คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [Short Fic] Magic Moment [Kris x Sica] :: 01 พบเจอด้วยไม่ดี
01 พบเจอด้วยไม่ดี
****อัสสุชล แปลว่า น้ำตา
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนวูบไหวเมื่อเหลือบเห็นเจ้าของเรือนร่างสูงสง่าอันคุ้นเคย พิศมองใครคนนั้นอย่างเผลอไผล ความโหยหาที่ซ่อนเร้นอยู่ในเบื้องลึกของหัวใจมานานแรมปีกำลังแสดงอาการ นาทีนั้นม่านอัสสุชลพร่ามัวก็บดบังภาพที่ปรากฏพร้อมกับอาการจุกแน่นตรงกลางอก ริมฝีปากสีชมพูสดเม้มแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์รุนแรงที่ทำท่าจะพวยพุ่งออกมาประจานตน แก้วเจียระไนลวดลายวิจิตรในอุ้งมือแทบหลุดร่วงลงแตกละเอียด ทั้งที่ทราบล่วงหน้าแล้วว่าต้องพบเจอกันในงานเลี้ยงราตรีนี้ พอเอาเข้าจริงเจสสิก้าก็พ่ายแก่ความรู้สึกของตนอย่างสิ้นท่า ว้าวุ่นจนทนมองภาพของบุรุษรูปงามที่ถูกห้อมล้อมด้วยสตรีมากหน้าหลายตาไม่ไหว
ร่างงามอาศัยฝูงชนหลบเร้นกายให้พ้นจากสายตาคมกริบประดุจพญาอินทรีย์ที่ตราตรึงในความทรงจำ หากสลายตัวเป็นเถ้าธุลีไปในเวลานี้ได้นางจะยินดีอย่างที่สุด ทว่า... เวทย์มนต์คาถานับร้อยนับพันบทที่เคยเล่าเรียนมากลับถูกลืมเลือนไปจนสิ้น แม้จะพยายามนึกอย่างไรผลที่ได้ก็แค่คาถาผิด ๆ ถูก ๆ ไม่อาจนำมาใช้การได้จริงในสถานการณ์เช่นนี้ อาภรณ์รุ่มร่ามที่สวมใส่เป็นเหตุให้เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างใจจนนึกโมโห
ไม่รู้จะร้อนรนไปเพื่อเหตุใด อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้สนใจนางเท่าไหร่ มีเพียงเจสสิก้าที่กระวนกระวายใจอยู่ฝ่ายเดียว ในเมื่อคราวที่จากกันเขาเป็นคนผลักไสนางออกไปจากชีวิตอย่างไม่ใยดี หัวใจแทบสลายในคราวนั้นยังไม่สำนึก
“เจสสิก้า มาทางนี้ก่อนสิ” เกือบหลบพ้นไปจากรัศมีอันตรายอยู่แล้ว หากเฮอรี่ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่นางเคารพไม่เรียกเอาไว้เสียก่อน จำต้องระงับอาการลนลานแล้วหันกลับไปมอง
วินาทีนั้นดวงตาสองคู่เลื่อนมาสบประสานกันโดยบังเอิญ นัยน์ตาสีมรกตสะกดนางไว้เหมือนต้องสาป บาดแผลฉกรรจ์ที่สมานกันดีแล้วจนเหลือเพียงร่องรอยเลือนรางกำลังสำแดงฤทธิ์เดช ทั้งร่างราวกับถูกทิ่มแทงด้วยของมีคมจนนับไม่ถ้วน เจ็บปวดทุรนทุรายทว่าแสดงออกอย่างที่รู้สึกไม่ได้ โลหิตสีแดงฉานไม่ได้หลั่งรินออกมาจากบาดแผลเหล่านั้น มีเพียงม่านน้ำตาจาง ๆ วาววับอยู่ในดวงตาสีอ่อน ทั้งที่พยายามอดกลั้นไว้แล้วจนสุดความสามารถ แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน
ความหลังครั้งก่อนไหลย้อนกลับมาเป็นฉาก ๆ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ทว่าภาพเหล่านั้นกลับให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเวทย์มนต์แห่งความลุ่มหลงสลายไป จึงเหลือเพียงความทุกข์ทรมานที่นางต้องเผชิญ
.
.
.
