาไปเงียบ ๆ เจสสิก้าจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะชวนเขาเสวานาด้วย

     

    เข้ามาในนี้ไม่นานแต่กลับรู้สึกเหมือนไกลเหลือเกินด้วยเพราะยังไม่รู้จุดหมาย

     

    “เมื่อไหร่จะถึงล่ะท่าน”

     

    “อีกไม่นาน” ตอบสั้น ๆ แล้วก็เงียบไปอย่างเดิม ก่อนที่ร่างสูงสง่านั้นจะหยุดก้าวเดินอย่างกะทันหันโดยไม่บอกกล่าว ยังผลให้นางเดินชนแผ่นหลังกว้างเข้าอย่างจัง

     

    ปึก!

     

    “โอ๊ย จะหยุดทำไมไม่เตือนข้าก่อน” เจสสิก้าโอดครวญ ลูบไล้เนื้อตัวของตนป้อย ๆ แต่ดูเหมือนคริสจะไม่สะเทือนเลยกับแรงกระแทกเพียงเท่านั้น

     

    “ถึงแล้วล่ะ” น้ำเสียงเยียบเย็นบอกกับนาง จากนั้นประตูสู่แสงสว่างก็เปิดออกโดยฝีมือของคริส มือที่กุมไว้ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

     

    “มาเถอะ ตามเรามานะ” เขากำชับแล้วออกเดินนำหน้าไปอย่างเคย ประตูที่ทำจากแผ่นศิลาหนาหนักนั้นปิดลงอีกครั้งหลังจากที่ทั้งคู่ก้าวผ่านไป

     

    ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าในคืนที่ท้องฟ้าประดับประดาด้วยหมู่ดาวและพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวคือสวนอันงดงามตระการตา พันธุ์ไม้แปลกตาที่กำลังเรืองรองด้วยแสงสีเงินยังผลให้เจสสิก้าที่เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกถึงกับตื่นตะลึง เท้าทั้งสองถูกตรึงไว้กับที่ด้วยความงดงามนั้น ผืนหญ้าที่เหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้าก็นุ่มนวลราวกับยืนอยู่บนผืนพรม คุ้มค่าเหลือเกินที่ตัดสินใจตามเขามา

     

    “ท่าทางเจ้าจะชอบมันนะ แต่ถึงอย่างไรเจ้าห้ามมาที่นี่โดยลำพังอย่างเด็ดขาด มันอันตราย” คริสบอกกฎพลางเหลือบมองดวงหน้างามที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ประกายตาสุกใสจากนัยน์ตาสะท้อนกับแสงจากต้นพฤกษชาตินานาพรรณอย่างน่ามอง

     

    “งดงามเหลือเกิน” เสียงหวานรำพึงอย่างแผ่วเบาราวกับละเมอ เอวบางถูกมืออุ่นรั้งให้มายืนอยู่เบื้องหน้าเขา ดวงตาสีอ่อนกวาดมองความงดงามที่แวดล้อมอยู่รอบกายราวกับจะประทับภาพเหล่านั้นไว้ในความทรงจำ ลืมเลือนแม้กระทั่งว่าตอนนี้กำลังถูกวงแขนแข็งแรงกกกอดเอาไว้ แว่วยินเสียงธารน้ำไหลอยู่ไม่ไกลจึงเริ่มมองหา

     

    “ท่าน ลำธารอยู่แถวนี้หรือเปล่า?” ต้องเอ่ยปากถามเมื่อไม่พบแหล่งน้ำที่มาของเสียง คริสก้มลงสบตากับนางอย่างนึกเอ็นดู มุมปากขยับยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบคำถามนั้น

     

    “มันถูกบดบังด้วยหมู่ไม้ เดี๋ยวเราพาเจ้าไป อย่าห่างจากเราล่ะ” ว่าแล้วจึงคลายอ้อมกอดอุ่น เปลี่ยนมาจับจูงมือน้อยให้เดินตามหลังตนไปอย่างเดิม เสียงน้ำตกดังชัดเจนขึ้นขณะที่ก้าวเข้าไปใกล้ กระทั่งธารน้ำสีเงินยวงปรากฏอยู่ต่อหน้า ต้องแสงระยิบระยับสะท้อนจากหมู่พฤกษา ระรอกคลื่นเล็ก ๆ ตีแผ่เป็นวงกว้างจากจุดที่สายธารตกกระทบผืนน้ำจากที่สูง

