คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : special part : Again and Again
special part
Again and Again
ขอบคุณภาพจาก : http://tykatai.diaryclub.com/20101220/%E1%C7%D0%BE%D1%A1%A4%CD%B9%E2%B4%CD%D5%EA%B4%D2
December 16, 2013
3 : 10 PM
“ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่ควรทราบไว้เป็นข้อมูลในการเตรียมตัวเหมือนกันนะคะ ก็คือเรื่องของสภาพอากาศ เพราะว่าตอนนี้นอกจากจะมีฝนแล้วอากาศจะหนาวเย็นลงได้อีก 8 – 10 องศานะคะ โดยเฉพาะทางภาคเหนือแล้วก็ภาคอีสานค่ะ”
“เมื่อเช้าแม่โทรมา บอกว่าที่บ้านฝนตก ในเมืองน้ำท่วมด้วย แกบอกว่าตอนนี้หนาวมาก”
“บ้านแกที่ชัยภูมิอะนะ”
“ตอนนี้ปัจจัยเรื่องสภาพอากาศในบ้านเรานะคะ นอกจากเรื่องของคลื่นกระแสลมตะวันตกที่เคลื่อนเข้ามาปกคลุมตอนบนของประเทศ ซึ่งก็ทำให้ภาคเหนืออุณหภูมิลดลง 4 – 7 องศาเซลเซียส ส่วนภาคอีสานก็จะมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรง”
“เออ”
“ข่าวบอกพายุเข้านี่ คงจะหนาวไปอีกซักพัก กรุงเทพ ฯ ยังหนาวเลย”
“ตอนนี้นะคะยังจะมีความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระรอกใหม่จากจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศตั้งแต่คืนนี้ไปจนถึงวันที่ 19 ธันวาคมค่ะ ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือและภาคอีสาน อุณหภูมินั้นจะเย็นลงอีก 8 – 10 องศาเซลเซียสนะคะ”
“มันอาจจะหนาวไปถึงปีใหม่ก็ได้นะ”
“เป็นไปได้นะ แต่หนาวเกินไปก็ไม่ดีว่ะ สงสารคนทางเหนือกับอีสาน ดูดิ” ภาพในจอทีวีเปลี่ยนเป็นพื้นที่ในอำเภอหนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาจนแทบมองไม่เห็นทัศนียภาพโดยรอบ อ๊อดมองตามขิงที่พยักพเยิดให้ดูอย่างตั้งใจ
“คุณผู้ชมคะ จากสภาพอากาศหนาวเย็นที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็ทำให้ต้องมีการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติหนาวกันแล้วนะคะ อย่างเช่นที่จังหวัดน่าน ตอนนี้มี 4 อำเภอแล้วที่ต้องประกาศให้เป็นเขตภัยพิบัติหนาว ก็คืออำเภอเฉลิมพระเกียรติ เชียงกลาง ทุ่งช้าง และอำเภอบ่อเกลือนะคะ เนื่องจากว่าอุณหภูมิลดต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ติดต่อกันร่วมสัปดาห์ค่ะ”