สตรีร่างอรชรในอาภรณ์ของบุรุษนอนนิ่งอยู่บนฟูกนุ่มอันเป็นที่ของเขา จอมขมังเวทย์แห่งเฮลิออสต้องมานั่งพิศดรุณีวัยแรกรุ่นที่เพิ่งล่วงเข้าสู่วัยสาวเป็นนานสองนานอย่างคนไร้ความสามารถ คาถาที่เขาใช้กับนางไปคงรุนแรงเกินกว่ากายอ่อนเยาว์นั้นจะทานทนไหว นางจึงหลับใหลไปถึงสามวันสามคืน ซ้ำยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสติในเร็ววัน แต่ก็ดี อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องปวดศีรษะกับความพยศของนาง สตรีที่แก่นกะโหลกต่างจากหญิงในเผ่าพันธุ์เดียวกันราวฟ้ากับเหว เรือนร่างหรือก็บอบบางอ้อนแอ้น ทว่าฤทธิ์เดชนั้นเหลือร้ายจนต้องใช้เวทย์มนต์สยบ ทั้งที่นึกว่าไม่จำเป็นแล้วในทีแรก
คริสผ่อนลมหายใจออกมายืดยาว ก่อนย้ายร่างสูงสง่าของตนมานั่งบนเตียงนอนเดียวกันอย่างแผ่วเบา หากพิจารณาเพียงลักษณะภายนอกก็ถือได้ว่านางเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งร่างราวกับถูกรังสรรค์มาจากหัตถ์ของเหล่าทวยเทพอย่างวิจิตรบรรจง ดวงหน้างดงามหมดจดล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสยายเต็มหมอน ผิวขาวเนียนดุจงาช้าง ทรวงอกเต่งตึงนูนเด่นแม้อยู่ในอาภรณ์หลวมโพรก
คริสสะบัดศีรษะขับไล่ความฟุ้งซ่าน นึกตำหนิตนเองในใจที่เผลอชื่นชมเรือนร่างแน่งน้อยบนเตียงนอน นางอ่อนวัยกว่าเขากว่าศตวรรษควรหรือที่จะมาหวั่นไหวให้แก่เด็กรุ่นหลาน ซ้ำภายใต้ความงามนั้นยังต้องสาปตามเผ่าพันธุ์
เขาควรสงบใจไว้ แล้วปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่รับปากไว้ก็เพียงพอ
กายที่นอนนิ่งมาหลายสิบชั่วโมงเริ่มเคลื่อนไหว คริสได้ยินเสียงครางเล็ก ๆ จากลำคอระหง สองแขนเท้าคร่อมเหนือกายนางเพื่อรอคอยเวลาที่นางฟื้นคืนสติ
หมู่เมฆเคลื่อนคล้อยมาบดบังจันทราจนหม่นแสง เหตุบังเอิญหรือจงใจไม่อาจหยั่งรู้ เมื่อดวงตาสีอ่อนเปิดปรือก็พบกับเงาตะคุ่มเหนือร่างตน ที่เด่นชัดมีเพียงดวงตาสีมรกตคู่นั้นที่จ้องมองมาราวกับสัตว์ป่า เจสสิก้าหวาดกลัวแทบสิ้นสติ ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงต่อกรกับสิ่งที่ดูจะมีอำนาเหนือกว่า มือน้อยพยุงกายขึ้นอย่างทุลักทุเล ค่อย ๆ กระถดหนีเท่าที่กำลังจะเอื้ออำนวย แต่เงาร่างสูงใหญ่นั้นก็ไม่ปล่อยนางไปโดยง่ายเช่นกัน
“อย่ากลัวไปเลย” เสียงทรงอำนาจเอ่ยปลอบประโลม ทว่าไม่อาจทำให้ความตื่นตระหนกของเจสสิก้าเลือนหายไป
“ฮิวเมอรี่น้อย สงบใจไว้ เราไม่เป็นอันตรายต่อเจ้า” ลำแสงจากพระจันทร์ส่องสว่างเมื่อหมู่เมฆสลายไป เจสสิก้าจึงมองเห็นรูปลักษณ์ของ ‘สิ่งนั้น’ ได้ชัดเจนขึ้น เจ้าของใบหน้าคมสันยังคงคืบคลานเข้าใกล้ไม่ลดละ เรือนผมสีทองที่ตัดเล็มอย่างปราณีตขับให้ลดความกระด้างของดวงหน้านั้นลง หากดวงตาสีมรกตนั้นจะลดความดุดันลงบ้างนางคงอุ่นใจขึ้นมาก
“ท่านเป็นใคร” เสียงแหบแห้งหลุดออกมาจากกลีบปากสีหวานเป็นครั้งแรกในรอบสามวัน คนที่รู้กระทั่งเผ่าพันธุ์ของนางทั้งที่ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ย่อมไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน
“นามของเราคือ คริส ไลซาร์ ริวเมอร์รัส เจ้าน่าจะคุ้นหูอยู่บ้าง”
“ท่าน...” ดวงตาหวานเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง ไม่น่าเชื่อว่าจอมขมังเวทย์อันเลื่องชื่อจะมาปรากฏกายต่อหน้านางได้ มือน้อยยกขึ้นบิดแขนอีกข้างของตนแรง ๆ เพื่อยืนยันว่านางไม่ได้ตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
“เจ้าไม่ได้ฝันไปหรอก เจ้าอยู่ที่นี่... ในห้องนอนของเรา” ประโยคนั้นเจือรอยยิ้มน้อย ๆ
“ไม่จริง ข้ากำลัง..”
