ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    H O M E L E S S [YoonTae Feat.Yeon(hee)Sic,WenRene]

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4 : เธออยากอยู่กับฉันไหม ? [Rewrite - 31.07.2015]

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 58


    Chapter 4
    เธออยากอยู่กับฉันไหม?

     

     

    พายุที่แวะมาเยี่ยมเยียนได้พัดผ่านไป ส่งให้อากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิในเช้านี้แจ่มใสกว่าทุกวัน ท้องฟ้าปราศจากหมู่เมฆมืดครึ้มที่ปกคลุมน่านฟ้ากรุงโซลมาหลายวัน ดวงอาทิตย์มีโอกาสได้สาดแสงเต็มกำลังในรอบสัปดาห์  ทว่าความรู้สึกของคนที่นั่งข้างคนขับในรถคันสวยกลับต่างออกไป เมฆหมอกยังปกคลุมทั้งกลางคืนและกลางวัน


    ค่ำคืนที่มืดมิดทว่าในใจกลับมืดยิ่งกว่า กลางวันที่ควรสว่างสดใสกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศขมุกขมัว


                เสื้อผ้าที่สวมใส่ตลอดจนข้าวของที่ติดตัวมาแต่เดิมบัดนี้แทยอนได้มันกลับคืนมาทั้งหมด จากความเอื้อเฟื้อของคนปากร้ายใจดีที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง บ่อยครั้งที่หัวคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันราวกับไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง ซึ่งแทยอนไม่อยากคาดเดาว่าตนเองมีส่วนก่อความไม่สงบในจิตใจของคนหน้าสวย


    ดวงตากลมไม่ได้จดจ้องเส้นทางที่รถกำลังเคลื่อนตัวผ่านไป กลับมองเพียงจอสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยรอยร้าวแบบเดียวกับความรู้สึกของตน ปลายนิ้วปัดป่ายไปบนหน้าจออย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย เพราะสิ่งที่ค้นหายังไม่ปรากฏ


    แม้ความเงียบจะน่าอึดอัดเพียงใด แต่แทยอนคิดว่าคงดีกว่าการสนทนาที่จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งซึ่งเริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่เมื่อวาน นึกขอบคุณที่ผู้มีพระคุณไม่ซักถามอะไรอีก เพราะเธอเองก็ไม่มีคำตอบดี ๆ จะให้ จึงลำบากใจที่จะตอบเช่นกัน


    แทยอนรู้สึกว่าเธอชักจะเคยตัวกับความสะดวกสบายที่ได้รับ ในระหว่างที่พักอาศัยในคอนโด ฯ ของยุนอาเพียงไม่กี่วัน จนเกือบลืมนึกไปว่าวันหนึ่งจะต้องไปจากที่นั่น ถึงจะใจกว้างเพียงใดแต่คงไม่มีทางรับเอาคนที่ไม่รู้จักและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างแทยอนไปเป็นภาระอย่างแน่นอน และเธอเองก็ละอายใจเกินกว่าจะอยู่รบกวนอีกฝ่ายนานกว่านี้ เมื่อวานจึงต้องเป็นฝ่ายออกปากเสียเอง


    แม้จะดูเหมือนไม่แยแสต่อสิ่งใด ทว่าพอถึงเวลาที่จะต้องโบยบินเพียงลำพัง ในใจลึก ๆ ก็นึกหวั่นถึงสิ่งที่ต้องพานพบในอนาคตอันใกล้ ต้องข่มความกังวลต่าง ๆ นานาเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาต่อหน้ายุนอา