     

    “ข้าลงเล่นได้มั้ยท่าน?” หลังจากชื่นชมความงามของธารน้ำตรงหน้าจนพอใจแล้วจึงหันไปเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

     

    “ได้สิ แต่เจ้าจะกล้าเปลื้องผ้าต่อหน้าเรางั้นหรือ?” คริสกระเซ้า ความขบขันปรากฏอยู่ในดวงตาสีมรกตนั้น พวงแก้มพลันขึ้นสีชมพูระเรื่อเมื่อได้ฟัง นัยน์ตาสีอ่อนวาววับขึ้นด้วยโทสะ อารมณ์ของสตรีวัยกำดัดช่างเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกินในความรู้สึกของคริส

     

    “ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก”

     

    “แล้วเจ้าจะลงเล่นอย่างไรหรือ?” เขามองเครื่องแต่งกายของนางคล้ายกำลังประเมินสถานการณ์

     

    “ก็ไม่ต้องลงทั้งตัวสิ” นางบอกกับเขาแล้วก้าวตรงไปยังธารสีเงินอย่างมุ่งมั่น ชายกระโปรงรุ่มร่ามถูกรวบไว้ด้วยสองมือจนพ้นจากข้อเท้า ย่ำลงไปบนผืนน้ำเย็นฉ่ำที่สูงเทียมหน้าแข้ง ฝ่าเท้าสัมผัสกับก้อนกรวดเล็ก ๆ ใต้ผืนน้ำ ดวงตาหลับพริ้มลงช้า ๆ ดื่มด่ำกับความรื่นรมย์ท่ามกลางธรรมชาติอันวิจิตรดุจต้องมนต์สะกด มือปล่อยจากชายกระโปรงจนโดยไม่ใส่ใจว่ามันจะจุ่มลงไปในน้ำจนเปียกชุ่มหรือไม่

     

    “มันเปียกแล้วเจ้า” คริสตะโกนบอกฝ่าเสียงน้ำตกดังไปจนถึงหูเจสสิก้า แต่นางไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

     

    “เด็กหนอเด็ก” คริสบ่นงึมงำอยู่กับตนเองด้วยความเอ็นดู ร่างสูงใหญ่เคลื่อนเข้าไปจนถึงริมฝั่ง ยืนเฝ้านางราวกับเป็นองครักษ์

     

    เจสสิก้าก้าวไปจนถึงโขดหินก้อนใหญ่ที่โผล่พ้นผิวน้ำ หย่อนกายลงบนโขดหินนั้นต่างเก้าอี้  ถลกชายกระโปรงแสนเกะกะขึ้นสูงแล้วสะบัดไปรวมไว้ข้างเดียวกัน โน้มกายลงไปเล็กน้อยแล้วยื่นมือไปกอบน้ำในธารกว้างขึ้นมาพินิจใกล้ ๆ สีเงินยวงบนที่เห็นในคราแรกคงเกิดจากแสงที่เรืองรองจากหมู่พฤกษา เพราะเมื่ออยู่ในมือนางแล้วน้ำนั้นกลับใสแจ๋วจนเห็นเส้นลายมือ

     

    ภาพร่างอรชรท่ามกลางแสงเรื่อเรืองใต้ของเงาจันทร์ครึ่งเสี้ยวช่างงดงามจับใจ ในความรู้สึกของคริส แม้เทพีอะโฟรไดท์ (วีนัส) ที่ว่างามหนักหนายังต้องหม่นหมองหากมาอยู่ใกล้นาง เขาไม่อาจละสายตาไปจากภาพนั้นได้แม้เพียงเสี้ยววินาที

     

    “ถึงอย่างไรก็เปียกแล้ว ไม่ลงเล่นเลยล่ะ” คริสตัดสินใจบอกอออกไปในที่สุด เพื่อทำลายมนต์ขลังที่สะกดเขาไว้พร้อมกับรบกวนความสงบเงียบส่วนตนของเจสสิก้า