บทสนทนาของขิงและอ๊อดแทรกด้วยเสียงรายงานข่าวสภาพอากาศประจำวันทางฟรีทีวี เรียกให้นิวเงยหน้าขึ้นมองทีวีจอใหญ่ที่ติดอยู่บนผนัง ปลายนิ้วดันแว่นกรอบหนาให้เข้าที่แล้วมุ่งความสนใจไปที่เนื้อหาในข่าว เพราะมันเกี่ยวพันกับคนทางบ้านโดยตรง
“ส่วนอุณหภูมิที่ลดฮวบฮาบในจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เช้านี้นะคะที่ยอดดอยอินทนนท์วัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ 2 องศาเซลเซียสค่ะ ส่วนอุณหภูมิยอดหญ้าติดลบไปแล้วนะคะ ก็ทำให้เกิดน้ำค้างแข็งตั้งแต่กิ่วแม่ปานกิโลเมตรที่ 42 ไปจนถึงยอดดอยค่ะ”
สีหน้ายุ่งยากระหว่างที่ดูรายงานข่าว นึกเป็นห่วงคนที่อยู่ต่างจังหวัดขึ้นมา โดยเฉพาะครอบครัวของตนที่เชียงใหม่ นิววางมือจากงานตรงหน้าชั่วคราว เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโทรศัพท์แล้วยกหูขึ้นเพื่อโทรถามข่าวคราวของคนทางบ้าน
“ตี้บ้านฝนตกก่อแม่ (ที่บ้านฝนตกมั้ยแม่)”
[วันนี้บ่หักตกหนา แต่ตะวาต๊ก (วันนี้ไม่เห็นตกนะ แต่เมื่อวานน่ะตก)]
“ตี้ปู้นหนาวมากก่อ ลูกเห๋นข่าวในทีวีต๋อนมะแลงก่อเป๋นห่วง (หนาวมากรึเปล่า ลูกเห็นข่าวในทีวีเมื่อหัวค่ำเลยเป็นห่วง)”
[หนาวจนบ่ไค่อยากออกไปตังใดเลย ฝนต๊กก่อยิ่งหนาว (หนาวจนไม่อยากออกไปไหนเลยล่ะ ยิ่งฝนตกอากาศยิ่งเย็น)]
“ไปดีลืมห่มผ้าหนา ๆ เน้อ กลางคืนมันหนาว กำเดียวจะบ่สบาย (อย่าลืมห่มผ้าหนา ๆ ล่ะ กลางคืนมันหนาว เดี๋ยวจะไม่สบาย)”
[บ่ห่มก่ออยู่บ่ได้น่ะก่ะ จะเกิ้ม... ลูกล๊อเป๋นใดพ่อง กรุงเทพหนาวก่อ (ไม่ห่มก็อยู่ไม่ได้หรอก จะแข็งตาย… ลูกล่ะเป็นยังไงบ้าง กรุงเทพ ฯ หนาวมั้ย)]
“ต๋อนเจ๊าก่อหนาวหนา แต่บ่เต้าตี้ปู้นหรอก (ตอนเช้าก็หนาวนะ แต่คงไม่สู้ทางโน้นหรอก)”
[ดูแลตั๋วเก่าดี ๆ เน้อ ลูกบ่สบายบ่อย อากาศก่อเปลี่ยน ระวังป่วยเน้อ (ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ลูกน่ะไม่สบายบ่อย อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ระวังป่วยล่ะ)]
“เจ้าแม่… นมกับอาหารเสริมตี้จิ๋วกับนิวเอาไปฝากก่อไปดีลืมกิ๋นเน้อ (ค่ะแม่… นมกับอาหารเสริมที่จิ๋วกับนิวเอาไปฝากก็อย่าลืมกินนะ)
[นักล้ำ บ่ฮู้อะหยังเป็๋นอะหยัง แม่กิ๋นบ่ไหวหรอก (เยอะเกิน ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่กินไม่ไหวหรอก)] จิ๋วหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงโอดครวญของแม่ดังมาตามสาย