    “ท่าทางเธอจะติดโทรศัพท์มากเลยนะ” เป็นคำแรกที่ยุนอาหลุดปากพูดกับเธอก่อนตั้งแต่ลืมตาตื่น “คุยกับแฟนเหรอ?....คงคิดถึงกันมากสินะ หรือว่าที่จริงเธอหนีออกจากบ้านเพราะจะไปอยู่กับแฟน” ยุนอายังคงพูดเองเออเองต่อไป แต่ละประโยคล้วนแต่เต็มไปด้วยคำสบประมาท ทว่าคนที่ถูกพิษคำพูดเหล่านั้นเล่นงานโดยตรงกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน มองเห็นแต่เพียงภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ที่ทำร้ายความรู้สึกร้าวรานนั้นให้แตกละเอียด


    ดวงตาไหวระริกทำให้ภาพที่มองเห็นพร่ามัว ทว่าแทยอนใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุดเพื่อข่มน้ำตาไม่ให้ไหลจนนัยน์ตาแดงก่ำ


    “แทงใจดำหรือไง?”  เห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปก็ถือโอกาสยั่วโทสะ โดยที่ไม่รู้ว่าประโยคที่พูดไปคนข้าง ๆ ไม่ได้ใส่ใจแม้สักพยางค์


    “คุณ จอดรถเถอะค่ะ ฉันขอลงตรงนี้” เสียงที่กดให้ต่ำกว่าปกติถูกเค้นออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อ โดยไม่หันไปมองสารถีหลังพวงมาลัย สร้างความงุนงงระคนไม่พอใจให้ยุนอาไม่น้อย


    “พูดแทงใจดำแล้วโกรธหรือไง”


    “เปล่าค่ะ  ฉันแค่เปลี่ยนใจจะลงตรงนี้”


    “ดงแดมุนยังอีกตั้งไกล เธอจะเดินไปหรือไง” ยุนอาไม่ได้ชะลอความเร็วรถลงตามคำขอของแทยอน เพราะยังปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายกำลังประชดประชันตอบโต้คำพูดตน


    “ฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณจริง ๆ” แทยอนกัดฟันข่มความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจ ฝืนเงยหน้าขึ้นสบสายตากับยุนอา “กรุณาจอดรถให้ฉันทีเถอะค่ะ” เพราะกว่าจะถึงที่หมายแทยอนไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ในระหว่างนั้น


    เพียงครู่เดียวที่ได้ต่อสายตายุนอาก็เป็นฝ่ายยอมแพ้แล้วเบือนหน้าหนี ดวงตาที่กำลังเว้าวอนและเต็มด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ยุนอาคาดเดาไม่ถูก รถค่อย ๆ ชะลอตัวแล้วจอดนิ่งสนิทกลางสะพานแม่น้ำสายสำคัญในกรุงโซล


    “เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าจะลงตร....”


    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะ”


    ยังพูดไม่ทันจบประโยคแทยอนก็ชิงตัดบทด้วยการเปิดประตูผลุนผลันออกจากรถไป ทิ้งไว้เพียงคำขอบคุณที่ห้วนสั้นแต่มาจากใจ


    “......”


    ยุนอาเอี้ยวคอมองตามแผ่นหลังของแทยอนอย่างไม่เข้าใจ ไหล่บางที่ลู่ลงพร้อมกับสองมือที่ตกลงข้างตัวเหมือนคนสิ้นเรี่ยวแรง ลักษณะนั้นไม่น่าใช่อาการของคนที่เพิ่งฟื้นไข้ธรรมดา แต่ยุนอาก็ไม่อาจทำความเข้าใจกับความเป็นไปในชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนี้ได้โดยที่ไม่เคยได้รับคำอธิบายใด ๆ


    “โชคดีนะ” พึมพำวลีนั้นเบา ๆ ทั้งที่รู้ว่าคงไปไม่ถึงคนรับ ก่อนถอนหายใจยาวแล้วพารถเคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า มองเห็นร่างนั้นห่างออกไปทีละนิดผ่านกระจกมองข้างและค่อยเล็กลงเรื่อย ๆ 


