ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TIMELESS (NewJiew TS1)

    ลำดับตอนที่ #5 : special part : Again and Again

    • อัปเดตล่าสุด 31 ธ.ค. 56


    © Tenpoints!


    special part

    Again and Again



    ขอบคุณภาพจาก : http://tykatai.diaryclub.com/20101220/%E1%C7%D0%BE%D1%A1%A4%CD%B9%E2%B4%CD%D5%EA%B4%D2

     

     

     

     

     

     

    December 16, 2013

    3 : 10 PM  

     

     

                “ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่ควรทราบไว้เป็นข้อมูลในการเตรียมตัวเหมือนกันนะคะ ก็คือเรื่องของสภาพอากาศ เพราะว่าตอนนี้นอกจากจะมีฝนแล้วอากาศจะหนาวเย็นลงได้อีก 8 – 10 องศานะคะ โดยเฉพาะทางภาคเหนือแล้วก็ภาคอีสานค่ะ”

     

                “เมื่อเช้าแม่โทรมา บอกว่าที่บ้านฝนตก ในเมืองน้ำท่วมด้วย แกบอกว่าตอนนี้หนาวมาก”

     

                “บ้านแกที่ชัยภูมิอะนะ”

     

                “ตอนนี้ปัจจัยเรื่องสภาพอากาศในบ้านเรานะคะ นอกจากเรื่องของคลื่นกระแสลมตะวันตกที่เคลื่อนเข้ามาปกคลุมตอนบนของประเทศ ซึ่งก็ทำให้ภาคเหนืออุณหภูมิลดลง 4 – 7 องศาเซลเซียส ส่วนภาคอีสานก็จะมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรง”

     

                “เออ”

     

                “ข่าวบอกพายุเข้านี่ คงจะหนาวไปอีกซักพัก กรุงเทพ ฯ ยังหนาวเลย”

     

                “ตอนนี้นะคะยังจะมีความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระรอกใหม่จากจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศตั้งแต่คืนนี้ไปจนถึงวันที่ 19 ธันวาคมค่ะ ซึ่งลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือและภาคอีสาน อุณหภูมินั้นจะเย็นลงอีก 8 – 10 องศาเซลเซียสนะคะ”

     

                “มันอาจจะหนาวไปถึงปีใหม่ก็ได้นะ”

     

                “เป็นไปได้นะ แต่หนาวเกินไปก็ไม่ดีว่ะ สงสารคนทางเหนือกับอีสาน ดูดิ” ภาพในจอทีวีเปลี่ยนเป็นพื้นที่ในอำเภอหนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาจนแทบมองไม่เห็นทัศนียภาพโดยรอบ อ๊อดมองตามขิงที่พยักพเยิดให้ดูอย่างตั้งใจ

     

                “คุณผู้ชมคะ จากสภาพอากาศหนาวเย็นที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็ทำให้ต้องมีการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติหนาวกันแล้วนะคะ อย่างเช่นที่จังหวัดน่าน ตอนนี้มี  4 อำเภอแล้วที่ต้องประกาศให้เป็นเขตภัยพิบัติหนาว ก็คืออำเภอเฉลิมพระเกียรติ เชียงกลาง ทุ่งช้าง และอำเภอบ่อเกลือนะคะ เนื่องจากว่าอุณหภูมิลดต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ติดต่อกันร่วมสัปดาห์ค่ะ”

     

                บทสนทนาของขิงและอ๊อดแทรกด้วยเสียงรายงานข่าวสภาพอากาศประจำวันทางฟรีทีวี  เรียกให้นิวเงยหน้าขึ้นมองทีวีจอใหญ่ที่ติดอยู่บนผนัง ปลายนิ้วดันแว่นกรอบหนาให้เข้าที่แล้วมุ่งความสนใจไปที่เนื้อหาในข่าว เพราะมันเกี่ยวพันกับคนทางบ้านโดยตรง

     

                “ส่วนอุณหภูมิที่ลดฮวบฮาบในจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เช้านี้นะคะที่ยอดดอยอินทนนท์วัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ 2 องศาเซลเซียสค่ะ ส่วนอุณหภูมิยอดหญ้าติดลบไปแล้วนะคะ ก็ทำให้เกิดน้ำค้างแข็งตั้งแต่กิ่วแม่ปานกิโลเมตรที่ 42 ไปจนถึงยอดดอยค่ะ”