“เอาน่าแม่ เพื่อสุขภาพหนา จะได้มีแฮงพอไป๋แอ่วกับนิวไง (เอาน่าแม่ เพื่อสุขภาพ จะได้มีแรงพอไปเที่ยวกับนิวไง)” น้ำเสียงหยอกแกมเหน็บเจ้าของชื่อเบา ๆ นึกหมั่นไส้ที่นิวดูจะเป็นที่โปรดปรานของแม่ยิ่งกว่าลูกแท้ ๆ อย่างเธอเสียอีก
[ขอหื้อมาเต๊อะ แม่บ่หวั่น ถึงไหนถึงกันน่ะก่ะ (ขอให้มาเถอะ แม่ไม่หวั่นหรอก ถึงไหนถึงกันอยู่แล้ว)]
“เจ้าาา ลูกสาวคนโปรดตึงคนนี่ (ค่า ลูกสาวคนโปรดทั้งคนนี่)” เธอย่นจมูกน้อย ๆ ใส่โทรศัพท์ก่อนคุยกับแม่ต่ออีกสักพักก็วางสายไปอย่างสบายใจ เห็นสภาพอากาศที่แปรปรวนก็อดเป็นห่วงญาติพี่น้องทางนั้นไม่ได้เลยต้องโทรหา ก็คงไม่ต่างจากคนที่อยู่อีกมุมเมืองเท่าไหร่
โทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไปเมื่อครู่ส่งเสียงเตือนว่ามีคนโทรเข้า จิ๋วหยิบมันขึ้นมา มองหน้าจอด้วยสีหน้าลำบากใจก่อนกดรับสายจากรุ่นพี่ร่วมค่าย
“สวัสดีค่ะพี่เอ็ม”
[จิ๋วว่างคุยมั้ย]
จิ๋วลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบ “ว่างค่ะ วันนี้ไม่มีงาน”
[แล้วได้เจอนิวบ้างมั้ย]
“ตอนลอยกระทงก็เจอนะ แต่จิ๋วลืมบอกเรื่องนัด” ตอนแรกก็ไม่ได้ลืม แต่มัวแต่คิดคำพูดจนกระทั่งลืมไปจริง ๆ ในตอนหลัง
[ไม่เป็นไร ๆ ยังพอมีเวลา พี่อยากรู้ว่าปีใหม่นิวจะมาได้รึเปล่าแค่นั้น ถ้ายังไงจิ๋วโทรถามให้พี่หน่อยแล้วกันนะ]
“เดี๋ยวจิ๋วโทรให้วันนี้เลยนะ หรือว่าพี่เอ็มจะเอาเบอร์นิวไปคุยเองก็ได้นะ” จิ๋วกำลังหาทางออกให้ตนเอง
[เอาเบอร์มาเลยก็ดีเหมือนกัน แต่พี่ว่าจิ๋วโทรไปคุยกับเค้าก่อนดีกว่า ว่าง ๆ เดี๋ยวพี่โทรไปอีกที]
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ตอบออกไปเสียงเบา เมื่อความหนักใจยังคงอยู่ เพราะนิวหายไปจากวงโคจร เพื่อนเก่าที่ต้องการติดต่อนิวจึงนึกถึงเธอเป็นคนแรก ด้วยเห็นว่าเคยสนิทกันมาก เป็นความลำบากใจที่จิ๋วต้องประสบมาโดยตลอด
[เอ้อจิ๋ว วันที่ 24 นี่ว่างป่ะ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันซักมื้อ ฝากถามนิวด้วยนะ เรื่องร้านเดี๋ยวโทรบอกถ้าว่างกันอะนะ]
จิ๋วนึกถึงตารางงานก่อนตอบตกลง “ได้ค่ะพี่เอ็ม แล้ว.. มีอะไรจะฝากบอกนิวอีกมั้ย”
[ไม่มีแล้วล่ะ ขอบใจมากนะจิ๋ว ส่งเบอร์นิวมาทางไลน์แล้วกัน เดี๋ยวพี่ขับรถก่อน]
“โอเค บายค่ะ”
จิ๋วยังคงถือสมาร์ทโฟนไว้ในมือหลังจากวางสาย นั่งมองเบอร์ของนิวอยู่นานอย่างครุ่นคิด กว่าจะตัดสินใจโทรออกอีกคนได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาทีหลังจากนั้น