    ยุนอาเอนหลังพิงพนักอย่างคิดไม่ตก ความกังวลเกี่ยวกับแทยอนยังติดค้างอยู่ในใจ ปลายสายตาเหลือบมองผืนน้ำกว้างเพื่อจะผ่อนคลายอารมณ์ ทว่ากลับมีความคิดอันน่าตกใจวิ่งกระทบความรู้สึกอย่างรุนแรง จนปลายเท้าเผลอกระทืบลงไปบนเบรกจนมิดไม่ต่างจากคืนที่พบแทยอนครั้งแรก


    .....แม่น้ำฮัน.... สะพาน..... และท่าทางเหมือนคนสิ้นหวังของแทยอนที่สัมผัสได้ครั้งล่าสุด องค์ประกอบเหล่านั้นกระตุ้นเตือนให้สมองจินตนาการถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด


    ยุนอากลืนน้ำลายลงคืออึกใหญ่อย่างฝืดคอ มือผลักประตูรถให้เปิดออกโดยไม่สนใจจะดับเครื่องยนต์ วิ่งย้อนกลับไปยังทิศทางเดิมทั้งที่ประตูรถยังเปิดค้างไว้อย่างนั้น อากาศเย็นสบายแต่ในใจกำลังรุมร้อนราวมีไฟสุมอยู่กลางอก


    ยุนอากำลังเร่งฝีเท้าด้วยความกลัว กลัวใจที่คาดเดาไม่ได้ของแทยอน หัวใจแทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้เมื่อร่างของเด็กสาวอยู่ใกล้กับราวกั้นสะพานเข้าไปทุกขณะ ยุนอารวบรวมกำลังทั้งหมดตะเบ็งเสียงเพื่อหักห้ามการกระทำอันน่าหวาดเสียวที่ปรากฏแก่สายตา


    “แทยอน!!! หยุดนะ!!!


    เจ้าของชื่อกลับทำหูทวนลม เท้าก้าวเข้าไปจนชิดกับราวเหล็กของสะพาน กระเป๋าใบย่อมร่วงหล่นลงแทบเท้า ก่อนที่บางสิ่งในมือจะปลิวจากมือตกลงไปในผืนน้ำกว้างใหญ่แล้วจมหายไป ยุนอารู้ได้ในทันทีว่านั่นคือโทรศัพท์เครื่องที่แทยอนหวงแหน ร่างเล็กทรุดลงกับราวกั้นอย่างคนหมดแรง สองมือยึดเหล็กเย็นเฉียบเอาไว้แน่นเพื่อทรงตัว ใบหน้าก้ม ต่ำร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจากแรงสะอื้นที่อดกลั้นมานาน


    ก่อนที่ยุนอาจะไปยืนหอบแฮ่กอยู่ข้าง ๆ เพียงเสี้ยวนาที


    “เธอ...แฮ่ก.. เธอทำอะไรของเธอ”


    ถามออกไปด้วยความรู้สึกโล่งอกทั้งเหนื่อยหอบ หันมองผืนน้ำกว้างใหญ่ราวกับจะมองหาร่องรอยของโทรศัพท์เจ้าปัญหา ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี


    “เธอม.. ไม่ได้คิดสั้นใช่ไหม? แล้ว... ทิ้ง...มันทำไม” เอ่ยประโยคกระท่อนกระแท่นแทบฟังไม่เป็นคำ แต่พอสังเกตอาการของคู่สนทนาแล้วยุนอาก็ต้องหยุดคำถามทุกอย่างไว้ชั่วคราว เห็นรอยน้ำตาที่หยดลงบนพื้นนั้นก็เข้าใจ ว่าแม้แต่เสียงของตนอีกฝ่ายก็คงไม่ได้ยิน


    ยุนอายืดตัวเต็มความสูงหลังจากลมหายใจที่ปั่นป่วนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ขยับไปยืนพิงราวเหล็กเพื่อรอคอยให้แทยอนได้ระบายความเจ็บปวดจนกว่าจะพอใจ ยืนมองอยู่ห่าง ๆ โดยไม่รบกวน จนกว่าแทยอนพร้อมที่จะรับความช่วยเหลือจากเธอ  เพราะนาทีนี้คำปลอบโยนใด ๆ ก็คงไม่จำเป็นเช่นเดียวกัน