     

    “ท่านไม่ลงเล่นเองเลยล่ะ ถ้าท่านเล่นข้าจะลงไปด้วย” เจสสิก้าบอกอย่างท้าทาย นางทราบดีว่าเขาคงไม่ทำอย่างนี่นางบอก

     

    “ไม่ล่ะ เราเคยเล่นจนเบื่อแล้ว” เขาตอบปฏิเสธอย่างที่คิดเอาไว้ นางจึงเลิกให้ความสนใจเขา หันมาวักน้ำเล่นอยู่คนเดียว ใจจริงอยากจะกระโจนลงไปในลำธารแล้วแหวกว่ายไปมาให้สาแก่ใจ แต่ยังมีคริสอยู่ด้วยอีกคนจึงไม่อาจกระทำได้อย่างที่ปรารถนา

     

    “เจ... ดูนั่น” น้ำเสียงตื่นเต้นของคริสเรียกให้เจสสิก้าหันกลับไป ปลายนิ้วชี้ชวนให้มองไปยังทิศทางหนึ่งของลำธาร พอเหลือบไปเห็นบางสิ่งก็ทำให้นางประหลาดใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก

     

    “ยูนิคอร์น” สัตว์ในตำนานที่มีรูปร่างคล้ายม้าราวกับพิมพ์เดียว ลำตัวสีขาวบริสุทธิ์ราวกับเปล่งแสงได้ ยืนอวดเรือนกายอันสง่างามของมันอยู่ริมตลิ่งห่างจากคริสไปไม่กี่เมตร นัยน์ตาสีฟ้าใสกำลังจ้องมองธารน้ำสีเงินเหมือนกำลังจดจ้องเงาของตนในนั้น หางยาวเป็นพวงสะบัดกวัดแกว่งอย่างเชื่องช้า เขาเกลียวแหลมกลางศีรษะที่งอกยาวออกมาอย่างเดียวดายชี้ไปในทิศทางตั้งฉากกับกะโหลกศีรษะ ท่าทางคล้ายไม่เกรงกลัวมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้นที่ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน

     

    “.....” ด้วยความยินดีอย่างที่สุดนางจึงผุดลุกขึ้นจากโขดหินโดยไม่ทันระวัง เกิดเสียงน้ำกระเพื่อมไหวทำให้ยูนิคอร์นเงยหน้าขึ้นจากธารใสแล้วจ้องมองมาที่นางเขม็ง แทนที่มันจะกระโจนหนีด้วยความตกใจอย่างที่กลัว แต่กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับรอคอยให้นางเข้าหา

     

    ดวงตาสีฟ้าใสกับสีน้ำตาลอ่อนมองสบกันเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย โดยมีคริสคอยสังเกตอาการของทั้งคู่อยู่เงียบ ๆ เขาเองก็อดลุ้นระทึกอยู่ในใจไม่ได้ อยากทราบว่าเจสสิก้าจะสามารถสยบความพยศอันเป็นลักษณะประจำตัวของยูนิคอร์นได้หรือไม่

     

    เจสสิก้าพาร่างของตนลุยน้ำเข้าไปหายูนิคอร์นตัวนั้นอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง เกรงว่าหากทำอะไรบุ่มบ่ามมันจะหนีหายไปจริง ๆ สืบเท้าใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ทีละก้าว ๆ จนกระทั่งอยู่ในระยะห่างเพียงเอื้อมมือ มันยังคงสู้สายตากับนางอยู่โดยไม่หลบเลี่ยง มือน้อยยื่นออกไปสัมผัสแผงขนบนศีรษะของมันแผ่วเบา จนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ตื่นกลัวจึงค่อย ๆ กดน้ำหนักมือลงไปอีกเล็กน้อย แปลกที่สัมผัสนั้นไม่หยาบกร้านอย่างที่คิด ขนเส้นเล็กละเอียดกลับนุ่มละมุนมือราวกับเส้นผมของมนุษย์ นางก้าวขึ้นจากน้ำแล้วพามันออกห่างจากริมฝั่ง เจ้ายูนิคอร์นเดินตามอย่างว่าง่าย เหมือนสัตว์เลี้ยงเชื่อง ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

     

    “ดูท่ามันจะชอบเจ้านะเจ” คริสบอกอย่างโล่งใจ

     

    “ข้าก็หวังเช่นนั้น” เจสสิก้าตอบโดยไม่ละสายตาจากสิ่งมีชีวิตที่เหมือนอยู่คนละโลกกับนาง ในชีวิตปกติคงไม่มีโอกาสได้เจอ คงต้องขอบคุณคริสสินะ...