“กำลังจะเอาชีวิตไปทิ้งที่มหานครมืดงั้นสินะ” เอ่ยยังไม่ทันจบประโยคเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตก็แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน เจสสิก้าทั้งตกใจและกรุ่นโกรธระคนกัน ดวงตาสีอ่อนวาววับอย่างเอาเรื่อง
“ข้าไม่เคยกระทำการอันสิ้นคิดเช่นนั้น”
“ไม่สิ้นคิดงั้นหรือ? แต่ที่เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปนั่นคือทางสู่มหานครมืดชัด ๆ” คริสมีท่าทีคุกคามอย่างน่ากลัวเมื่อเอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้นเป็นหนที่สอง มหานครมืดหรือเฟโนทอร์ดินแดนที่เปรียบเสมือนนรกภูมิบนผืนโลก เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตโฉดชั่ว หากหลงเข้าไปโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็มีแต่จะจบชีวิตลงน่าเสียดาย
“ใครบอกท่าน ที่ที่ข้าจะไปคือนครเนเธลาร์ไม่ใช่มหานครมืดอย่างที่ท่านเข้าใจ”
“แล้วใครบอกเจ้ากันล่ะว่านครเนเธลาร์ไปทางนั้น”
ยิ่งทุ่มเถียงก็ยิ่งรู้ซึ้งถึงข้อแตกต่างระหว่างนางและบุรุษเบื้องหน้า อำนาจแห่งมนตราที่แม้ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาใช้ก็ยังแผ่ขยายออกมาจากกายสูงสง่าจนคลอบคลุมทั่วทั้งห้อง หญิงสาวหมดหนทางถอยหนีเมื่อแผ่นหลังประชิดกับหัวเตียง
“ข้ามีแผนที่” เสียงกังวานใสนั้นเบาลงเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว
“เจ้าดูแผนที่เป็นงั้นหรือ?”
จนด้วยคำพูดเมื่อถูกเขาต้อนให้จนมุมอย่างง่ายดาย กลีบปากสีอ่อนที่เคยโต้เถียงกลับปิดสนิท จริงอย่างที่เขาว่า เจสสิก้าดูแผนที่ไม่เป็น ซ้ำยังเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนโดยลำพัง ผิดถูกอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดชี้แนะ อ่อนทั้งวัยและประสบการณ์ยังอาจหาญโบยบินออกจากกรงทองโดยไม่เกรงกลัวภยันตรายใด ๆ โง่เง่าเสียจริงเจสสิก้า
“เจ้านี่เก่งเกินสตรีเผ่าพันธุ์เดียวกันเสียจริง” ร่างน้อยหายใจได้คล่องขึ้นเมื่อจอมขมังเวทย์หนุ่มเคลื่อนตัวออกห่าง ทว่ายังคงเดินวนเวียนอยู่ในระยะที่ช่วงแขนของเขาสามารถเอื้อมถึงตัวของนางได้
“มันเรื่องของข้า” พอได้พื้นที่ในห้องนี้เพิ่มขึ้นหน่อยก็มีท่าทีแข็งกระด้างขึ้นทันตา
“เรื่องของเจ้า? แล้วบิดามารดาที่เจ้าทิ้งมาล่ะ เจ้าไม่ใส่ใจเลยงั้นหรือ?” คริสหยุดมองคนบนเตียงด้วยสายตาดุดัน เขาทำให้นางสะอึกเมื่อเอ่ยถึงผู้ให้กำเนิด ความรวดร้าวแผ่ขยายไปทั่วทั้งอก
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าจำเป็นต้องทำ”
“เจ้าฉีกหน้าบุพการีของเจ้าด้วยการหนีงานวิวาห์ อย่างนั้นหรือที่เจ้าเรียกว่ามันจำเป็น?” ช่างพูดได้ตรงประเด็นเหลือเกิน ตรงจนเจสสิก้าสะดุ้งด้วยความรู้สึกผิดบาปที่เกาะกินหัวใจ