     




    เป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่เจสสิก้าพยายามติดต่อเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกเขียนไว้บนกระดาษแผ่นเล็ก ทว่าจะกี่ครั้งก็มีเพียงเสียงจากระบบตอบรับอัตโนมัติเท่านั้นที่ได้ยินผ่านสัญญาณโทรศัพท์ นึกฟาดงวงฟาดงาไปถึงผู้เป็นเจ้าของคลับว่าแกล้งให้เบอร์เธอมาผิดหรือเปล่า เพราะเท่าที่ฟังเธอคิดว่าทั้งคู่สนิทกันพอสมควร


                เจสสิก้าโยนโทรศัพท์ไว้กลางเตียงอย่างฉุนเฉียว ทั้งอาการปวดศีรษะเมาค้างที่คอยกวนอารมณ์จนต้องนิ่วหน้า ทุกสิ่งรอบตัวดูจะขัดหูขัดตาไปหมด รวมไปถึงเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มที่ใครอีกคนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยรู้สึกเสียหน้าเท่าครั้งนี้มาก่อน เจ็บใจเป็นที่สุดเมื่อคาสโนวี่ตัวแม่ถูกลบเหลี่ยม ที่ผ่านมาไม่มีใครปฏิเสธหากเธอต้องการ บางคนเพียงแค่ปรายตามองก็แทบคลานมาแทบเท้า และอีกหลายคนที่เข้าหาโดยไม่ได้รับเชิญ


                แต่กับผู้หญิงคนนั้น.... นอกจากจะไม่ตอบรับไมตรีแล้วยังทิ้งให้เธอเมาหลับอยู่กลางคลับ ซ้ำยังตื่นมาไม่พบตัวต้นเหตุ พบเพียงแต่คิม โบกยองและลูกน้องที่นั่งเฝ้าเธออยู่ในห้องพักพนักงานทางด้านหลังคลับ ทั้งเจ็บใจทั้งอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน


                เจสสิก้าทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้งเมื่อความพยายามไร้ผล หากอาการปวดศีรษะที่ก่อกวนอยู่หายไปคงมีแรงตามหาตัวคนที่สร้างความทรงจำอันน่าอับอายให้กับเธอ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลจนต้องกำหมัดแน่น ขบริมฝีปากบางไว้จนซีดขาวระงับอารมณ์ 


    จุดประสงค์ในการควานหาตัวคนคนนั้นแปรเปลี่ยนไป อย่างไรเสียเธอต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแบบเดียวกับเธอให้ได้ ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง


                “หนีให้มันได้ตลอดนะ ยอนฮี”



               

                มือที่กำลังจะหยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมาจากหลังรถหยุดชะงัก ก่อนหันมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง สร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนร่วมงานที่รอหยิบสัมภาระของตนอยู่เช่นกัน


    “ยอนฮี เป็นอะไรไป”


                “เปล่า ๆ แค่รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย” ว่าพลางยักไหล่น้อย ๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบท้ายทาย ลดอาการเสียวสันหลังวาบที่อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ




     

                “ร้องเสร็จแล้วเหรอ เหนื่อยไหมล่ะ” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทักเมื่อเห็นแทยอนคลายสะอื้น หันไปมองคนที่ตนนั่งเฝ้าอยู่ห่าง ๆ นานนับชั่วโมง แสงแดดจ้าในยามสายถ่ายเทความอบอุ่นมาสู่ผืนดิน ทว่าคงส่องเข้าไปไม่ถึงใจของแทยอนที่ปิดตายขังตัวเองไว้ในความเศร้าโศก


    ยุนอาย่นระยะห่างเข้ามาอีกนิดจนทั้งคู่อยู่ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ ก่อนที่จะยื่นขวดน้ำให้


                “อะน้ำ”