     

                สีหน้ายุ่งยากระหว่างที่ดูรายงานข่าว นึกเป็นห่วงคนที่อยู่ต่างจังหวัดขึ้นมา โดยเฉพาะครอบครัวของตนที่เชียงใหม่ นิววางมือจากงานตรงหน้าชั่วคราว เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโทรศัพท์แล้วยกหูขึ้นเพื่อโทรถามข่าวคราวของคนทางบ้าน

                 

     

     

     

     

                “ตี้บ้านฝนตกก่อแม่ (ที่บ้านฝนตกมั้ยแม่)”

     

                [วันนี้บ่หักตกหนา แต่ตะวาต๊ก (วันนี้ไม่เห็นตกนะ แต่เมื่อวานน่ะตก)]

     

                “ตี้ปู้นหนาวมากก่อ ลูกเห๋นข่าวในทีวีต๋อนมะแลงก่อเป๋นห่วง (หนาวมากรึเปล่า ลูกเห็นข่าวในทีวีเมื่อหัวค่ำเลยเป็นห่วง)”

     

                [หนาวจนบ่ไค่อยากออกไปตังใดเลย ฝนต๊กก่อยิ่งหนาว (หนาวจนไม่อยากออกไปไหนเลยล่ะ ยิ่งฝนตกอากาศยิ่งเย็น)]

     

                ไปดีลืมห่มผ้าหนา ๆ เน้อ กลางคืนมันหนาว กำเดียวจะบ่สบาย (อย่าลืมห่มผ้าหนา ๆ ล่ะ กลางคืนมันหนาว เดี๋ยวจะไม่สบาย)”

     

                [บ่ห่มก่ออยู่บ่ได้น่ะก่ะ จะเกิ้ม... ลูกล๊อเป๋นใดพ่อง กรุงเทพหนาวก่อ (ไม่ห่มก็อยู่ไม่ได้หรอก จะแข็งตาย… ลูกล่ะเป็นยังไงบ้าง กรุงเทพ ฯ หนาวมั้ย)]

     

                ต๋อนเจ๊าก่อหนาวหนา แต่บ่เต้าตี้ปู้นหรอก (ตอนเช้าก็หนาวนะ แต่คงไม่สู้ทางโน้นหรอก)”

     

                [ดูแลตั๋วเก่าดี ๆ เน้อ ลูกบ่สบายบ่อย อากาศก่อเปลี่ยน ระวังป่วยเน้อ (ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ลูกน่ะไม่สบายบ่อย อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ระวังป่วยล่ะ)]

     

                เจ้าแม่… นมกับอาหารเสริมตี้จิ๋วกับนิวเอาไปฝากก่อไปดีลืมกิ๋นเน้อ (ค่ะแม่… นมกับอาหารเสริมที่จิ๋วกับนิวเอาไปฝากก็อย่าลืมกินนะ)

     

                [นักล้ำ บ่ฮู้อะหยังเป็๋นอะหยัง แม่กิ๋นบ่ไหวหรอก (เยอะเกิน ไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่กินไม่ไหวหรอก)] จิ๋วหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงโอดครวญของแม่ดังมาตามสาย

     

                “เอาน่าแม่ เพื่อสุขภาพหนา จะได้มีแฮงพอไป๋แอ่วกับนิวไง (เอาน่าแม่ เพื่อสุขภาพ จะได้มีแรงพอไปเที่ยวกับนิวไง)” น้ำเสียงหยอกแกมเหน็บเจ้าของชื่อเบา ๆ  นึกหมั่นไส้ที่นิวดูจะเป็นที่โปรดปรานของแม่ยิ่งกว่าลูกแท้ ๆ อย่างเธอเสียอีก

     

                [ขอหื้อมาเต๊อะ แม่บ่หวั่น ถึงไหนถึงกันน่ะก่ะ (ขอให้มาเถอะ แม่ไม่หวั่นหรอก ถึงไหนถึงกันอยู่แล้ว)]

     