“ก็ข้าไม่อยากเข้าพิธีวิวาห์โดยที่ข้าไม่เต็มใจนี่” เสียงเล็กอ้อมแอ้มตอบ เรียวหน้าสวยก้มต่ำไม่กล้าต่อสายตากับผู้มีอำนาจเหนือกว่าตน
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่บอกกับบิดามารดาของเจ้าตามความเป็นจริงเล่า?” ไม่รู้ว่าเขาจะคาดคั้นนางด้วยเหตุใด เป็นคนแปลกหน้าต่อกันแท้ ๆ
“พวกท่านไม่ฟังคำพูดข้า” ประกายจากวามวาวจากน้ำตากำลังเอ่อคลอหน่วยตาคู่หวาน แม้พยายามสะกดกลั้นเอาไว้แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจ
“ลูฮานคู่หมั้นของเจ้า เขามีข้อบกพร่องอันใดเจ้าถึงไม่อยากร่วมหอลงโลงด้วย” คริสจดจ้องไปที่เรือนร่างอรชรโดยไม่ละสายตา กดดันจนกว่าจะได้รับคำตอบที่พึงพอใจ
“ลูฮานสมบูรณ์แบบทุกอย่าง เพียงแต่.....” น้ำเสียงสั่นเครือจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความอ่อนแอของตน
“เพียงแต่อะไร?” คริสรบเร้าเอาคำตอบให้ได้
“เขาไม่ใช่ชายที่ข้ารัก”
“หืม? เจ้ามีคนรักแล้ว ใครกัน?” ดวงตาคมวูบไหวปรากฏแสงเรืองรองแห่งความไม่พอใจ ขยับแขนมาคร่อมร่างบอบบางนั้นไว้จนลมหายใจเป่ารดผิวละมุน เจสสิก้าส่ายศีรษะเร็ว ๆ เป็นการปฏิเสธ
“ไม่ ข้ายังไม่มีคนรัก แต่ข้าไม่อยากสมรสกับคนที่ข้าไม่ได้รัก”
แรงโทสะในดวงตาคู่คมพลุ่งพล่านรุนแรงเมื่อได้ฟังเหตุผลจากปากของสตรีผู้เบาปัญญาในความคิดของเขา
“ยอมสละชีวิตเพราะทิฐิโง่เง่า หึ! ช่างน่ายกย่องเหลือเกิน” มือแกร่งออกแรงบีบต้นแขนเรียวเล็กอย่างไร้ปราณี น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นถูกเค้นลอดไรฟันจนฟังคล้ายเสียงคำราม นัยน์ตาเกรี้ยวกราดมองสบกับดวงตาสีอ่อนที่กำลังสั่นไหวด้วยความขลาดกลัว เจสสิก้าไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดชายตรงหน้าต้องบันดาลโทสะด้วยเรื่องของนาง
“ปล่อยข้านะ ข้าเจ็บ” ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะฝืนกำลังมหาศาลของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่เช่นเขา
“เจ้าจะกลัวเจ็บไปทำไม ในเมื่อชีวิตของเจ้า เจ้ายังไม่รัก” กระดูกเล็ก ๆ รู้สึกรวดร้าวจนแทบหักเมื่อมือนั้นเพิ่มแรงบีบโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน
“ชีวิตข้าทำไมข้าจะไม่รัก” กัดฟันโต้เถียงกลับเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่านางก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน
“เจ้ามันโง่” สะบัดเสียงใส่อย่างตำหนิก่อนปล่อยเจสสิก้าให้เป็นอิสระ เรือนร่างสูงใหญ่ถอยห่างจากเตียงนอนของตนเล็กน้อย คนที่ถูกต่อว่ายกมือขึ้นลูบต้นแขนตนเองเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายความเจ็บปวด เรียวปากบางเม้มแน่นอย่างจนด้วยคำพูด
“ยอมถูกตราหน้าว่าอกตัญญูเพียงเพราะไม่อยากเข้าพิธีวิวาห์กับชายที่เจ้าไม่ได้รัก ผลเสียที่จะตามมาเจ้าไม่เคยนึกถึงมันเลยสินะ เจ้าอยากต้องคำสาปไปตลอดชีวิตหรืออย่างไร?”