                ดวงตาที่ชุ่มฉ่ำด้วยหยาดน้ำตาเหลือบมองยุนอาแล้วยื่นมือออกมารับขวดน้ำดื่มทดแทนน้ำตาที่เสียไป โดยที่ไม่กล่าวคำขอบคุณ และผู้ให้ก็ไม่ได้เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยเท่านี้มาเป็นอารมณ์


    “เธออยากกลับบ้านไหมล่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”


    แทยอนไม่ลังเลเลยที่จะส่ายศีรษะปฏิเสธความหวังดีนั้น ทำให้นึกไปว่าความทรงจำอันแสนเจ็บปวดอาจจะเริ่มต้นจากที่นั่น จึงทำให้แทยอนขยาดกับคำว่าบ้านถึงขนาดนั้น


                ภาพที่แทยอนโยนโทรศัพท์ทิ้งไปยังติดตา บีบคั้นความรู้สึกที่สุดเพราะยุนอายังจำได้ว่าแทยอนรักและหวงแหนมันเพียงใด อดกลัวไม่ได้ว่าหากเป็นชีวิตแทยอนจะโยนทิ้งมันไปได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือเปล่า


    ยิ่งคิดยุนอาก็ยิ่งกลัดกลุ้ม หากว่าทั้งคู่เป็นแค่คนที่เดินสวนกันก็คงดี ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จะได้ไม่ต้องมานั่งวิตกเวลาที่แทยอนอยู่ไกลสายตา ไม่ต้องมารับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังย่ำแย่เพียงใด ไม่ต้องเก็บเรื่องราวของใครมาขบคิดให้วุ่นวาย และสุดท้ายก็ลำบากใจเองหากจะต้องปล่อยแทยอนไว้เพียงลำพัง


    เสียงโทรศัพท์สั่นครืด ๆ อยู่ในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต ยุนอาต้องดึงความคิดของตนออกมาจากแทยอนชั่วคราวเพื่อกดรับสายจากญาติผู้พี่


    “ฮัลโหล”


    [งาย~ ยุนอา ได้ข่าวว่าพาเด็กขึ้นคอนโด ฯ เหรอเดี๋ยวนี้]


    ยุนรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในทันทีที่ได้ยินเสียงแหลมเล็กของซันนี่ ยิ่งได้ฟังเรื่องราวที่พรั่งพรูจากปากยุนอายิ่งนึกอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้งตามแทยอนไปให้รู้แล้วรู้รอด


    “ใครบอกพี่” ถามไปอย่างนั้น ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว


    [แหม.... เสียงเข้มเชียวนะแก ถึงขั้นโทรให้พี่หมอไปดูอาการถึงห้อง ไม่ธรรมดาสินะคนนี้]


    “พี่เชื่อคนแบบนั้นจริง ๆ เหรอ” ยุนอากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเนือย ๆ เห็นสัญญาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ แต่ดูเอาเถอะ ยังไม่ทันถึงสามวันข่าวลือนั้นก็ไปเข้าหูซันนี่เสียแล้ว


    [แล้วพี่หมอเค้าจะโกหกฉันทำไมล่ะ จริงใช่ไหมล่ะ]


    “ใช่ ฉันโทรบอกเค้าเอง แต่เรื่องคบเด็กบ้าบออะไรนั่นมันไม่จริงสักนิด พี่ก็เลิกเพ้อเจ้อตามเค้าได้แล้ว” เค้นเสียงลอดไรฟันอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งยังเหลือบมองคนในหัวข้อสนทนาเป็นพัก ๆ เกรงว่าจะรู้ตัวว่ากำลังถูกพูดถึงอยู่


    [อื้อหือ ปากแข็งอย่างที่พี่หมอพูดไว้จริง ๆ ด้วย... แต่ฉันจะขอเตือนแกไว้อย่างนะยุนอา คบเด็กมันต้องใจเย็น ๆ รู้ป่ะ ต้องค่อย ๆ บอกค่อย ๆ สอนเดี๋ยวก็เก่งเองแหละ คึ ๆ]


    “ทะลึ่ง!