     

    เจสสิก้าทรุดตัวลงนั่งบนผืนหญ้าเพื่อพินิจมองมันใกล้ ๆ ด้วยความชื่นชม เจ้ายูนิคอร์นแสนเชื่องกลับไม่ยอมยืนให้จ้องเฉย ๆ มันเดินเข้ามาหมอบข้างกายนาง ก่อนจะวางศีรษะอันใหญ่โตเกยลงบนตักนุ่มท่ามกลางความตื่นตะลึงของเจสสิก้า ไม่นึกว่ามันจะยอมจำนนต่อนางถึงเพียงนี้

     

    “ยูนิคอร์นเพศผู้ มักจะเชื่องกับสาวบริสุทธิ์ เจ้าก็เข้าข่าย และด้วยเหตุนี้มันจึงมักจะจบชีวิตลงอย่างง่ายดายเพราะความเจ้าชู้ประตูดิน หากหญิงที่มันเชื่อฟังนั้นคิดร้าย” คริสขยับเข้าไปใกล้อีกหลายก้าว แต่ยังเว้นระยะห่างเอาไว้เพื่อไม่ให้เจ้ายูนิคอร์นเตลิดไป มันเชื่อฟังเจสสิก้าแต่กับเขาคงไม่ แม้เวทมนตร์ก็ยังใช้กับมันไม่ได้ผล

     

    “แปลว่ามันไม่เชื่อฟังท่านสินะ?” ปลายนิ้วเรียวเล็กเลื่อนไล้ไปบนเขาแหลม ๆ ของมันอย่างสนใจ

     

    “ใช่ เราเข้าใกล้มันไม่ได้เลย” คริสยอมรับโดยดุษณี

     

    แต่อีกไม่นานเจ้าเองก็คงเข้าใกล้มันไม่ได้เช่นกันเจสสิก้า อัลเลน

     

    คริสต่อให้ในใจพร้อมมุมปากที่ขยับยกขึ้นเล็กน้อย

     

     

     

    .

    .

    .

     

     

     

    ราตรีนี้ห้องนอนที่นางจับจองเป็นเจ้าของกลับสู่ความเงียบเหงาอีกครา เหตุเพราะคริสยังไม่กลับจากกิจธุระของเขาข้างนอกจึงไม่มีคนนำทางไปยังดินแดนเสมือนฝันที่นางหลงใหล เขากลับช้าผิดจากทุกวันจนนางชักกังวลว่าเขาอาจจะนอนค้างที่อื่น ที่ผ่านมาคริสมักจะพานางผ่านอุโมงค์นั้นไปเสมอ ทว่าสองสามวันมานี้เขาคงยุ่งเกินกว่าจะมาวุ่นวายกับเรื่องเที่ยวเล่นของนาง

     

    จนชักรู้สึกคิดถึงเจ้ายูนิคอร์นแสนรู้นั่นขึ้นมาตงิด ๆ ...

     

    “จะไปเองดีมั้ยนะ” เจสสิก้าพึมพำกับตนเองขณะเดินไปเดินมาจนทั่วห้องอย่างคิดไม่ตก แล้วบางอย่างก็ผุดวาบเข้ามาในหัวหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่

     

    ข้อเสียขณะที่อยู่กับเขาก็คือนางไม่สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างที่หวัง ไปทีไรได้แต่เอาเท้าจุ่มน้ำแล้วใช้มือวักเล่นเท่านั้น วันนี้แหละเป็นโอกาสอันดีที่นางจะได้ทำอย่างที่ใจปรารถนา ทางที่ผ่านไม่มีภยันตรายใด ๆ มากล้ำกลายอย่างที่นึกกลัวในทีแรก เพียงแค่มีคบเพลิงหรือเชิงเทียนนำทางเท่านั้นก็สามารถผ่านไปได้โดยง่าย นางเชื่อว่าอย่างนั้น