“ข้ายอมแม้ชีวิตจะสั้นลง” เจสสิก้าตอบโดยไม่หยุดคิด เงยหน้าขึ้นสบตาของผู้แก่วัยกว่าอย่างมุ่งมั่น
ฮิวเมอรี่ เผ่าพันธุ์ที่ถูกสาปมานานนับพันปี หากไม่เสพสังวาสกับหญิงหรือชายใดก่อนอายุครบสิบแปดปีลักษณะครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่ปรากฏในยามโกรธจัดจะคงอยู่ตลอดไปจนชั่วชีวิต ซ้ำร้ายอายุขัยนั้นยังหดสั้นลงเหลือเพียงครึ่งเมื่อเทียบกับผู้ที่พ้นคำสาปนั้นไปแล้ว เจสสิก้าทราบและเข้าใจถึงกฎเกณฑ์เหล่านั้นอย่างถ่องแท้ แม้จะเคยประสบพบเจอกับผู้ที่ถูกสาปจนสิ้นอายุขัยแล้วนางก็ยังไม่เกรงกลัว หากต้องแลกมันกับอิสรภาพที่หวงแหนนางก็ยินยอม
“หญิงที่หนีการเข้าพิธีวิวาห์ถือว่ามีมลทิน เจ้าคิดหรือว่าจะมีชายใดยกย่องเจ้าให้เป็นภรรยา” คริสยกเหตุผลที่คิดว่าเหนือกว่ามาข่ม แทนที่นางจะละอายแต่กลับบันดาลโทสะจนควบคุมไม่อยู่เมื่อเกียรติแห่งสตรีถูกดูแคลนด้วยคำพูดและแววตาดูถูกเหยียดหยาม
พายุลูกเล็กหมุนวนทำลายข้าวของภายในห้องนอนโอ่อ่าจนพินาศ มือและเท้าแปรเปลี่ยนเป็นอุ้งเล็บของสัตว์สี่เท้า ใบหูยืดขึ้นและตั้งชัน พวงหางงอกยาวออกมาเป็นเมตร เขี้ยวเล็กแหลมคมโผล่พ้นมุมปาก นัยน์ตาสีอ่อนนั้นเข้มขึ้นและเรียวยาวกว่าเคย
มนุษย์กึ่งจิ้งจอกเปลี่ยนรูปร่างไปต่อหน้าของจอมขมังเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ภาพที่เขาเคยเห็นมาแล้วจนชินตา แต่กลับรู้สึกแปลกออกไปเมื่อประสบในระยะที่เพียงเอื้อมมือไปก็ถึง นางไม่ได้น่าเกลียดอย่างที่เคยนึกวาดภาพในใจ แต่ฤทธิ์เดชที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวนั้น เห็นทีคงรับมือได้ยากกว่ายามปกติ
อุ้งเล็บแหลมคมวาดไปในอากาศ ไม่สัมผัสถูกกายเนื้อของเขาโดยตรง แต่กลับทำให้อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นขาดวิ่นพร้อมความรู้สึกแสบร้อนบริเวณแผ่นอก คริสผงะถอยห่างออกมาตามสัญชาตญาณ ดวงตาสีมรกตหรี่มองจิ้งจอกสาวด้วยความรู้สึกที่อ่านไม่ออก ต้องโทษตนเองที่ไม่ระวังจึงถูกฮิวเมอรี่น้อยที่มีพลังเวทย์ไม่ถึงเสี้ยวของเขาเล่นงานเอาได้ แต่หลังจากนี้ไปคงไม่มีอีกแล้ว
“แน่ใจหรือว่าเจ้าจะต่อกรกับเราได้” ลมที่พัดอื้ออึงอยู่ในห้องพัดเอาอาภรณ์และเรือนผมสีสว่างจนปลิวไสวอย่างไร้ทิศทาง คริสรวบรวมพลังเวทย์ข่มอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนด้อยกว่าของเจสสิก้าให้สงบลงในเวลาอันสั้น โดยที่ไม่กระดิกแม้แต่ปลายนิ้ว ทว่านางจิ้งจอกน้อยตรงหน้ายังคงแยกเขี้ยวใส่ไม่เกรงกลัว ทั้งยังตวัดอุ้งเล็บแหวกอากาศไปมาเพื่อข่มขู่เขา
“ได้ไม่ได้ข้าก็ไม่ยอมให้ท่านเหยียดหยามอยู่ฝ่ายเดียวหรอก”
“ดิ้นรนไปเจ้าก็มีแต่จะเจ็บตัวเปล่า ๆ” คริสพยายามเกลี้ยกล่อมให้นางสงบลง กายอ่อนเยาว์นั้นยังฟื้นคืนเรี่ยวแรงไม่สมบูรณ์เต็มที่ หากเขายังฝืนใช้พลังเวทย์กับนางเกรงว่าเรือนร่างบอบบางนั้นจะรับไม่ไหว แต่ดูจากท่าทีแล้วนางคงไม่รับฟังคำพูดใด ๆ จากเขา