    [ว่าแต่น้องเค้าพัฒนาไปถึงไหนแล้วล่ะ อย่าลืมมาอัพเดทให้ฟังมั่งนะเว้ย]


    “เออ! แค่นี้นะ ไม่ว่าง”


    [กำลังยุ่งกับน้องเค้าอยู่ล่ะ.....]


    ยุนอากดวางสายก่อนที่ซันนี่จะพูดจบประโยค ก่อนจับสมาร์ทโฟนยัดเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออย่างกระแทกกระทั้น โทร ฯ มาไม่รู้จักเวลาร่ำเวลาแล้วยังพ่นแต่เรื่องไร้สาระใส่ เป็นใครก็คงหงุดหงิดไม่ต่างกัน


    “เฮ้อ....”


    เสียงถอนหายใจยาวเรียกให้แทยอนหันกลับมามองอีกครั้ง


    “ขอบคุณค่ะที่อยู่เป็นเพื่อน ตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้ว” เสียงอู้อี้เอ่ยออกมาลอย ๆ แต่บอกจุดประสงค์ได้อย่างชัดเจนว่ากำลังไล่ยุนอาทางอ้อม ปรายตามองแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาดัง ๆ อีกหน กับอาการของคนที่บอกว่าตัวเองดีขึ้นแล้ว แต่น้ำตายังไม่ทันแห้งเหือด


    “อวดดีแต่ไม่เห็นจะดีอย่างที่อวด”  มันทำให้ยุนอาอดที่จะเหน็บแนมตามนิสัยไม่ได้ และเช่นเคยที่อีกฝ่ายเพียงก้มหน้าเช็ดน้ำตาของตนป้อย ๆ โดยไม่ตอบโต้


    “นี่... ฉันมีข้อเสนอดี ๆ สำหรับเธออยู่สองสามข้อ อยากฟังไหม?”


    แทยอนใช้ดวงตาแดงก่ำของตนจ้องมองยุนอาด้วยความเคลือบแคลงสงสัยแทนคำตอบ เพื่อเปิดโอกาสให้ยุนอาได้พูดสิ่งที่จะพูดต่อ


    “ไหน ๆ เธอก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว มาอยู่กับฉันซะเลยดีไหมล่ะ”


    “อยู่กับคุณ?” แทยอนไม่วางสายตาไปจากใบหน้าของคู่สนทนาสักวินาที รอคอยคำตอบที่จะคลายความสงสัยให้ตนเอง


    “ใช่ เธอก็เห็นว่าห้องฉันมันโคตรรกเลย อยากมีคนช่วยดูแลสักคน แต่ก็ไม่รู้จะหาจากไหน ถ้าทำกับข้าวเป็นด้วยนี่ยิ่งวิเศษไปเลยล่ะ”


    ฟังที่อีกฝ่ายพูดแล้วเด็กสาวก็พยายามเค้นภาพในความทรงจำขึ้นมาก็เห็นว่าจริงอย่างที่บอก แม้ว่าจะไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวขณะที่อยู่ที่นั่นเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้สึกได้เลือนราง 


    “ฉันไม่อยากรบกวนคุณอีก”


    “รบกวนตรงไหน เธอก็ทำงานแลกกับเงินเดือน ที่อยู่อาศัย แฟร์ ๆ ทั้งคู่” ยุนอายักไหล่ไม่แยแส ทำเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่สลักสำคัญ


    “คุณไว้ใจฉันงั้นเหรอคะ?”