     

    คำเตือนของเขาถูกลืมเลือนไปจนสิ้น

     

    หลังจากตัดสินใจได้แล้วก็เริ่มมองหาอุปกรณ์สำหรับเดินทางด้วยหัวใจอันลิงโลด

     

     

     

     

    ออกจะเงียบสงบไปสักหน่อยสำหรับราตรีนี้ ทว่าแสงสีเงินจากพระจันทร์คืนเพ็ญก็ช่วยลดความวังเวงที่นางหวั่นใจลงไปได้มาก นัยน์ตาคู่หวานที่เคยระแวดระแวงภัยลดความกังวลลงหลังจากผ่านมาจนถึงธารน้ำใสอันเป็นที่หมาย  วันนี้เจ้ายูนิคอร์นคงยังไม่มาเนื่องจากนางมาเร็วกว่าที่ผ่านมา ถือเป็นการดีสำหรับนาง ถึงแม้ยูนิคอร์นจะเป็นสัตว์แต่มันก็แสนรู้และเข้าใจมนุษย์เกินสัตว์ธรรมดา ซ้ำมันยังเป็นเพศผู้ ให้มาจ้องมองนางอาบน้ำก็คงกระดากอายอยู่ไม่น้อย

     

    เมื่ออยู่เพียงลำพังก็ไม่ต้องเกรงสายตาผู้ใดนางจึงปลดเปลื้องอาภรณ์งดงามที่สวมใส่ออกไปจากกายทีละชิ้น ๆ จนหมด สองเท้าก้าวออกจากกองผ้าที่นอนนิ่งอยู่บนผืนหญ้า  เรือนร่างเปลือยเปล่าขาวผุดผ่องอวดโฉมแก่หมู่ไม้ สรรพสัตว์ที่เร้นกายในเงามืดและธารใสให้ชื่นชมโลมไล้อย่างน่าอิจฉา สายลมเอื่อย ๆ พัดพาให้เรือนผมสีอ่อนปลิวไสว ปลายเส้นผมนุ่มสลวยคลอเคลียอยู่กับทรวงอกคู่งาม

     

    ฝ่าเท้าบางเหยียบย่ำลงไปบนผืนหญ้าพาเรือนกายผุดผาดเคลื่อนไปจนถึงลำธารเย็นฉ่ำ เมื่อระดับน้ำสูงถึงช่วงเอวนางก็หยุดนิ่งเพื่อใช้มือแหวกผิวน้ำเล่นอย่างเพลิดเพลิน ก่อนนำมาลูบไล้ไปบนผิวนวลเนียนลออตาจนเปียกชุ่ม ให้ความเย็นค่อย ๆ ซึมซาบเข้าสู่ภายใน  

     

    ทว่าขณะที่กำลังดื่มด่ำกับความสดชื่นอยู่นั้น หูกลับแว่วยินเสียงคำรามต่ำ ๆ ของบางสิ่งอยู่ไม่ไกล ลมหายใจพลันสะดุด กายที่เคลื่อนไหวหยุดนิ่งอย่างหวาดหวั่น ใบหน้างามค่อย ๆ หันมองตามเสียงนั้นอย่างช้า ๆ

     

    เลือดอุ่นที่เคยสูบฉีดในร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมาในบัดดล สองเท้าถูกตรึงอยู่กับที่ เหมือนต้องสาปด้วยภาพของงูตัวใหญ่ยักษ์ที่โผล่พ้นขึ้นมาจากธารน้ำและกำลังแยกเขี้ยวอันแหลมคมเพื่อข่มขู่นาง นัยน์ตาของมันแดงก่ำอย่างน่ากลัว ขนาดลำตัวอันมหึมานั้นสะกดให้นางนิ่งค้าง หากมันฉกคมเขี้ยวเข้าใส่เพียงครั้งเดียวนางก็คงไม่รอด

     