“สวัสดีค่ะ”
[………..] หลังจากกรอกเสียงลงไป สิ่งที่นิวได้รับจากปลายสายคือความเงียบจนเธอต้องถามซ้ำ เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอก็ไม่คุ้นเคยยิ่งทำให้แปลกใจ
“ฮัลโหล นั่นใครคะ ยังอยู่มั้ย”
[….นิว ..นี่จิ๋วเองนะ] เกือบจะวางหูไปแล้วหากปลายสายไม่พูดแทรกมาขึ้นเสียก่อน นิวยกโทรศัพท์ในมือออกมามองอย่างไม่อยากเชื่อ วินาทีแรกนึกว่าหูฝาดไป
“จิ๋วเหรอ? โทรมาได้ยังไงเนี่ย” นิวโพล่งออกไปเสียงดังจนลูกน้องในสตูดิโอหันมองอย่างสงสัย
[คือ… ปีใหม่นี้นิวว่างมั้ย] ทั้งที่ยังงงที่ได้รับการติดต่อจากอีกคนไม่หาย แต่หัวใจก็เต้นรัวอย่างลิงโลดเมื่อได้ฟัง ผุดยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว และตอบออกไปทันที
“ว่างสิ ทำไมเหรอ”
[พี่เอ็มบอกให้จิ๋วโทรมาชวนนิวน่ะ… เค้านัดพวกเจอพวกเราที่เชียงใหม่ บอกว่าคิดถึงทุกคนที่เคยทำงานในคอจเทจด้วยกัน] หัวใจที่เคยพองโตกลับห่อเหี่ยวเมื่อได้ฟังประโยคถัดไปจากปลายสาย เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกอย่างกะทันหัน
ที่ก็โทรมาแค่เป็นธุระแทนคนอื่นสินะ ดีใจอยู่หรอกที่จะได้เจอเพื่อนเก่าสมัยที่ยังร้องเพลงในคอทเทจ แต่ความรู้สึกแย่มันกลบความดีใจไปจนเกือบหมด
นิวทิ้งน้ำหนักตัวลงพิงเบาะหนังเหมือนคนหมดแรง รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าเหมือนไม่เคยปรากฏ
“ได้สิ ไม่ได้เจอกันนานมากเลย คิดถึงเหมือนกัน”
[จิ๋วให้เบอร์นิวกับพี่เอ็มแล้วนะ เรื่องสถานที่กับเวลาพี่เอ็มคงโทรมานัดอีกที]
“อ่าฮะ โอเค ๆ” นิวตอบกลับไปแบบไร้ชีวิตชีวาผิดจากครั้งแรกราวพลิกฝ่ามือ
[แล้วก็…. วันที่ 24 ตอนเย็นพี่เอ็มชวนไปกินข้าวด้วยกัน ไปได้มั้ยนิว]
“ไปได้ ๆ แล้วนัดที่ไหนยังไงล่ะ” น้ำเสียงติดห้วนเล็กน้อยขณะเอ่ยถามออกไป
[เดี๋ยวพี่เอ็มจะโทรมาบอกทีหลัง งั้นแค่นี้นะ จิ๋วไม่กวนแล้วล่ะ]
“ได้ ๆ แล้วเจอกันนะ” นิวปล่อยให้จิ๋ววางสายไปโดยไม่แก้ไขความเข้าใจผิดของอีกคน วางสมาร์ทโฟนไว้ข้าง ๆ กล้องถ่ายรูปคู่ใจ โน้มตัวราบลงไปบนโต๊ะทำงานของตนอย่างเหนื่อยหน่าย เหม่อมองถนนยามค่ำคืนผ่านกระจกใสหน้าร้าน …เบื่อตัวเองที่งี่เง่าไป คิดน้อยใจอีกคนทั้งที่ไม่ควร
“พี่นิวเป็นไร”
นิวเหลือบมองขิงแวบหนึ่งก่อนตอบ “เซ็ง”
.
.
.