                เจ้าาา ลูกสาวคนโปรดตึงคนนี่ (ค่า ลูกสาวคนโปรดทั้งคนนี่)” เธอย่นจมูกน้อย ๆ ใส่โทรศัพท์ก่อนคุยกับแม่ต่ออีกสักพักก็วางสายไปอย่างสบายใจ เห็นสภาพอากาศที่แปรปรวนก็อดเป็นห่วงญาติพี่น้องทางนั้นไม่ได้เลยต้องโทรหา ก็คงไม่ต่างจากคนที่อยู่อีกมุมเมืองเท่าไหร่

     

                โทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไปเมื่อครู่ส่งเสียงเตือนว่ามีคนโทรเข้า จิ๋วหยิบมันขึ้นมา มองหน้าจอด้วยสีหน้าลำบากใจก่อนกดรับสายจากรุ่นพี่ร่วมค่าย

     

                “สวัสดีค่ะพี่เอ็ม”

     

                [จิ๋วว่างคุยมั้ย]

     

                จิ๋วลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบ “ว่างค่ะ วันนี้ไม่มีงาน”

     

                [แล้วได้เจอนิวบ้างมั้ย]

     

                “ตอนลอยกระทงก็เจอนะ แต่จิ๋วลืมบอกเรื่องนัด” ตอนแรกก็ไม่ได้ลืม แต่มัวแต่คิดคำพูดจนกระทั่งลืมไปจริง ๆ ในตอนหลัง

     

                [ไม่เป็นไร ๆ ยังพอมีเวลา พี่อยากรู้ว่าปีใหม่นิวจะมาได้รึเปล่าแค่นั้น ถ้ายังไงจิ๋วโทรถามให้พี่หน่อยแล้วกันนะ]

     

                “เดี๋ยวจิ๋วโทรให้วันนี้เลยนะ หรือว่าพี่เอ็มจะเอาเบอร์นิวไปคุยเองก็ได้นะ” จิ๋วกำลังหาทางออกให้ตนเอง

     

                [เอาเบอร์มาเลยก็ดีเหมือนกัน แต่พี่ว่าจิ๋วโทรไปคุยกับเค้าก่อนดีกว่า ว่าง ๆ เดี๋ยวพี่โทรไปอีกที]

     

                “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ตอบออกไปเสียงเบา เมื่อความหนักใจยังคงอยู่ เพราะนิวหายไปจากวงโคจร เพื่อนเก่าที่ต้องการติดต่อนิวจึงนึกถึงเธอเป็นคนแรก  ด้วยเห็นว่าเคยสนิทกันมาก เป็นความลำบากใจที่จิ๋วต้องประสบมาโดยตลอด

     

                [เอ้อจิ๋ว วันที่ 24 นี่ว่างป่ะ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันซักมื้อ ฝากถามนิวด้วยนะ เรื่องร้านเดี๋ยวโทรบอกถ้าว่างกันอะนะ]

     

                จิ๋วนึกถึงตารางงานก่อนตอบตกลง “ได้ค่ะพี่เอ็ม แล้ว.. มีอะไรจะฝากบอกนิวอีกมั้ย”

     

                [ไม่มีแล้วล่ะ ขอบใจมากนะจิ๋ว ส่งเบอร์นิวมาทางไลน์แล้วกัน เดี๋ยวพี่ขับรถก่อน]

     

                “โอเค บายค่ะ”

     

                จิ๋วยังคงถือสมาร์ทโฟนไว้ในมือหลังจากวางสาย นั่งมองเบอร์ของนิวอยู่นานอย่างครุ่นคิด กว่าจะตัดสินใจโทรออกอีกคนได้ก็กินเวลาไปเกือบสิบนาทีหลังจากนั้น

                 

     

     

     

     

                “สวัสดีค่ะ”

     

                [………..] หลังจากกรอกเสียงลงไป สิ่งที่นิวได้รับจากปลายสายคือความเงียบจนเธอต้องถามซ้ำ เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอก็ไม่คุ้นเคยยิ่งทำให้แปลกใจ

     

                “ฮัลโหล นั่นใครคะ ยังอยู่มั้ย”

     

                [….นิว ..นี่จิ๋วเองนะ] เกือบจะวางหูไปแล้วหากปลายสายไม่พูดแทรกมาขึ้นเสียก่อน นิวยกโทรศัพท์ในมือออกมามองอย่างไม่อยากเชื่อ วินาทีแรกนึกว่าหูฝาดไป