“ข้าไม่สนหรอก อุ๊บ” จังหวะที่เจสสิก้ากำลังลำพองใจคริสก็โถมน้ำหนักเข้าใส่ ด้วยความได้เปรียบทางด้านพละกำลังและสรีระเป็นเหตุให้ร่างน้อยนั้นถูกสยบลงโดยง่าย ทั้งมือและเท้าถูกตรึงไว้กับเตียงนุ่มโดยไม่ต้องอาศัยเวทย์มนต์คาถาใด ๆ ทั้งสิ้น
“เจ้าน่าจะฟังเราบ้างนะเจสสิก้า บิดามารดาของเจ้าอุตส่าห์ก้มหัวอ้อนวอนให้เรามาช่วยเหลือเจ้า อย่างน้อยก็ควรเห็นแก่ผู้ให้กำเนิดบ้าง” เสียงทุ้มเยียบเย็นกระซิบข้างหู แม้นร่างกายจะไร้หนทางต่อต้านทว่าหัวใจของหญิงสาวยังไม่ยอมจำนนต่อเขาแม้แต่น้อย
“ทำไมบิดากับมารดาข้าต้องไปก้มหัวให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างท่าน”
ถ้อยคำเยาะเย้ยถากถางของเจสสิก้าทำให้คริสรู้สึกขบขัน เสียงทุ้มหลุดขำออกมาเบา ๆ เป็นครั้งแรก “เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย “เราน่ะแก่กว่าบิดามารดาของเจ้านับครึ่งศตวรรษ อย่าด่วนตัดสินเราด้วยตาเปล่าสิฮิวเมอรี่น้อย”
กลายเป็นเจสสิก้าเสียเองที่ต้องประหลาดใจเมื่อได้ฟังความจริงจากปากเขา ความเงียบงันถือเป็นโอกาสให้เขาได้พูดต่อ “รู้อย่างนี้แล้วเจ้าคงจะให้ความเคารพเราบ้างนะสาวน้อย”
“ไม่มีทาง” เสียงเล็กยืนยันหนักแน่น ดวงตาคมกริบแข็งกร้าวไม่ยอมอ่อนข้อให้เขา คริสยกยิ้มมุมปากนึกนิยมชมชอบความดื้อดึงของนางอยู่ในใจ
“แม้เจ้าจะไม่ยินยอม แต่อย่างไรเสียชีวิตของเจ้าก็กลายเป็นกรรมสิทธิ์ของเราโดยสมบูรณ์แล้ว” เขากระซิบบอกอย่างเป็นต่อ เวลาเดียวกับที่ร่างของเจสสิก้าค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม เรี่ยวแรงอันน้อยนิดหมดลงในเวลาอันสั้น
“ชีวิตของข้าก็ยังเป็นของข้า ท่านไม่มีสิทธิ์” เสียงนั้นแผ่วลงแต่ยังอุตส่าห์คิดหาคำมาโต้แย้งได้ไม่ลดละ
“แม้แต่บุพการียังยกเจ้าให้เราแล้ว อีกอย่าง... สตรีที่มีมลทินอย่างเจ้าจะเหลือค่าอันใด”
“แม้ข้าจะมีมลทินในสายตาท่านหรือใครก็ตาม แต่ข้ามั่นใจว่าตัวข้ายังไม่สิ้นราคาอย่างที่ท่านตราหน้า” มือน้อยกำแน่นอย่างเจ็บใจ ดวงตาที่สีอ่อนลงดังเดิมทอประกายดุกร้าว คริสได้ฟังแล้วเหยียดยิ้มคล้ายกำลังเยาะเย้ยถากถาง เจสสิก้านึกอยากทำร้ายเขาให้ได้รับบาดเจ็บอีกสักครั้ง ที่ถูกกรงเล็บข่วนเอาเมื่อครู่ยังไม่สาสมกับความผิดที่เขาก่อไว้กับนาง
“พูดเก่งดีนะเจ้า” ข้อนิ้วแข็งแรงไล้แผ่วเบาบนผิวแก้มเนียนนุ่ม นัยน์ตาสีแปลกนั้นอ่อนแสงลงราวกับเป็นคนละคน ริมฝีปากคล้ายกำลังยกยิ้มทำให้ใบหน้าที่ฉาบด้วยหน้ากากแสนเย็นชาดูอ่อนละมุนขึ้น แต่กระนั้นเจสสิก้าก็ไม่โอนอ่อนผ่อนตาม ดวงหน้าหวานเบือนหนีจากเขาอย่างเคืองแค้น
“อย่างอื่นจะเก่งเหมือนพูดหรือเปล่านะ?” เจสสิก้าไม่ได้เอะใจกับคำพูดกำกวมของเขา จึงพลาดท่าเสียจุมพิตแรกให้แก่จอมขมังเวทย์หนุ่มโดยไม่ทันตั้งตัว