December 24, 2013
ร่างเล็กหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่นักร้องหนุ่มเลือกไว้ ซึ่งจิ๋วมารู้ทีหลังว่าเป็นร้านของเพื่อนรุ่นพี่ของเอ็มอีกที ดูเหมือนเธอจะมาถึงเป็นคนสุดท้าย เมื่อมองเข้าไปในร้านเห็นโต๊ะที่จองไว้มีสมาชิกนั่งรออยู่ก่อนแล้วทั้งสองคน อากาศหนาวเย็นต่อเนื่องมาหลายวันตั้งแต่ช่วงที่เธอได้ยินข่าวว่าพายุเข้าแถวบ้าน ค่ำคืนวันนี้ก็เช่นเดียวกัน
เอ็มโบกมือให้เมื่อเหลือบมาเห็นเธอ ในขณะที่อีกคนกลับนั่งมองนิ่ง ๆ ทำให้เธอใจคอไม่ดีเอาเสียเลย ความรู้สึกนี้สะสมมาตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์กันเมื่อหลายวันก่อน น้ำเสียงของนิวเหมือนไม่เต็มจะคุยกับเธอเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าไปทำให้นิวผิดใจเรื่องอะไร ขนาดเก็บเอาไปคิดก่อนนอนทุกคืนแต่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้จนแล้วจนรอด
ถึงแม้วันนี้นิวจะยิ้มและหัวเราะเหมือนทุกทีแต่จิ๋วกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ในครั้งล่าสุดที่พบกัน นิวยังพูดคุยกับเธออย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ นี่ถ้าไม่มีเอ็มคอยเป็นตัวกลางในการสื่อสารเธอก็นึกภาพบรรยากาศของวันนี้ไม่ออกเหมือนกัน
“เห็นยังติดต่อกันเหมือนเดิมพี่ก็เบาใจนะ นึกว่าที่เค้าพูด ๆ กันมันจะเป็นความจริงซะอีก” เอ็มเปรยขึ้นระหว่างมื้ออาหาร ทำเอาคนสองคนที่มีชนักติดหลังต้องร้อนรน ทั้งคู่หันมองหนุ่มรุ่นพี่เป็นตาเดียว
“พูดว่าไงเหรอพี่เอ็ม?” นิวชิงถามก่อนที่จิ๋วจะทันได้เอ่ยปาก
“ได้ยินบางคนเค้าบอกว่านิวกับจิ๋วทะเลาะแรงมากจนถึงขั้นเลิกคบกันเลยนะ” นักร้องหนุ่มตอบ
“ใครพูดเหรอ?” จิ๋วถามแทรกขึ้น
“จำไม่ได้แล้วล่ะ นานแล้ว แต่ช่างเถอะ เค้าก็คงเดาไปเรื่อยนั่นแหละจริงมั้ย?” เอ็มหันไปถามจิ๋วด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม แต่สายตาที่มองมาเหมือนกำลังคาดคั้น
“ใช่ค่ะ อย่าไปใส่ใจเลย” จิ๋วตอบออกไปในที่สุด
“เอ้อ พี่เอ็ม ทุกวันนี้ยังแข่งรถอยู่ใช่มั้ยคะ ถ้านิวอยากลองบ้าง พี่เอ็มพอจะช่วยแนะนำหน่อยได้มั้ย” นิวพยายามเบนความสนใจของนักร้องหนุ่ม โดยการยกเอาเรื่องที่เขาชื่นชอบขึ้นมาเป็นประเด็นพูดคุย นับว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดมากทีเดียว
“เฮ่ย! เอาจริงเหรอ ถ้าสนใจพี่ก็ยินดีช่วยอยู่แล้ว สนามของมือสมัครเล่นก็มี ว่าแต่ใจเถอะแน่จริงรึเปล่าล่ะ” เอ็มถามอย่างท้าทาย
“ขอศึกษาข้อมูลจากกูรูอย่างพี่เอ็มก่อนได้มั้ยล่ะ อย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที ” นิวตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้
และหลังจากนั้นการสนทนาก็เหมือนจะผูกขาดอยู่ที่นิวและเอ็มเป็นส่วนใหญ่ จิ๋วกับเอ็มเจอกันบ่อย ๆ ที่ตึกในบริษัทอยู่แล้ว ส่วนนิวที่ไม่ได้พบกันนานย่อมมีเรื่องราวให้พูดคุยกันมากกว่า และเธอเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร พอใจจะนั่งฟังทั้งคู่คุยกันไปเงียบ ๆ