     

                “จิ๋วเหรอ? โทรมาได้ยังไงเนี่ย”  นิวโพล่งออกไปเสียงดังจนลูกน้องในสตูดิโอหันมองอย่างสงสัย

     

                [คือ… ปีใหม่นี้นิวว่างมั้ย] ทั้งที่ยังงงที่ได้รับการติดต่อจากอีกคนไม่หาย แต่หัวใจก็เต้นรัวอย่างลิงโลดเมื่อได้ฟัง ผุดยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว และตอบออกไปทันที

     

                “ว่างสิ ทำไมเหรอ”

     

                [พี่เอ็มบอกให้จิ๋วโทรมาชวนนิวน่ะ… เค้านัดพวกเจอพวกเราที่เชียงใหม่ บอกว่าคิดถึงทุกคนที่เคยทำงานในคอจเทจด้วยกัน] หัวใจที่เคยพองโตกลับห่อเหี่ยวเมื่อได้ฟังประโยคถัดไปจากปลายสาย เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกอย่างกะทันหัน

     

                ที่ก็โทรมาแค่เป็นธุระแทนคนอื่นสินะ ดีใจอยู่หรอกที่จะได้เจอเพื่อนเก่าสมัยที่ยังร้องเพลงในคอทเทจ แต่ความรู้สึกแย่มันกลบความดีใจไปจนเกือบหมด

     

                นิวทิ้งน้ำหนักตัวลงพิงเบาะหนังเหมือนคนหมดแรง รอยยิ้มเลือนหายไปจากใบหน้าเหมือนไม่เคยปรากฏ

     

                “ได้สิ ไม่ได้เจอกันนานมากเลย คิดถึงเหมือนกัน”

     

                [จิ๋วให้เบอร์นิวกับพี่เอ็มแล้วนะ เรื่องสถานที่กับเวลาพี่เอ็มคงโทรมานัดอีกที]

     

                “อ่าฮะ โอเค ๆ” นิวตอบกลับไปแบบไร้ชีวิตชีวาผิดจากครั้งแรกราวพลิกฝ่ามือ

     

                [แล้วก็…. วันที่ 24 ตอนเย็นพี่เอ็มชวนไปกินข้าวด้วยกัน ไปได้มั้ยนิว]

     

                “ไปได้ ๆ แล้วนัดที่ไหนยังไงล่ะ” น้ำเสียงติดห้วนเล็กน้อยขณะเอ่ยถามออกไป

     

                [เดี๋ยวพี่เอ็มจะโทรมาบอกทีหลัง งั้นแค่นี้นะ จิ๋วไม่กวนแล้วล่ะ]

     

                “ได้ ๆ แล้วเจอกันนะ” นิวปล่อยให้จิ๋ววางสายไปโดยไม่แก้ไขความเข้าใจผิดของอีกคน วางสมาร์ทโฟนไว้ข้าง ๆ กล้องถ่ายรูปคู่ใจ โน้มตัวราบลงไปบนโต๊ะทำงานของตนอย่างเหนื่อยหน่าย  เหม่อมองถนนยามค่ำคืนผ่านกระจกใสหน้าร้าน …เบื่อตัวเองที่งี่เง่าไปคิดน้อยใจอีกคนทั้งที่ไม่ควร

     

                “พี่นิวเป็นไร”

     

                นิวเหลือบมองขิงแวบหนึ่งก่อนตอบ “เซ็ง”

     

     

                .

                .

                .

     

     

                December 24, 2013

     

     

                ร่างเล็กหยุดยืนอยู่หน้าร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่นักร้องหนุ่มเลือกไว้ ซึ่งจิ๋วมารู้ทีหลังว่าเป็นร้านของเพื่อนรุ่นพี่ของเอ็มอีกที ดูเหมือนเธอจะมาถึงเป็นคนสุดท้าย เมื่อมองเข้าไปในร้านเห็นโต๊ะที่จองไว้มีสมาชิกนั่งรออยู่ก่อนแล้วทั้งสองคน  อากาศหนาวเย็นต่อเนื่องมาหลายวันตั้งแต่ช่วงที่เธอได้ยินข่าวว่าพายุเข้าแถวบ้าน ค่ำคืนวันนี้ก็เช่นเดียวกัน