    “แล้วเธอล่ะไว้ใจฉันหรือเปล่าล่ะ?” ประสานสายตาเมื่อถูกย้อนกลับด้วยคำถามเดียวกัน ต่างค้นหาคำตอบที่ซุกซ่อนไว้หลังม่านตาสีเข้มของอีกฝ่าย


     


                ประตูที่เปิดอ้าเอาไว้เหมือนไม่กลัวขโมยทำให้จูฮยอนต้องส่ายหัวให้กับความสะเพร่าของเจ้าของบ้าน ยังดีที่รั้วหน้าบ้านยังล็อคเอาไว้แน่นหนา ภายในบ้านหลังกะทัดรัดนั้นเงียบสนิทราวกับไร้ผู้อาศัย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่สุดในรอบเดือน หากว่าน้องสาวต่างสายเลือดของเธอยังอยู่ บ้านนี้ไม่น่าจะเงียบเสียงลงได้... นอกเสียจากตอนหลับ...


                ก้าวผ่านชั้นแรกของบ้านขึ้นไปบนบันไดที่ทอดยาวสู่ชั้นสองอย่างถือวิสาสะ ความสนิทสนมคุ้นเคยทำให้เข้านอกออกในบ้านหลังนี้ราวกับเป็นบ้านของตน ด้วยความเคยชินที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กจนโต


                ประตูห้องนอนของเจ้าบ้านเปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย จึงไม่จำเป็นต้องเคาะประตูให้เสียเวลา ผู้มาเยือนเปิดประตูแล้วแทรกกายเข้าไปอย่างเงียบเชียบ


                ภาพที่เห็นคือร่างของเจ้าบ้านนอนฟุบหน้าอยู่บนพื้นห้อง โดยมีหูฟังอุดหูไว้ ข้างกันนั้นมีกีตาร์ตัวโปรดวางคว่ำหน้าสงบนิ่ง ส่วนเตียงนอนก็ปล่อยให้อัลบั้มรูปพร้อมกับสมุดโน้ตเล่มเก่า ๆ วางระเกะระกะจนเต็มเตียง ช่างเป็นคนที่จัดระเบียบชีวิตได้ดีเหลือเกิน 


                “ไหนว่าจะหลบมาทำการบ้านไง” บ่นงึมงำอยู่คนเดียวทั้งส่ายศีรษะเมื่อเห็นสภาพของเจ้าบ้าน กำลังจะอ้าปากเรียกหากแต่สายตาพลันเหลือบไปเห็นภาพที่ปรากฏอยู่บนอัลบั้มหนึ่ง ดวงตาคู่หวานวับวาวด้วยแววเจ้าเล่ห์ ความคิดในหัวจินตนาการไปถึงแผนการสนุก ๆ มากมายเมื่อมองเห็นภาพวัยเด็กของคนหลับที่แผ่หลาอยู่บนเตียง


                เจ้าเด็กนี่คงเอาเวลาสะสางการบ้านช่วงปิดเทอมมารำลึกความหลัง ทั้งที่วันเปิดเทอมใกล้จะมาถึงอีกไม่กี่วันนี้แล้ว จะว่าเป็นโชคร้ายของซึงวานหรือเป็นโชคดีของเธอก็ไม่รู้ที่บังเอิญมาเจอรูปพวกนี้เข้าพอดี


                จูฮยอนเปลี่ยนใจไม่ปลุกคนหลับ มือบางหยิบอัลบั้มรูปปึกใหญ่มาเปิดดูทีละหน้าด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


                “พลาดเองนะซึงวาน”




    PS. จูฮยอน หมายถึง ไอรีน ส่วน ซึงวาน ก็คือ เวนดี้ เด็ก ๆ วงเค้กแดง (Red velvet) นั่นเองค่ะ -/- 




    เขียนไปเขียนมาชื่อฟิคกับเรื่องชักจะไม่เข้ากันซะแล้ว เค้าคิดว่าจะเปลี่ยนชื่อฟิคดีไหมคะ ใครมีไอเดียดี ๆ ก็เสนอมาได้นะคะ ถือว่าช่วย ๆ กัน เราเหลือกันอยู่ไม่กี่คนเอง ถถถถถถ


         

    ©
    t
    b
    u
    t
    t
    e
    r
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×