    จะทำอย่างไรดี หรือจะต้องสิ้นอายุขัยแต่เพียงเท่านี้ ไม่น่าเลยเจสสิก้า ปวงเทพโปรดช่วยข้าด้วย

     

    นางได้แต่ภาวนาร้องขอชีวิตต่อทวยเทพ ทว่าใครเล่าจะช่วยได้หากเสียงของนางส่งไปไม่ถึงท่าน

     

     

     

     

    คริสกระวนกระวายแทบบ้าหลังจากที่ตามหาตัวเจสสิก้าจนทั่วทั้งคฤหาสน์แล้วไม่พบ ถามบรรดาข้ารับใช้ก็ไร้คนรู้เห็น จนกระทั่งนึกได้ว่ายังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เขายังไม่ได้ไปหา นั่นก็คือทางสู่ป่าลับที่เขาเคยพานางไปเที่ยวเล่น พอฉุกคิดขึ้นมาได้จอมขมังเวทย์หนุ่มก็รีบรุดหน้าไปยังที่หมายด้วยพลังเวทย์ เร็วเท่าที่จะเร็วได้ หากช้าไปนางอาจตกอยู่ในอันตราย และเขาคงไม่อาจให้อภัยตนเองไปตลอดชีวิต

     

    ไม่นานกายสูงสง่าก็ปรากฏอยู่เบื้องหลังของดรุณีน้อยที่เขาตามหา หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นเพชฌฆาตยักษ์แห่งลำน้ำกำลังจ้องมองเหยื่อสาวที่ยืนแข็งทื่ออยู่กลางลำธาร นัยน์ตาแดงก่ำบอกกับเขาว่ามันต้องการสังหารเจสสิก้าจริง ๆ หากช้ากว่านี้อีกหน่อยนางคงถูกมันกลืนลงไปในท้องอันมหึมาไปแล้ว

     

    “เจ....เจ้าอย่าขยับนะ ได้โปรด” คริสพึมพำเบา ๆ ทว่าคงส่งไปไม่ถึงหูอันอื้ออึงของนาง ก่อนที่เขาจะร่ายมนต์รวบรวมพลังเวทย์เพื่อขับไล่มัน

     

    ลำแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นแล้วพุ่งตรงจากฝ่ามือของคริสไปถูกตัวเจ้าสัตว์ร้าย พญางูยักษ์ที่ทอดตัวอยู่กลางลำน้ำก็ส่งเสียงคำรามลั่นอย่างน่าสะพรึงกลัว แล้วดิ้นพล่านจนน้ำแตะกระจายราวคลื่นยักษ์ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ก่อนจะถอยห่างแล้วมุดลงไปในธารสีเงินเลื้อยหายไปในเงาของพระจันทร์คืนเพ็ญโดยดุษณี คงสำเหนียกได้ว่าตนนั้นไร้อำนาจต่อกรกับจอมขมังเวทย์หนุ่มผู้สง่างาม

     

    “เจ มันไปแล้ว” เขาบอกพร้อมกับวิ่งลุยน้ำลงไปในลำธารเพื่อปลอบโยนคนเสียขวัญ ร่างเปลือยเปล่าในอ้อมกอดของเขากำลังสั่นเทิ้มอย่างน่าสงสาร

     

    “เจ เราอยู่นี่ งูมันไปแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวนะ” นางคงกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูกพอได้ยินเสียงทุ้มนุ่มพร่ำบอกอยู่ข้างหูทำนบน้ำตาก็พังทลายลงในทันที มือน้อยกอบกำเสื้อบริเวณอกของเขาไว้แน่นอย่างต้องการที่พึ่ง ฝ่ามือหนาลูบไล้แผ่นหลังบอบบางอย่างอ่อนโยน จากนั้นจึงตัดสินใจช้อนอุ้มร่างน้อยขึ้นจากน้ำอย่างทะนุถนอม ดวงหน้างามซุกซบกับอกใช้อาภรณ์ของเขาซับน้ำตาที่รินไหลออกมาไม่ขาดสาย

     