     

                เอ็มโบกมือให้เมื่อเหลือบมาเห็นเธอ ในขณะที่อีกคนกลับนั่งมองนิ่ง ๆ ทำให้เธอใจคอไม่ดีเอาเสียเลย ความรู้สึกนี้สะสมมาตั้งแต่ตอนคุยโทรศัพท์กันเมื่อหลายวันก่อน น้ำเสียงของนิวเหมือนไม่เต็มจะคุยกับเธอเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าไปทำให้นิวผิดใจเรื่องอะไร ขนาดเก็บเอาไปคิดก่อนนอนทุกคืนแต่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้จนแล้วจนรอด

     

                ถึงแม้วันนี้นิวจะยิ้มและหัวเราะเหมือนทุกทีแต่จิ๋วกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ในครั้งล่าสุดที่พบกัน นิวยังพูดคุยกับเธออย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ นี่ถ้าไม่มีเอ็มคอยเป็นตัวกลางในการสื่อสารเธอก็นึกภาพบรรยากาศของวันนี้ไม่ออกเหมือนกัน

     

                “เห็นยังติดต่อกันเหมือนเดิมพี่ก็เบาใจนะ นึกว่าที่เค้าพูด ๆ  กันมันจะเป็นความจริงซะอีก” เอ็มเปรยขึ้นระหว่างมื้ออาหาร ทำเอาคนสองคนที่มีชนักติดหลังต้องร้อนรน ทั้งคู่หันมองหนุ่มรุ่นพี่เป็นตาเดียว

     

                “พูดว่าไงเหรอพี่เอ็ม?” นิวชิงถามก่อนที่จิ๋วจะทันได้เอ่ยปาก

     

                “ได้ยินบางคนเค้าบอกว่านิวกับจิ๋วทะเลาะแรงมากจนถึงขั้นเลิกคบกันเลยนะ” นักร้องหนุ่มตอบ

     

                “ใครพูดเหรอ?” จิ๋วถามแทรกขึ้น

     

                “จำไม่ได้แล้วล่ะ นานแล้ว แต่ช่างเถอะ เค้าก็คงเดาไปเรื่อยนั่นแหละจริงมั้ย?” เอ็มหันไปถามจิ๋วด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม แต่สายตาที่มองมาเหมือนกำลังคาดคั้น

     

                “ใช่ค่ะ อย่าไปใส่ใจเลย” จิ๋วตอบออกไปในที่สุด

     

                “เอ้อ พี่เอ็ม ทุกวันนี้ยังแข่งรถอยู่ใช่มั้ยคะ  ถ้านิวอยากลองบ้าง พี่เอ็มพอจะช่วยแนะนำหน่อยได้มั้ย” นิวพยายามเบนความสนใจของนักร้องหนุ่ม โดยการยกเอาเรื่องที่เขาชื่นชอบขึ้นมาเป็นประเด็นพูดคุย นับว่าเป็นวิธีที่ชาญฉลาดมากทีเดียว

     

                “เฮ่ย! เอาจริงเหรอ ถ้าสนใจพี่ก็ยินดีช่วยอยู่แล้ว สนามของมือสมัครเล่นก็มี ว่าแต่ใจเถอะแน่จริงรึเปล่าล่ะ” เอ็มถามอย่างท้าทาย

     

                “ขอศึกษาข้อมูลจากกูรูอย่างพี่เอ็มก่อนได้มั้ยล่ะ อย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที ” นิวตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้

     

                 และหลังจากนั้นการสนทนาก็เหมือนจะผูกขาดอยู่ที่นิวและเอ็มเป็นส่วนใหญ่ จิ๋วกับเอ็มเจอกันบ่อย ๆ ที่ตึกในบริษัทอยู่แล้ว ส่วนนิวที่ไม่ได้พบกันนานย่อมมีเรื่องราวให้พูดคุยกันมากกว่า และเธอเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร พอใจจะนั่งฟังทั้งคู่คุยกันไปเงียบ ๆ

     

                “เดี๋ยวพี่รับโทรศัพท์แป๊บนะ” หนุ่มรุ่นพี่เอ่ยขึ้นเมื่อเสียงเครื่องมือสื่อสารดังขึ้น ทำให้บทสนทนาที่กำลังออกรสต้องหยุดชะงัก เอ็มหลบออกไปคุยโทรศัพท์ครู่เดียวก็กลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