“เดี๋ยวพี่รับโทรศัพท์แป๊บนะ” หนุ่มรุ่นพี่เอ่ยขึ้นเมื่อเสียงเครื่องมือสื่อสารดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่กำลังออกรสต้องหยุดชะงัก เอ็มหลบออกไปคุยโทรศัพท์ครู่เดียวก็กลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“นิวจิ๋ว พี่ต้องขอโทษจริง ๆ นะ พอดีเพื่อนพี่รถชนต้องไปดูมันหน่อย”
“ที่ไหน ให้นิวไปช่วยมั้ย” นิวอาสา
“ไม่เป็นไร ๆ แค่เมาแล้วขับน่ะ คนไม่เป็นไรมากหรอก ขอบใจมากนะ เรื่องค่าอาหารพี่บอกที่ร้านให้ลงบัญชีพี่ไว้แล้ว จะสั่งอะไรเพิ่มก็สั่งเลยนะ ตามสบาย… พี่ต้องขอโทษจริง ๆ นะ” เอ็มพูดรัวเร็ว ตบท้ายด้วยคำขอโทษอย่างรู้สึกผิด
“อย่าคิดมากเลยพี่เอ็ม มันเป็นเหตุสุดวิสัย ไปดูเพื่อนเถอะค่ะ” จิ๋วบอก
“ยังไงอีกไม่กี่วันก็ต้องเจอกันอยู่แล้วนี่” นิวกล่าวสำทับ
“โอเค งั้นไว้เจอกันที่เชียงใหม่นะ พี่ไปล่ะ” ชายหนุ่มก้าวเร็ว ๆ ออกไปจากร้านหลังจากล่ำลาทั้งคู่เป็นที่เรียบร้อย เมื่อบนโต๊ะเหลือกันเพียงสองคน นิวที่เคยพูดเป็นต่อยหอยก็กลับหุบปากสนิทเหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ เดือดร้อนคนที่พูดไม่เก่งต้องคิดหาเรื่องคุยลดเพื่อบรรยากาศอันน่าอึดอัด
“วันก่อนที่โทรหา นิวยุ่งอยู่เหรอ”
“อ่อ ก็นิดหน่อยน่ะ งานค้างเยอะ” นิวเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาตอบแบบขอไปที
“ขอโทษนะที่โทรไปกวน จิ๋วไม่รู้ว่านิวกำลังยุ่ง” ความขุ่นเคืองที่ก่อตัวอยู่ในใจทลายลงตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงอ่อย ๆ กล่าวขอโทษพร้อมกับสีหน้าสำนึกผิด เจออย่างนี้เข้าไปต่อให้ใจแข็งเป็นหินก็ต้องพ่ายแพ้ให้คนตรงหน้าอยู่ดี
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นิวไม่ได้โกรธอะไร กินข้าวเถอะ” นิวคลี่ยิ้มอ่อนโยน ทำให้ใบหน้าหม่นหมองของจิ๋วมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง อาหารมื้อค่ำรสชาติดีขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา ทั้งที่เป็นจานเดียวกันกับที่กินเข้าไปก่อนหน้านี้
“นิวยังชอบกินอาหารรสจัด ๆ เหมือนเดิมสินะ” จิ๋วตั้งข้อสังเกต หลังจากที่เธอวางช้อนส้อมแล้วนั่งมองคนตรงหน้าจัดการกับอาหารในจานไปเงียบ ๆ
“ก็คงเหมือนจิ๋วมั้ง ไม่ชอบผักยังไงก็อย่างนั้น” นิวเหลือบมองเศษเหลือในจานของจิ๋วแล้วยิ้มเหมือนล้อเลียน ทำเอาจิ๋วเก้อไปเล็กน้อยที่กลายเป็นคนโดนจับผิดเสียเอง
“มิน่า ถึงไม่โตซักที” นิวกระเซ้าต่อเมื่อเห็นว่าตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“แหม… เธอโตกว่าฉันมากเลยนะนภัสสร” จิ๋วประชดกลับพร้อมทำท่าค้อนประหลับประเหลือก นิวหัวเราะออกมาดัง ๆ อย่างไม่เกรงใจโต๊ะข้าง ๆ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่อนคลายขึ้นเป็นลำดับหลังจากคำขอโทษของจิ๋ว การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อทั้งคู่เลือกที่จะหยิบยกเอาความหลังสมัยที่ยังเป็นเพื่อนกันขึ้นมาพูดคุย… ไม่ใช่หลังจากนั้น