เรียวปากถูกบดเคล้าอย่างเว้าวอน ดื่มด่ำความหอมหวานอย่างเชื่องช้าโดยไม่เร่งร้อนเอาแต่ใจ คนอ่อนประสบการณ์เริ่มสติเลื่อนลอย อารมณ์เพริดไปกับจุมพิตช่ำชองของเขาอย่างง่ายดาย ลืมเลือนแม้กระทั่งวิธีขัดขืน เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดก็หดหาย อาภรณ์หลวมโพรกที่สวมใส่อยู่นั้นก็ไม่อาจป้องกันสัมผัสรุมร้อนจากฝ่ามืออุ่น
เจสสิก้าตอบรับจุมพิตอย่างไม่ประสีประสา แต่ทว่ากลับทำให้จอมขมังเวทย์หนุ่มหลงใหลจนเผลอดื่มกินความหวานล้ำนั้นอย่างตะกละตะกลามไปชั่วครู่ ร่างน้อยใต้อาณัติหอบแรงคล้ายกำลังขาดอากาศ ท้ายที่สุดคนที่เริ่มก็ต้องผละออกด้วยตนเอง แม้อยากจะสานต่อจุมพิตนี้ให้ยาวนานออกไปอีกก็ตามที แต่คงไม่ดีแน่เมื่ออีกฝ่ายดูอ่อนระโหยโรยแรงเหลือเกิน
“เอาไว้ต่อกันวันหลังแล้วกันนะ” ริมฝีปากชุ่มฉ่ำผละห่างอย่างอ้อยอิ่ง นัยน์ตาสีมรกตเป็นประกายแพรวพราวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พบหน้า
.
.
.
แสงแรกแห่งอรุณรุ่งสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างสลักลวดลายวิจิตรเข้ามาจนถึงคนบนเตียง ปลุกร่างที่ดำดิ่งสู่ห้วงนิทราให้รู้สึกตัวต้อนรับวันใหม่ เจสสิก้าพลิกกายหนีจากแสงรบกวนแล้วบิดตัวขับไล่ความเมื่อยขบ นานหลายวันมาแล้วที่ไม่รู้สึกว่านอนหลับได้เต็มอิ่ม เตียงนอนกว้างเหลือนางอยู่เพียงลำพังเพราะเจ้าของห้องหลบออกไปตั้งแต่เมื่อคืน
หลังจากผัดเวลากับตนเองอยู่หลายนาทีเจสสิก้าก็จำต้องลืมตาตื่นในที่สุด ภาพแรกที่ปรากฏในคือเคหะสถานอันไม่คุ้นเคย ทั้งผนัง เพดาน หรือแม้กระทั่งลวดลายของผ้าห่มและผ้าปูเตียงที่ห่มกายมาตลอดราตรี กลิ่นกายที่อบอวลอยู่บนเตียงนุ่มนั้นก็ผิดแปลกไป เปลือกตาบางกระพริบถี่ใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อเรียกความทรงจำอันเลือนรางให้กลับคืน
“ห้องนอนของตาแก่นั่น” พอเรียบเรียงความคิดได้ก็บ่นพึมพำเหน็บแนมเจ้าของห้องอยู่คนเดียว มนุษย์เผ่าพันธุ์อมตะเช่นเขาแม้จะมีอายุนับร้อยปี แต่สังขารยังไม่ร่วงโรยนั้นก็ไม่แปลก
ดวงตาสีอ่อนมองสำรวจไปรอบห้อง ข้าวของเครื่องใช้เลอค่าที่วางอยู่ในห้องนอนกว้างนั้นยังอยู่อย่างเป็นระเบียบผิดจากครั้งล่าสุดที่นางเห็นเมื่อคืน เป็นเรื่องธรรมดา... เพียงพริบตาเดียวซากความเสียหายที่เกิดจากฝีมือนางคงกลับสู่สภาพเดิมด้วยอำนาจแห่งมนตรา พลังเวทย์ที่นางไม่อาจเทียบเทียม
“ตื่นแล้วหรืออัลเลน” เสียงทุ้มกังวานที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เจสสิก้าหัวใจหล่นวูบ อยู่ ๆ เขาก็ปรากฏกายขึ้นข้างเตียงโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง เป็นใครก็คงตกใจเป็นธรรมดา
“เหตุใดท่านถึงเรียกสกุลข้า?” นึกแคลงใจเพราะคืนที่ผ่านมาเขาแสดงออกชัดเจนว่านางไร้เกียรติ แต่พอรุ่งเช้าเขากลับเปลี่ยนท่าที