     

                “นิวจิ๋ว พี่ต้องขอโทษจริง ๆ นะ พอดีเพื่อนพี่รถชนต้องไปดูมันหน่อย”

     

                “ที่ไหน ให้นิวไปช่วยมั้ย” นิวอาสา

     

                “ไม่เป็นไร ๆ แค่เมาแล้วขับน่ะ คนไม่เป็นไรมากหรอก ขอบใจมากนะ เรื่องค่าอาหารพี่บอกที่ร้านให้ลงบัญชีพี่ไว้แล้ว จะสั่งอะไรเพิ่มก็สั่งเลยนะ ตามสบาย… พี่ต้องขอโทษจริง ๆ นะ” เอ็มพูดรัวเร็ว ตบท้ายด้วยคำขอโทษอย่างรู้สึกผิด

     

                “อย่าคิดมากเลยพี่เอ็ม มันเป็นเหตุสุดวิสัย ไปดูเพื่อนเถอะค่ะ” จิ๋วบอก

     

                “ยังไงอีกไม่กี่วันก็ต้องเจอกันอยู่แล้วนี่” นิวกล่าวสำทับ

     

                “โอเค งั้นไว้เจอกันที่เชียงใหม่นะ พี่ไปล่ะ” ชายหนุ่มก้าวเร็ว ๆ ออกไปจากร้านหลังจากล่ำลาทั้งคู่เป็นที่เรียบร้อย เมื่อบนโต๊ะเหลือกันเพียงสองคน นิวที่เคยพูดเป็นต่อยหอยก็กลับหุบปากสนิทเหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ เดือดร้อนคนที่พูดไม่เก่งต้องคิดหาเรื่องคุยลดเพื่อบรรยากาศอันน่าอึดอัด

     

                “วันก่อนที่โทรหา นิวยุ่งอยู่เหรอ”

     

                “อ่อ ก็นิดหน่อยน่ะ งานค้างเยอะ” นิวเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาตอบแบบขอไปที

     

                “ขอโทษนะที่โทรไปกวน  จิ๋วไม่รู้ว่านิวกำลังยุ่ง” ความขุ่นเคืองที่ก่อตัวอยู่ในใจทลายลงตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงอ่อย ๆ กล่าวขอโทษพร้อมกับสีหน้าสำนึกผิด เจออย่างนี้เข้าไปต่อให้ใจแข็งเป็นหินก็ต้องพ่ายแพ้ให้คนตรงหน้าอยู่ดี

     

                “ไม่เป็นไรหรอกน่า นิวไม่ได้โกรธอะไร กินข้าวเถอะ” นิวคลี่ยิ้มอ่อนโยน ทำให้ใบหน้าหม่นหมองของจิ๋วมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง อาหารมื้อค่ำรสชาติดีขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา ทั้งที่เป็นจานเดียวกันกับที่กินเข้าไปก่อนหน้านี้

     

                “นิวยังชอบกินอาหารรสจัด ๆ เหมือนเดิมสินะ” จิ๋วตั้งข้อสังเกต หลังจากที่เธอวางช้อนส้อมแล้วนั่งมองคนตรงหน้าจัดการกับอาหารในจานไปเงียบ ๆ

     

                “ก็คงเหมือนจิ๋วมั้ง ไม่ชอบผักยังไงก็อย่างนั้น” นิวเหลือบมองเศษเหลือในจานของจิ๋วแล้วยิ้มเหมือนล้อเลียน ทำเอาจิ๋วเก้อไปเล็กน้อยที่กลายเป็นคนโดนจับผิดเสียเอง

     

                “มิน่า ถึงไม่โตซักที” นิวกระเซ้าต่อเมื่อเห็นว่าตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ

     

                “แหม… เธอโตกว่าฉันมากเลยนะนภัสสร” จิ๋วประชดกลับพร้อมทำท่าค้อนประหลับประเหลือก นิวหัวเราะออกมาดัง ๆ อย่างไม่เกรงใจโต๊ะข้าง ๆ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่อนคลายขึ้นเป็นลำดับหลังจากคำขอโทษของจิ๋ว  การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อทั้งคู่เลือกที่จะหยิบยกเอาความหลังสมัยที่ยังเป็นเพื่อนกันขึ้นมาพูดคุย… ไม่ใช่หลังจากนั้น