“แปลกนะ… ตอนที่เราเป็นเพื่อนกันเราแทบจะไม่มีปัญหากันเลย แต่พอสถานะเปลี่ยน กลับมีเรื่องให้ทะเลาะกันได้ไม่เว้นวัน” นิวเปรยขึ้นเบา ๆ เหมือนรำพึงกับตนเอง เหม่อมองไปไกลกว่าผืนน้ำมืดสนิทที่มองเห็น รอยยิ้มจาง ๆ ยังคงติดอยู่บนมุมปาก นับเป็นครั้งแรกที่พูดเฉียดใกล้ประเด็นนี้มากที่สุด
“บางที.. เราคงเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่ามั้ง” รอยยิ้มของนิวเลือนหายไปทันทีที่ฟังจิ๋วพูดจบประโยค ทำให้เธอรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรออกไปแล้ว
ครั้งก่อนที่เจอกันจิ๋วเคยนึกตำหนิว่านิวชอบพูดไม่คิด แต่ตอนนี้เธอกลับทำมันเสียเอง และคำพูดเหล่านั้นก็กำลังย้อนกลับมาทำร้ายตนเองอย่างแสนสาหัส
“อาจจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ได้” นิวที่เงียบไปอึดใจหันกลับมาพูดพร้อมเสียงหัวเราะขื่น ๆ
“อย่างน้อยเราก็ไม่ทะเลาะกัน” จิ๋วต่อให้อีกนิด
“ใช่ อย่างน้อยเราก็ไม่ทะเลาะกัน” นิวทวนประโยคด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน
จริงที่อยู่ที่คนสองคนอาจจะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้ แต่พยายามให้ตายยังไงก็ไม่มีทางเหมือนเดิม ข้อนี้ทั้งคู่ต่างรู้ดีแก่ใจ
…อาจเป็นเพราะความรู้สึกมันเดินทางมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ
“งั้น เรากลับบ้านกันดีมั้ยคะเพื่อน มันดึกแล้ว” จิ๋วออกปากชวน ใช้คำพูดหยอกล้อกลบเกลื่อนความในใจ จานอาหารตรงหน้าถูกละเลยความสนใจมานาน เชื่อว่าคงไม่มีใครกินลงอีกแล้ว
นิวยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา
“จะสี่ทุ่มแล้วนี่ เพื่อนมายังไงเหรอคะ” นิวต่อมุกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างจากจิ๋ว
“ขับรถมาเองน่ะ”
นิวมองจิ๋วอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะเมื่อก่อนจิ๋วยังขับรถไม่เป็นเลย แต่มานึกได้ว่าเวลามันก็ผ่านมานานแล้ว ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
“ให้เพื่อนขับไปส่งมั้ย” จนทั้งคู่ออกมาจากร้านแล้วแต่นิวก็ยังไม่วางใจ
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้สบายมาก”
“งั้นก็กลับบ้านดี ๆ นะ” ถึงนิวจะเป็นห่วงอีกคนมากแค่ไหน แต่ก็ต้องหักใจ
“นิวก็ขับรถดี ๆ นะ ไปละ”
ทั้งคู่โบกมือลาก่อนแยกจากกันด้วยรอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งให้ดูสดใสที่สุด จากนี้ไปคงมีโอกาสได้เจอกันบ่อยขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทนอึดอัดใจอย่างนี้ไปอีกกี่ครั้ง กว่าใจจะเคยชินกับคำว่า “เพื่อน” ที่จำเป็นต้องใช้กับอีกคน
เอ็ม อรรถพล
แขกรับเชิญของช็อตนี้ค่ะ และมีแนวโน้มที่อาจจะเป็นแขกประจำในตอนหน้า
ความคิดเห็น