“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าเจ้ายังมีคุณค่า เราก็อยากจะเชื่อเช่นนั้น”
“เรียกชื่อข้าอย่างเดิมเถิด อย่างไรเสียเกียรติของมนุษย์ต้องสาปอย่างข้าก็ด้อยกว่าท่านอยู่วันยันค่ำ” เสียงหวานเจือความขมขื่น ในอาการตัดพ้อนั้นยังแฝงด้วยความประชดประชันอยู่บ้าง ซึ่งคริสก็ทราบดีแต่เลือกที่จะไม่สนใจ
“เอาล่ะ เจ้าน่าจะไปอาบน้ำชำระร่างกายได้แล้วนะ สามสี่วันแล้วนี่นับตั้งแต่วันที่เราพาเจ้ามาที่นี่” ขณะที่พูดก็กวาดตาสำรวจร่างอรชรในอาภรณ์ของบุรุษอย่างขบขัน นางอุตส่าห์ปลอมตัวเป็นชายเพื่อความสะดวกในการหลบหนี แต่จะพรางตาผู้ใดได้ในเมื่อสรีระของนางก็อ้อนแอ้นบอบบางไม่มีเค้าของบุรุษเพศเลยแม้แต่น้อย
เจสสิก้าก้มมองสภาพของตนอย่างขัดเขินเมื่อเห็นแววขับขันในดวงตาคมเข้มคู่นั้น
“.....” พอเห็นแล้วถึงกับพูดไม่ออก อาภรณ์หลุดลุ่ยยับย่น ใบหน้าตอนเพิ่งตื่นก็คงไม่เจริญตาเท่าไหร่ มือน้อยยกขึ้นขยับชุดที่สวมใส่ให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดูดีไปกว่าเดิมนัก เรือนผมที่คาดเดาเอาเองว่าคงยุ่งเหยิงถูกสางอย่างลวก ๆ ด้วยนิ้วเรียวเล็ก
“เจ้าคงต้องการเวลาส่วนตัว นั่นอาภรณ์สำหรับเจ้า วันนี้เราขอตัว” ปรายตามองอาภรณ์เนื้อดีพร้อมเครื่องประดับงดงามที่ถูกพับอย่างเรียบร้อยวางอยู่ตรงปลายเตียง ทุกสิ่งที่ปรากฏสั่งได้ตามใจปรารถนา สมกับเป็นจอมขมังเวทย์ผู้เลื่องชื่อแห่งเฮลิออส
“เดี๋ยวก่อนท่าน...” เสียงหวานรั้งเขาเอาไว้ก่อนที่ร่างนั้นจะเลือนหาย
“เจ้าต้องการสิ่งใดอีก?”
“ปล่อยข้าไปตามทางของข้าไม่ได้หรือท่าน?” น้ำเสียงที่และสายตาวิงวอนไม่อาจทำให้ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าใจอ่อนหรือนึกสงสาร
“เรารับปากบิดามารดาของเจ้าแล้ว ตระกูลของเราไม่เคยตระบัดสัตย์” น้ำเสียงหนักแน่นตอบกลับมาเป็นการปฏิเสธทางอ้อมที่ไร้เยื่อใย เจสสิก้ามองไม่เห็นหนทางโต้แย้งจำต้องก้มหน้ารับความปราชัย
“ท่าน.. จะทำเช่นไรต่อไป?” เสียงกังวานใสกลับเบาหวิวจนแทบจับคำพูดไม่ได้
“ถอนคำสาปให้เจ้า” สิ้นคำร่างสง่างามราวรูปสลักนั้นก็เลือนหายไปต่อหน้า เจสสิก้ายังคงนั่งนิ่งในท่าเดิมอีกนานหลังจากนั้น มือกำรวบแพรผืนบางที่เคยใช้ห่มกายตลอดราตรีอันยาวนาน ที่นางอุตส่าห์หลบหนีจากพิธีวิวาห์กลายเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ ในเมื่อสิ่งที่กำลังประสบอยู่นั้นไม่แตกต่าง บางทีอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
หนีเสือปะจระเข้แท้ ๆ เจสสิก้า อัลเลน
____________________________
อาจจะมีคำลักลั่นหลายคำนะคะ แหะ ๆ ผิดพลาดยังไงก็ติติงกันได้ค่ะ
แฟนตาซีแนวย้อนยุคกลิ่นอายของเทพนิยายนี่ไม่ง่ายเลย (ปาดเหงื่อ)
ขอให้สนุกกับการอ่านฮับ
เจอกันตอนหน้า กับตอนที่มีชื่อว่า นาทีสิ้นคำสาป ค่ะ (-////-)
ถ้างงตรงไหนก็ฝากคำถามไว้ได้นะคะ
ความคิดเห็น