     

    “แปลกนะ… ตอนที่เราเป็นเพื่อนกันเราแทบจะไม่มีปัญหากันเลย แต่พอสถานะเปลี่ยน กลับมีเรื่องให้ทะเลาะกันได้ไม่เว้นวัน” นิวเปรยขึ้นเบา ๆ เหมือนรำพึงกับตนเอง เหม่อมองไปไกลกว่าผืนน้ำมืดสนิทที่มองเห็น รอยยิ้มจาง ๆ ยังคงติดอยู่บนมุมปาก นับเป็นครั้งแรกที่พูดเฉียดใกล้ประเด็นนี้มากที่สุด

     

    “บางที.. เราคงเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่ามั้ง”  รอยยิ้มของนิวเลือนหายไปทันทีที่ฟังจิ๋วพูดจบประโยค ทำให้เธอรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรออกไปแล้ว

     

    ครั้งก่อนที่เจอกันจิ๋วเคยนึกตำหนิว่านิวชอบพูดไม่คิด แต่ตอนนี้เธอกลับทำมันเสียเอง และคำพูดเหล่านั้นก็กำลังย้อนกลับมาทำร้ายตนเองอย่างแสนสาหัส

     

    “อาจจะเป็นอย่างนั้นจริง  ๆ ก็ได้” นิวที่เงียบไปอึดใจหันกลับมาพูดพร้อมเสียงหัวเราะขื่น ๆ

     

    “อย่างน้อยเราก็ไม่ทะเลาะกัน” จิ๋วต่อให้อีกนิด

     

    “ใช่ อย่างน้อยเราก็ไม่ทะเลาะกัน” นิวทวนประโยคด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน

     

    จริงที่อยู่ที่คนสองคนอาจจะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้ แต่พยายามให้ตายยังไงก็ไม่มีทางเหมือนเดิม ข้อนี้ทั้งคู่ต่างรู้ดีแก่ใจ

     

    …อาจเป็นเพราะความรู้สึกมันเดินทางมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ

     

    “งั้น เรากลับบ้านกันดีมั้ยคะเพื่อน มันดึกแล้ว” จิ๋วออกปากชวน ใช้คำพูดหยอกล้อกลบเกลื่อนความในใจ จานอาหารตรงหน้าถูกละเลยความสนใจมานาน เชื่อว่าคงไม่มีใครกินลงอีกแล้ว

     

    นิวยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา

     

    “จะสี่ทุ่มแล้วนี่ เพื่อนมายังไงเหรอคะ” นิวต่อมุกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างจากจิ๋ว

     

    “ขับรถมาเองน่ะ”

     

    นิวมองจิ๋วอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะเมื่อก่อนจิ๋วยังขับรถไม่เป็นเลย แต่มานึกได้ว่าเวลามันก็ผ่านมานานแล้ว ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ 

     

    “ให้เพื่อนขับไปส่งมั้ย” จนทั้งคู่ออกมาจากร้านแล้วแต่นิวก็ยังไม่วางใจ

     

    “ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้สบายมาก”

     

    “งั้นก็กลับบ้านดี ๆ นะ” ถึงนิวจะเป็นห่วงอีกคนมากแค่ไหน แต่ก็ต้องหักใจ

     

    “นิวก็ขับรถดี ๆ นะ ไปละ”   

     

    ทั้งคู่โบกมือลาก่อนแยกจากกันด้วยรอยยิ้มที่พยายามปั้นแต่งให้ดูสดใสที่สุด จากนี้ไปคงมีโอกาสได้เจอกันบ่อยขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

    แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทนอึดอัดใจอย่างนี้ไปอีกกี่ครั้ง กว่าใจจะเคยชินกับคำว่า “เพื่อน” ที่จำเป็นต้องใช้กับอีกคน

     

     

     

     

    เอ็ม อรรถพล 

     แขกรับเชิญของช็อตนี้ค่ะ และมีแนวโน้มที่อาจจะเป็นแขกประจำในตอนหน้า 

     





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×