    “ข้ากลัว...ฮึก..” เสียงปนสะอื้นพึมพำไม่ได้ศัพท์ แม้ร่างจะถูกพาขึ้นจากน้ำแล้วก็ตาม ทว่าอาการหวาดกลัวนั้นยังคงอยู่ ตักอันอบอุ่นของคริสถูกใช้แทนเก้าอี้เพื่อรองรับร่างสั่นเทาของนาง กายบางโยกไหวไปมาอย่างเชื่องช้าด้วยฝีมือของเขา ปลอบโยนราวกับนางเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ

     

    “อย่ากลัวไปเลย เราอยู่นี่ เรามาช่วยเจ้าแล้ว” ฝ่ามืออุ่นทิ้งสัมผัสไปทั่วแผ่นหลังเนียนนุ่ม กลิ่นกายหอมกรุ่นรวยรินอยู่เพียงปลายจมูก พาให้เผลอไผลเลื่อนไถลมือหนาต่ำลงไปยังเรียวขาขาว จากสัมผัสที่หวังเพียงปลอบโยนให้หายตื่นกลัวกลับแปรเปลี่ยนเป็นสัมผัสแห่งความปรารถนา กายนุ่มละมุนที่แนบสนิทกับแผ่นอกแกร่งกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างให้ตื่นขึ้นทั้งที่ไม่สมควร นางกำลังร่ำไห้เสียขวัญ แต่เขากลับคิดอกุศลกับนางอย่างไม่น่าให้อภัย

     

    แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ห้ามความปรารถนาของตนไม่ได้อยู่ดี

     

                ใบหน้าคมสันกดแนบลงไปบนลำคอระหง ริมฝีปากแต่งแต้มจุมพิตผะแผ่วอย่างระมัดระวัง ไม่ให้นางรู้สึกว่ากำลังถูกเขาคุกคามมุ่งร้าย มือหนาเชยคางมนขึ้นรับสัมผัสร้อน จุมพิตซับเอาน้ำตารสเฝื่อนที่เปรอะเปื้อนดวงหน้างามจนสะอาดหมดจด ระเรื่อยมาจนถึงกลีบปากสีกุหลาบที่กำลังสั่นระริก  แพขนตาเปียกชื้นปิดลงทาบกับพวงแก้มใส คริสกำลังล่อหลอกให้นางสับสนจนแยกไม่ออกว่าจุมพิตนั้นเพื่อปลอบขวัญหรือดับไฟแห่งราคะ ฉวยโอกาสที่นางกำลังอ่อนแอตักตวงเอาความสุขจากเรือนกายหอมหวาน ทวงสิทธิอันชอบธรรมที่เขาละเลยมานาน


     
     

         ตัดไปที่ฉากโคมไฟค่ะ

    หากอยากอ่านต่อก็ส่งเมลล์มาที่ YoonTae-_-@hotmail.com

    ระบุหัวข้อว่า 02 นาทีสิ้นคำสาป - Magic Moment  [Kris x Jessica] ด้วยค่ะ

    ไม่รับแปะเมล์นะคะ ส่งเมล์มาขออย่างเดียวแล้วจะส่งฉากโคมไฟกลับไปให้โดยเร็วค่ะ

     
     

    ____________________________ 


    ตอนที่สองที่กว่าจะเข็ญออกมาได้ก็แทบรากเลือดเหมือนกัน ฮ่า ๆ 
    พบกันตอนหน้านะคะ ในชื่อตอน "กำราบจนสิ้นท่า" 

    สำหรับในส่วนของตำนานเทพนิยายกรีกอาจผิดเพี้ยนไปบ้างเเพราะต่างที่มานะคะ 
    หากมีอะไรสะดุดแบบแรง ๆ ก็ท้วงติงกันได้ค่ะ เค้าเองก็ไม่แม่น รู้แค่งู ๆ ปลา ๆ เท่านั้น 

    เทพีอะโฟรไดท์ (ชื่อกรีก) หรือ วีนัส (ชื่อโรมัน) เผื่อหลายคนอาจยังไม่ทราบว่าเป็นเทพีแห่งความรักและความงามอะไรเทือกนี้แหละค่ะ [ แม่ของอีรอส (คิวปิด) ]





    16.03.2013 แก้คำผิด







     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×